โรงเตี๊ยมจอมยุทธเนียร(ปาตี)
Group Blog
 
All Blogs
 
ลานฝึกวิทยายุทธ

สวัสดีเพื่อนๆ ทั้งขาประจำและขาจรนะครับ หน้านี้เจ้าของบล็อกสร้างขึ้นมาเพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยน แนะนำกลเม็ดเด็จพรายสำหรับการเขียนนิยายโดยเฉพาะ เพื่อนๆ คนไหนสนใจในการเขียนเหมือนกันก็แวะเวียนมาทักทายกันได้นะครับ


Create Date : 23 กรกฎาคม 2552
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 20:19:11 น. 76 comments
Counter : 391 Pageviews.

 
เริ่มต้นเขียนนิยาย

สำหรับผู้ที่มีความใฝ่ฝัน อยากเขียนนิยาย ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกัน คือการเป็นผู้อ่านมาก่อน แน่นอนว่าเมื่ออ่านจนมากพอ ในวันหนึ่งจจะเกิดความรู้สึกอยากเป็นผู้เขียนขึ้นมาบ้าง

ปัญหาสำหรับผู้ที่อยากเป็นนักเขียนคือ
จะเขียนอะไรดี...เพราะสิ่งที่คิดได้อาจจะมีลักษณะเป็นส่วนๆ เช่นว่า อยากให้พระเอกนางเอกเจอกันแบบนั้น ทะเลาะกันเรื่องนี้ แล้วเป็นอย่างนั้น แต่เหตุการณ์แต่ละฉากที่เราคิดมิได้สอดคล้องกัน หรือเมื่อนำมาร้อยต่อกันเป็นเรื่อง ก็ไม่สมเหตุสมผลกัน...พอเจอทางตันก็เลิกเขียนเอาดื้อๆ

นิยายเรื่องแรก อะไรๆ ก็จะใส่ไปจนหมด...อันนี้ถือเป็นความโลภของนักเขียนที่อันนู้นก็อยากเขียน อันนี้ก็อยากเล่า แต่มันไม่กลมกลืนกัน เขียนไปเขียนมา มันชักแหม่งๆ...เลิกเขียนดีกว่า

เรื่องแรกไฟแรงจัด...นึกอะไรได้ก็เขียนไปทันที ไม่ได้วางพล็อตเสียก่อน เขียนไปเขียนมาไปต่อไม่ได้ หรือเขียนไปเขียนมาเกิดนึกเรื่องใหม่ได้อีก ก็เขียนอีก เลยไม่มีเรื่องไหนจบสักเรื่อง

เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาแรกๆ ที่มักเจอ ซึ่งยังไม่พูดถึงวิธีการเล่า การบรรยาย วรรณศิลป์ ซึ่งถือเป็นลำดับต่อไป จะเห็นได้ว่าอุปสรรคแรกๆ ของการเป็นนักเขียนก็คือตัวผู้เขียนเอง ฉะนั้น หากมีใครจะถามว่า นิยายเรื่องแรกควรเขียนอย่างไรดี...ผมเองจะตอบว่า เขียนมาเถอะ แต่เขียนให้จบ...เพราะหากสามารถเขียนได้จนจบเรื่อง แสดงว่าเรามีคุณสมบัติและมีแนวโน้มที่ดีในการจะก้าวสู่การเขียนเป็นอาชีพต่อไป

อย่าคาดหวังกับการเขียนนิยายเรื่องแรก เพราะคนเขียนเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการเขียนในลักษณะนี้ และยังไม่รู้ว่าตนเองมีข้อเด่น ข้อด้อยตรงไหน นิยายเรื่องแรกที่เขียนจนจบจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของเราเอง ว่าเรามีทุนเดิมอยู่เท่าไหร่ และเราต้องแสวงหาสิ่งใดเพิ่มเติมอีกบ้าง

คนมีฝัน คนมีไฟ อย่าเพิ่งท้อนะครับ...นิยายเรื่องแรกของคุณ เขียนจบหรือยัง


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.129 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:46:33 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ครับ คุณเนียรปาตี

ถามว่าเขียนจบหรือยัง

ตอบได้เลยว่า...ยัง

เขียนมา 5 วันแล้วยังไปได้แค่ 1 หน้ากับอีก 5 บรรทัด


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.43.52 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:37:37 น.  

 
ตอนนี้ผมกำลังหัดเขียนแนวรักน่ะครับ

เป็นความรักของคนสามคนที่ก่อเกิดขึ้นจากคำสัญญา

คนแรก...รอคอยคำสัญญาจากคนรักที่ให้ไว้ แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วนานแสนนาน

คนที่สอง...ได้รับความเจ็บปวดจากคำสัญญาจนคิดว่าชีวิตไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว

คนที่สาม...ความรักกำลังเดินทางใกล้ถึงบทสรุปหากฟ้าไม่พรากเธอไปเสียก่อน สิ่งเดียวที่เขาสามารถมอบให้แก่เธอเป็นครั้งสุดท้ายคือความรักที่มีเต็มหัวใจ และคำสัญญาว่า จะรักเธอคนเดียวตลอดไป

นี่แหละครับแนวคิดของเรื่องผม

วิจารณ์หน่อยครับเป็นไง


โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:08:21 น.  

 
ที่มาของนามปากกาของคุณเนียรมีที่มาอย่างไรครับ

และมีความหมายว่าน้ำผู้ยิ่งใหญ่หรือเปล่า เพราะ

เนียรแปลว่า น้ำ

ปาตีแปลว่า ผู้เป็นใหญ่


โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:57:45 น.  

 
ก่อนอื่นต้องขอโทษครับที่ข้อความของผมกินเนื้อที่หน้าของบล๊อกคุณเนียรไปเยอะมาก

ผมได้ทดลองลงบทนำของเรื่องไปแล้วครับ (ยังเขียนได้แค่นี้) ยังไงช่วยเข้าไปอ่านวิจารณ์หน่อยนะครับ แล้วจะมีบทต่อไปตามมาอาจนานหน่อย เพราะผมเพิ่วหัดเขียน

ขอบคุณมากครับ

นอนหลับฝันดีนะครับ

ปล. นี่ครับลิงค์ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8121000/W8121000.html


โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:37:58 น.  

 
สวัสดีคุณดาราสมุทรครับ
เรื่องพื้นที่ ไม่ต้องเกรงใจครับ ถาม-ตอบันได้เต็มที่ สั้นยาวแค่ไหนไม่ว่ากันครับ

นามปากกา "เนียรปาตี" ผมไม่ทราบความหมายที่แท้จริง เนียรปาตีเป็นชื่อเพลงไทยสมัยอยุธยา ผมพบเข้าโดยบังเอิญขณะหาข้อมูลเกี่ยวกับดนตรีไทยตอนเขียนเรื่องแป้งร่ำสารภีครับ เห็นว่าชื่อเพราะดี ก็เลยนำมาใช้เป็นนามปากกา ส่วนความหมายก็ตามที่คุณดาราสมุทรบอกไว้ เนียร-น้ำ ปาตี หรือ บดี - ผู้เป็นใหญ่ ผมเองก็ลองเดาเอาคร่าวๆ ครับ ว่าจะหมายถึงพญานาคหรือเปล่า หรือว่าพระนารายณ์ แต่ก็แค่เดาครับ ไม่สรุปแบบฟันธงเพราะไม่ทราบจริงๆ

ส่วนเพลงเนียรปาตีจจะมีเนื้อหาหรือทำนองอย่างใดนั้น ผมเองก็ไม่เคยได้ยินและยังคงหาโอกาสจะได้ยินสักครั้งให้ได้ครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.194 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:03:50 น.  

 
ผมได้เข้าไปอ่านเรื่อง "สัญญาบนผืนทราย" ที่คุณดาราสมุทรไปโพสไว้แล้วครับ

สำหรับแนวคิดของเรื่องที่คุณดาราสมุทรบอกมา คนทั้ง 3 คนที่เกี่ยวข้องกับความรักและคำสัญญานี้จะเกี่ยวโยงกันหรือเปล่าครับ แนวคิดของคุณตอนนี้เหมือนกับว่าจะเป็นเส้นทางความรักของแต่ละคนน่ะครับซึ่งน่าสนใจทีเดียว ที่แต่ละคนมีเส้นทางที่แตกต่างกัน แต่แนวคิดต้องสรุปรวบยอดกว่านี้อีกนิดครับ เช่นว่า ความรักของคนสามคนที่เกิดขึ้นจากคำสัญญา...คิดต่อว่า แล้วจะเป็นยังไง? ผู้เขียนกำลังจะบอกว่า ความรักที่แท้จริง ไม่ต้องมีคำสัญญาก็ได้ หรือ ความรักของเราจะยืนยัยมั่นคงด้วยคำสัญญา หรือ เพราะคำสัญญาจึงเป็นอุปสรรคแห่งรัก ฯลฯ อะไรทำนองนี้น่ะครับ แล้วหาคำตอบในใจผู้เขียนเสียก่อนว่า สุดท้ายแล้ว สัญญาความรักนี้ ดีหรือไม่ดี คนที่ผิดคำสัญญาเป็นอย่างไร ความทุกข์ทรมานของคนที่ต้องยึดติดกับสัญญานั้นเป็นอย่างไร...จะช่วยให้การเขียนเรื่องง่ายขึ้นครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.194 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:11:56 น.  

 
ในส่วนบทนำนั้น สำหรับผมเองถือว่าสั้นไปนิด แต่บทนำอาจจะสั้นหรือยาวก็ได้แล้วแต่ผู้เขียน (อาจจะสั้นกว่าของคุณดาราสมุทรก็ได้) สำคัญที่ว่าบทนนั้นจะต้องเร้าความสนใจ กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ความอยากติดตามของผู้อ่านให้พลิกเปิดหน้าต่อไป บทนำที่ดีเหมือนกับการเริ่มต้นที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่งนั่นแหละครับ หาอ่านแล้วเห็นว่าไม่น่าสนใจ ผู้อ่าน (รวมทั้งบรรณาธิการ) ก็จะเลิกสนใจเพียงเท่านั้น

บทนำควรปูเรื่องคร่าวๆ ของเรื่องทั้งหมด อาจเปิดเรื่องด้วยตอนจบ แล้วเล่าย้อนกลับไป หากเป็นแนวสืบสวนซ่อนเงื่อน มักเปิดด้วยปริศนาที่ตัวเอกต้องแก้ไข เช่น เกิดการฆาตรกรรม ตัวเอกจะต้องสืบหาความจริงให้ได้ บทนำก็อาจจะเป็นการบรรยายสภาพของผู้ตาย สภาพแวดล้อม ความคิดของตัวละครเอกที่จะมาแก้ไขปริศนา แล้วจบท้ายบทนำด้วยการเสนอว่าตัวเอกในเรื่อง็ยังคิดไม่ตกว่าจะแก้ปริศนานี้ได้อย่างไร...ซึ่งก็จะทำให้ผู้อ่านได้คิดตามไปด้วย ลุ้นไปกับการหาความจริง หาฆาตรกรตัวจริง

สำหรับเรื่องแนวรักๆ ที่คุณดาราสมุทรกำลังเขียนอยู่นั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นพี่เรียดทั้งเรื่องหรือเปล่า หรือว่าจะมีเหตุการณ์เกี่ยวเนื่องมาถึงปัจจุบัน และหรือเป็นลักษณะที่มีอภินิหารหรือเปล่า เช่น การย้อนเวลา การระลึกชาติ เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ผมขอใช้บทนำของคุณเเป็นตัวอย่างเลยนะครับ

เหตุการณ์ที่ยกมานั้น มีอยู่ 2 ช่วง ซึ่งผมเองไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันหรือเปล่า หรือว่าเหตุการณ์ริมชายหาดเป็นความฝัน และเหตุการณ์ที่สองในห้องคือความจริง
และในเมื่อชื่อเรื่องว่า สัญญาบนผืนทราย แสดงว่าเรื่องนี้จะต้องให้ความสำคัญกับ "สัญญา" อะไรสักอย่างอย่างแน่นอน ซึ่งคุณดาราสมุทรน่าจะปูพื้นให้ผู้อ่านอีกสักหน่อย ว่าเพราะเหตุใด พรต และ นวลอนงค์ จึงต้องสัญญากัน และหรือบอกผู้อ่านว่า นวลอนงค์ต้องประสบชะตากรรมอย่างไรจากคำสัญญาของพรต จะทำให้ผู้อ่านอยาติดตามมากกว่า ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ซึ่งค่อยเก็บไปเล่าในบทต่อๆ ไป...ลักษณะบทนำของคุณดาราสมุทรยังค่อนข้างมีลักษณะเรื่อยๆ มาเรียงๆ น่ะครับ คือยังไม่บอกชัดถึงเนื้อหาหลักของเรื่องเท่าไหร่

ในส่วนของการบรรยาย อันนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนครับ ต้องเป็นที่สังเกตสิ่งรอบตัวมาก และรู้จักคำเยอะ จะช่วยได้มากตอนที่เขียนบรรยายครับ แรกๆ อาจจะมีสะดุดอยู่บ้าง แต่ถ้าเขียนบ่อยเข้าภาษาจะลื่นไหล และตรงความหมายมากขึ้นครับ

