All Blog
อาหาร 5 เมนู ที่คนป่วยควรหลีกเลี่ยง

5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง

เวลา เป็นไข้ หรือ ร้อนใน ทุกคนก็อยากให้หายกันไวๆซึ่งนอกจากการกินยาแล้วเรื่องของกินก็ต้องระวังกันให้ดีด้วย เพราะร่างกายเราเมื่อเป็นไข้หรือร้อนใน อุณภูมิในตัวเราก็จะสูงขึ้นด้วย หากกินอาหารที่เพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกาย ก็อาจมีอาการติดเชื้อ หรือไข้ขึ้นจนช็อกได้ โดยวันนี้ทางทีมงาน ThaiRats จะมานำเสนอ 5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง มาดูกันเลยมีอะไรกันบ้าง

เหล้า เบียร์ ค็อกเทล

5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง
แอลกอฮอล์จะไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว และกระตุ้นการทำงานของหัวใจ พอเลือดสูบฉีดแรงกว่าปกติ อุณหภูมิในตัวจะสูงขึ้น คนที่ดื่มเหล้าจึงมักร้อนวูบวาบนอกจากนี้พอความร้อนในตับเพิ่มขึ้น ตับก็จะกำลังสารพิษในเลือดได้น้อยลง แผลอักเสบต่างๆเลยพุพองง่ายกว่าปกติ รู้อย่างนี้แล้วคนรักสุขภาพต้องเลิกดริ๊งค์ด่วนๆ

อาหารรสเค็มจัด

5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง
เวลาเป็นไข้หรือร้อนใน ไตจะต้องทำงานหนักเพื่อเก็บน้ำไว้ปรับอุณหภูมิในร่างกายแต่ถ้าเรากินของเค็มเข้าไป ไตก็จะต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า นี่คือเหตุผลว่าคนป่วยจะต้องกินแต่อาหารจืดๆงดน้ำปลา เกลือ หรือถ้าจะใส่ต้องใส่ให้น้อยที่สุด ไข้จะได้ลดเร็วๆ

ของทอด ของมัน

5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง
น้ำมันจากของทอดมีสารโพลาร์ที่เป็นต้อนเหตุของเนื้องอกในตับและปอด และน้ำมันเองก็เป็นอาหารที่ย่อยยากเมื่อร่างกายต้องการใช้พลังงานสูงในการย่อย อุณหภูมิในตัวเราก็จะเพิ่มขึ้นจนเกิดการอักเสบได้ง่ายเพราะอย่างนี้คนที่กินของทอดถึงได้เจ็บคอ บางคนอาจมีน้ำมูกหรือเป็นหวัดตามมาในภายหลัง

เครื่องดื่มคาเฟอีน

5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง
ได้แก่ ชา กาแฟ แม้แต่ชาดำเย็นเข้มๆ ก็อยู่ในข้อนี้ เพราะคาเฟอีนจะทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นพอขาดน้ำ ร่างกายก็จะร้อน ยิ่งถ้าคุณชอบดื่มกาแฟเข้มๆ แต่ไม่ยอมดื่มน้ำชดเชยด้วยล่ะก็เตรียมรับมือกับอาการอ่อนเพลีย เป็นไข้ หรือร้อนในได้เลย

ผลไม้น้ำตาลสูง

5 เมนูที่คนเป็นไข้ หรือ ร้อนใน ควรหลีกเลี่ยง
ลางสาด ทุเรียน ละมุด ขนุน ลำไย สับปะรด ทั้งหมดนี่มีน้ำตาลสูงมากจนไม่เหมาะจะเป็นของว่างของคนที่กำลังร้อนในเพราะร่างกายต้องใช้พลังงานสูงในการผาพลาญน้ำตาลยิ่งถ้าคุณมีแผลอักเสบ ขอบอกว่าน้ำตาลจะทำให้เนื้อเยื่อสมานตัวช้าลงแผลที่ควรจะหายเร็วจึงหายช้าขึ้นอีกหลายวัน




Create Date : 08 มกราคม 2559
Last Update : 8 มกราคม 2559 12:31:19 น.
Counter : 1120 Pageviews.

