บันทึกชิลชิล - ทริปนี้ไม่มีกั๊ก ลุยเส้นวงกลมแม่ฮ่องสอน (1)
ความเปรี้ยวอยากลองของ นั้นไม่เข้าใครออกใครจริงๆ เมื่อมีใครพร่ำพรรณนาถึงความคดเคี้ยวชวนพรั่นพรึงของถนนบนภูเขา กับทัศนียภาพข้างทางที่ มหางดงาม พอๆ กับความ มหาโหด ของเส้นทางแล้วล่ะก็
คนที่ชอบขับรถอย่างพี่ชายคนโตของเราก็เหมือนถูกกระตุ้นให้อยากไปพิสูจน์ความสามารถ ราวกับ ของขึ้น
จากประสบการณ์ทริปปีก่อนๆ พี่ชายได้หอบหิ้วครอบครัวของตนเองพร้อมกับน้องๆ วิ่งตะลอนเชียงใหม่-เชียงราย จึงประจักษ์ถึงความหวาดเสียวสุดชีวิตบนเส้นทางแถบแม่สายเลียบชายแดนพม่า ณ วันนั้น คณะเราได้เสียววูบวาบตลอด 1 ชั่วโมงกว่าจะไปถึงที่หมาย และมันยังประทับใจอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืมว่า
เรา รอด มาได้ยังไง? จะเป็นเพราะอานุภาพของการสวดชินบัญชร 10 จบก่อนเปิดทริป หรือเป็นเพราะความเก่งกาจในการควบคุมสติของสารถีกันแน่? แต่ที่แน่ๆ
สารถีคนนี้ฮึกเหิมมากขึ้น จนฟันธงลงมาว่า ปลายปีนี้ (2007) เราจะไปเที่ยวเส้นวงกลมแม่ฮ่องสอนกัน! ~~โอ้เย!~~ จึงได้เกิดปฐมบทการท่องเที่ยว แบบวงกลมแม่ฮ่องสอนดังนี้แลค่า
เส้นวงกลมแม่ฮ่องสอนคือ อะไร?
(อธิบายเผื่อจะมีคนยังไม่รู้เน่อ ผู้รู้โปรดตรวจสอบด้วยนะคะ) คือ การเดินทางเป็นเส้นวงกลมโดยไม่ต้องย้อนกลับเส้นทางเดิมนั่นเอง คณะเรากำหนดจุดเริ่มต้นที่ถนนสาย 107 จากตัวเมืองเชียงใหม่ - แม่ริม ขึ้นทางทิศเหนือไปต่อเส้น1095 ผ่านแม่มาลัย ห้วยน้ำดัง ปาย ปางมะผ้า ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ต่อด้วยเส้นทาง 108 เข้าขุนยวม แม่ลาน้อย แม่สะเรียง ฮอด จอมทอง สันป่าตอง หางดง เข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นอันครบรอบวงกลมแบบ ทวนเข็มนาฬิกา (แต่ส่วนมากเขาจะนิยมวิ่งแบบตามเข็มนาฬิกาค่ะ)
ดูรูปประกอบความเข้าใจเด้อ
ได้หน้าตาโปรแกรมเป็นเช่นนี้
. ทริปวงกลมแม่ฮ่องสอน 6 คืน 7 วัน ระหว่างวันที่ 23-29 ธันวาคม 2550 - 23 ธันวาคม เดินทางจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ พักที่ตัวเมืองเชียงใหม่ - 24 ธันวาคม เดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ พักที่ ปาย จ.แม่ฮ่องสอน (แวะ น้ำตกหมอกฟ้า - โป่งเดือดป่าแป๋ -สะพานสงครามโลกครั้งที่ 2 - บ้านสันติชล - ถนนคนเดินที่ปาย) - 25 ธันวาคม เดินทางจาก ปาย ไป ปางอุ๋ง(บ้านรวมไทย) พักที่ปางอุ๋ง (แวะ ถ้ำน้ำลอด ถ้ำปลา) - 26 ธันวาคม เดินทางจากปางอุ๋ง ไปตัวเมืองแม่ฮ่องสอน พักที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน (แวะ น้ำตกผาเสื่อ ภูโคลน วัดพระธาตุหนองจองกลาง จองคำ - ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอน) - 27 ธันวาคม เดินทางจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ไป อ.แม่สะเรียง พักที่แม่สะเรียง (แวะ พระธาตุดอยกองมู บ่อน้ำร้อนผาบ่อง น้ำตกแม่สุรินทร์ ถ้ำแก้วโกมล) - 28 ธันวาคม เดินทางจากอ.แม่สะเรียง กลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ พักตัวเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง ครบรอบวงกลม (แวะ สวนสนบ่อแก้ว ออบหลวง- ซื้อของฝากที่ วนัสนันท์ เชียงใหม่) - 29 ธันวาคม เดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ กลับ กรุงเทพฯ เมื่อดูโปรแกรมแล้ว
จะเห็นว่าโปรแกรมเที่ยวต่อวันจะไม่เยอะนัก เพราะพี่ชายคนโตเป็นสารถีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีคนให้ผลัดพวงมาลัย และเราก็หอบหิ้วหลานวัย 7 ขวบ (ลูกสาวของพี่ชายคนโต)ไปด้วย ทำให้คณะทัวร์ต้องค่อยๆ ไป