ขออนุญาตนำส่วนแรกของคุณดาราสมุทรมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้เห็นความต่างนะครับ (ขอได้โปรดอย่างถือว่าเป็นการอวดอ้างตัวเองนะครับ)

ดวงตะวันลับผืนน้ำไปแล้ว ทว่ายังคงเหลือแสงอาบไล้ท้องฟ้าสีทองอำไพ เกลียวคลื่นกระทบหาดทรายสีขาวละเอียดดังแว่วสู่โสตประสาทเป็นจังหวะแข่งกับเสียงร้องของจักจั่นทะเลบนยอดสนอันเรียงรายทอดยาวเลียบชายหาด สองร่างใต้ร่มไม้ต้นหูกวางเหม่อมองแสงสุดท้ายของวันกำลังจางลงช้าๆ เผยให้เห็นดวงเดือนวันเพ็ญส่องแสงนวลผ่องแอร่มตา

ผมจะลองแก้เป็น....
ตะวันดวงกลมสีแดงคล้อยลงจนลับหายไปกับผืนทะเลไปหลายนาทีแล้ว แต่ยังทิ้งแสงสีแทองอมส้มฉาบไล้ผิวน้ำให้ส่งแสงระยิบพรายคล้ายกับมีละอองทองโปรย เกลียงคลื่นสีขาวซัดเข้ามาเป็นระลอก กระทบหาดทรายสีขาวที่เม็ดทรายละเอียดนุ่มเหมือนแป้ง แข่งกับเสียงจักจั่นทะเลและลมพัดยอดสนซึ่งปลูกเป็นแนวยาวตลอดชายหาด ทำให้บรรยากาศรอบด้านน่าอภิรมณ์ยิ่งขึ้น หนุ่มสามคู่หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นหูกวางที่แผ่ใบกว้างตั้งแต่อาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ จนบัดนี้ ม่านราตรีคลี่คลุม ริ้วสีส้มที่ขอบฟ้านั้นหายไปแล้ว ท้องทะเลกลับเป็นสีคราวเช่นเดียวกับผืนฟ้าที่เหมือนผ้ากมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม โปรยปรายด้วยเกล็ดดาวน้อยใหญ่ หากคงไม่มีอะไรสวยงามเท่าพระจันทร์ในคืนนี้ สตรีผู้นั่งอยู่ในอ้อมอกของชายหนุ่มใต้ร่มหูกวางจึงอดชี้ชวนไม่ได้ว่า "คืนนี้พระจันทร์สวยจังค่ะ"

ที่ผมลองปรับดูเป็นแนวทางการเขียนของผมน่ะครับ ขอย้ำว่า ไม่มีผิด ไม่มีถูก ขอให้สู้ต้อไปครับ เป็นกำลังใจให้คุณดาราสมุทร ให้กำลังใจตัวเองด้วยนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.194 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:43:36 น.  

 
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำที่ดี

ส่วนในเรื่องบทนำผมเห็นด้วยที่ว่าเรื่อยๆ ไปหน่อย แต่จะขอเล่ารายละเอียดของนวลอนงค์ในบทต่อไปแล้วกัน เพราะนวลอนงค์เป็นตัวแปรของเรื่องที่ทำให้นางเอก....

ไม่ขอบอกก่อนนะครับ

ต้องขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำแ นะนำดีๆ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.84.153 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:58:00 น.  

 
อีกอย่างครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัจจุบันทั้งเรื่องครับ แต่จะมีบางส่วนเล่าเท้าความไปถึงอดีตว่าเหตุใดปัจจุบันคนทั้งสามถึงมีทางเดินเช่นนี้

ขอบคุณอีกครั้งครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.84.153 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:04:52 น.  

 
อยากให้คุณเนียรช่วยเล่าเส้นทางการเป็นนักเขียนให้ฟังหน่อยครับ

แล้วคณเนียรมีวิธีฝึกฝนอย่างไรครับ

คุณเนียรแต่นิยายไปแล้วเสร็จทั้งหมดกี่เรื่องเหรอครับ ทั้งที่ตีพิพ์แล้ว และยังไม่ตีพิมพ์


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.37.7 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:53:56 น.  

 
คุณเนียรแต่งนิยายแล้วเสร็จทั้งหมดกี่เรื่องเหรอครับ ทั้งที่ตีพิพ์แล้ว และยังไม่ตีพิมพ์




โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.37.7 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:56:19 น.  

 
สำหรับเส้นทางการเป็นนักเขียน ก็เริ่มมาจาการการเป็นนักอ่านมาตั้งแต่เด็กครับ จะชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะวรรณคดีไทย เลยได้ต้นทุนเรื่องภาษามาด้วยเพิ่มเติม เมื่อก่อนยังอ่านนิยายน้อยมากครับ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งรู้สึกอยากจะลองเขียบนดูบ้าง ก็หยิบกระดาษขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ไปตามเรื่อง แต่ก็ได้เป็นเหตุการณ์ เป็นอารมณ์ ที่นึกออกในขณะนั้น เขียนเสร็จก็ไม่รู้ว่าเริ่มต้นมันไปยังไงมายังไง พูดง่ายๆ ก็คือ เขียนทิ้งเขียนขว้างไปก็เยอะครับ

เคยเขียนเรื่องสั้นส่งนิตยสารรายปักษ์ฉบับหนึ่ง ผลปรากฎว่า...ไม่ผ่าน เสียความมั่นใจไปพอสมควร แต่ช่วงนั้นได้งานทำพอดีก็เลยกู้ความรูสึกคืนมาได้เร็ว งานที่ทำอยู่กองบรรณาธิการนิตยสารท่องเที่ยวภาษาอังกฤษ ก็เขียนบทความเชิงท่องเที่ยวประมาณหนึ่งปีก็ลาออกเพื่อเรียนต่อ

ช่วงระหว่างที่ออกจากงานประจำ มีโครงการถนนสู่ดวงดาว ชิงรางวัลทมยันตีอะวอร์ด ก็เลยคิดว่าอยากจะลองส่งดู เพราะก็เคยหยบปากกามาเขียนเรื่องราวบ้าง แต่ไม่จบเลยสักเรื่อง...เรื่องกลิ่นกาสะลองที่เขียนค้างไว้ ทีแรกกะว่าจะเอามาปัดฝุ่น แต่ระยะเวลาที่เหลือสำหรับส่งประกวดมันต้องไม่ทันแน่ๆ ก็เลยเขียนเรื่องใหม่ที่พล็อตเล็กกว่า เลยตัดสินใจเขียนเรื่อง...แป้งร่ำสารภี...ช่วงนั้นเขียนทุกวันครับ เพราะว่าง ตรวจทานไปประมาณ 3 รอบ...เฮ้อ ยังเจอที่สะกดผิดตั้งหลายจุด

หลังจากส่งประกวดแล้วก็รอประกาศผล ได้เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย และได้เป็น 1 ใน 5 เรื่องที่ได้รับรางวัลทมยันตีอะวอร์ด

ตอนที่รอประกาศผล รู้สึกภูมิใจกับตัวเองมาก ที่สามารถเขียนนิยายได้จนจบเรื่อง ก็เลยเขียนเรื่องใหม่ต่อทันที ยังไม่รู้หรอกว่าจะได้เข้ารอบไหม แต่ไฟมันติดแล้ว มันอยากเขียน ก็เขียนไป พอได้รางวัลที่ประกวดมันก็เลยปลื้มใจ และใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อยว่าจะมีสำนักพิมพ์ที่จะพิจารณาต้นฉบับ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เขียนนิยายมาโดยตลอด ทำอะไรก็มันจะนึกถึงเรื่องที่กำลังเขียนอยู่เสมอ พยายามเขียนให้ได้ทุกวัน วันละ 2-3 หน้า แต่ตอนนี้มีวิทยานิพนธ์ต้องเขียน ก็เลยต้องแบ่งเวลา เขียนนิยายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์

ผลงานที่ตีพิมพ์แล้ว ตามลำดับ คือ แป้งร่ำสารภี หมอกพรางดาว กลิ่นกาสะลอง ฝากรักไว้ที่ปรายฝน เวิ้งราตรี รวมทั้งหมด 5 เรื่องครับ
ปัจจุบันกำลังเขียนต้นฉบับเรื่อง...เรือนไม้หอม คาดว่าจะเสร็จสิ้นเดือนสิงหาคมนี้
เรื่องที่เขียนจบเป็นเรื่องแรกในชีวิต แต่ยังไม่คิดเอามาปัดฝุ่นเลยก็คือเรื่อง "ชีวิตหมง" หยิบมาอ่านทีไรก็หัวเราะแล้วจะมีคำพูดนี้ดังขึ้นทุกที...นี่เราเขียนอะไรไปนี่ โอ้..ไม่น่าเชื่อ น่าอายจริงๆ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.141 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:48:29 น.  

 
สำหรับการฝึกฝนก็คือ เขียนบ่อยๆ และอ่านมากๆ
เขียนจบแล้วลองทบทวนดูหลายๆ รอบ ว่าครบถ้วนตามที่เราต้องการจะเล่าหรือยัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมเองก็ไม่ได้รู้มาตั้งแต่ต้นหรอกครับ แต่จากการทำงานในแต่ละเรื่อง ระหว่างเขียน เราจะเจอปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ให้เราแก้อยู่เสมอ บางครั้งก็พยายามแก้ด้วยตนเอง บางครั้งก็ลองหาดูตัวอย่างของนักเขียนเก่งๆ ก็จะทำให้การทำงานลุล่วงไปได้ (แต่มิใช่ลอกงานใครนะครับ อันนี้ไม่ควรเด็ดขาด)

ถ้าคุณดาราสมุทรมีปัญหาช่วงไหน ก็ลองมาคุยกัน แนะนำกันเป็นเรื่องๆ ไปดีกว่านะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.141 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:54:08 น.  

 
ยากให้คุณเนียรช่วยพิจารณาประโยคนี้ให้หน่อยครับว่าดีแล้วยังหรือสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้

ร้านอาหารเจ้าประจำวันนี้แน่นขนัดกว่าปกติ โต๊ะทุกตัวในร้านถูกจับจองด้วยกลุ่มเด็กสาววัยมัธยม เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังแข่งกันไม่ขาดปากทำให้ภายในร้านไม่ต่างไปจากตลาดสด เท่านั้นยังไม่พอ กลุ่มเด็กวัยรุ่นบางคนมาทีหลังไม่มีที่นั่งจึงยืนเบียดเสียดยัดเยียดกันบนพื้นที่ว่างอันน้อยนิดของร้าน ผลักไสกันไปมาเป็นที่ชุลมุนวุ่นวาย เจ้าของร้านจ้องมองอยู่นาน ในที่สุดทนไม่ไหวจัดการเชิญเด็กบางกลุ่มออกจากร้านเพื่อความสงบเรียบร้อย สร้างความไม่พอใจแก่คนเหล่านั้นเป็นอย่างมาก

ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดีๆ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.16.9 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:07:58 น.  

 
พอจะนึกออกถึงความชุลมุนภายในร้านอาหารร้านนี้นะครับ ถือว่าดีครับ มีคำบางคำที่อาจจะสะดุดไปบ้าง ถ้าใช้ให้ถูกความหมายจริงๆ หรือคำที่สื่อได้ตรงจริงๆ บรรยากาศจะสนุกกว่านี้มาก

กลุ่มเด็กสาววัยมัธยม...บอกไปเลยครับ ว่ามัธยมต้น หรือ ปลาย เพราะสองช่วงอายุนี้ก็ต่างกันพอสมควร

เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว...น่าจะเปลี่ยนเป็น โหวกเหวก เพราะคุณได้ขยายตอนท้ายว่าเสียงดังเหมือนตลาดสด การพูดเจื้อยแจ้วมักจะเป็นการพูดเรื่อยๆ โดยคนคนเดียว...ขยายเพิ่มเป็น เสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ จะชุลมุนมากขึ้นครับ

ผลักไส...ใช้แค่ ผลัก ก็พอครับ เพราะผลักไส คือการปัดออกไปให้พ้นตัว ในทำนองว่าไม่เอาธุระกันแล้ว แต่ในที่นี้มันคือการผลักกันไปมาเพื่อให้มีที่ยืน

เจ้าของร้านจ้องมองอยู่นาน...ลองเปลี่ยนเป็น...เจ้าของร้านอดทดทนอยู่นานด้วยความเอือมระอาจนกระทั่งทนไม่ไหว...แสดงอารมณ์ของเจ้าของร้านได้ชัดเจนขึ้นไหมครับ

ลองพิจารณาดูน่ะครับ คำบางคำ ถ้าใช้ให้ถูกความหมาย เวลาอ่านแล้วจะไม่สะดุดครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.183 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:26:44 น.  

 
ขอบคุณมากๆ ครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.73.69 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:43:46 น.  

 
อยากถามคุณเนียรหน่อยครับว่า

ฝีมือแบบผมพอเป็นนักเขียนได้หรือเปล่า

เอาแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.73.69 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:07:22 น.  

 
ถ้าผมจะเป็นนักเขียน ผมควรเลือเรียนคณะใดในระดับมหาวิทยาลัยครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.73.69 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:35:44 น.  