1 comment
อัพเดต ค่าตัวนักเตะ 15 อันดับที่แพงที่สุดในโลก

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

ถ้าพูดถึง ค่าตัวนักเตะ แล้วหลายๆคนก็คงรู้อยู่แล้วว่าใครมีค่าตัวที่แพงที่สุด วันนี้ทางทีมงาน ThaiRats จะพามาดู 15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด โดยวัดจากผลงาน, อายุ, สัญญา รวมถึงระดับของลีก, สโมสรและทีมชาติที่นักเตะเล่น โดย CIES Football Observatory เป็นผู้สำรวจ มาดูกันเลยว่าจะมีใครบ้าง

Thomas Muller
15. โธมัส มุลเลอร์ | บาเยิร์น มิวนิค | 52.3 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Phillippe Coutinho
14. ฟิลิปป์ คูตินโญ | ลิเวอร์พูล | 53.5 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Kevin De Bruyne
13. เควิน เดอ บรอยน์ | แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | 53.5 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Paul Pogba
12. พอล ป็อกบา | ยูเวนตุส | 56.7 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Anthony Martial
11. อองโธนี มาร์กซิยาล | แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | 57.1 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Alexis Sanchez
10. อเล็กซิส ซานเชซ | อาร์เซนอล | 60.9 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Sergio Aguero
9. เซร์คิโอ อเกวโร | แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | 60.2 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Luis Suarez
8. หลุยส์ ซัวเรซ | บาร์เซโลนา | 63.3 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Antoine Griezmann
7. อองตวน กรีซมันน์ | แอตเลติโก มาดริด | 64.8 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Raheem Sterling
6. ราฮีม สเตอร์ลิง | แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | 65.9 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Harry Kane
5. แฮร์รี เคน | ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส | 67 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Cristiano Ronaldo
4. คริสเตียโน โรนัลโด้ | เรอัล มาดริด | 83.7 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Eden Hazard
3. เอเด็น อาซาร์ | เชลซี | 95.8 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Neymar
2. เนย์มาร์ | บาร์เซโลนา | 112.1 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด

Lionel Messi
1. ลิโอเนล เมสซี | บาร์เซโลนา | 184.1 ล้านปอนด์

15 อันดับ ค่าตัวนักเตะ ที่แพงที่สุด




Create Date : 07 มกราคม 2559
Last Update : 7 มกราคม 2559 13:17:10 น.
Counter : 961 Pageviews.

0 comment
ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 สำหรับรถมือสอง ซื้อยังไงให้ถูกสุด

ประกันภัยรถยนต์

ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ รถยนต์มือสองเป็นอีกทางออกนึงสำหรับคนที่ต้องการมีรถยนต์ไว้ใช้งาน และให้ความคุ้มค่าในด้านราคา เมื่อซื้อรถยนต์มือสองแล้ว การซื้อ ประกันภัยรถยนต์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่ต้องเลือกให้คุ้มค่าด้วยเช่นกัน เพราะความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุนั้นอาจมีเพิ่มมากขึ้น จากการสึกหรอตามการใช้งานของรถยนต์ หลายคนคิดว่า ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 นั้นเป็นการสิ้นเปลืองสำหรับรถยนต์มือสอง วันนี้เรามาให้เหตุผลว่าทำไมรถมือ 2 จึงควรซื้อประกันชั้น 1 รวมถึงเทคนิคการซื้อประกันรถชั้น 1 ของรถมือสองที่จะทำให้คุณได้เบี้ยที่ถูกลง