อีกทั้งพี่ๆ ของเราล้วนแต่เป็นคนชอบถ่ายรูป(เราก็ชอบถ่าย) หลานเราก็ชอบเป็นนางแบบด้วยสิ กว่าจะเสร็จกิจปิดหน้ากล้องนี่นานโขค่า แถมยังเป็นคณะทัวร์ที่ชอบแวะปั๊มน้ำมันเพื่อไปเข้าห้องน้ำอีก
. จัดเป็นทัวร์เฉื่อยหวานเย็นขนานแท้ละ
เอาล่ะค่ะ
พล่ามมาเยอะแล้ว มาดูกันต่อว่าเราไปเที่ยวแล้วเจออะไรมาบ้างนะคะ ^ ^ (เป็นบันทึกที่ตั้งใจจะเขียนให้ละเอียดค่ะ เหมือนเป็นการจดเก็บ ข้อมูล ไปในตัวด้วย ถ้ามันยาวยืดเกินไป ก็ขออภัยค่ะ อ่านข้ามไปเลยจ้า และเราขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อโรงแรม หรือร้านอาหารนะคะ หากเพื่อนๆ อยากรู้จริงๆ ก็หลังไมค์มาถามได้ค่ะ ส่วนรูปถ่ายนั้น
อาจจะไม่แจ่มเท่าไหร่ เพราะเราใช้กล้องปัญญาอ่อนถ่าย แต่ก็ภูมิใจนำเสนอนะคะ ^^ และภาพอาจจะถูกกรอบบล็อกอัดรูปแนวนอนจนดูไม่ชัด อันนี้ก็ขออภัยด้วยค่า...)
วันที่ 23 ธันวาคม 2550 วันเลือกตั้ง
ล้อหมุนตั้งแต่เช้าประมาณ 06.39 น.
ไม่เช้ามืดอย่างที่ตั้งโปรแกรมไว้ เพราะมัวแต่โอ้เอ้กันตามประสาคนเรื่อยเฉื่อยค่ะ และตามธรรมเนียม พี่ชายคนโตต้องทำพิธีกรรมสวดชินบัญชร 10 จบก่อนเริ่มเปิดทริป เราก็ตามไปสวดสมทบอีก 1 จบ เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยตลอดการเดินทาง
นั่งรถไปเรื่อยๆ ตามถนนสาย 32 ผ่าน อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท เลี้ยวเข้าถนนสาย 1 (พหลโยธิน) ที่นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำปาง เข้าถนนสาย 11 ที่ลำปาง ลำพูน จนเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ ปกติจุดที่คณะเราแวะเป็นประจำคือ ที่พักริมทางหน่วยบริการการท่องเที่ยวแถบขุนตาน ค่ะ ไปถึงช่วงประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของที่นี่ เมื่อปีก่อนๆ นั้น
เรายังเห็นพวกกล้วยไม้ป่าอยู่บนคาคบต้นไม้ใหญ่หน้าที่ทำการฯ มากมาย ปีนี้มันโหรงเหรงไปจนเห็นได้ชัด ป่าผลัดใบบนภูเขารอบข้างก็ดูโทรมๆ ลง
อากาศก็ร้อนผิดปกติ (ปกติเมื่อเข้าเขตป่า มันจะเย็นๆ นะ?) แต่สิ่งที่ยังประทับใจเหมือนเดิม ก็คือ ห้องน้ำค่ะ สะอาดมาก ส่วนสิ่งที่ไม่ประทับใจเหมือนเดิม ก็เห็นจะเป็นอาหารนี่แหละ ที่มีไว้กินกันตายกลางหุบเขาเท่านั้น
ถึงที่หมาย จ. เชียงใหม่ราวๆ 5 โมงเย็น ก็วิ่งหาที่พักแถวคูเมืองเชียงใหม่ค่ะ โชคดีที่พักที่จองไว้เป็นตึกสร้างใหม่ ห้องละ 500 แต่สวยใช้ได้เลยล่ะ ใช้อินเตอร์เน็ตได้ด้วย ตกเย็นก็เดินไปหาข้าวกินแถวคูเมือง เนื่องจากรู้แน่แก่ใจว่า รถที่ขับมานั้นซดน้ำมันโฮกๆ ผลาญเงินไปไม่น้อย คนนั่งรถจึงต้องเจียมเนื้อเจียมตัวซดน้ำก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่แสนจะประหยัดแทน แล้วเราก็ต้องตื่นตะลึงกับบะหมี่เกี๊ยวธรรมด๊า..ธรรมดา แต่ใส่ ผักกาดแก้ว (ที่คนกรุงอย่างเราถือว่ามันแพง 2 หัวขนาดกลาง ขายประมาณ 35 บาทแน่ะ) ดูแปลกดีค่ะ ร้านเบเกอรี่ก็อร่อย ที่สำคัญก็คือ คุ้มค่าราคาถูก
. เราซื้อ บลูเบอร์รี่ชีสพาย มาลองชิม ปกติเคยกินชิ้นละ 85 120 บาท ครานี้เจอชิ้นละ 50 บาท ใหญ่ด้วยอร่อยด้วย ปลื้มมากมายค่า
เสร็จจากมื้อเย็นแล้ว ก็ว่าจะไปเดินย่อยอาหารที่ถนนคนเดินต่อสักหน่อย แต่รู้จากคุณป้าเจ้าของห้องพักว่าอาทิตย์นี้เขางด เพราะเป็นวันเลือกตั้ง (แต่เราอ่านในกระทู้ เขาบอกว่าจะเปิด แต่เปิดช้านี่นา???) สุดท้ายก็เลยไม่ได้ไปเดินถนนคนเดิน
จึงจำใจกลับเข้าที่พักไปนั่งดูทีวีลุ้นผลเลือกตั้งต่อ แล้วก็ได้นอนแต่หัวค่ำทั้งๆ ที่อาหารยังอืดเต็มท้อง
ได้อ้วนตั้งแต่ต้นทริปเลยล่ะ ^ ^ เง้อ?