 
ยินดีสำหรับคำแนะนำครับ
ฝีมืออย่างคุณดาราสมุทร...เป็นนักเขียนได้ครับ...แต่ทุกคนต้องมีการพัฒนา ทั้งเรื่องการเขียนและวิธีคิด การเริ่มต้นที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ถ้ามีใจรักที่จะเขียนหนังสือ ก็เขียนต่อเถอะครับ อย่าท้อเลย ว่าเราจะได้ทำได้หรือไม่ เป็นกำลังใจ และเอาใจช่วยครับ

คำถามสุดท้าย...ทำให้เดาว่าคุณดาราสมุทรกำลังจะสอบเอนทรานซ์ในปีนี้ใช่หรือเปล่าครับ...สำหรับการเป็นนักเขียน อาศัยที่ใจรักเป็นพื้นฐานครับ ดังนั้นจะเลือกเรียนคณะไหนก็ได้ครับ เพราะนักเขียนหลายๆ ท่านที่รู้จักกันก็มีหลากหลายอาชีพ เช่น หมอ วิศวกร แอร์โฮสเตส อาจารย์ นักกายภาพบำบัด ฯลฯ ส่วนตัวผมเองจบมาทางด้านสื่อสารมวลชนครับ ที่ยกตัวอย่างมาก็เพื่อให้เห็นว่า การเขียนสามารถฝึกฝนได้เองครับ เพราะถ้าเราต้องเขียนนิยายแล้ว จำเป็นอยู่มาก ที่จะต้องสร้างตัวละครที่แตกต่างกันไปตามสาขาอาชีพ ถ้าเรารู้ลึกในแต่ละอาชีพก็จะช่วยได้มากครับ

แต่ถ้าหากคุณดาราสมุทรมุ่งมั่นอยากเรียนเพื่อจะเขียนนิยาย คณะที่เหมาะสมน่าจะเป็นทางด้านอักษรศาสตร์ครับ เพราะจะเน้นหนักปในด้านการใช้ภาษา การววิเคราะห์วรรณกรรม อะไรทำนองนี้ รองลงมาก็จำพวกวารสารศาสตร์ จะเข้าใจเรื่องของสิ่งพิมพ์มากขึ้น...ผมเองเรียนสื่อสารมวลชนก็จริง แต่เรียนมาทางด้านผลิตรายการโทรทัศน์ แต่ก็มาเอาดีทางด้านงานเขียน

ตัดสินใจอย่างไรก็บอกกล่าวกันบ้างนะครับ
ที่สำคัญ อย่าล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักเขียนนะครับ บางคนกว่าจะได้พิมพ์หนังสือเล่มแรกก็ปาเข้าไป 50 แล้ว แต่มันก็เป็นความสุขที่สุดของคนเขียนหนังสือไม่ใช่เหรอครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.152 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:49:09 น.  

 
ใช่ครับ

ความสุขของคนอยากเขียน คือการได้เขียนมันออกมา

ขอบคุณมากครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.129.138 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:06:56 น.  

 
ผมขอตอบจริงๆเลยนะครับ

ตอนนี้ผมอยู่แค่ม.2เอง ที่ถามเรื่องคณะเพราะผมไม่แน่ใจว่าจะเรียนสายไหนแล้วช่วยเสริมกับอาชีพที่เป็นนี้

ผมเกรดถืออยู่ในเกณฑ์ดี การเรียนใช้ได้ (3.82) สามารถเรียนสายวิทย์ได้ แต่อีกใจก็อยากเรียนสายศิลป์ ฝรั่งเศษ

ถามเพื่อเป็นแนวทางครับ เพราะดนตรีก็ชอบ วิทยาศาสตร์ก็ชอบ นักเขียนก็ชอบ ชอบไปหมดทุกอย่าง

แต่ชอบการเป็นนักเขียนที่สุด


ขอบคุณมากครับที่ให้คำปรึกษา ไม่รู้ว่าเป็นการรบกวนคุณเนียรมากไปหรือเปล่า

ถ้ารบกวนบอกได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.129.138 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:23:35 น.  

 
ผมอาจจะไม่ได้เข้าบล๊อกคุณสัก สี่ สาม หรือ หา้ วันนะครับเพราะช่วงนี้งานเงอะจริงๆ ทั้งสอบย่อยเก็บคะแนน นำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ ซ้อมวิ่ง กีฬาสี ซ้อมดนตรีไ ทยเตรียมแข่งเดือนหน้า โอ้พระเจ้า ทำไมมันเยอะขนาดนี้


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.129.138 วันที่: 27 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:18:53 น.  

 
ถ้างานเยอะก็ไม่เป็นไรครับ วันไหนว่างๆ ก็แวะมาทักทายกัน ดูๆ แล้วคุณดาราสมุทรเป็นนักกิจกรรมตัวยงเลยนะครับ (ขออนุญาตเรียก "น้อง" ได้ไหม จะได้ดูสนิทสนมขึ้น) เมื่อก่อนผมก็เป็นเเหมือนกันครับ ช่วยเพื่อนทำโครงงานวิทยาศาสตร์...ย้ำว่าช่วยเพื่อน เพราะตัวเองเรียนแผนกศิลป์ฝรั่งเศส เป็นคณะกกรมการนักเรียน อยู่วงดนตรีไทย...เคยเล่นวงใหญ่ในงานดนตรีไทยมัธยมศึกษาครั้งนึงนานมาแล้ว ไม่ทราบว่าคุณดาราสมุทรเล่นเครื่องดนตรีอะไรครับ ผมเล่นจะเข้...เพลงที่ชอบเล่นที่สุดคือ สุโขทัย ม่านมงคล แล้วก็นางครวญ

กิจกรรมเยอะ อย่าลืมเรื่องการเรียนด้วยนะครับ สำคัญที่สุด..สุขภาพต้องพร้อมสำหรับทุกกิจกรรมครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.249.180 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:33:54 น.  

 
ผมเล่นได้ทั้ง ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ซออู้ ซอด้วง ขิม แต่เอาถนัดที่สุด คือ ซออู้

ที่เล่นได้หลายอย่าง เพราะใช้วิธีเพื่อนสอนเพื่อนน่ะครับ ก็เลยเล่นได้หลายอย่าง


ยินดีให้เรียกน้องได้ครับ

ไม่ใ่ช่นักกิจกรรมไรหรอกครับ อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ต้องรีบทำไว้ก่อน เดี๋ยวจะไม่มีโอกาส

ส่วนเรื่องวิ่ง ไม่ถนัดเลยแต่ต้องวิ่งเพราะไม่อยากเป็นกองเชียร์

การเรียนไม่ลืมหรอกครับ จำขึ้นสมองเลย เพราะกลัวสอบตก

คุณเนียรได้อ่านเรื่องชิงชังของคุณจุฬามณี ที่ผ่านเข้ารอบมาพร้อมกับคุณเนียรน่ะครับ ถ้าอ่านแล้วสนุกหรือเปล่า เมื่อคืนได้ดูตัวอย่างละครเรื่องชิงชังแล้ว ข้มข้นดีจัง


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.181.90 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:53:18 น.  

 
ได้อ่านครับ ตั้งแต่ช่วงที่หนังสือออกใหม่ๆ เห็นตัวอย่างละครแล้วก็น่าดูเหมือนกัน มีการปรับตัวละครนิดหน่อย แต่ก็เพื่อความเหมาะสมลงตัวในแต่ละสื่อน่ะครับ เป็นธรรมดาว่าละครคงไม่เหมือนกับในนิยายเป๊ะ แต่ก็ได้อรรรสไปคนละแบบครับ...ถ้าอยากพูดคุยกับคุณจุฬามณี เจ้าของบทประพันธ์ สามารถตามไปที่บล็อกนี้ได้ครับ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=julamanee

น้องดาราสมุทรเล่นดนตรีไทยได้เยอะจริงๆ ผมเองแรกฝึกขิม นิ้วไม่กระดก ซออู้พอเล่นเป็น ไล่นิ้วได้แต่ไม่พลิ้วเลย ระนาดไม่ต้องพูดถึง เพราะมือไม่สัมพันธ์กันเลย มาจบที่จะเข้นี่แหละครับ แต่ก็ได้มาหลายแผลทีเดียว...เห็นด้วยกับเหตุผลของน้องดาราสมุทรครับ ว่าช่วงที่พอจะมีเวลาได้ทำอะไรก็ที่ชอบก็ต้องรีบทำ เพราะผมเองตั้งแต่จบมัธยมปลาย จับจะเข้เล่นเพลงได้ไม่ถึง 5 ครั้งเลย เสียดายจริงๆ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.108 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:46:32 น.  

 
อ้อ...ลืมบอกไปครับว่า ทีแรกที่อ่านงานของน้องดาราสมุทรยังเฉยๆ นะครับ แต่พอน้องบอกว่าอยู่แค่ ม.2 เฮ้ย! ตกใจเลย ถ้า ม.2 เริ่มต้นได้ขนาดนี้นับว่าน้องมีแววมากๆ เลยล่ะครับ (เพราะทีแรกคิดว่าอายุคงไล่เลี่ยกัน) ที่สำคัญคือ ตอนผมอายุเท่านั้นยังไม่เขียนไม่ได้แบบนั้นเลยครับ อ่านหนังสือส่วนใหญ่ก็อ่านแต่วรรณคดี นิยายนี่เพิ่งจะมาแตะตอน ม.4 ม.5 นี่เองครับ ถ้าน้องดาราสมุทรมีเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างนี้แล้ว พี่ว่าพอน้องจับทางได้ น้องจะไปได้ไกลทีเดียวครับ

สำหรับเรื่องการเรียน เลือกแบบที่น้องชอบเถอะครับ ไม่ว่าจะเป็นสายวิทย์ หรือศิลป์ เพราะถึงตอนเขียนนิยาย เราสามารถนำความรู้นั้นมาเป็นข้อมูลในรเขียนได้ เพราะพี่ไม่แน่ใจว่าทางบ้านน้องบังคับหรือเปล่า ว่าจะต้องเรียนสาขาไหน...การเขียนนิยาย แม้จะมีหลักเกณฑ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ตายตัวเสมอไป นักเขียนจึงต้องหาเอกลักษณ์ให้ตัวเองด้วยการฝึกฝนและลองผิดลองถูกครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.108 วันที่: 28 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:11:29 น.  

 
ถ้า ม.2 เริ่มต้นได้ขนาดนี้นับว่าน้องมีแววมากๆ เลยล่ะครับ (เพราะทีแรกคิดว่าอายุคงไล่เลี่ยกัน)

พอจะถามหน่อยได้ไหมครับว่า คุณเนียรอายุเท่าไร


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.116.45 วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:25:03 น.  

 
ณ วันที่ตอบคำถามนี้ ก็ย่างเข้าสู่ปีที่สามสิบพอดิบพอดีครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.118 วันที่: 29 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:33:45 น.  

 
โห ถือว่าอายุไม่มาก

แล้วเรือนไม้หอมเขียนไปถึงไหนแล้วเหรอครับ

ไม่พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้จะไปหาซื้อเวิ้งราตรีมาอ่าน

ไม่รอแล้ว กาสะลอง

อยากถามคุณเนียรหน่อยครับว่า

เรามีวิธีิคิดอย่างไรถึงสามารถดึงอารมณ์ ณ ขณะนั้นของตัวละครออกมาเขียนได้อย่างลึกซึ้งได้

ขอบคุณมากครับ

ป.ล. สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะครับ

ตอนนี้เขียนยังไม่คืบหน้าเลย สมองตื้อไปหมด






โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 30 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:11:21 น.  

 
ไม่มีผู้จัดคนไหน ติดต่อคุณเนียรขอนิยายไปทำละครบ้างหรือครับ

แล้วคุณเนียรมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับกับการที่ซื้อลิขสิทธิ์แล้วนำมาดัดแปลง จนบางครั้งไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย


โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 30 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:20:04 น.  