ทำไมรถมือสองถึงทำประกันชั้น 1 ดีกว่า

รถยนต์มือสองนั้นผ่านการใช้งานมาพอสมควรแล้ว อุปกรณ์บางอย่างมีความเสื่อมตามอายุการใช้งาน แม้ว่าจะขับรถปลอดภัยหรือตรวจเช็คสภาพรถยนต์มาอย่างดี แต่เมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ย่อมเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นได้ แม้ว่าคุณจะซื้อรถมือสองที่มีสภาพที่ดี แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่มากกว่ารถยนต์มือหนึ่ง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ หากคุณมี ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 นั้นก็ทำให้อุ่นใจมากขึ้น เพราะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกกรณีทั้งคนและรถ ในขณะที่ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 2 หรือ 3 ไม่ได้ให้ความคุ้มครองและจำเป็นต้องซื้อกรมธรรม์เพิ่มเติม โดยเฉพาะหากคุณทำประกันชั้น 3 แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นคุณจำเป็นต้องซ่อมรถเอง และรถมือสองบางรุ่นนั้นมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและอะไหล่ที่สูงอีกด้วย

แม้ว่าการทำ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 จะให้ความอุ่นใจมากกว่า แต่ราคาก็สูงกว่า ประกันภัยรถยนต์ ชั้นอื่นๆ แต่สามารถใช้เทคนิคในการซื้อที่ทำให้เบี้ยถูกลงได้ ดังนี้

ซื้อ ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 รถมือสอง อย่างไรให้เบี้ยถูก

– การระบุชื่อผู้ขับขี่ เป็นอีกข้อหนึ่งที่ช่วยให้เบี้ยประกันมีราคาถูกลงได้ แต่เหมาะกับการขับขี่ไม่เกิน 2 คน โดยใช้รายละเอียดเกี่ยวกับผู้ขับขี่ เช่น เพศ อายุ โดยเบี้ยประกันจะลดลงได้ถึง 5-20% ตามอายุปีของผู้ขับขี่เองด้วย
– ยอมรับค่าเสียหายส่วนแรก หากคุณเป็นผู้ที่ขับขี่รถปลอดภัย การยอมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเมื่อเกิดอุบัติเหตุเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้ โดยสามารถให้คุณประหยัดได้ถึง 1,000-5,000 บาท
– ตัดตัวเลือกที่อาจไม่จำเป็น เลือกตัดความคุ้มครองที่ไม่จำเป็น เช่น การซ่อมห้าง การประกันอุบัติเหตุส่วนตัวและค่ารักษาพยาบาล เพื่อเป็นการลดทุนประกันลง
– เป็นผู้ขับขี่ปลอดภัย เลือกซื้อประกันกับบริษัทประกันที่มีนโยบายเบี้ยประกันถูกสำหรับผู้ขับขี่ปลอดภัย และสามารถปรับเปลี่ยนกรมธรรม์ได้ตามความต้องการ

– เลือกไม่คุ้มครองส่วนตกแต่ง หากไม่มีความจำเป็น การเลือกไม่คุ้มครองส่วนตกแต่งรถยนต์จะช่วยให้คุณประหยัดเบี้ยประกันลงได้

– ซื้อประกันทางเว็บไซต์หรือโทรศัพท์ ปัจจุบันการเลือกซื้อ ประกันภัยรถยนต์ ออนไลน์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เบี้ยประกันถูกลงได้ พร้อมทั้งยังสะดวกและรวดเร็ว ทั้งนี้เรายังสามารถประเมินราคาเบี้ยประกันเพื่อหาข้อมูลหรือความคุ้มครองที่จะได้รับ ซึ่งทำให้เราสามารถเปรียบเทียบราคาเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ได้จากหลายๆ ที่

เมื่อทราบเทคนิคการซื้อประกันรถให้เบี้ยถูกลงแล้ว ก็อย่าลืมเลือกบริษัท ประกันภัยรถยนต์ ที่น่าเชื่อถือ มั่นคง และมีประวัติการเคลมที่ค่อนข้างดี เพื่อให้ครอบคลุมทุกการใช้งาน ติดต่อสอบถามข้อมูล ประกันภัยรถยนต์ จากบริษัทชั้นนำได้กว่า 25 บริษัท ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ประกันภัยรถยนต์ 2 พลัส และ ประกันภัยรถยนต์ 3 พลัส ที่ ทูเดย์อินชัวร์  โทร (086)431-9603 (086)4319-606




Create Date : 18 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2558 13:18:05 น.
Counter : 422 Pageviews.