วันที่ 24 ธันวาคม 2550
ผ่านหนึ่งคืนไปอย่างสบาย
ไม่เจอกุ๊กกู๋หลอนหลอกแต่อย่างใด วันนี้คณะเราออกรถตอนประมาณ 8 โมงกว่าๆ แวะทานข้าวเช้ากับร้านข้างทางแถวแม่ริม ตื่นตะลึงอีกเหมือนกันกับเกาเหลาลูกชิ้น ที่ใส่ผัก จินจูฉ่าย (ต้นแก้วเมืองจีน) ด้วย ซึ่งหากินได้ยากในกรุงเทพฯ จำได้จากเกาเหลาเลือดหมูใส่จินจูฉ่ายที่เชียงรายนี่ อร่อยสุดยอดดดดด~~ (แต่ร้านที่เราไปกินที่แม่ริม ไม่ได้ขายเกาเหลาเลือดหมูอ่ะ แต่เขาก็ใส่จินจูฉ่ายกับเกาเหลาลูกชิ้นนะคะ)
ระหว่างทาง เราแวะเที่ยวที่แรก คือ น้ำตก หมอกฟ้า ทางเข้าน้ำตกจากถนนเส้น1095 ประมาณ 2 กิโลเมตรกว่าๆ เป็นทางขึ้นเขา 2 เลนพอสวนกันได้นิดๆ โหดเล็กน้อย จากลานจอดรถเดินเข้าไปอีกนิดหน่อย ก็ถึงตัวน้ำตกหมอกฟ้า เราจึงได้ศึกษาธรรมชาติข้างทางไปในตัว อากาศเย็นชื้นกำลังสบาย
ผืนป่าที่นี่ก็สวยมาก ดูรกชัฎชุ่มชื้นสมเป็นป่าเขตน้ำตกจริงๆ มีเฟินขึ้นตลอดไหล่ทางเดิน เราแอบดูพันธุ์ต้นไม้ใหญ่ ก็คิดว่าน่าจะเป็นป่าเบญจพรรณ ผสมป่าดงดิบค่ะ
ที่ประทับใจที่สุดของน้ำตกหมอกฟ้า คือ สายรุ้งที่พาดประดับอยู่เบื้องล่างตัวน้ำตก คล้ายๆ กับน้ำตก วชิรธาร ที่ดอยอินทนนท์ แต่ไม่อลังการ์เท่า ที่น้ำตกหมอกฟ้านี้ สายรุ้งจะเห็นได้เฉพาะช่วงเช้า- สายๆ เท่านั้นค่า
อย่างหนึ่งที่ประทับใจคือ เม็ดทรายบริเวณน้ำตก เราสังเกตว่ามันสะท้อนแสงแวบๆ วับๆ ผิดกับน้ำตกที่อื่น เลยนั่งยองๆ กอบทรายสำรวจแร่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ใช้นิ้วมือขยี้ก้อนแร่ที่แวบวับนั้นดู ปรากฏว่ามันร่อนลอกออกเป็นชั้นๆ ได้ด้วยอ้ะ! สะท้อนแสงคล้ายแผ่นโลหะที่ตีจนบางเฉียบ เราพยายามนึกเรื่องสายแร่สมัยเรียนมัธยมปลาย ก็สันนิษฐานว่า.. หากมันเป็นตระกูลโลหะจริงๆ
ก็น่าจะเป็นพวก ดีบุก อะไรอย่างนี้กระมังคะ??
เสร็จจากน้ำตกหมอกฟ้าที่น้ำไหลใสเย็น เราก็ไปต่อที่ โป่งเดือดป่าแป๋ กัน
เท่าที่รู้ข้อมูลมา
โป่งเดือดป่าแป๋นั้นเป็นแบบ ไกเซอร์ (น้ำพุที่พุ่งขึ้นด้วยแรงดันใต้ผิวโลก) แต่ก่อนนั้นโป่งเดือดเคยพุ่งได้ถึง 5 เมตร ปัจจุบันนี้เหลือเพียง 1 เมตรเท่านั้น
การเข้าไปเที่ยวที่นี่ต้องขับรถเข้าไปลึกประมาณ 6.5 กิโลเมตร ผจญเส้นทางที่ป่าข้างทางก็รกมั่กมากกก ต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันสูงลิบ เถาวัลย์พันกิ่งระย้า สลับกับป่าไผ่และต้นกล้วย มีบ้านคนอยู่บ้างประปราย ถนนเลนเดียวลาดยางแล้วแต่ผุพัง มีลูกรังแซมบ้างเป็นระยะ หนทางดูธุรกันดานจนเราอดสงสารรถตู้ที่โหลดเตี้ยไม่ได้ค่ะ ขับกระแทกลงหลุมทีนี่
ช่วงล่างมันจะเจ๊งไหมเนี่ย? ก็นึกดีใจที่รถพี่เราเป็นโฟว์วิล
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกนับถือรถเก๋งเก่าๆ แต่ฝีมือเก๋าซ้า
ขับมาถึงจุดหมายได้ด้วยแฮะ ช่างเยี่ยมยุทธ์จริงๆ!
เมื่อล้อหยุด ณ ลานจอดรถโป่งเดือดป่าแป๋ เราก็มองหาน้ำพุทันทีเลยค่ะ อ้าว? ไม่เห็นเลยอ่ะ เห็นแต่ลานกางเต็นท์ กับ สะพานไม้ทอดยาวเข้าไปในป่าทึบ ดูป้ายที่บอก
อ๋อ
ต้องเดินเข้าไปนี่เอง ทั้งเส้นทางก็ประมาณ 750 เมตร ก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆ ก็สำรวจเส้นทางและพันธุ์ไม้ไปตามเรื่องตามราว และแล้วเราก็เห็นเจ้าลูกกลมๆ สีแดงแก่ขนาดเท่าขนมปัง โรตีบอย ผุดจากผิวดินเป็นกลุ่มๆ อ๊ะ? มันคือ ขนุนดิน นั่นเอง!! แต่เป็นขนุนดินที่ยังไม่บานนะคะ
หากเพื่อนๆ ไม่ค่อยได้เดินป่าเท่าไร อาจจะยังไม่รู้จัก ขนุนดินเป็นพืชกาฝากชนิดหนึ่ง พบได้ยากในป่าค่ะ แต่ที่โป่งเดือดป่าแป๋นี่
ขนุนดินดกมากๆ มองเข้าไปในป่าไผ่นี่ ขึ้นกันดาษดื่นทีเดียว นอกจากดกแล้ว ยังดอกใหญ่มากอีกด้วยสิ เมื่อเทียบกับที่เราไปเห็นขนุนดินที่ กิ่วแม่ปาน (ดอยอินทนนท์) มันคนละเรื่องกันเลยค่ะ
ขนาดขนมปังโรตีบอย กับ ขนาดขนมเปี๊ยะลูกเล็ก ขึ้นกันแบบเป็นดงพรึ่บพรั่บ กับขึ้นแบบหลบๆ ซ่อนๆ ประหยัดเนื้อประหยัดตัวจนแทบมองไม่เห็น
อืมม์
จึงได้ข้อสรุปว่า แม้จะเป็นพืชชนิดเดียวกัน แต่ขึ้นกับป่าคนละที่กัน ก็แตกต่างกันได้นะเนี่ย? (<< เพิ่งจะเข้าใจจริงๆ ก็คราวนี้แหละ)
แล้วก็ถึงบริเวณลานหินกว้างของโป่งเดือด มีน้ำร้อนผุดอยู่ใหญ่ๆ 2 จุด เราก็พยายามจินตนาการว่าสมัยก่อนมันพุ่ง 5 เมตรได้ยังไง
แต่นึกไม่ออกค่ะ รู้แค่ว่าถ้าโดดลงไปนี่ ต้องสุกในชั่วพริบตาแน่ เพราะอุณหภูมิน้ำผิวดินที่นี่สูงถึง 90-100 องศาเซลเซียส (ในขณะนี่บ่อน้ำร้อนที่อื่นที่เราเคยไปจะประมาณ 60- 85 องศา) ควันขาวลอยพวยพุ่งทั่วผืนป่าพร้อมกับกลิ่นกำมะถัน หรือ ก๊าซไข่เน่าในอากาศ ชวนให้นึกถึงไข่ต้มฟองใหญ่ๆ เสียจริง อ้อ! แต่ที่นี่เขาไม่ให้ลองต้มไข่นะคะ (ดูจากรูป..ก็พอจะรู้ค่ะว่าทำไม)
ชื่นชมกับทัศนียภาพไกเซอร์เสร็จ ก็เดินบนสะพานไม้ลงเนินเขาเพื่อวนออก ผ่านป่าทึบเขียวขจี มีเถาวัลย์ระโยงระยางแบบป่าดงดิบ สลับกับป่าไผ่ต้นใหญ่ๆ บางช่วง แหงนหน้าไปก็เห็น ชายผ้าสีดา อยู่บนคบไม้ (ทางภาคเหนือ จะเรียกว่า ห่อข้าวย่าบา) มีขึ้นอยู่หลายที่เหมือนกัน แต่มันแห้งกลายเป็นสีน้ำตาลไปหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันตาย หรือแค่แห้งเฉยๆ? ดูแล้วก็น่าเป็นห่วงนะคะ ชายผ้าสีดาจัดว่าเป็นเฟินหายาก เป็นที่หมายตาของนักหาของป่าด้วย คนซื้อไปเลี้ยงไม่เป็นก็ตายอีก จนปัจจุบันชายผ้าสีดาเกือบจะหมดป่าอยู่แล้ว หากเรายังเห็นมันอยู่ตามคบไม้ธรรมชาติละก็.. ถือเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่อนุรักษ์ได้ดีมากค่ะ
เมื่อเดินทางผ่านช่วงโป่งเดือดป่าแป๋ไปแล้ว เราก็เริ่มรู้ซึ้งถึงความลดเลี้ยวของถนน วิ่งผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 2 แห่ง ลัดเลาะตามสันเขากันตลอดเส้น ท้องไส้ก็เริ่มร้องโวยวายมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเห็นจุดที่พักชมวิวกลางทางเป็นร้านอาหารท่ามกลางป่าสน ใกล้กับอุทยานแห่งชาติ ห้วยน้ำดัง รถก็เลี้ยววูบเข้าไปจอดทันทีด้วยความหิวโซทั้งคณะ สัมผัสแรกที่ก้าวลงจากรถ คือ อากาศบนเขาเย็นจริงๆ ค่ะ แม้จะเป็นช่วงแดดประมาณบ่ายสองโมงก็ตาม
