- ข่าวเด่นประเด็นดังทั่วไทย
- ข่าวเด่นประเด็นดังทั่วไทย 2
- ข่าวเด่นประเด็นดังต่างประเทศ
- เรื่องจริง,อุทาหรณ์
- ข่าวกีฬาทั่วไป
- ข่าวอาเซนอล
- ข่าวบาซ่า
- ข่าวบันเทิง,ดารา,นักร้อง,คนดัง,ละคร
- ข่าวดารา,บันเทิง,นักร้อง,คนดัง,ละคร 2
- ข่าวดารา,บันเทิง,คนดัง,นักร้อง,ละคร 3
- ข่าวสารภาพยนตร์
- ดูดวง,ทำนาย,แบบทดสอบ
- ข่าวสารท่องเที่ยวทั่วไทย
- ข่าวสาร,แนะนำที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
- ความรู้ทั่วไป,ความรู้รอบตัว
- ข่าวสารครอบครัว,ความรัก,เพื่อน
- ข่าวสารสุขภาพ
- ข่าวสารแฟชั่น,ความงาม
- สัตว์ทั่วไป,สัตว์เลี้ยงสุนัข,แมว
- สูตรอาหาร,ขนม
- แนะนำร้านอาหาร
- เรื่องแปลก,ลึกลับ,ผี
- เรื่องตลก,ขำขัน
- ข่าวสารแนะนำเกม
- ต้นไม้,ดอกไม้
- ข่าวสารยานยนต์
- ข่าวสารดำเนินกิจการงาน,อาชีพ
- ข่าวสารเทคโนโลยี,คอมพิวเตอร์,อินเตอร์เน็ต,อุปกรณ์สื่อสารทั่วไป
- ศาสนา,ธรรมะ,คติ,ปรัชญาสอนใจ
- กิจกรรม,ศูนย์รวมเรื่องต่างๆที่ ช่วยเหลือสังคม
- บล็อกส่วนตัวจ้า
|
|
|
|
|
|
'รับจ้าง' อาชีพคิดสั้น พบฆ่าตัวตายสูงสุด
'รับจ้าง' อาชีพคิดสั้น พบฆ่าตัวตายสูงสุด เผยสุขภาพจิตคนไทย "อาชีพรับจ้าง" จิตแย่กว่าอาชีพอื่นๆ เหตุเจอสภาวะบีบคั้นทางเศรษฐกิจและสังคม มีแนวโน้มฆ่าตัวตายสูงสุด ส่วนอาชีพข้าราชการมีสุขภาพจิตดีที่สุด เพราะมีความมั่นคงทางรายได้ แนะคนไทยปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนทางศาสนา ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น
น.ส.สิริกร เค้าภูไทย นักวิชาการสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดทางด้านสุขภาพจิตของคนทำงานอาชีพต่างๆ ที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมสุขภาพจิต และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงเวลา 3ปีที่ผ่านมา พบว่า อาชีพข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจได้คะแนนสุขภาพจิตมากที่สุด โดยได้33.8คะแนนจากคะแนนเต็ม 45คะแนน เนื่องจากมีความมั่นคงทางอาชีพการงาน ส่งผลต่อความมั่นคงทางจิตใจของคนทำงานด้วย กลุ่มที่ได้คะแนนรองลงมาคือ นักเรียน32.6คะแนน ธุรกิจส่วนตัว 32.2คะแนน เกษตรกร 32.1คะแนน
สำหรับกลุ่มที่มีคะแนนสุขภาพจิตต่ำที่สุดคือ คนทำงานรับจ้าง 30.1คะแนน เนื่องจากเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงและมีรายได้ไม่แน่นอน ส่งผลต่อสภาพจิตใจเป็นไปในทางลบ ส่วนกลุ่มที่ได้คะแนนสุขภาพจิตต่ำใกล้เคียงกันคือ แม่บ้านและลูกจ้างเอกชน ได้ 31.1คะแนนเท่ากัน นอกจากนี้ยังพบว่าความเคร่งครัดทางศาสนา การปฏิบัติตามหลักคำสอน และการมีเวลาให้แก่กันอย่างเพียงพอของสมาชิกในครอบครัว เป็นปัจจัยที่ช่วยให้สุขภาพจิตของคนดีขึ้น
น.ส.สิริกรกล่าวว่า สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้ประชากรในวัยต่างๆ มีความเครียด เป็นโรคซึมเศร้าและตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยสถิติตั้งแต่ปี 2548-2553พบว่า วัยทำงานอายุระหว่าง 15-59ปี เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุด 7.1คนต่อแสนคน ในจำนวนนี้กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-59ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 4.6ต่อแสนประชากร มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-29ปี ซึ่งมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.2ต่อแสนประชากร ซึ่งสาเหตุอันดับ 1ที่ทำให้วัยรุ่นฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ ผิดหวังในเรื่องความรัก ประสบกับปัญหาการเล่าเรียน และปัญหาทางด้านครอบครัว ผู้ที่ฆ่าตัวตายส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิงเกือบ 4เท่าตัวของการฆ่าตัวตายของทุกปี