 
สำหรับเรื่องละครนั้น ตั้งแต่การซื้อลิขสิทธิ์ก็มีอยู่หลายขั้นตอนครับ บางทีผู้จัดชอบเรื่องนี้ แต่ทางสถานีไม่เห็นด้วย ก็ไม่ได้เป็นละครครับ และนิยายของผมตอนนี้ ยังไม่มีเรื่องไหนเข้าตาผู้จัดครับ

ส่วนเรื่องการดัดแปลงบทประพันธ์นั้นย่อมมีอยู่แน่นอน เพราะว่าสื่อแต่ละชนิดมีข้อจำกัดต่างกัน และกลุ่มเป้าหมายผู้รับสื่อก็ไม่ใช่กลุ่มเดียวกันเสียทีเดียว ละครโทรทัศน์จึงต้องมีการดัดแปลงบางเพื่อให้เหมาะสมขึ้น สำหรับผมเองแล้ว งานเขียนไหนที่ผู้จัดเอาไปดัดแปลงน้อยที่สุด จัดว่าเป็นงานชิ้นเยี่ยมเลยล่ะครับ เพราะผู้จัดหาช่องทางจะดัดแปลงของเขาไม่เจอ

ถามถึงวิธีการดึงอารมณ์ของตัวละครในขณะนั้น ว่าผมทำอย่างไร ก่อนอื่นก็ต้องทบทวนดูว่า ภูมิหลังของตัวละครนั้นๆ เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่เวลาจะแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ออกมาจะได้ถูกต้องตามบุคลิก เช่นอารมณ์โกรธ บางคนพอโกรธก็จะโวยวาย แต่บางคนพอโกรธคือนิ่งกว่าที่เคยเป็น เป็นต้น

การเขียนบรรยายอารมณ์ตัวละคร เราก็ต้องรู้ถึงที่มาที่ไปล่ะครับ ว่าที่เขาเกิดอารมณ์เช่นนั้นขึ้นมาเพราะอะไร สมมติตัวเองเป็นตัวละครตัวนั้นว่า เขาควรจะแสดงออกอย่างไร แล้วบรรยายออกมา แต่แรกๆ เราอาจจะยังสมมติตัวเองเป็นตัวละครหลายๆ คนไม่ได้ ให้เริ่มฝึกด้วยการ...ลองคิดว่า...ถ้าเราเป็นตัวละครตัวนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร แบบนี้จะเป็นวิธีคิดแทนตัวละคร มีข้อด้อยตรงที่ว่า ถ้านักเขียนคิดได้ไม่มาก ไม่กว้าง ตัวละครทุกตัวจะแสดงอารมณ์ออกมาคล้ายๆ กันหมด ถ้าทำวิธีแรก จะยากหน่อย แต่ก็ได้ความแตกต่างของตัวละครมากกว่า

หลังจากที่รู้พื้นอารมณ์ ภูมิหลังตัวละคร ที่มาที่ไปของอารณ์นั้นๆ ก็เขียนออกมาเลยครับ ถ้าดีใจ ก็เขียนให้อ่านแล้วรู้สึกว่าได้กระโดดโลดเต้นไปกับตัวละคร ถ้าเสียใจ ก็บรรยายให้หม่นหมองเสียหน่อย แล้วแต่สถานการณ์ของเรื่องครับ
ยกตัวอย่างเช่น
หล่อนดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่ ถึงกับเอาประกาศนียบัตรใบนั้นวิ่งอวดเพื่อนทั่วห้อง พร้อมเล่าถึงรางวัลชนะเลิศที่ได้มานั้นอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

และอีกหนึ่งตัวอย่าง
เขารูดม่านหน้าต่างทุกบาน ปิดไฟทุกดวงในห้อง ขังตัวเองอยู่ในความมืด มีเพียเสียงเข็มนาฬิกาที่ดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นแล้ว ภายในห้องก็เหมือนถูกสะกดให้นิ่งงัน...นาน...ช้า ทว่ามั่นคงเสียเหลือเกินที่เขายกวัตถุโลหะในมือขึ้นจ่อขมับ เสียง ปัง! ดังขึ้นครั้งเดียว ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรอีกเลย นอกจากเข็มนาฬิกา

ลองพิจารณาแล้วทดลองเขียนดูนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.25.69 วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:28:17 น.  

 
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดีๆ

ซื้อมาเป็นสมบัติแล้วนะครับสำหรับ เวิ้งราตรี

หน้าปาก เจ้าหญิงงามสง่ามาก แต่ตินิดเดียว

ไม่ใช่ข้อเสียของคุณเนียร แต่ผมรู้สึกว่าหนังสือใหม่ๆ ของนักเขียนที่ไม่ใช่รุ่นเก๋า มักมีอักษรขนาดใหญ่ และกว้าง ผมอ่านแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายตาเท่าไหร่ (ไม่รู้เป็นอยู่คนเดียวหรือเปล่า) ถ้าอย่างขนาดอักษรแบบหนังสือของคุณทมยันตี กำลังดีเลยครับ สบายตา อ่านแล้วไม่ปวด


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.89.114 วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:50:33 น.  

 
ผมได้ทำการปรับปรุงในบทนำใหม่แล้วนะครับ

คุณเนียรช่วยวิจารณ์ แนะนำแบบละเอียดให้หน่อยนะครับ

//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8148961/W8148961.html


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.89.114 วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:27:29 น.  

 
พี่ได้เข้าไปอ่านแล้วนะครับ โอ้โห! เปลี่ยนใหม่มาเปิดฉากปัจจุบันเลย...แต่ดีครับ สนุกดี ภาษาลื่นไหลขึ้น แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเขียนจะอายุแค่นี้ มีคนเข้ามาอ่านแล้วคนหนึ่ง (ตอนที่ผมเข้าไปอ่าน) คงได้เห็นแล้วว่า บทนำสั้นไป

บทนำสั้นไป...มีอยู่ 2 อย่างครับ คือสั้นจริงๆ อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง กับ รู้สึกว่าสั้น เพราะอ่านแล้วอยากติดตามต่อ ค้างคาใจว่าจะเป็นแบบไหน อย่างที่น้องดาราสมุทรโพสมา พี่ถือว่าเป็นอย่างหลังครับ โดยเฉพาะประโยคหยอดปิดท้าย อืม...น่าสนใจทีเดียว

คำแนะนำสำหรับการโพสลงอินเตอร์เนตคือ น่าจะมีความยาวพอประมาณครับ สัก 3-5 ตอน เพราะหากทิ้งช่วงนานมาก คนอาจจะไม่อยากติดตาม แม้ว่าเรื่องของเราจะสนุกก็ตาม

ทีนี้ก็มาในส่วนคำแนะนำเรื่องการเขียน เนื้อหา ภาษา ไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้วครับ คำแนะนำนี้ก็เพื่อเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ แล้วกันนะครับ

ร้านอาหารเจ้าประจำ-ต้องขอยอมรับว่า จากการอ่านบทนำครั้งแรก จินตนาการไปว่าเป็นร้านข้าวมันไก่ หรือก๋วยเตี๋ยว อะไรทำนนองนี้ อ่านไปอ่านมา อ้อ...เป็นร้านที่มีระดับพอสมควร ลองอธิบายเพิ่ม ในเชิงเปรียบเทียบก็ได้ ว่าร้านนี้ปกติแล้ว เป็นมุมสบาย เงียบสงบขนาดไหน ซึ่งแตกต่างจากวันนี้ จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นครับ

นอกจากนี้แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรมาก ตรวจดูตัวสะกด อักษรกระโดด แล้วรีบเขียนต่อนะครับ อยากรู้แล้วว่าพราวฝันจะทำยังไงต่อไป


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.14 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:9:20:55 น.  

 
ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ

แต่เรื่องลงนิยายทางอินเตอร์เน็ตนั้นผมยกให้เฉพาะคุณเนียรคนเดียว เพราะในความคิดของผม

อ่านหนังสือจากกระดาษดีที่สุด


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.109.186 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:10:56:25 น.  

 
เวลาเขียนนิยาย คุณเนียรมีความรู้สึกเขียนไม่ออกไหมครับ

แบบว่านึกภาพในหัวออกแต่เขียนแล้วรู้สึกไม่ถูกใจ หรือไม่ดีพอ หรือไม่ออกเลย

ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดีๆ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.51.93 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:14:30:39 น.  

 
ผมเองก็ไค่อยติดตามนิยายในอินเตอร์เนตครับ เพราะอ่านนานๆ แล้วปวดตา แม้แต่เวลาทำงานก็เขียนใส่สมุดก่อน นำไปพิมพ์ แล้วปริ้นท์มาตรวจทานอีกครั้ง

ความรู้สึกเขียนไม่ออก เกิดขึ้นได้กับทุกคนครับ
1. เกิดจากการไม่คิดโครงเรื่องและเหตุการณ์ล่วงหน้ามาก่อน พอถึงจุดหนึ่งก็จะเขียนไม่ออก ไม่รู้จะให้เรื่องราวไปทางไหนดี ววิธีแก้ปัญหาก็คือ วางโครงเรื่องให้เสร็จเสียก่อน แล้วลำดับเหตุการณ์โดยละเอียด จะทำให้สามารถเขียนต่อได้แล้วเรื่องไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ตั้งใจไว้แต่แรกครับ

2. การเขียนไม่ออกอีกอย่างคือ มีภาพชัดเจนอยู่ในหัวแล้ว แต่ไม่สามารถบรรยายถ่ายทอดออกมาได้ ปัญหาอาจจะอยู่ที่ว่า ภาพที่เกิดขึ้นในหัวเรา ไม่สามารถเลือกใช้คำที่เหมาะสมที่จะบรรยายได้ตรงใจกับที่เราคิด อันนี้ต้องมีคลังคำเยอะๆ ครับ จะช่วยได้มาก ในการเลือกมาบรรยายภาพในความคิดของเรา ถ้าเป็นการบรรยายสถานที่ ก็ลองค่อยๆ ลำดับไปตามที่เรามองเห็นจากความเป็นจริง เราเดินเข้าห้อง เปิดประตู เห็นตู้ เห็นเตียง แต่ละอย่างลักษณะอย่างไร ก็บรรยายไล่ไปตามนั้น

ถ้าเป็นเหตุการณ์ ก็หาข้อสรุปให้ได้เสียก่อน ว่าเหตุการณ์ที่เรากำลังจะเขียนนั้น ต้องการจะเล่าเรื่องอะไรเป็นหลัก ประโยคหลักที่เราจะให้ตัวลละครสนทนากันคืออะไร แล้วประโยคแวดล้อมมันจะผุดขึ้นมาเองให้เราเลือกนำไปใช้ตามลำดับก่อนหลัง

หากเขียนออกมาแล้วรู้สึกว่ายังไม่ดีเท่าที่ควร ก็ให้พักไว้ก่อน อย่าไปดันทุรังเค้นจะเอาให้ได้ เพราะจะยื่งทำให้คิดไม่ออก พักสมองด้วยการเดินเล่น พักสายตา หรืออะไรก็ได้ ให้รู้สึกผ่อนคลาย เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง จะแก้ไขได้ง่ายขึ้นครับ เพราะภาพเดิมที่เราคิดไว้ยังอยู่ ซ้ำเรายังสามารถเติมเต็มได้ครบตามจินตนาการของเราด้วย

อ้อ...เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ของผมเวลาจะบรรยายความรู้สึกของตัวละคร ผมมักจะฟังเพลงที่มีความหมายไปในทางเดียวกัน เพราะในหนึ่งเพลง มักจะเล่าเรื่องเพียงเรื่องเดียว พูดถึงอารมณ์ความรู้สึก จะช่วยให้เข้าใจอารมณ์นั้นและได้คำที่ตรงใจด้วย


โดย: เนียรปาตี IP: 124.157.188.148 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:21:25:47 น.  

 
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำ

ขอรบกวนคุณเนียรช่วยพิจารณาประโยคนี้ให้หน่อยครับ


ภาพสนามเด็กเล่นอันพลุกพล่านไปด้วยเด็กน้อยวัยไม่เกินประถม จูงมือผู้เป็นพ่อ แม่ นำลิ่วไปยังเครื่องเล่นต่างๆ ด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจเมื่อบ่ายค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับแสงตะวันสีส้มเข้มจัดก่อนจางลงกลายเป็นความมืดมิด เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า...วังเวง...หนาวจับจิต

โซ่ชิงช้าลั่นเอี๊ยดยามเปลแกว่งไกวตามแรงลมเสียดลึกถึงขั้วหัวใจของเด็กน้อยซึ่งนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ใต้ม้าหิน ทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว แรงสะอื้นถาโถมเข้าใส่ไม่ลดละพร้อมสายน้ำไหลพรั่งพรูอาบแก้มนวลจากแววตาดวงน้อยอันเต็มล้นไปด้วยรอยหวาดผวา เสียงสะอึกสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่สั่นระริกไม่หยุด หากไม่มีใครได้ยิน

สนามเด็กเล่นมีแต่เธอผู้เดียว

สำหรับเด็กน้อยวัยเพิ่งลืมตาดูโลก คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่ายามราตรี ความมืดมิดอันดาษดาด้วยความเงียบสงัด หว้าเหว่ และไอเย็นวาบจากละอองน้ำค้าง เกินกว่าเด็กตัวเท่านี้จะทานทนไหว เด็กน้อยเหลียวดูรอบกายอย่างหวาดระแวง ไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าพ่อ แม่ของตนได้ย่างผ่านมาที่แห่งนี้ มีแต่ชิงช้า ม้าหมุน ไม้กระดก เครื่องเล่นอีกหลายชนิดที่เมื่อหลายชั่วโมงก่อนเธอมองมันด้วยความตื่นตา... เปรียบเหมือนเพื่อน

ทว่าตอนนี้เหมือนดังปีศาจที่กำลังแข่งกันร้องหวีดหวิวประดังเข้าใส่หูน้อยๆ ให้ด้านชา

“พ่อจ๋า แม่จ๋า อยู่ไหนกันหมด”

เด็กน้อยร้องเรียกหาเสียงสั่นเครือ หยาดน้ำตาเริ่มไหลอีกครั้งเมื่อนึกถึงวงหน้าของคนทั้งสองพร้อมรอยยิ้มละไมเกลื่อนใบหน้าอบอุ่น เธอคงไม่สั่นสะท้านเช่นนี้หากมีท่านทั้งสองอยู่เคียงใกล้

“พ่อจ๋า แม่จ๋า ลืมหนูแล้วเหรอ”