เวลาคล้อยบ่ายแล้ว คนก็ยังนั่งกินเต็มร้าน เราจำต้องนั่งจุ้มปุ๊กรอแม่ครัวทำกับข้าวอยู่หลายคิว แบบว่าเขาส่งอะไรให้กิน ก็กินอร่อยหมดแล้วงานนี้ และยังสั่งกาแฟกันคนละแก้วใหญ่มาด้วยค่ะ ไอซ์ลาเต้ ที่ร้านนี้กลมกล่อมมาก เราดื่มเข้าไปเยอะ โดยหารู้ไม่ว่า
กาแฟแก้วนี้ จะเป็นกาแฟแก้วสุดท้ายที่เราดื่มในทริปนี้
เพราะไม่นานนัก
อาการ เมารถ ของเราก็กำเริบค่ะ
จริงๆ เราเองก็รู้ตัวอยู่นิดๆ ว่าเคยเมารถ แต่เป็นอาการเมารถแบบเวียนหัว ไม่เคยมีอาการอะไรมากกว่านั้นเลยค่ะ แต่อาการเมารถคราวนี้มันวิกฤติสุดๆ ไปเลย!! เพราะอาหารที่เพิ่งทานเข้าไป มันจะขย้อนออกทางปาก และทำท่าว่าท้องจะเสียด้วยนี่สิ?? พูดภาษาชาวบ้านแบบไพเราะ ก็คือ มันพร้อมจะออกทั้งสองทวารนั่นแหละ! ผู้ร้ายในงานนี้คงไม่พ้น กาแฟที่มีนม
.
(ซึ่งเราก็ไม่เค้ย~ไม่เคยสำนึก เจอผู้ร้ายรสกลมกล่อมสุดๆ เข้าไป ก็พลาดท่าเสียทีจนได้
)
ในป่าเขา ป้ายบอกทางว่า ปาย อยู่ห่างไปอีก 32 กิโลเมตร สำหรับเราแล้ว
32 กิโลเมตร ราวกับหลายพันกิโลเมตรเลยนะคะ ทุกวินาทีนั้นทรมานมาก
เพราะรู้แน่แก่ใจว่าสถานการณ์แบบนี้หาที่จอดรถไม่ได้แน่ๆ เส้นทางในหุบเขามันทั้งชัน ทั้งแคบ และโค้งสะบัด ขืนหยุดจอดรถ รถคันอื่นอาจจะวิ่งลำบาก และเสี่ยงกับการถูกชนมาก
แม้จะหาที่จอดรถได้ แต่มันก็ไม่มี ห้องน้ำ อีกนั่นแหละ แล้วจะให้เราไต่ลงเหวไปให้ปุ๋ยต้นไม้เหรอ? ไม่อาวววนะ !!! จึงได้แต่กลั้นใจให้ไปถึงเมืองปายข้างล่างโน่น ซึ่งครั้งนี้แหละเราได้ลอง สมาธิ ฝึกความอดทนอดกลั้นกันสุดๆ เลยค่ะ หลานเราที่นั่งอยู่ข้างกายก็ร้องวี้ดๆ อยู่ ยิ่งเพิ่มอาการเมารถขึ้นอีกหลายเท่าตัว ยาดมหรืออมตำรับไหนก็ใช้กับเราไม่ได้แล้ว พอเห็นว่าถนนเริ่มลงพื้นราบ มีจุดพักเป็นร้านกาแฟข้างทาง ก็ขอพี่ชายหยุดรถเลยค่ะ ซึ่งตรงนั้นก็คือ ริมสะพานสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่แล้วก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เมื่อพี่สะใภ้ช่วยไปถามเรื่องห้องน้ำให้ที่ร้านกาแฟริมทาง ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า เอ่อ... เขาบอกว่า ถ้าจะเข้าห้องน้ำไป เดี๋ยวจะเมากว่าเดิมนะ ด้วยอารมณ์หมายมาดในสุขา ทำให้เราไม่สนใจคำเตือนอะไรทั้งสิ้น ในชีวิตก็ผ่านส้วมแย่ๆ มานักต่อนักแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีกละ นอกจากของมันเร่งจะออกก่อนเวลาอันควร!? คิดได้ดังนั้น เราจึงบุกไปถามเจ้าของร้านด้วยตัวเอง