0 comment
ข้าวโพดสีม่วง ประโยชน์มหาศาล

ข้าวโพดสีม่วง
จากการเปิดเผยผลสำรวจสุขภาพของคนไทย พบว่าคนไทยมีรอบเอวเกินมาตรฐาน ซึ่งเกิดจากการกินอาหารที่ไม่เหมาะสม และออกกำลังกายน้อย จึงส่งผลให้คนไทยเสียงเกิดโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯ จึงอยากให้คนไทยหันมาออกกำลังกายให้มากขึ้นพร้อมกับทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างวันนี้จะของยกตัวอย่าง ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง เป็นธัญพืชที่มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็น สารต่อต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยให้อัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายลดลง และในข้าวโพดชนิดนี้ ยังมีสารช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็ง ต่างๆ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

ข้าวโพดข้าวเหนียวอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่นิยมกับผู้บริโภคในขณะนี้ คือ ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ซึ่งปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาด หลายท่านคงเคยพบเห็นกันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะสงสัยอยู่ว่า ข้าวโพดสีม่วง นี้มาจากไหน และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง เป็นการพัฒนาจากพันธุ์ข้าวโพดสีม่วงและพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวของบริษัทเอกชน ผลผลิตที่ได้ทำให้ได้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่มีฝักใหญ่ รสชาตินุ่มลิ้น หวานและเหนียว

สารสีม่วง

สำหรับสีม่วงเข้มในเมล็ด ข้าวโพดสีม่วง นั้น เป็นสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ในระดับสูง ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งชนิดเนื้องอก เสริมความคุ้มกันให้ร่างกายต่อต้านเชื้อโรค สมานแผล เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดแดง ชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ลดภาวะการเป็นโรคหัวใจ ชะลอความเสื่อมของดวงตา ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและชะลอความแก่

การปลูก ข้าวโพดสีม่วง

สำหรับเกษตรกรที่สนใจจะปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ควรให้ความสำคัญกับดิน เพื่อให้ได้จำนวนต้นต่อไร่ และผลผลิตต่อไร่สูง เริ่มจากการไถดะและตากดินไว้ 3 – 5 วัน แล้วจึงใส่ปุ๋ยคอกอัตรา 1 ตันต่อไร่ เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดิน ให้สามารถอุ้มน้ำได้นานและเพิ่มธาตุอาหารให้กับข้าวโพด จากนั้นไถแปรเพื่อย่อยดินให้แตกละเอียดเหมาะกับการงอกของเมล็ด

เกษตรกรสามารถปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงได้ 2 วิธี คือ ปลูกแบบแถวเดี่ยว โดยเว้นระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้น 20-25 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น หรือ ปลูกแบบแถวคู่ ต้องยกร่องสูง โดยมีระยะห่างระหว่างร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็น 2 แถวข้างร่อง ห่างกัน 30 เมตร และมีระยะห่างระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น ทั้ง 2 วิธีจะได้จำนวนต้นประมาณ 7,000-8,500 ต้นต่อไร่ และใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อปลูกได้ 7 วัน ข้าวโพดอยู่ในระยะกำลังงอก ควรระมัดระวังเรื่องการให้น้ำ เพราะหากขาดน้ำในระยะนี้จะทำให้การงอกไม่ดี จำนวนต้นต่อพื้นที่จะน้อยลง ส่งผลต่อจำนวนผลผลิต และอีกระยะหนึ่งที่ขาดน้ำไม่ได้คือระยะออกดอกเพราะจะทำให้เกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดจะไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงส่วนปลาย หรือติดเป็นบางส่วน ฝักที่ได้จะขายได้ราคาต่ำ ใน 2 ระยะนี้ควรให้น้ำถี่กว่าช่วงอื่นๆ ที่ตามปกติแล้วจะให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพต้นข้าวโพดและสภาพอากาศ