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนคล้ายกับว่าหยุดเดินเสียแล้วในความคิดของเด็กหญิงวัยเตาะแตะ และดูเหมือนว่าทุกสิ่งรอบข้างจะหยุดดำเนินเช่นเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว...ไม่มีเสียง...ไม่มีแม้ลม สภาวะเช่นนี้น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเป็นไหนๆ

“ทำไมมานั่นอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ”

เสียงเล็กใสดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่ทันคาดคิดทำให้เด็กน้อยลืมความหวาดกลัวไปชั่วขณะ หันขวับไปอย่างรวดเร็ว ภาพที่หวังจะได้เห็น นั่นคือ ผู้ที่ต้องการกอดมากที่สุด พ่อ...แม่

หากไม่ใช่ทั้งสองคน


ยังดีที่ได้ละอองแสงจากไฟส่องถนน ช่วยให้ความมืดกระจ่างขึ้นเล็กน้อยกลายเป็นความสลัวพอให้มองเห็นในระยะใกล้ แม้ไม่ชัดเจน แต่เด็กหญิงรู้ได้ทันทีว่าเป็นเด็กชาย อายุคงไล่เลี่ยกัน เพราะตัวไม่สูงจากตนเท่าไหร่ ผมสั้นกุดเกือบโล้นชี้เด่อยู่บนหัว ในแววตาไม่มีหวาดกลัวปรากฏให้เห็นสักนิด ออกจะเริงรื่นเสียด้วยซ้ำราวกับกำลังยืนอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน

เธอจ้องมองร่างเบื้องหน้าก้าวเข้ามาแล้วนั่งย่อเข่าให้สูงเสมอกัน ดวงตาที่ทอดจับมา มีความสงสัยเท่านั้นในแววตาเป็นประกาย ผิดกับเธอที่ทั้งจิตใจเอ่อล้นด้วยริ้วประหม่า พรั่นพรึง และหวาดกลัว แต่ก็คลายลงบ้างเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างกับประกายสุกใสในดวงตาของเด็กตรงหน้า

เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว







โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.95.191 วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:10:30:54 น.  

 
ที่น้องดาราสสมุทรโพสมา อ่านโดยรวมแล้วถือว่าโอเคครับ สำหรับการใช้ภาษาโดยรวม การเล่าเรื่อง และสื่อความหมาย รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จะแนะนำให้สังเกตมีดังนี้นะครับ

- โดยรวมแล้วเป็นการบรรยายความรู้สึกของเด็กผู้หญิง แต่อ่านไปอ่านมาบางทีรู้สึกว่าเป็นความรูสึกนึกคิดแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก...ลองทวนดูนะครับ

- สรรพนามที่ใช้เรียกเด็ก เด็กน้อย เด็กอายุไม่เกินวัยประถม เด็กเพิ่งลืมตาดูโลก เด็กหญิงวัยเตาะแตะ ทั้ง 4 อันนี้ สื่อความหมายใกล้กัน แต่ก็ต่างกันครับ เด็กเพิ่งลืมตาดูโลกจะเป็นช่วงทารก ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เด็กอายุไม่เกินวัยประถม ก็เป็นไปได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 10 กว่าปี พฤกติกรรมของเด็กจะแตกต่างกัน และเด็กหญิงวัยเตาะแตะ อายุจะอยู่ระหว่าง 1-3 ปี ทางที่ดี ควรบอกไปเลย ว่าอายุเท่าไหร่ ถ้าจไม่ระบุ ก็ควรประมาณเอาด้วยตัวเลข และสรรพนาม...เด็กน้อย...ที่คุณดาราสมุทรใช้มาแต่ต้น ไม่บอกเลยว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง มีแต่ตอนท้ายที่เด็กชายเปิดตัวออกมาถึงบอก

- เย็นวาบจากละอองน้ำค้าง...ใช้แค่ไอเย็นจากละอองน้ำค้างน่าจะพอ เพราะอาการ 'วาบ' จะเกิดขึ้นและหายไปในระยะเวลาสั้นๆ เช่นเวลาเอาน้ำแข็งมาแตะที่ผิว จะเย็นวาบ แต่ก็แค่ครั้งเดียว ในฉากที่บรรยายน่าจะต้องการเล่าถึงอากาศที่หนาวมากกว่าใช่ไหมครับ...ลองตั้งข้อสังเกตนิดหน่อย เด็กหญิงอยู่ที่สนามเด็กเล่นตั้งแต่เย็น จนมืด อยู่ถึงกี่โมงครับ เพราะน้ำค้างลงนี่จะเป็นเวลาดึกมากแล้วนะครับ

- จูงมือมือผู้เป็นพ่อแม่...อันนี้ไม่ถือว่าเลวร้ายเท่าไหร่ แต่ก็สามารถใช้คำที่ชัดเจนกว่านี้ได้ เช่น รั้ง ฉุด ซึ่งจะแสดงถึงอาการดึงให้ไปข้างหน้าได้ อารมณ์ของเด็กจะตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อเห็นเครื่องเล่น แต่พอใช้คำว่าจูง ความรู้สึกมันไม่เร้าเท่าที่ควร

- ละอองแสงไฟ...อ่านแล้วรู้สึกแปร่งๆ เล็กน้อย เนื่องจาก คำว่า ละออง จะใช้กับสิ่งที่มีลักษณะเป็นเม็ดละเอียด เช่น ละอองฝน ละอองฝุ่น แต่แสงไฟไม่มีลักษณะเป็นละออง เข้าใจว่าน้องดาราสมุทรคงอยากอธิบายเวลาที่มองแสงไฟ แล้วเห็นว่าเป็นละอองยิบๆ ลอยอยู่ ซึ่งนั่นคือละอองฝุ่นที่สามารถเห็นชัดเจนในความมืดเมื่อลำแสงส่องกระทบ ใช่ไหมครับ

ฝึกฝนต่อไปนะครับ จะได้เก่ง


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.138 วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:12:14:15 น.  

 
ขอบคุณมากครับ

ผิดอยู่โขเลย

ตอนนี้อ่านเวิ้งราตรีใกล้จบแล้ว

กลอนเพราะดีนะครับ

ตื่นเต้นตอนที่นางเอกกำลังจะวาดภาพบนเวที แต่ก็รอดตัวไปได้


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.109.78 วันที่: 3 สิงหาคม 2552 เวลา:18:10:48 น.  

 
เรื่องนี้ตอนเขียนแต่ละตอนเหนื่อยมาครับ เพราะต้องใช้ราชาศัพท์ตลอดทั้งเรื่อง ประกอบกับลักษณะพิเศษของตัวละคร ทำให้มีข้อจำกัดในการเล่าเรื่องในบางฉากครับ แต่ก็ถือว่าผ่านไปด้วยดี เพราะถ้าไม่ลองฝึกอะไรที่ไม่เคย ก็จะไม่มีวันรู้ว่าการเขียนแต่ละแนว มีความยากง่ายแตกต่างกันอย่างไรครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.93 วันที่: 3 สิงหาคม 2552 เวลา:21:51:40 น.  

 
ระหว่างรอ ผมแต่งกลอนด้วยมือตัวเองมาให้คุณเนียรช่วยแนะนำหน่อยครับ

สิ้นกายดับอับแสงแห่งชีวิต
วิญญาณปลิดมิดหายวายมอดไหม้
ไม่สามารถนำพากสิ่งใดไป
เหลือทิ้งไว้แค่ความดีที่เคยทำ


ปีกปักษีโต้ลมสมใจหมาย
โฉบเฉี่ยวกายหมุนคว้างกลางเวหา
เจ้านกน้อยคล้อยลับดับชีวา
เมื่อพรานป่าลั่นไกไม่ลังเล


คมดาบวาดฟาดผ่านอากาศธาตุ
เนื้อกายบาดขาดกระเด็นเป็นสองท่อน
เลือดแดงฉานอาบทั่วแดนนคร
กลิ่นคาวคลุ้งกำจายจรทั้งแผ่นดิน


ฉวีนวลผ่องต้องตามหาบุรุษ
ทนต์ขาวดุจงาช้างกลางไพรสัณฑ์
ร่างระหงทรงสง่าทุกคืนวัน
คือสุพรรณกัลยามหาสตรี


ชลธาราไหลเอื่อยเลื้อยซอกหิน
หอมกลิ่นดินชุ่มชื้นชื่นโสตศิลป์
ริ้วใบหญ้าเอนลู่ลงแนบดิน
ชลธารไหลรินสู่คงคา


แสงอรุณเฉิดฉายเหนือฟากฟ้า
ผืนนภาสีครามยามต้องแสง
ภูมรินบินดอมดมกุหลาบแดง
หมู่แมลงโฉบฉวัดสะบัดกาย


สันคีรีสูงตระหง่านอาจเอื้อมฟ้า
สกุณาบินกลับเมื่อลับแสง
สุริยบาทพาดฟ้าทางสีแดง
แล้วสิ้นแสงคลุมฟ้าทาสีดำ

...พอออกงานได้ไหมครับ...

ต้องขอขอบคุณคุณเนียรมากครับที่ช่วยถึงขนาดนี้


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.20.48 วันที่: 5 สิงหาคม 2552 เวลา:18:33:58 น.  

 
ไม่ใช่แค่พอออกงานได้นะครับ ผมว่ามันดีทีเดียวล่ะ ฝีมือคุณดาราสมุทรนี่ใช่ย่อนะครับ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย ว่าเป็นเด็ก ม.2 (เพราะสมัยตัวเองเท่านั้น ทไม่ได้ขนาดนี้) ชื่นชมด้วยใจจริงครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.204 วันที่: 5 สิงหาคม 2552 เวลา:20:35:40 น.  

 
ขอถามหน่อยครับ

ตอนนี้คุณเนียรลุยงานเขียนเป็นอาชีพหลัก หรือว่าอาชีพเสริมครับ

อาจจะดูละลาบละล้วงไป(ไม่)นิด แต่ก็อยากรู้น่ะครับ เพราะเคยอ่านหนังสือของคุณ ส พลายน้อย ท่านบอกว่าควรมีอาชีพหลัก แล้วงานเขียนควรถือเป็นอาชีพรอง แต่เพราะเหตุผลอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ^...^


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.146.130 วันที่: 5 สิงหาคม 2552 เวลา:20:46:08 น.  

 
มีมาเสริมอีกบทหนึ่งครับ

อารมณ์ค้างจากการเขียนนิยาย

...ขอวอนลมห่มฟ้าพาความรัก
จารสลักห้องหัวใจไม่เลือนหาย
ขอรักเธอตราบสิ้นชีวินวาย
บันทึกไว้ในผืนทรายนิจนิรันดร์...




โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.146.130 วันที่: 5 สิงหาคม 2552 เวลา:20:49:41 น.  

 
งานเขียนเป็นอาชีพเสริมครับ แต่เป็นอาชีพเสริมที่ทำอย่างสม่ำเสมอ ส่วนอาชีพหลักตอนนี้ก็คือเรียนปริญญาโทครับ ปีสุดท้าย ใกล้จบแล้วครับ ปีหน้าก็คงได้สอนในมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นก็จะเป็นอาชีพหลักครับ อย่างที่คุณ ส. พลายน้อย พูดก็ถูกครับ และนักเขียนส่วนใหญ่ ก็จะมีอาชีพหลักที่แตกต่างกันไปครับ การเขียนหนังสือนี่ถือเป็นใจรักจริงๆ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.122 วันที่: 6 สิงหาคม 2552 เวลา:15:47:45 น.  

 
สวัสดีครับคุณเนียร

ผมอยากอ่่านชีวิตหมงของคุณเนียรจัง

ไม่รู้คุณเนียรจะใจดีลงนิยายเรื่องแรกในชีวิตให้ได้อ่านหรือเปล่า


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.89.5 วันที่: 8 สิงหาคม 2552 เวลา:12:18:47 น.  

 
เรื่องชีวิตหมง คงเอาลงให้อ่านไม่ได้ เพราะ
1. ต้องรื้อสมุดหนังสือหลายกอง ที่ไม่ยอมทิ้ง ไม่ยอมขาย แต่ระบุไม่ได้ว่ามัดรวมไว้กับกองไหน

2. ถ้าเจอแล้วเอามาลง (ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่) ก็คงจะดูไม่เป็นนิยายเรื่องแรก เนื่องจากประสบการณ์ทำงานที่ค่อยๆ สะสมมา จะทำให้อดแก้ไม่ได้ตอนพิมพ์ (ต้นฉบับเขียนลงสมุด) ซึ่งแน่นอน ความไร้เดียงสาเดิมๆ ที่เห็นในงานจะลดน้อยลงไป

ทางที่จะเป็นไปได้ที่สุดคือ อาจกลายเป็นนิยายเรื่องใหม่ที่ใช้ต้นฉบับเดิมมาเเป็นเค้าร่าง แต่อย่างไรก็ดี ด้วยงานหลัก และลำดับในรเขียนนิยายเรื่องต่อๆ มา ยังไม่มีเรื่องชีวิตหมงนี้อยู่ในลิสต์ครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.45 วันที่: 8 สิงหาคม 2552 เวลา:17:20:54 น.  