คุณพี่เจ้าของร้านก็ส่งยิ้มตอบแบบแหยๆ พร้อมกับใช้ดรรชนีของเธอชี้ไปที่กระต๊อบหลังเล็กเบื้องล่าง ตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ ท่ามกลางทุ่งหญ้าบนพื้นทราย มีลำธารลำเล็กไหลผ่านด้านข้าง สภาพกระต๊อบนั้นพอจะมองออกว่าประตูนั้นมันช่างง่อนแง่น ขอบประตูเบี้ยวจนเผยอเห็นได้ในระยะไกล ฝาผนังก็พร้อมพรั่งไปด้วย รู ห่างๆ จากการขัดสานไม้อย่างลวกๆ.. แล้วภายในกระต๊อบนี่ล่ะ? เราจะแน่ใจได้ยังไงว่าจะพบโถส้วม? (กลัวเป็นหลุมดำที่มีประวัติศาสตร์จากลำไส้ของชาวบ้าน) แม่เจ้าโว้ยยยยย นี่มันส้วมเอ็กตรา-สเปเชียล-ซุปเปอร์-โคตะระ-แย่ที่สุด!! ยัง..ยังสาธยายความแย่ไม่พอ
แล้วเจ้าถิ่นก็อธิบายต่อว่า หากจะเข้าห้องน้ำจริงๆ ก็ต้องเอาถังน้ำไปวิดน้ำลำธารข้างๆ ไปใช้ ซึ่งลำธารที่ว่านี้ก็น้ำลึกประมาณตาตุ่ม พื้นลำธารก็เป็นทรายล้วนๆ แล้วเราต้องวิดกี่รอบถึงจะเต็มถังละเนี่ย? ไอ้น้ำที่วิดจะมาใช้นั้นน่ะ มันจะสะอาดมั้ย? ก็มันปนเปื้อนไปด้วยทรายแบบนั้นอ้ะ??
ความรู้สึกแย่ จึงยกกำลังอินฟินิตี้ก้องสะท้อนอยู่ในหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสารตัวเอง พอๆ กับการเป็นห่วงเรื่องสาธารณสุขของชุมชนในแถบนี้จับใจ
อันที่จริง เราไม่ควรใช้ความรู้สึกของนักท่องเที่ยวตัดสินวิถีชีวิตชาวบ้านใช่มั้ย? เราควรจะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติให้สมกับที่อุตส่าห์หนีเมืองกรุงมาเที่ยวแม่ฮ่องสอนสิ
แต่จะให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของ ส้วม ที่นี่น่ะเหรอ? โอว ม่ายยยยยยยยยยยยยย ~~
ระหว่างที่กำลังวิตกจริตกับส้วมพื้นเมืองพิศวงจนลืมอาการป่วยอยู่นั้น เสียงของพี่สะใภ้ก็ลอยมาขจัดความคิด พร้อมกับจุดประกายความหวังใหม่ขึ้นอีกครั้ง พี่เขาชี้ไปที่ร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดใหม่ที่อยู่อีกฟากของสะพานข้ามแม่น้ำปายไป อยู่ห่างกันไม่ไกลค่ะ แค่หลังคาร้านก็ดูหรูไฮแบบนี้ ต้องมีส้วมอันพึงใจแน่ๆ
เอาวะ เราก็กัดฟันทนไว้ พอไปถึงร้านกาแฟนี้ ห้องน้ำก็หรูไฮสมใจอยาก แต่ก็ดันมีห้องน้ำอยู่เพียงห้องเดียวอีก เราเข้าไปก็ถูกมารผจญเผ่าคอเคซอยด์ เอ๊ย! ฝรั่งมาเคาะประตูเร่งเรียกอีก 2 รอบ!!
วันนี้มันวันอะไรของตูฟระ?? ให้ตูเป็นสุข สมกับอยู่ใน สุขา หน่อยไม่ได้หรือไง? เราก็อดที่จะสบถในใจไม่ได้อ่ะนะ
ครั้นจะตอบรับว่า Just a minute เดี๋ยวเขาจะหาว่าโกหก เพราะมันนั่งนานแน่ๆ แหละ และถ้าเกิดมีการต่อรองกันขึ้นมาอีกล่ะ? อาการเวียนหัวแบบนี้ สมองเราคงพ่นภาษาอังกฤษไม่ทันแหงๆ
คิดได้ดังนั้นก็เลยสงบเสงี่ยมไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเราต่อไปล่ะดีแล้ว
พอดีได้พี่สะใภ้มาช่วยชีวิตไว้ คุยกับฝรั่งแทนเรา
เลยรอดตัวไปค่ะ
อะไรมันจะซวยตั้งแต่ต้นทริปเลยนะ?
.จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เราผวากับเส้นทางที่เหลืออีกพันกว่าโค้งกว่าจะหมดทริป ขยาดจนไม่กล้าดื่มกาแฟระหว่างเดินทางอีกเลยค่ะ
หนูจะไม่ใจอ่อนกับผู้ร้ายอย่างไอซ์ลาเต้อีกแล้วววววว
ไม่นานนัก
เราได้ตระหนักอีกว่า ความซวยนั้นเป็นมิตรแท้ของเราเพียงไร พ้นวิกฤติเมารถ+ท้องเสียมาได้ เราก็เจออุปสรรคอีก ถ่อไปถึงปายแล้ว แต่ที่พักของเรานั้นอยู่หนใด??
