วันหนึ่งเพื่อนเก่าของผมที่เคยทำงานด้วยกันที่โรงแรมโนโวเทล สยามแสควร์ กลับมาเยี่ยมเมืองไทย ในตอนนั้นเพื่อนเก่าคนนี้ได้ทำงานบนเรือสำราญชื่อดังบริษัทหนึ่ง ถ้านึกภาพเรือไม่ออก ให้นึกถึงหนังเรื่องไททานิคเข้าไว้ครับ แต่ไอ้เรือสำราญที่ว่ามันใหญ่กว่าเรือไททานิคไป 3 เท่า เท่านั้นเอง เรานัดกันกินข้าว พบปะกันตามประสาเพื่อนเก่าแก่ เพื่อนคนนี้ก็คุยเฟื่องว่าได้ไปทำงานบนเรือสำราญแห่งหนึ่งรายได้ดี ทำงานไปเที่ยวไป (ตามสถานที่ที่เรือจอดในประเทศต่าง ๆ) ปีหน้าจะได้ปรับตำแหน่งขึ้นแล้วนะ เพื่อนในกลุ่มนั่งฟังไปฮือฮากันไป และแอบเก็บข้อมูลกันอย่างหนำใจ ไอ้ผมตอนนั้นผมเพิ่งลาออกจากงานที่โรงแรมโนโวเทลฯ มาได้ไม่กี่เดือน และกำลังเปิดร้านอินเตอร์เน็ต แถว ๆ บ้าน ย่านหลักสี่ รายได้ก็ปานกลางอยู่ได้เรื่อย ๆ ชีวิตก็แสนเรียบง่าย ส่วนภรรยาผมก็ทำงานประจำอยู่บริษัทที่ค่อนข้างมั่นคงแห่งหนึ่งผมกลับมาเล่าเรื่องเพื่อนคนนี้ให้แฟน (จริง ๆ แล้วคือคุณภรรยาผมนั่นแหละครับ ไม่ต้องงง) ฟังว่าเพื่อนคนนี้เป็นอย่างนี้นะ แฟนผมบอกว่า หมูตอน (แฟนผมใช้สรรพนามนี้เรียกผมตั้งแต่น้ำหนักตัวผมเริ่มใกล้เคียงกับหมูตัวหนึ่งนานแล้วล่ะครับ) ทำไมเธอไม่ลองดูบ้างล่ะ จะได้มีประสบการณ์แปลก ใหม่ ได้เที่ยวหลายประเทศฟรี ๆ แถมได้เงินเยอะอีก คนที่จะสมัครเข้าทำได้ก็มีไม่มากนะ ไม่ใช่คนทั่วไปจะเดินไปสมัครงานนี้ได้ที่ไหน ชั้นน่ะอยู่คนเดียวได้นะถ้าเธอไปทำงานต่างประเทศ ปีนึงก็ไปแค่ 8 เดือนเองไม่ใช่เหรอ ชั้นน่ะเป็นหญิงแกร่งอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเลยนะ เธอใส่มาเป็นชุดๆ ยังกะลูกกระสุน จนผมพรุนไปทั้งตัว ตั้งตัวแทบไม่ติด เธอไม่ห่วงตัวเองเลยจริง ๆ แฮะ ผมบอกว่าจะบ้าเหรอ ภาษาอังกฤษก็งู ๆ ปลา ๆ เคยทำงานโรงแรมมานานก็จริง แต่ถ้าจะให้ไปสมัครจริง ๆ เค้าคงไม่รับ แฟนผมก็บอกว่ามัวแต่คิดอย่างนี้สิ ก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน เป็นไงล่ะครับ ผมเองนั่นแหละเป็นคนทำลายความมั่นใจของตัวเองลงเองแท้ ๆ ในใจก็แอบลุ้นอยู่ลึกๆ ว่าอยากทำอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ได้แต่เงียบเพราะกังวลหลาย ๆ เรื่อง เช่นเป็นห่วงแฟนถ้าเกิดได้ไปจริง ๆ อีกอย่างภาษาอังกฤษก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่มัธยมยันมหาวิทยาลัย เรื่องสุดท้ายคือกลัวเสียฟอร์มอย่างแรงจากนั้นผมกับแฟนต่างก็ไม่ได้พูดถึงงานที่ว่านี่อีกเลย ต่างคนกต่างดำเนินชีวิตกันไปตามปกติ จู่ ๆ มาวันหนึ่ง ไม่รู้อะไรเข้าสิงแฟนผม แฟนผมมาอีกแล้วครับ บอกว่าเราควรจะปิดร้านอินเตอร์เน็ต โดยการเซ้งให้คนอื่นไปซะ เพราะมีคนรอเซ้งอยู่ ส่วนผมก็ควรจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนภาษาอังกฤษ พอให้สื่อสารได้และสมัครงานนี้ให้ผ่าน ผมไม่รู้ว่าเธอไปศึกษาข้อมูลมาจากไหนว่างานที่ว่างานมันดี ผมเลยเห็นดีเห็นงามไปด้วยแบบเนียน ๆ เพราะผมก็อยากลองดูสักครั้งเหมือนกัน ผมก็เลยไปสมัครเรียน AUA (โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ อยู่ตรงถนนราชดำริ ใกล้ ๆ ที่ทำงานแฟนผมเลยครับ พอผมเรียนเสร็จ แฟนผมก็เลิกงานพอดี เราก็กลับบ้านด้วยกัน) เรียนได้ไม่กี่คอร์ส ก็ลองไปสอบ บริษัทเรือสำราญที่ว่าเนี่ย ผู้สมัครจะต้องมีประสบการณ์การทำงานกับโรงแรมระดับ 4 -5 ดาว มาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป รอบแรกที่ผมไปสมัครงานกับบริษัทจัดหางาน ผลก็คือประสบการณ์ที่ผมทำงานโรงแรมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาผ่านตลอดครับแต่ตกภาษาอังกฤษ คนที่สัมภาษณ์แนะนำว่าให้ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม หลังจากนั้นให้ไปทดสอบภาษาอังกฤษกับบริษัทสอนภาษาอังกฤษแห่งหนึ่ง (บริษัทจัดหางานเป็นคนกำหนดครับ) ถ้าสอบผ่านจะได้ใบรับรองแผ่นหนึ่ง เอามายื่นกับบริษัทจัดหางาน อีกครั้ง พอผมรู้ผลผมก็ได้แต่หมดหวัง แล้วก็คิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถพอแล้วจริง ๆ ผมเริ่มถอดใจไปนิด ๆ แล้วล่ะครับแฟนผม (มาอีกแล้วครับ ตามมาหลอกมาหลอน) บอกว่า หมูตอน....แค่นี้เธอท้อแล้วเหรอ ทำไมไอ้คนที่เค้าไปได้ ภาษาอังกฤษมันห่วยกว่าเธอ ทำไมเค้าไปได้ล่ะ เธอทำเต็มที่แล้วได้แค่นี้เองเหรอ? เธอไม่ยอมแม้แต่จะฟังคำตอบว่าผมคิดยังไง ว่าแล้วคุณแฟนผมก็บอก(บังคับ) ให้ผมไปสมัครเรียนภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์เพิ่มเติม โดยการเรียนจะเรียนวันละ 30 นาที โดยใช้เครื่องแฟกซ์เป็นสื่อในการส่งการบ้านกับอาจารย์ เหตุผลที่เธอเลือกให้ผมเรียนทางนี้เนื่องจาก การที่มองไม่เห็นหน้ากันจะเป็นการบังคับให้พูดออกไปให้ได้ เพราะเวลาเรียนต่อหน้าอาจารย์ฝรั่งคนไทยมักติดนิสัย ยิ้ม พยักหน้ากับส่ายหน้า เวลาพูดภาษาอังกฤษโต้ตอบไม่ได้ และอีกอย่างก็ได้ฝึกทักษะการเขียน ไปด้วย คือได้หลายทักษะ ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน ว่างั้นเหอะ ก่อนเรียนผมได้แจ้งกับทางโรงเรียนว่าผมต้องการเน้นทักษะด้านการพูดและการฟัง ส่วนการอ่านกับการเขียนไม่เน้นมาก ผมเลยได้ปรับพื้นฐานหลาย ๆ อย่าง ที่ผมไม่เคยฝึกเลยโดยเฉพาะการเรียนทางโทรศัพท์กับอาจารย์เก่ง ๆ หลายคน หลายสำเนียง ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น และในระหว่างนั้นผมก็ไปเรียน AUA ต่อด้วย ใช้เวลาอีกหลายเดือนอยู่นะครับ เรียกได้ว่าฝึกฝนภาษาอังกฤษกันอย่างเข้มข้นทีเดียวผมตั้งใจไปทดสอบภาษาอังกฤษอีกครั้งด้วยความมั่นใจและความพร้อมที่มีมากขึ้นกว่าเดิม ปรากฏว่าผมผ่านฉลุยครับ ผมเลยได้ใบผ่านการรับรองมาจากบริษัททดสอบภาษาอังกฤษตามที่เล่าให้ฟังตอนต้น ก็เลยได้เวลาส่งใบใบรับรองไปยังบริษัทจัดหางานตัวแทนของบริษัทเรือสำราญยักษ์ใหญ่ที่ผมต้องการไปทำงาน บริษัทจัดหางานเรียกผมไปสัมภาษณ์อีกครั้ง ผมพกความมั่นใจมาสัมภาษณ์อีกคร้ง พร้อมกับกลับมานอนรอคำตอบ อย่างทรมานใจ เพราะผมเองตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษมาหลายเดือน ประกอบกับผมสมัครกับบริษัทจัดหางานเพียงบริษัทเดียว เลยเกิดความคาดหวังอย่างรุนแรง และทรมานในการรอคอยเป็นอย่างมาก เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน แล้วสิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง จู่ ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่จากบริษัทจัดหางานโทรมาบอกว่า ผมได้ทำงานแล้วครับ ในตำแหน่ง Utility Bar Steward ครับ โดยทำงานกับเรือสำราญที่ชื่อ Sea Princess สังกัด Princess Cruise เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเรือสำราญ โดยมีเรือในสังกัด วิ่งรอบโลก อยู่ 15 ลำ ตำแหน่งงานที่ว่าผมต้องไปทำหน้าที่อะไรบ้างผมยังไม่รู้เลยครับ เอาเป็นว่า ฝันของผมเป็นจริงแล้วครับ ต้องขอบคุณคุณภรรยาผมที่เป็นแรงบัลดาลใจ (จริงๆ แล้วเธอออกแรงทั้งผลักทั้งถีบอย่างแรงต่างหาก) ทำให้ฝันที่ผมไม่คิดว่าจะเอื้อมถึง เป็นจริงแล้ววันนั้น มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของเรื่องสนุก ๆ ที่ผมจะเล่าให้คุณติดตามตอนต่อไปครับ