 
สวัสดีครับ คุณเนียร แวะเข้ามาทักทาย

สบายดีหรือเปล่าครับ

มีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อย

วันหนึ่งๆ คุณเนียรเขียนนิยายได้เท่าไหร่หรือครับ

แล้วเรื่องๆ หนึ่ง คุณเนียรใช้เวลาเขียนเท่าไหร่ครับ

ขอบคุณมากๆ ครับสำหรับทุกคำแนะนำดีๆ

ขอใ ห้มีความสุขนะครับ




โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:11:11:32 น.  

 
ต้องขอโทษคุณเนียรด้วยนะครับ

ที่บางครั้งบางคำ ที่ผมเขียนอาจห้วนๆ ไปบ้าง

แต่เพราะผมเป็นคนพูดน้อย เวลาพูดอะไร หรือเขียน อยากเข้าให้ตรงประเด็นเลย ทำให้อาจอ่านแล้วห้วนๆ กระด้าง ต้องขอโทษด้วยนะครับ

ขอขอบคุณอีกครั้งครับ


โดย: ดาราสมุทร (เจ้าสมุทร ) วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:11:18:37 น.  

 
สวัสดีคุณเจ้าสมุทรครับ
สำหรับการเขียนของผมนั้น ถ้าเอาแต่เฉพาะตอนนั่งเขียน ที่ข้อมูลพร้อมแล้ว วันหนึ่งจะได้ราวๆ 5-6 หน้าครับ เพราะต้องทำอย่างอื่นด้วย แต่ก็เคยมีช่วงที่อารมณ์ลื่นไหลจริงๆ ก็เขียนได้ประมาณ 1 ตอนครึ่งครับ...1 ตอนสสำหรับผมจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 หน้า ไม่เกิน 9 หน้านิดๆ ครับ โดยนิสัยส่วนตัวแล้วจะเขียนให้จบเป็นตอนๆ ถึงพัก แต่บางครั้งถ้าจบตอน แต่เหตุการณ์ไม่จบ ต้องต่อตอนต่อไป ก็มักจะเอาให้จบความในเหตุการณ์นั้นเป็นหลักครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.155 วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:13:12:56 น.  

 
สำหรับเรื่องภาษานั้น ไม่ว่าอะไรครับ ถ้าถามกันตรงๆ เพื่อเข้าประเด็น แต่สิ่งหหนึ่งที่นักเขียน หรือคนอยากเป็นนักเขียนต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ เราต้องเป็นนายของภาษา มิใช่ให้ภาษาเป็นนายเรา เพราะการเขียนนิยายเรื่องหนึ่งนั้น เราจำเป็นต้องมีตัวละครหลายประเภท ซึ่งแต่ละครย่อมมีบุคลิกต่างกันไป ทำให้ภาษาที่ใช้ของแต่ละคนต่างกันไปด้วย ฉะนั้นนักเขียนต้องมี "กึ๋น" ในการใช้ภาษา ควบคุมภาษาของตัวละครให้ได้ครับ

ส่วนตัวผมเอง เป็นคนพูดน้อย ต่อยหนักเหมือนกันครับ แต่คนที่สนิทด้วยแล้วจะรู้ว่าเป็นพูดมากเอาการทีเดียว แต่นิสัยส่วนตัวของเราต้องทิ้งไปให้หมดนะครับ เวลาที่เขียนนิยาย เพราะระหว่างบรรทัด ระหว่างตัวอักษร ผู้อ่านย่อมสัมผัสถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้เขียนได้ครับ

เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปนะครับ...ตอนต่อไปใกล้คลอดหรือยังครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.155 วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:13:20:32 น.  

 
ตอนต่อไปใกล้คลอดแล้วครับ

เหลืออีกสองฉากเท่านั้น

คุณเรียนสบายดีหรือเปล่าครับ รักษาสุขภาพด้วยระครับ ทำทั้งวิทยานิพนธ์ ทั้งเขียนนิยาย เหนื่อยน่าดู แ่อย่าโหมหนักนะครับเดี๋ยวไม่สบาย

ผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อยครับ เอาข้อมูลไปเขียนฉากสุดท้ายในบทที่ 1 ให้เสร็จ

ประถม มัธยมเมื่อจบการศึกษาจะมีกิจกรรมปัจฉิมนิเทศน์ อยากทราบว่าในระดับมหาวิทยาลัยมีหรือเปล่าครับ ถ้ามี เรียกกิจกรรมนี้ว่าอะไร และมีขั้นตอนพิธีการอย่างไรบ้างครับ

ขอบคุณมากครับสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่าง

ปล. ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับว่าที่อาจารย์คนใหม่ด้วยนะครับ ไม่รู้ว่าจะดุหรือเปล่า

สุดท้ายอยากทราบว่าคุณเนียรมีวิธีสร้างกำลังใจในการเขียนอย่างไรบ้างครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับคำแนะนำดีๆ




โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.116.163 วันที่: 10 สิงหาคม 2552 เวลา:18:41:30 น.  

 
สำหรับมหาวิทยาลัย ก็ใช้คำว่าปัจฉิมนิเทศน์เหมือนกันครับ แต่ก็เห็นว่าจัดกันบ้างเป็นบางคณะ บางคณะนี่พอสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เฮฮาลั้นลาแยกย้ายกันไปเลยก็มี

แต่จะมีลักษณะที่จัดกันอย่างแพร่หลายคือ งานบายเนียร์ มาจากคำว่า Good Bye Senior ที่รุ่นน้องจะจัดให้พี่ๆ ก็เป็นปาร์ตี้อำลานั่นล่ะครับ ช่วงต้นงานก็อาจจะเชิญอาจารย์มาร่วมบ้าง แต่ดึกๆ ก็ปล่อยผีล่ะครับ

สำหรับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียน เมื่อจบแล้ว จะทิ้งช่วงไปหนึ่งปี จึงกลับมารับปริญญา ซึ่งตอนนี้ก็จะมีกิจกรรมที่รุ่นน้อง หรือทางคณะจัดให้ ประมาณคืนสู่เหย้าอะไรทำนองนั้น แต่ที่คณะผมเรียกว่า Home Coming ซึ่งเป็นการจัดงานช่วงมาซ้อมรับปริญญา ภายในงานก็จะเชิญอาจารย์มาร่วมด้วย แต่ท่านก็มักจะอยู่แค่ตอนต้นงาน เพื่อนักศึกษารุ่นพี่รุ่นน้องจะได้เฮฮากันเต็มที่ ในงานนี้ก็จะให้พี่ๆ เล่าถึงหน้าที่การงานในปัจจุบันให้น้องๆ ตาลุกกันเล่น อยากเรียนจบทำงานกันไวๆ ใครเล็งฝึกงานที่ไหนไว้ ใครอยากเข้าทำงานที่ไหนก็ไปตีซี้แลกเบอร์รุ่นพี่เป็นการส่วนตัวได้ครับ

ไม่รู้ว่าพอจะเห็นภาพไหม และพอจะเอาไปใช้ประกอบงานเขียนได้หรือเปล่า...สู้ๆ นะครับ

สำหรับกำลังใจในการเขียนงาน ก็นึกถึงนักเขียนชั้นครูหลายๆ ท่านที่เราเคยอ่านผลงานมาน่ะครับ หยิบหนังสือเหล่านั้นขึ้นมาเปิดอ่านบ้าง สุ่มเปิดเอาก็ได้ สักหน้าเดียวยังได้เลย อ่านๆ ไปแล้วก็จะเกิดความคิดว่า เพราะท่านขยันหาข้อมูล เพราะท่านเขียนกันอย่างนี้นี่เล่า แต่ละเล่มหนาบ้าง บางบ้าง แต่ก็เห็นความตั้งใจของคนเขียนทุกเล่ม นึกถึงชื่อเสียงของท่านและจำนวนเล่มที่ท่านเขียนมา ถ้าไม่รักการเขียนจริงคงไม่สร้างสรรค์ผลงานออกมาได้มากขนาดนั้น และต้องใช้เวลาตั้งกี่ปี กว่าจะมีชื่อเสียงขึ้นหิ้งได้อย่างทุกวันนี้ ตัวเราเองเปรียบเป็นเด็กก็ยังแค่ตั้งไข่เท่านั้น ถ้าไม่มีวินัยในการทำงานอย่างนี้ เพราะถือเป็นงานอิสระ ไม่มีคนคอยจ้ำจี้จ้ำไช และไม่มีใครง้อเสียด้วย เราจะก้าวไปถึงตำแหน่งที่นักเขียนมีชื่อเสียงเหล่านั้นอยู่ได้อย่างไร

แล้วกำลังใจมันก็ก่อเกิดโดยไม่รู้ตัวครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.27.5 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:9:59:09 น.  

 
ขอทายหน่อยครับ

คุณเนียรชื่อเล่นชื่อเอกหรือเปล่า


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.120.22 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:21:02:43 น.  

 
ถ้าผิดต้องขออภัยด้วยครับ

ที่ถามไปเพราะเกิดจากการเดาล้วนๆ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.120.22 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:21:06:21 น.  

 
เปล่าครับ ส่วนชื่อผมจริงๆ คืออะไรนั้น ถ้าไม่บอกเองก็ไม่มีใครเดาถูกครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.55 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:21:06:33 น.  

 
ชื่อจริงๆ คุณเนียรทำไมเดาไม่ถูกล่ะครับ

ก็ในหนังสือคุณเนียรก็มีชื่อคุณเนียรอยู่


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.120.22 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:21:08:22 น.  

 
ตอนนี้ผมกำลังอ่านสี่แผ่นดินของ

คุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมชอยู่

คุณเนียรเคยอ่านบ้างหรือเปล่าครับ

แล้วคุณเนียรมีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ

เคยอ่านมาว่าตอน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนเรื่องนี้ไม่มีโครง

เรื่อง เขียนโดยการอ่านทบทวนแล้วเขียนต่อได้เลย

เก่งมาก ขนาดคุณทมยันตียังชม




โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.120.22 วันที่: 11 สิงหาคม 2552 เวลา:21:14:13 น.  

 
เรื่องสี่แผ่นดินนี้ นับว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกเลยทีเดียวครับ ผมอ่านแล้วสามรอบ แล้วถ้าครั้งใดหยิบขึ้นมาอ่านอีก ก็ไม่เคยเบื่อ ซ้ำยังวางไม่ลง ต้องอ่านจนจบ ให้สังเกตวิธีการเล่าเรื่องว่า เล่าผ่านสายตาแม่พลอยคนเดียว ทั้งที่ตัวละครในเรื่องเยอะมาก

และหากต้องการให้ครบถ้วนในเรื่องที่ได้อรรถรถเดียวกัน เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้แล้วล่ะก็ ควรอ่าน รัตนโกสินทร์ (ช่วง ร.1-ร.3) บูรพา...จะเป็นช่วง ร.4 ร่วมฉัตร...จะตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 9 ราตรีประดับดาว และ เทวาพาคู่ฝัน...ช่วงรัชกาลที่ 7 และ 8

สำหรับการเขียนที่ว่าไม่มีพล็อต ทบทวนแล้วเขียนต่อได้เลยนั้น เป็นความสามารถส่วนตัวของนักเขียน ซึ่งคนจะทำอย่างนั้นได้ ต้องมีความรู้มาก และเข้าใจในเรื่องของเองแล้วอย่างทะลุปรุโปร่ง เรื่องสี่แผ่นดิน เป็นเหมือนการบันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ช่วงนั้นเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น นับว่ามีความน่าสนใจในตัวอยู่แล้วครับ ฉะนั้น คนเล่าจะหยิบมาเล่าอย่างไรให้น่าติดตาม

สำหรับชื่อของผมนั้น ผมหมายถึงชื่อเล่นน่ะครับ ถ้าไม่บบอกเองก็คงเดาไม่ถูก และขนาดบอกเองกับตัวนะครับ ยังเรียกผิดเรียกถูกกันหลายครั้งกว่าจะแก้ไขให้เรียกถูกได้ก็แทบจะบอกว่า...อยาเรียกอะไรก็เรียกไปละกัน


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.219 วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:14:11:14 น.  

 
คุณเนียรสามารถบอกได้หรือเปล่าครับว่าคุณเนียรชื่อเล่นว่าอะไร


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.121.108 วันที่: 12 สิงหาคม 2552 เวลา:14:14:06 น.  

 
ชื่อเล่นของผมไม่ได้เป็นความลับอะไร แล้วก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมาย ยังไงก็ขอไม่บอกแล้วกันนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.27.5 วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:12:38:23 น.  