สุริยาจะเย็นย่ำ ทัศนียภาพเริ่มเลือนลาง เส้นทางก็ดูยากขึ้นทุกที
รีสอร์ทหรูที่จะเราพักนั้นอยู่นอกเมือง 4 กิโลเมตร แต่ยิ่งขับไปก็รู้สึกว่าทางมันกันดานมากขึ้นเรื่อยๆ ถนนลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อราวกับทางเกวียน มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุ่งนาเวิ้งว้าง เราดูแผนที่รีสอร์ทที่ปรินท์มาจากเว็บไปก็งงไปค่ะ ซ้ำเมื่อโทรไปถามทางกับรีสอร์ทแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจเลยสักอย่าง จนกระทั่งพลัดหลงมาที่ บ้านสันติชล ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนาน จึงต้องแวะเที่ยวกันสักพักโดยไม่ได้ตั้งใจ
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวกันมาหลายกลุ่ม เราเองก็รู้สึกคุ้นๆ กับภาพเครื่องเล่นชิงช้าจากรูปที่คนอื่นถ่ายมา มีทั้งเครื่องเล่นแบบชาวจีน(หรือชาวเขา?) ทั้งเจ้า ลา น้อยที่แต่งองค์ทรงเครื่อง ร้านอาหาร และร้านขายของฝาก ซึ่งเราก็ได้ลองชิมชากุหลาบเป็นครั้งแรกก็ที่นี่ล่ะค่ะ ดูวิธีชงชาเพลินเลย ทำให้หวนคิดถึงตอนเราไปสิงคโปร์ที่ไปซื้อชาดอกกุหลาบมา แต่เราไม่มีเครื่องชง และก็ชงไม่เป็นด้วยค่ะ ชากุหลาบจึงแปรสภาพกลายเป็นซากกุหลาบแห้งกรังทั้งที่ยังไม่เคยเปิดฝาขวด แม้เราจะได้ดื่มชาฟรี แต่ก็ไปเสียเงินกับโถเก็บชานะคะ เป็นเซรามิกพอร์สเลน ที่เพ้นท์ลายดอกไม้น่ารักมาก ได้โอกาสซื้อฝากผองเพื่อนซะเลย
ลัลล้าได้สักพัก สร้างกำลังใจในการหาทางไปรีสอร์ทต่อ แต่กว่าจะเดินทางไปถึงที่หมายได้ก็เกือบจะมืดแล้วค่ะ ปัญญาจึงบังเกิดว่าทางเข้ารีสอร์ทนั้นเข้าได้สองทาง และเราก็เลือกเข้าทางลำบาก (ว่าแล้วเชียว)
สมกับเป็นคณะเราจริงๆ หนอ
มีภาพรีสอร์ทที่ปายให้ดูด้วย แต่เป็นภาพในตอนเช้านะคะ ^^ (ใครเคยไปนอนที่รีสอร์ทนี้คงจำกันได้แหละ)
เมื่อติดต่อเช็คอินบ้านพักกันเรียบร้อยแล้ว คณะเราก็ตกลงใจไปหาข้าวกินที่ตัวเมืองปาย แล้วก็จะไปเดิน ถนนคนเดิน ที่ใครๆ ไปเที่ยวปายก็ต้องไปเดินกัน เราถามทางจากพนักงานรีสอร์ทเพื่อจะเข้าเมืองอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งผลออกมาก็คืองงและหลงทางอีก ซึ่งคราวนี้ลำบากกว่าเดิมเพราะย่ำค่ำแล้ว บรรยากาศรอบนอกเมืองปายมืดสนิทจนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ส่วนป้ายบอกทางนั้น..ก็ว่ามีน้อยแล้ว ไฟถนนยังมีน้อยเสียยิ่งกว่า
หรือถ้ามีก็เฉพาะถนนสายใหญ่(ซึ่งใหญ่สุดแค่ 2 เลน) เราจึงพึ่งพาได้เฉพาะแสงจากคบเพลิงที่ชาวบ้านเขาจุดไว้ริมรั้วเท่านั้นค่ะ ซึ่งทุกอย่างก็ดูสมกับเป็นชนบทบริสุทธิ์จริงๆ แต่มันไม่ใช่เวลามาชื่นชมขณะเรากำลังหลงทางอ้ะ!