เมื่อข้าวโพดมีอายุ 40 – 45 วันหลังปลูก ถ้ามีอาการเหลืองหรือไม่สมบูรณ์ ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โรยด้านข้างต้นข้าวโพด ในขณะที่ดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม เพื่อเป็นการบำรุงให้ต้นข้าวโพดสมบูรณ์ แข็งแรงโดยปกติแล้วเกษตรกรจะเก็บเกี่ยวข้าวโพดเมื่อมีอายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก แต่ระยะการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมที่สุด คือ ระยะ 18-20 วันหลังข้าวโพดออกไหม 50% (หมายถึงข้าวโพด 100 ต้น ออกไหม 50 ต้น) แต่หากปลูกในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวก็จะยืดออกไปอีก

วิธีการดูแลรักษาแปลงปลูก ข้าวโพดสีม่วง

สำหรับวิธีการดูแลรักษา หากแปลงปลูกมีวัชพืชขึ้นมาก จะส่งผลให้ข้าวโพดไม่สมบูรณ์ ผลผลิตลดลง ควรกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก โดยใช้อลาคลอร์ฉีดพ่นลงดินหลังจากปลูก ก่อนที่วัชพืชจะงอก ควรฉีดพ่นในขณะที่ดินต้องมีความชื้นเพื่อทำให้ยามีประสิทธิภาพดีขึ้น สำหรับช่วงที่ฝนตกชุก ต้นข้าวโพดมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคราน้ำค้างได้ง่าย ควรใช้สารเคมีป้องกันโรคราน้ำค้างสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

การนึ่ง ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ให้อร่อย เริ่มจากเตรียมหม้อนึ่ง ต้มน้ำให้เดือด ระหว่างนี้ปอกเปลือกหุ้มฝักออก โดยปอกให้เหลือเปลือกหุ้มฝักประมาณ 2-3 ชั้น เพื่อเป็นการรักษาสารแอนโทไซยานินให้อยู่ในเมล็ด ทำให้เมล็ดเต่งตึงน่ารับประทาน จากนั้นนำฝักข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่ปอกแล้ววางเรียงลงในหม้อนึ่งที่น้ำเดือดแล้ว ปิดฝา ใช้เวลาในการนึ่งประมาณ 25-30 นาที ควรปล่อยให้ฝักข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่ต้ม เย็นลง
ในระดับอุ่นๆ ก่อนรับประทาน จะทำให้สีม่วงไม่ติดมือเวลารับประทาน รวมถึงรสชาติและคุณค่าทางอาหารยังคงเดิม

การเลือกที่จะปลูกหรือขาย ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น อาจจะเรียกได้ว่า “กำลังอยู่ในกระแส”โดยเฉพาะในผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่ชอบความแปลกใหม่ เนื่องจากรูปลักษณ์ที่ดึงดูดความสนใจแล้ว ด้วยรสชาติที่ความหวาน หอม เหนียวนุ่มของข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงยังทำให้หลายคนติดอกติดใจ พร้อมทั้งคุณประโยชน์อันหลากหลายที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นข้าวโพดเป็นธัญพืชที่นิยมนำมาแปรรูปเป็นอาหารนานาชนิด เนื่องจากเป็นพืชที่ให้พลังงานสูง ในเมล็ดข้าวโพด 100 กรัมนั้น ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 8.2 กรัม โปรตีน 11.1 กรัม เกลือแร่ 1.7 กรัม ไขมัน 4.9 กรัม และเส้นไยหยาบอีก 2.1 กรัม และยังมีวิตามินที่มีประโยชน์อีกมากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอในรูปเบต้าแคโรทีน วิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ รวมถึงลูทีนและซีแซนทิน ซึ่งเป็นสารคาโรตีนอยด์ ช่วยป้องกัน
ตาเสื่อมสภาพ