 
สวัสดีครับคุณเนียร ผมอยากรบกวนคุณเนียรช่วยพิจารณาประโยคนี้ให้หน่อย

เกือบทุกเวลายามที่ต้องนั่งสัปหงก มีสมุดจดโน้ตวางอยู่ตรงหน้า สำหรับจดรายละเอียดเรื่องที่เรียนจากอาจารย์ซึ่งยืนบรรยายหน้าชั้นโดยความรู้ที่ได้รับจะผ่านสู่ปากกาได้ทันทีโดยไม่ต้องแวะเวียนเข้าสมองของลูกศิษย์ให้เปลืองพลังงาน เวลาช่วงนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกินสำหรับผู้เรียนหลายๆ คน หากเวลาเคลื่อนหมุนมาจนถึงขณะนี้พวกเขากลับคิดว่ามันผ่านไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะวันนี้ทุกคนจะได้อยู่ในสภาพนักศึกษากันเป็นวันสุดท้าย

งานเลี้ยงล่ำลาจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในหอประชุมมหาวิทยาลัย ทุกคนต่างร่วมแรงแรงร่วมใจจัดงานในวันนี้อย่างเต็มกำลัง เหนื่อยแค่ไหน เหงื่อไหลซึมอาบตัวแต่ก็ไม่ปริปากบ่น ด้วยในใจมีแต่ความสุขที่ได้ทำงาน ได้ใกล้ชิดกับคนที่รัก ผูกพันกันมาร่วมสี่ปี และหลายคนอาจมากกว่านั้น ถึงแม้ว่าแฝงไปด้วยรอยอาลัยก็ตาม แต่ทุกๆ คนก็ซ่อนความรู้สึกเหล่านี้อย่างมิดชิด

โ ดยเ ฉพาะย่อหน้าที่ 2 อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ

ขอบคุณมากครับ



โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.77.242 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:11:43:58 น.  

 
อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ จริงๆ ครับ ทั้งสองย่อหน้า ผมไม่แน่ใจว่าต่อเนื่องกันหรือเปล่า แต่เท่าที่อ่านดูโดยรวมแล้ว เข้าใจว่าคงต่อเนื่องกัน และตั้งใจจะพูดถึงความรู้สึกของนักศึกษาที่กำลังจะจบเป็นหลัก

ผมว่าปัญหาที่ทำให้เขียนออกมาแล้วรู้สึกแปลกๆ ก็คือ ผู้เขียนพยายามใช้ประโยคขยายหลายชั้นจนกลายเป็นว่าไม่สอดคล้องกัน อย่างย่อหน้าแรก ใจคความจริงๆ ก็มีเพียงความรู้สึกเบื่อหน่ายระหว่างที่เรียน กับความรู้สึกใจหายที่จะไม่ได้เป็นนักศึกษาอีกใช่ไหมครับ

...เกือบทุกเวลายามที่ต้องนั่งสัปหงก มีสมุดจดโน้ตวางอยู่ตรงหน้า สำหรับจดรายละเอียดเรื่องที่เรียนจากอาจารย์ซึ่งยืนบรรยายหน้าชั้นโดยความรู้ที่ได้รับจะผ่านสู่ปากกาได้ทันทีโดยไม่ต้องแวะเวียนเข้าสมองของลูกศิษย์ให้เปลืองพลังงาน...

ช่วงนี้ค่อนข้างจะเยิ่นเย้อเกินไป และเนื้อความขัดแย้งกันอยู่ในตัวพอสมควร เช่นว่า นั่งสัปหงก แต่ประโยคต่อมาพูดถึงการจดเลคเชอร์ ซึ่งก่อนจะจดลงไปนั้นมันต้องผ่านหูผ่านสมองก่อนครับ ความรู้ของอาจารย์ไม่น่าจะผ่านปากกาไปได้...

ลองทบทวนใหม่เป็น...มือที่จับปากกาขยับไปอย่างคล่องแคล่ว เพื่อบันทึกความรู้ใหม่ที่ได้มามิให้ลืมไปเสียก่อน...ดูชัดเจนขึ้นไหมครับ

วิธีแก้ไขอีกอย่างหนึ่งก็คือ บรรยายความรู้สึกนี้ ผ่านตัวละครตัวใดตัวหนึ่งก็ได้ เพราะคนนั่งสัปหงก กับคนจดบันทึกนั้น น่าจะเป็นคนละคนกันแน่ๆ แต่ถ้าจะเขียนให้เป็นการบรรยายโดยรวม ลองเขียนออกมาให้เห็นภาพรวมๆ ก่อนดีกว่าครับ เมื่อได้ภาพครบถ้วนแล้ว ค่อยเกลาภาษาหรือขยายรูปประโยคอีกทีก็ได้

ย่อหน้าที่สอง ความรู้สึกแปลกๆ เกิดจาก...
การจัดเลี้ยงในหอประชุมมหาวิยาลัย แสดงว่าเป็นเรื่องของทั้งมหาวิทยาลัย ทุกคณะจะมารวมกัน ซึ่งเยอะมาก โดยมากแล้วจะเป็นการจัดภายในคณะมากกว่า

ความรู้สึกของตัวละครสับสน...ดีใจ มีความสุข แฝงรอยอาลัย...ลองเรียงร้อยความรู้สึกเหล่านี้ใหม่ดูสิครับ คนที่ผูกพันกันมานาน จะมีความสุขจริงๆ ไหมที่ต้องจัดงานอำลา อารมณ์ไหนควรมาก่อน-หลัง...อาจจะเป็น...ทุกคนที่มาร่วมจัดเตรียมงานอำลาภายในหอประชุมล้วนอยู่ในอารมณ์เงียบเหงา อาลัยผู้ที่กำลังจะจากไป หากความรู้สึกนั้นก็ถูกซ่อนไว้ภายใต้เสียงหัวเราะหยอกเย้ากันในบางครั้งขณะเตรียมสถานที่จัดงานกันอย่างเต็มที่

ลองปรับดูนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.143 วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:19:26:01 น.  

 
คุณดาราสมุทร

จากช่วงล่าสุดที่โพสนั้น...
ว่ากันด้วยเรื่องหยุมหยิมแต่สำคัญก่อนนะครับ คือเรื่องการตรวจทานตัวสะกด เข้าใจว่าคงพลาดไปกดแป้นพิมพ์ตัวใกล้ๆ เช่นคำว่า ออกกากาศ-ออกอากาศ สิ่งเล่านั้น-สิ่งเหล่านั้น โซ่ตรวจ-โซ่ตรวน เธอไม่ยิน-เธอไม่ได้ยิน

สิ่งที่ทำให้สะดุดเป็นพักๆ คือการใช้คำผิดความหมายครับ
ดาราดาวรุ่งไฟแรง...อันนี้อาจจะพอได้ แต่ปกติแล้วมักจะใช้ดาวรุ่งพุ่งแรง แสดงความนิยมและมีอนาคตในสายงานนี้ ส่วนไฟแรงใช้ในลักษณะของคนที่มีความมุ่งมั่นเต็มที่ในการจะทำอะไรอสักอย่างหนึ่ง เช่นตอนนี้คุณดาราสมุทรเองก็ไฟแรงที่จะเขียนหนังสือ แต่ก็ยังมิได้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง

ดังเป็นพรุแตก....ต้องใช้ "พลุ" นะครับ ถึงจะถูกต้อง เพราะคำว่า "พรุ" ที่คุณดาราสมุทรใช้นั้นมีความหมายถึงป่าชนิดหนึ่งครับ

น้ำตาไหลรินลงมาอย่างแช่มช้า...ตรงนี้ใช้คำขยายไม่ถูกความครับ ลองหาคำอื่นๆ ที่จะบรรยายการไหลของน้ำตา เพราะแช่มช้าใช้กับลักษณะการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต เช่น งูเลื้อยอย่างแช่มช้าเพื่อมิให้เหยื่อรู้ตัวก่อนที่มันจะพุ่งปราดเข้าจู่โจม พอนึกภาพออกไหมครับ

สิ่งที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกว่าสะดุดเป็นพักๆ คือการบรรยายกับประโยคสนทนาใช้ภาษาใกล้เคียงกัน หลายๆ จุดในบทสนทนา ซึ่งเป็นภาษาพูด ก็มีการใช้ภาษาทางการแทรกอยู่ เช่น ที่กุลกันยาพูดถึงการออกอากาศ ในภาษาพูดแล้วเรามักใช่คำว่า ออกทีวี ลงจอ หรือคำอื่นๆ ที่มิใช่ลักษณะเป็นทางการอย่างคำว่าออกอากาศ
เพราะฉะนั้นในจุดนี้ ลองพิจารณาดูง่ายๆ ว่า ถ้าบรรยาย ก็ใช้ภาษาทางการหรือกึ่งทางการได้ แต่ถ้าเป็นบทสนทนา ก็ให้เหมือนกับภาษาพูดกันจริงๆ จะทำให้ภาษามีมิติมากขึ้นครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.27.5 วันที่: 16 ตุลาคม 2552 เวลา:11:45:46 น.  

 
คุณเนียรครับ ผมมีข้อไม่มั่นใจบางอย่างว่ามันถูกต้องหรือเปล่า
อยากให้คุณเนียรช่วยพิจารณา สองเนื้อความให้หน่อยครับที่ผมเขียน ไม่รู้ว่าดีแล้วยัง แต่ความรู้สึกตัวเองรู้สึกว่ามันกระชาก หรือไม่ต่อเนื่อง ไม่ลื่นยัไงชอบกล คุณเนียรอ่านแล้วช่วยแนะนำหน่อยครับ
....
เสียงพูดคุย ตะโกนโหวกเหวกที่กำลังดังแข่งกันในร้านเงียบลงในฉับพลัน พราวฝันรู้สึกถึงทั้งร่างยึดแข็งอีกครั้งคล้ายถูกมัดแน่นด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ลำคอลำคอตีบตันแทบหายใจไม่ออก หัวใจเต้นถี่กระชั้นขึ้นทุกขณะ น้ำตาไหลรินลงมาช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ไม่เคยมีมานานหลายปี

‘ชลธี ใช่เธอจริงๆ’

การรอคอยได้สิ้นสุดลงสักที จะเป็นเพราะพรหมลิขิต โชคชะตา คำสัญญา หรืออะไรก็ตาม สิ่งเล่านั้นไม่เพียงแต่นำพาให้เธอได้พบเขาอีกครั้ง อีกทั้งยังได้ปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการหัวใจเอาไว้ ทำให้นาฬิกาในใจเธอเคลื่อนเดินต่อไปหลังจากที่หยุดลงเป็นเวลาเกือบ 5 ปี

“นี่รู้ไหม ทีมงานรายกายจ้างพวกเราสองคนเป็นนักแสดงประกอบด้วยแหละ"

กุลกันยาปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์พร้อมๆ กับลากมานั่งยังโต๊ะตัวเดิม พลางพูดด้วยอาการตื่นเต้น

.............

และอีกอัน

“เขายังบอกด้วยนะถ่ายทำเสร็จจะให้แชะรูปคู่กับชลธีด้วย ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์พกกล้องมา... จะว่าไปแล้วก็สมน้ำหน้าเด็กพวกนั้นจริงๆ แหมยังอยู่ในชุดนักเรียนริอาจมาบ้าดารา แล้วเป็นไงถูกไล่ตะเพิดออกไปหมดร้าน ถูกกันไปยืนอยู่หน้าลานจอดรถหน้าร้านโน่นแหนะ เจ้าของร้านก็โดนสวดไปด้วยโทษฐานไม่ดูแล ปล่อยให้เข้ามาในร้าน สาแก่ใจฉันจริงๆ มายืนเบียดเป็นปลากระป๋อง ร้อนตับแลบอยู่ตั้งนาน”

เธอไม่ได้ยินแม้แต่น้อยว่ากุลกันยาพล่ามอะไรบ้าง เพราะตอนนี้ใจของเธอลอยไปหาชายที่ยืนอยู่อีกฝากเสียแล้ว แม้กระทั่งตอนที่ทีมงานเข้ามานัดแนะ ซักซ้อม หญิงสาวก็เออออห่อหมก แสดงความเข้าใจไปอย่างดิบดี ทั้งๆที่ความจริงแล้วเธอเองไม่รู้ ไม่เข้าใจสักนิด

“อีกสิบนาทีจะเริ่มถ่ายทำเหรอคะ”

กุลกันยาหันไปถามย้ำทีมงานเพื่อความแน่ใจก่อนหันมาเขย่าตัวคนนั่งข้างๆ จนหัวคลอน

“ยัยฝัน ฉันตื่นเต้นจังเลย”

ขอบคุณล่วงหน้านะครับ





โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.25.75 วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:14:30:02 น.  

 
อันแรกก่อนนะครับ

ความรู้สึกสะดุดอยู่ตรงที่ เสียงในร้านอาหารเงียบลงฉับพลัน...เพราะอะไร? เด็กๆ ที่กรี๊ดชลธี ขณะนั้นอยู่ที่ไหน?

ที่สำคัญคือการบรรยายความรู้สึกของพราวฝัน ที่ตกตะลึง อึ้ง ช็อค ที่ได้เจอแฟนเก่า...ที่บรรยายว่าตัวแข็งเหมือนถูกเชือกรัด ดูไม่ค่อยจะไปด้วยกันนะครับ

สรุปก็คือ...ในช่วงแรกนั้น ความรู้สึกของนางเอกยังดูไม่ชัดเจนน่ะครับ คุณดาราสมุทรอาจจะเข้าใจความรูสึกนั้น แต่ลองบรรยายให้ภาพกระจ่างขึ้นอีกหน่อยได้ไหมครับ...ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เดี๋ยวก็เก่งเองครับ

ในส่วนที่ 2
ที่ขัดความรูสึกคนอ่านคือ...คำพูดของกุลกันยาที่ว่าเด็กๆ กรี๊ดดารา ว่ายังอยู่ในชุดนักเรียน แต่กลับมากรี๊ดดารา (แก่แดด) ซึ่งความจริงแล้ว วัยเรียนที่แหละครับ เป็นช่วงที่กรี๊ดดารามากที่สุด

กับช่วงที่บรรยายว่าตัวประกอบบจะต้องทำอะไรบ้าง พราวฝันไม่น่าจะมีสติรับรู้อะไรมากมาย...เออออห่อหมก...พอใช้ได้ครับ แต่ตรงที่ว่าเข้าใจดิบดี ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสภาพของพราวฝันตอนนั้นคือสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

ลองพิจารณาดูอีกทีนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.245.234 วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:17:30:41 น.  