(ที่ชาวบ้านเขาจุดคบเพลิงน่ะ เพราะเขากำลังมี งานรื่นเริง กันต่างหาก หากเป็นวันอื่นๆ คงไม่จุดกัน ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับคืนวันคริสต์มาสอีฟหรือเปล่านะคะ)
ในที่สุด
ก็หาร้านอาหารที่ทางรีสอร์ทแนะนำเจอจนได้ เป็นร้านอาหารตามสั่งอยู่นอกเมืองมาหน่อยค่ะ (เพราะเขาบอกว่าร้านอาหารในเมืองไม่ค่อยอร่อย ก็ต้องเชื่อคนท้องถิ่นอ่ะนะ) ร้านนี้เป็นตึกแถว 2 คูหา แต่ลูกค้าในร้านแน่นมาก รอคิวจนหลานเรานี่ปวดกระเพาะเลย แต่เข้าใจค่ะว่าทำไมคนถึงแห่แหนมากินร้านนี้กันเยอะ ก็เพราะมัน อ า ห ย่ อ ย นี่เอง
และราคาก็ถือว่าถูกมาก (แม้ราคากับข้าวจะเท่ากรุงเทพฯ ก็เถอะ แต่อาหารนี่ล้นจานเลยค่ะ และรสชาติก็ดีระดับร้านหรูๆ เลยทีเดียว) เมื่อส่งอาหารลงเต็มกระเพาะแล้วก็ทำให้เราหายเคือง มีแรงไปถนนคนเดินที่ตัวเมืองต่อค่ะ
อันที่จริงเราเคยไปเมืองปายนานมาแล้วค่ะ เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อนที่ปายจะฮิตเสียอีก ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของปายมากมาย ปายกลายเป็น เมือง ไม่ใช่สถานที่อันเงียบสงบอีกต่อไป
(ยกเว้น รอบนอกเมืองที่ยังคงสภาพเดิมไว้ได้อยู่ แต่คิดว่าอีกไม่นานหรอก เมืองจะขยายออกไป เราเห็นเขาตัดถนนสายใหม่เพิ่ม ก็เห็นแววแล้วล่ะค่ะ) เมื่อปีก่อนโน้น เราได้พักอยู่ในตัวเมือง ยังได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรชัดเจน ยังมองเห็นหิ่งห้อยป่าตัวเล็กๆ ส่องแสงสีเหลืองอมเขียว แสงไฟจากบ้านเมืองก็ยังไม่ค่อยมี มีแต่แสงเทียนส่องสว่างรำไร ซึ่งก็ดูโรแมนติกไปอีกแบบ
.ทว่าในวันนี้
ปายเต็มไปด้วยตึกแถว ช่วงเทศกาลก็คลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยวมากกว่าคนท้องถิ่นเสียอีก เสียงดนตรีกลบเสียงหรีดหริ่งเรไร แสงจากหลอดไฟกลบแสงเทียนแท่งน้อย สรุปว่า..เราไปปายกัน เพื่อจะไปเจอตรอกข้าวสารเวอร์ชั่นในหุบเขาหรือเปล่านะ? ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ใจนักท่องเที่ยวนะคะ ถ้าชอบก็ไม่มีปัญหาหรอก
แต่ปัญหาจะไปอยู่กับคนท้องถิ่นหรือเปล่านั้น? เราไม่แน่ใจค่ะ
สำหรับผู้ที่รักความสงบ ชอบวิถีชาวบ้านที่เรียบง่ายท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขาสูง ในขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสสีสันของเมืองเล็กๆ ด้วยละก็
ที่อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ น่าจะเข้าเค้ากว่า ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นะคะ
เราเคยไปเที่ยวทั้งสองที่ คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะ -- เฮ้อ --
และจากการกลับมาสัมผัสปายอีกครั้ง ทำให้นึกขึ้นได้ว่า เราไปเที่ยวมาแค่ 2 วัน ไปสถานที่เดิมที่เคยไป
ได้โอกาสกลับมาเยี่ยมอีกที ทุกอย่างก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมด ทั้งธรรมชาติ ทั้งสภาพความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่น
แต่เราไม่ได้กล่าวโทษว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ดีหรอกนะคะ แต่มันทำให้เรารำลึกถึงความเป็นจริงของโลกต่างหาก อะไรๆ มันก็ต้องวิวัฒน์ขึ้น หรือไม่ก็สูญสลายลง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้คงที่ ซึ่งตอนนี้เราก็ควรรำลึกความเป็นจริงของตัวเองเหมือนกัน เพราะเขาว่ากันว่า คนเรายิ่งแก่ ก็ยิ่งขี้บ่น
เอ
แล้วไอ้ที่พิมพ์พรรณนามาทั้งหมดเนี้ย? มันเข้าข่ายขี้บ่นหรือเปล่าว้า??? (ห้ามคนอ่านพยักหน้าเห็นด้วยเด็ดขาด แต่เราพยักหน้ายอมรับเองได้ เอิ๊กๆ ///)
เอาล่ะค่ะ ลงบันทึกเพียง 2 วันแรก ก็น่าจะทำให้คนอ่านเมื่อยสายตากันพอสมควรแล้ว เอาไว้ต่อกันคราวหน้าละกันนะคะ ขอขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่พยายามถ่างตาอ่านจนจบจ้า (ถ้าอ่านในรอบเดียว ก็อย่างเซียนเลยอ่ะ) ยังเหลือบันทึกอีก 4 เอ๊ย 5 วันแน่ะ เอ่อ ถ้าบันทึกนี้ไม่ทำให้เมื่อยสายตาจนเกินไปนัก ก็โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ แหะแหะ
คิดเห็นกันอย่างไร คอมเม้นต์กันได้ค่า~~
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปล. ทางจขบ. อาจจะเข้ามาแก้ไขรูปในบล็อกนี้อีกค่า.. ดูมันแปลกๆ ยังไงไม่รู้เน่อ
Create Date : 06 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 7 มกราคม 2551 12:30:12 น. |
Counter : 6051 Pageviews. |
| |
|
|
|