ประโยชน์ของ ข้าวโพดสีม่วง

ในส่วนของสรรพคุณทางยาของ ข้าวโพดสีม่วง หรือข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ที่คนโบราณค้นพบและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ เมล็ดของข้าวโพดใช้ทานเพื่อบำรุงร่างกาย หัวใจ ปอด ขับปัสสาวะ นำมาบดพอกรักษาแผล นอกเหนือจากนี้ยังใช้ซังข้าวโพดต้มน้ำนำมาดื่มแก้บิด ท้องร่วง ขับปัสสาวะ ต้น ราก และไหมข้าวโพด รสจืด หวาน ต้มเอาน้ำดื่ม ขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี เพื่อสุขภาพที่ดี ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินมากๆ หรือพึ่งอาหารเสริมราคาแพงๆ เพียงแค่เราเลือกรับประทาน ศึกษาข้อมูล สารอาหาร ประโยชน์ของอาหารชนิดนั้นๆ เพียงเท่านี้เราก็จะทราบว่าอาหารที่มีคุณประโยชน์ไม่ได้อยู่ไกลเลย อยู่แค่ที่ตลาดใกล้ๆ บ้านเราเอง

ที่มา Thairats




Create Date : 04 พฤศจิกายน 2558
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2558 13:07:09 น.
Counter : 631 Pageviews.

0 comment
มาเลือกดอกไม้มงคลไว้ประทับบ้านกันดีกว่า

ดอกไม้มงคล

รู้หรือไม่ดอกไม้นอกจะหอมทนหอมนามยังมีสรรพคุณมากมายอีก ไม่เท่านั้นชื่อก็ยังไพเราะเพราะพริ้ง และยังมีความหมายที่เป็นสิริมงคลอีกด้วย และก็เป็นพันธุ์ไม้ที่นิยมปลูกในบ้าน วันนี้เลยนำเอา ดอกไม้มงคล ของไทย 5 ชนิด ที่เหมาะที่จะปลูกไว้ในบ้านมาฝาก

1.ดอกมะลิ

นอกจากจะเป็นดอกไม้ประจำวันแม่แล้ว มะลิยังเป็นสิริมงคลทางด้านทำให้คนในบ้านมีความบริสุทธิ์มีความรักและความคิดถึงแก่บุคคลทั่วไป

ดอกไม้มงคล

2.ดอกกุหลาบ

เชื่อกันว่าปลูกกุหลาบในบ้านจะทำให้คนในบ้านเป็นผู้สง่า ภาคภูมิกุหลาบที่เหมาะกับเมืองไทยคือกุหลาบมอญสีชมพูสด

ดอกไม้มงคล

3. ดอกบัว

ดอกบัวเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนพระพุทธศาสนาที่ชาวพุทธเชื่อกันว่าปลูกแล้วจะทำให้ผู้ปลูกมีจิตใจแจ่มใสเบิกบาน

ดอกไม้มงคล

4. ดอกแก้ว

ดอกไม้ไทยที่หอมฟุ้งกระจายไปทั่วบ้าน นิยมปลูกดอกแก้วนิยมปลูกเพราะจะส่งผลให้คนในบ้านสูงค่า มีความบริสุทธิ์

ดอกไม้มงคล

5.ดอกพุด

ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลัษณ์ เมื่อปลูกดอกไม้ชนิดนี้ จะส่งผลให้มีความเจริญ มั่นคง แข็งแรงสมบูรณ์

ดอกไม้มงคล
สำหรับคนที่ชอบปลูกต้นไม้ ก็ลองหาดอกไม้มงคล ของไทยที่มีความหมายดีมาปลูกกันในบ้านนะเพื่อจะมีสิ่งดีๆผ่านเข้ามาในบ้านดูนะจ๊ะ




Create Date : 26 ตุลาคม 2558
Last Update : 26 ตุลาคม 2558 12:51:38 น.
Counter : 1088 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

สมาชิกหมายเลข 2473621
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]