 
ผมว่าเรื่องนี้คงพักไว้ก่อนดีกว่า ผมจะลองเขียนนเรื่องใหม่ดู เพราะว่ารู้้สึกว่าเรื่องนี้เดินมาผิดทาง คงด้วยเพราะวางโครงเรื่องไม่ดี ตอนนี้เรื่องมันเลยชักจะมั่วๆ ยังไงชอบกล

อีกอย่างนิยายรักผมไม่ถนัดเท่าไหร่ ผมเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปีเอง ยังไม่รู้ซึ้งเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เรื่องใหม่ที่จะลองเขียนดูเป็นแนว ลึกลับ ซ่อนเงื่อนอะไรทำนองนี้ เพราะว่าเรื่องนี้ถนัดท่สุดแล้ว เพราะนี้ยายที่ผมอ่านส่วนใหญ่จะเป็นแนวนี้ และผมก็ดูแต่หนังแนวนี้มาตลอดเลยรู้สึกไปได้ดีกว่าแนวรัก

ซึ่งเรื่องใหม่ที่ลองเขียน อยากอวดคุณเีนียรหน่อยว่าวันนี้เขียนได้ ตั้ง 3หน้า แน่ะ เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน คงเป็นเพราะสมองแล่นด้วย ปกติเขียนได้แค่ หน้า ครึ่งหน้าก็หมดอารมณ์แล้ว แต่นี่ยิ่งเขียนยิ่งลื่น

ไว้จะลองเอามาให้คุณเนียรพิจาณาด้วยนะครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.34.162 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:14:11:05 น.  

 
ผมว่าเรื่องนี้คงพักไว้ก่อนดีกว่า ผมจะลองเขียนนเรื่องใหม่ดู เพราะว่ารู้้สึกว่าเรื่องนี้เดินมาผิดทาง คงด้วยเพราะวางโครงเรื่องไม่ดี ตอนนี้เรื่องมันเลยชักจะมั่วๆ ยังไงชอบกล

อีกอย่างนิยายรักผมไม่ถนัดเท่าไหร่ ผมเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปีเอง ยังไม่รู้ซึ้งเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่เรื่องใหม่ที่จะลองเขียนดูเป็นแนว ลึกลับ ซ่อนเงื่อนอะไรทำนองนี้ เพราะว่าเรื่องนี้ถนัดท่สุดแล้ว เพราะนี้ยายที่ผมอ่านส่วนใหญ่จะเป็นแนวนี้ และผมก็ดูแต่หนังแนวนี้มาตลอดเลยรู้สึกไปได้ดีกว่าแนวรัก

ซึ่งเรื่องใหม่ที่ลองเขียน อยากอวดคุณเีนียรหน่อยว่าวันนี้เขียนได้ ตั้ง 3หน้า แน่ะ เป็นสิ่งที่ไม่เคยทำได้มาก่อน คงเป็นเพราะสมองแล่นด้วย ปกติเขียนได้แค่ หน้า ครึ่งหน้าก็หมดอารมณ์แล้ว แต่นี่ยิ่งเขียนยิ่งลื่น

ไว้จะลองเอามาให้คุณเนียรพิจาณาด้วยนะครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.34.162 วันที่: 19 ตุลาคม 2552 เวลา:14:31:09 น.  

 
ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดและรัก จะรู้สึกว่าราบรื่นและสบายใจครับ

จะรออ่านนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 124.120.9.204 วันที่: 20 ตุลาคม 2552 เวลา:8:06:10 น.  

 
ผมเขียนบทที่ 1 เขียนเสร็จแล้วครับ ภายในสองวัน ภูมิใจสุดๆ เอาไว้เขียนให้ได้เยอะๆ แล้วจะทะยอยมาให้ช่วยแนะนำข้อบกพร่องนะครับ


โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.16.110 วันที่: 21 ตุลาคม 2552 เวลา:11:09:16 น.  

 
จะคอยติดตามครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 58.8.110.101 วันที่: 24 ตุลาคม 2552 เวลา:22:45:28 น.  

 
สวัสดีครับคุณเนียร ไปได้เข้ามาทักทายเสียดาย คุณเนียรบายดีหรือเปล่าครับ จะรอคอยผลงานเล่มใหม่นะครับ พอจะบอกได้ไหมครับว่าโครงเรื่องเป้นยังไง

คุณเนียรครับผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยครับว่า ในบทแรกเริ่มของเรื่องเลยนะครับ ผมจะใช้วิธีเล่าเรื่องที่มาแบบคร่าวๆย่อก่อนได้ไหมครับ แล้วเมื่อถึงจุดปัจจุบันของเรื่องที่ต้องการเดินเรื่องแล้วก็เปลี่ยนมาเขียนแบบนิยายปกติ แบบนี้จะดีหรือเปล่าครับ แล้วมันมีข้อเด่นข้อด้อยตรงไหนครับ

ตัวอย่างประมาณนี้อะครับ

เจ้าพระยา แม่น้ำสายสำคัญอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตชาวบางกอก โดยแม่น้ำเจ้าพระยาถูกใช้เป็นเส้นทางในการสัญจรติดต่อหากัน เรือของพ่อค้าต่างแดนที่จะเข้ามาค้าขายในพระนครก็ต้องล่องเรือด้วยลำน้ำเส้นนี้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังชาวบ้านยังใช้ในการอุปโภค สร้างอาชีพ และสร้างประโยชน์อีกหลายหลาก นั่นทำให้ริมแม่น้ำสายนี้ทั้งสองฝากฝั่งเรียงรายไปด้วยบ้านเรือนของชาวเมืองเขตพระนคร ทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา

นอกจากพระปรางค์วัดอรุณที่ผู้ใดสัญจรเรือผ่านก็จะต้องเห็นมาแต่ลิบๆแล้ว ยังมีบ้านทรงตะวันตกสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ริมลำน้ำเจ้าพระยา เป็นที่สะดุดตาให้เห็นเด่นชัดแม้มองแต่ไกล ด้วยรูปทรงอันผิดแผกแปลกตาไปจากบ้านเรือนทั่วไป และเจ้าของบ้านหลังยังเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ เชื้อพระวงศ์ ร่ำเรียนจบมาจากเมืองฝรั่ง ชาวบ้านในละแวกนั้นจึงพากกันเรียกบ้านหลังนี้ว่า “วังเจ้าฟ้า”

ทว่าแท้จริง บ้านยุโรปหลังนี้มีนามว่าวังกลิ่นแก้ว เพราะเมื่อครั้งหม่อมราชวงศ์อนุราช ดิษยธรรมศักดิ์ผู้เป็นเจ้าของบ้านยังเป็นคุณชายหนุ่มรูปงาม เพิ่งจบการศึกษามาหมาดๆ จากเมืองฝรั่ง ก็ได้พบรักกับแย้มผกา ลูกสาวคนเดียวของคหบดีใหญ่ผู้มั่งคั่ง ทั้งสองตกลงปลงใจกันครองคู่กัน มีการจัดงานสมรสตามแบบฝรั่งอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ หม่อมราชวงศ์ทราบว่าภรรยาของตกชอบดอกแก้วเป็นอันมาก เขาจึงมอบของขวัญแต่งงานเป็นเรือนหอทรงยุโรปพร้อมปลูกต้นแก้วเต็มแน่นไปทั้งสวน ทุกต้นล้วนมีดอกแก้วบานสะพรั่งอยู่เต็ม ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วเขตบ้าน และตั้งชื่อเรือนรักของทั้งสองว่า “วังกลิ่นแก้ว”
....แล้วก็บรรยายฉาก เรื่องราวตามนิยายทั่วไปต่อไปน่ะครับ


ขอบคุณล่วงหน้าครับ ^^



โดย: ดาราสมุทร IP: 118.174.38.161 วันที่: 30 เมษายน 2553 เวลา:22:01:59 น.  

 
สวัสดีคุณดาราสมุทรครับ

การเปิดเรื่อง ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้คนอ่านรู้ว่า เรื่องราวเป็นแบบไหน แนวไหน เป็นอย่างที่ตนเองชอบหรือเปล่า มีความน่าสนใจไหม ถ้าการเปิดเรื่องไม่สนุก ไม่กระแทกใจ หรืออ่านแล้วไม่รู้ว่า...ตกลงเรื่องนี้มันเป็นยังไง แล้วฉันจะติดตามอะไรหว่า แล้วล่ะก็ คนอ่านก็อาจจะวางไปก่อนดื้อๆ ได้

จากที่คุณดาราสมุทรโพสมา ดดยรวมเป็นการบรรยายฉาก สภาพแวดล้อม สถานที่ และวังกลิ่นแก้ว ซึ่งในส่วนของวังนี้ก็ให้ที่มาที่ไปพอสังเขป ว่าเป็นของใคร แล้วตั้งชื่อนี้เพราะอะไร....แต่....สิ่งที่ขาดหายไปก็คือ ประเด็นของเรื่องนี้ที่ผู้เขียนต้องการให้คนอ่านติดตามเนื้อหาต่อไป คำถามแรกที่จะผุดขึ้นมาก็คือ...แล้ววังกลิ่นแก้วมันสำคัญอย่างไร ฉันถึงต้องอ่านต่อ

ยกตัวอย่างเท่านี้ คุณดาราสมุทรพอจะนึกออกไหมครับ
อย่าลืมว่าการเปิดเรื่องสำคัญมาก เพราะยังไงเสียคนอ่านและ บรรณาธิการก็จะต้องอ่านบทเปิดเรื่องนี้ก่อนเสมอ การเปิดเรื่องไม่จำกัดว่าต้องสั้นหรือยาว กี่ย่อหน้า กี่หน้ากระดาษ แต่สำคัญที่ว่า เมื่ออ่านแล้วคนอ่านต้องรู้สึกว่า...เฮ้ย! แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไปเนี่ย

เป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆ


โดย: เนียรปาตี IP: 202.28.25.70 วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:11:47:08 น.  

 
คุณดาราสมุทร....

ขออภัยที่ตอบช้ามาก คราวหน้าจะมาตอบให้เร็วกว่านี้ครับ

จากพล็อตเรื่องขายวิญญาณให้กับซานตาน (ที่คุณดาราสมุทรโพสไว้อีกหน้าหนึ่ง) ผมอ่านแล้วก็ไม่มีข้อข้องใจอะไร เป็นพล็อตที่ดีพล็อตหนึ่ง มองเห็นที่มาที่ไปของเรื่องว่าเป็นมาอย่างไร และจะลงเอยในรูปแบบไหน

สิ่งที่ผมอยากแนะนำก็คือ พล็อตเรื่องใดๆ ในโลกนี้ จะว่าไปก็มีไม่กี่แนวนัก อาจจะแตกต่างในรายละเอียดกันออกไปบ้าง ก็แล้วแต่นักเขียนแต่ละคนจะพลิกแพลงไปได้ อย่างเรื่องขายวิญญาณให้ซาตานนี้ บอกตามตรงก็มิใช่แนวที่ใหม่ แต่ก็เป็นแนวที่ผู้อ่านให้ความสนใจอยู่เสมอ ฉะนั้น คุณดาราสมุทรอย่าทิ้งพล็อตนี้ไป เพียงเพราะผมบอกว่ามันมิใช่ของใหม่ แต่ขขอให้คุณดาราสมุทรแต่งเติมเนื้อหาที่คิดไว้ให้สมบูรณ์...ผมคนหนึ่งล่ะที่อยากอ่าน

ขอแนะนำหนังสือที่มีเนื้อหาแนวนี้ให้คุณดาราสมุทรลองอ่านดู คือเรื่อง "เงาพราย" ของ แก้วเก้า ครับ บางทีคุณดาราสมุทรจะได้ความคิดอะไรเพิ่มเติมสำหรับพล็อตของตัวเองครับ

และอย่าลืมนะครับ อารมณ์ที่คุณสามารถถ่ายทอดออกมาได้ตอนที่ไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อน มันมีชีวิตชีวามาก

ค่อยๆ ก้าว แต่มั่นคงนะครับ


โดย: เนียรปาตี IP: 182.232.231.126 วันที่: 6 ธันวาคม 2553 เวลา:9:37:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จอมยุทธเนียร
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ยินดีต้อนรับสู่โรงเตี๊ยมของ "จอมยุทธเนียร" ไม่...ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับหนังจีนกำลังภายใน แต่เป็นพื้นที่สำหรับสนทนาเรื่องสัพเพเหระและ 'นวนิยาย' ของเจ้าของโรงเตี๊ยม ภายใต้นามปากกา 'เนียรปาตี' ยินดีต้อนรับครับ
Friends' blogs
[Add จอมยุทธเนียร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.