"แรงงานไทยเกือบ 1ใน 10ตั้งแต่ระดับกรรมกรจนถึงคนทำงานบริษัท คิดจะฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากคุณภาพชีวิตไม่ดีพอ โดยเฉพาะผู้มีอาชีพรับจ้างทั่วไปมีสุขภาพจิตต่ำกว่าอาชีพอื่นๆ และมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตายสูง ตรงกันข้ามกับอาชีพข้าราชการที่มีสุขภาพจิตดี ทำให้มีอัตราฆ่าตัวตายต่ำกว่าอาชีพอื่นๆ"
นักวิชาการสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร สสส. ระบุว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นความสูญเสียเชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในวัยทำงานถือเป็นกลุ่มคนสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสุขภาพจิต ควรมีนโยบายแก้ปัญหาสังคมและสุขภาพจิตให้ตรงจุด พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและทักษะในการแก้ปัญหาชีวิตแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มการฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ อาชีพรับจ้างรายวัน ซึ่งมีความบีบคั้นและความยากลำบากในการดำรงชีวิตมากที่สุด อีกทั้งยังต้องร่วมมือกับชุมชนในการเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย รวมทั้งการให้คำปรึกษาจากจิตแพทย์ก็มีความสำคัญมากเช่นกัน ด้าน ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล กล่าวว่า คนไทยที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต ได้แก่ ผู้สูงอายุ มีสถานภาพหม้าย หย่า หรือแยกกันอยู่ การศึกษาต่ำ เป็นผู้ว่างงานหรือลูกจ้างเอกชน รายจ่ายของครัวเรือนต่ำ ครัวเรือนเกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินและครัวเรือนที่มีหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ พบว่าการมีระบบการจ้างงานและดูแลปัญหาการว่างงานที่ดี การสร้างสังคมให้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของรัฐหรือชุมชน การกระจายรายได้ในสังคมที่มีการแข่งขันและการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในภาพรวม ยังทำให้คนไทยมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย
"การสร้างเสริมให้คนไทยมีสุขภาพจิตที่แข็งแรง รัฐบาลต้องมีนโยบายสร้างระบบเศรษฐกิจที่เอื้อต่อคนไทยทุกคนให้มีงานทำ มีรายได้แน่นอน และเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ เป็นวิธีที่จะเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้ นอกจากนี้ ขอให้ประชาชนนำแนวทางปฏิบัติของศาสนา เช่น ปฏิบัติสมาธิ รักษาศีล 5และสวดมนต์เป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตได้ดี เช่นกัน" นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล เผย ขอขอบคุณข้อมูล และภาพประกอบจาก
วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2554 //icare.kapook.com/suicide.php?ac=detail&s_id=12&id=3150
Create Date : 31 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 31 ตุลาคม 2556 19:02:22 น. |
|
0 comments
|
Counter : 646 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|