All Blog
เวลาในขวดแก้ว : ประภัสสร เสวิกุล






เวลาในขวดแก้ว


บทประพันธ์ : ประภัสสร เสวิกุล


ISBN 978-616-04-1568-7 ฉบับปก สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์. พิมพ์ครั้งที่ 38. 2556.

จำนวน 296 หน้า ราคา 195 บาท


รายละเอียด

เรื่องราวความผูกพันและชีวิตของ นัต (อ้วน) ป้อม เอก ชัย กลุ่มเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน รวมทั้ง หนิง น้องสาวของนัต และ จ๋อม เพื่อนสาวคนสนิทที่นัตแอบรู้สึกพิเศษต่อเธอมาตลอด 

จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่ง วันที่ทุกคนต่างก็ต้องเลือกทางเดินในชีวิตของตัวเอง ไม่มีใครสามารถรั้งรอให้เวลาหยุดหมุน แล้วคงอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขได้ตลอดไป แม้แต่ความฝันก็อาจผันแปรไปได้ตามกาลเวลา พวกเขาจึงต่างเดินไปบนเส้นทางของตนเอง โดยไม่อาจพึ่งพาใครได้ และทำได้เพียงเก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ไว้ในความทรงจำเท่านั้น


“ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้

สิ่งแรกที่ฉันจะทำ...

คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์

เพียงเพื่อมอบมันให้แด่เธอ”

- เวลาในขวดแก้ว


REVIEW

เวลาในขวดแก้ว บทประพันธ์อมตะของ ประภัสสร เสวิกุล ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ในหนังสือดี 100 เรื่องที่เด็กไทยและเยาวชนไทยควรอ่าน

หลังอ่านจบแล้ว ผมไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดหนังสือเล่มนี้จึงได้รับการยกย่อง ครองใจ และอยู่ในความทรงจำของนักอ่านหลายคนมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมา นับจากได้รับการพิมพ์ครั้งแรกกับสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เมื่อปี 2528 นั่นเพราะเนื้อเรื่องเวลาในขวดแก้ว ได้นำเสนอมุมมองและปัญหาสังคมเอาไว้มากมาย ภายใต้การดำเนินเรื่องบนมิตรภาพและความผูกพันของตัวละคร ได้แก่ นัต ป้อม เอก ชัย หนิง และ จ๋อม ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีภูมิหลังชีวิต และความฝันที่ต่างกันไป

พล็อตหลักของเรื่อง คือปัญหาในครอบครัวของนัตและหนิง สองพี่น้องที่พ่อ-แม่แยกทางกัน พ่อมีเมียใหม่ และแม่ก็ทนไม่ไหว จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีสามีใหม่ด้วย ปัญหาของผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมหันหน้ามาเจรจากัน ทำให้ลูกๆ เคว้งคว้างและว้าเหว่ เหมือนดังความรู้สึกของนัตซึ่งเป็นคนเล่าเรื่อง แต่แล้วเขาก็ได้ค้นพบความรู้สึกเดียวกันนี้จากบันทึกของหนิง เมื่อได้อ่านบันทึกนั้นเขาถึงได้รู้ตัวว่า ขณะที่เขาว้าเหว่และสิ้นหวัง เขาก็มีส่วนเติมความว้าเหว่ให้แก่น้องสาวด้วย แทนที่จะเติมกำลังใจให้น้อง ความว่า


“เรามีกันอยู่สี่คนพ่อ แม่ พี่ชาย และฉัน...เรามีกันอยู่แค่นี้ เรามีกันอยู่สี่คน เราต่างก็ร้องไห้คนเดียวและเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง เราต่างก็โดดเดี่ยว...”


แม่ของนัตค่อนข้างเผด็จการและขี้บ่น แต่ก็เป็นคนรักลูกมาก ส่วนพ่อของนัตชอบดื่มเหล้า และไม่เคยเชื่อมั่นในใคร แต่เขาเป็นคนทำงานเก่ง และมีคำสอนหนึ่งที่สอนนัตได้ดีมากๆ เกี่ยวกับการทำงานและการวางตัวในสังคมว่า


“ถ้ารักจะอยู่ในสังคมก็ต้องทำตัวแบบพระอาทิตย์ ถึงเวลาขึ้นก็ฉายแสงให้เต็มที่เลย แต่พอถึงตอนลงก็เก็บตัวให้มิดชิด แสงสว่างสักแอะเดียวก็ไม่ให้หลุดออกมา แล้วเราก็จะอยู่ไปได้นานเท่านาน”


เรื่องราวในช่วงต้นถึงกลางเรื่อง จะเน้นหนักไปในเรื่องปัญหาในครอบครัวของนัตเสียส่วนใหญ่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของนัตและหนิง พอค่อนมาท้ายเรื่องจะเน้นเรื่องความผูกพันระหว่างเพื่อน ที่ห่างหายกันไปในช่วงเวลาหนึ่ง เรื่องราวจะกลับมาเข้มข้นและชวนให้ติดตามอย่างมาก อ่านแล้วลุ้นตามไปด้วยว่าจุดจบของตัวละครจะเป็นยังไงบ้าง

โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่างนัตกับป้อม ซึ่งผู้เขียนวางความสัมพันธ์ของตัวละครคู่นี้ไว้ดีมากๆ คือเราอ่านตั้งแต่แรกแล้วรู้สึกเลยว่า มันมีความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้น เพียงแต่นัตผู้เล่าเรื่องไม่เคยมองเห็น และผู้เขียนก็ไม่ได้บอกออกมาตรงๆ กระทั่งช่วงท้ายเรื่องที่ป้อมพูดถึงนิยามความรักของตัวเองให้นัตฟัง ผมเลยคาดเดาว่าต้องใช่แน่ๆ อย่างเช่น


“ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก”

“สำหรับฉันรู้แต่ว่ามีคนเดียวที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต...แล้ววันหนึ่งแกจะรู้”


ยอมรับว่า ถ้าผมเป็นคนบ่อน้ำตาแตกง่าย ผมคงร้องไห้ไปกับความรู้สึกที่ป้อมมีต่อนัตแล้ว เพราะผมรู้สึกชอบ ‘ป้อม’ มาตั้งแต่ต้นเรื่อง ถึงอย่างนั้นตอนอ่านก็ยังขนลุกตามไปด้วย เพราะรับรู้ได้เลยว่ามิตรภาพและความรู้สึกของป้อมที่มีต่อนัต มันวิเศษสำหรับตัวเธอมากจริงๆ ดูจากข้อความสุดท้ายที่เธอเขียนให้นัต


“ตะแบกบาน

เธอเคยบอก

จะเก็บให้...สักวัน

ฉันรอคอย...ชั่วชีวิต

แต่วันนั้น...ไม่เคยมาถึง”


จุดเด่นของเรื่องข้อหนึ่งคือ ฉาก เหตุการณ์หลายๆ ฉากในเรื่อง เป็นภาพความทรงจำ ซึ่งผู้คนที่เคยผ่านช่วงเวลาเก่าๆ มาแล้ว หากได้อ่านก็ต้องประทับใจตามไปด้วยแน่ๆ หรือไม่ก็ทำให้หวนรำลึกนึกถึง เช่น ร้านหมาแหงนที่ขายขนมถั่วตัดและมีตู้เพลงหยอดเหรียญ ถนนที่มีดอกชมพูพันธุ์ทิพย์เบ่งบาน บ้านที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ชุมชนแออัดที่เป็นแหล่งแอบสูบกัญชาของวัยรุ่น เหตุการณ์ที่นักศึกษารวมตัวกันประท้วงรัฐบาล หรือจะเป็นบทกวีของท่านอังคาร และหนังสือปีกหักของนักปรัชญา “คาลิล ยิบราน” นอกจากนี้ ยังมีปัญหาครอบครัวแตกแยก ที่เข้ามาสร้างความเข้มข้นให้กับพล็อตเรื่องด้วย

ผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ กระชับ ทว่ามีความคมคาย กินใจ และใช้กลวิธีเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ คือ มีลักษณะตัดสลับเนื้อเรื่องแบบย้อนไปย้อนมา และวางปมให้เราต้องลุ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางครั้งฉากและซีนค่อนข้างสั้น เหมือนการฉายภาพยนตร์เลย แต่เรียงร้อยเรื่องได้เข้าใจและลงตัว

ตัวละครแทบทุกตัวมีคาแร็คเตอร์ที่โดดเด่นและชัดเจน ซึ่งส่งผลต่อความคิดและการกระทำของพวกเขาในเรื่อง เช่น

นัต เป็นคนห่วงใยเพื่อนและคนรอบข้าง แต่ลึกๆ แล้วแอบเป็นคนขี้เหงา ชอบที่จะเก็บความรู้สึกไว้กับตัวมากกว่า รวมถึงเป็นคนชอบโหยหาอดีต แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เรียนรู้ที่ก้าวไปข้างหน้า

ป้อม ลักษณะภายนอกเป็นสาวห้าว ชื่นชอบบทกวีและปรัชญา และยึดถืออุดมการณ์ของเสรีชน

เอก เป็นลูกจีน เตี่ยทำร้านขายของชำ เอกเรียนเก่งกว่าเพื่อนและตั้งใจเรียนจนสอบติดมหาวิทยาลัยตามความคาดหวังของครอบครัว

ชัย เป็นคนร่าเริง เฮฮา มีความฝันอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ โชคร้ายที่ขาพิการหลังมีเรื่องชกต้อยในการแข่งขนฟุตบอล ชีวิตของชัยเลยเหมือนไร้จุดหมายนับแต่ตอนนั้น

นิยายเรื่องนี้นับว่ามีหลากหลายแง่มุมให้คบคิด รวมทั้งมีให้ข้อคิดแทรกอยู่ทุกช่วง ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ มุมมองของเด็กวัยรุ่นยุคก่อนที่มีอุดมการณ์ นึกถึงความก้าวหน้าของชาติ แล้วกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่เป็นธรรมในสังคม แต่ในเรื่องนี้ก็มีคำสอนทิ้งท้ายไว้ค่อนข้างดี ซึ่งมาจากมุมมองของ ครูวาทิน ครูสอนไวโอลินของนัต ความว่า


“ครูเข้าใจความหวังดีที่เธอมีต่อชาติและสังคม แต่ปัญหามันอยู่ที่พวกเธอมีไฟแต่ไม่มีฟืน มีความคิดแต่ขาดประสบการณ์ที่จะผลักดันให้ความคิดเหล่านั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อมันล้มเหลวขึ้นมา พวกเธอก็โทษระบบและคนแก่ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ก่อนเธอแล้วเช่นกัน ครูอยากจะเตือนเธอว่า ลมที่แรงมักจะผ่านไปเร็ว สู้ลมที่ไม่แรงแต่พัดอยู่เป็นประจำไม่ได้ และไม่มีที่ไหนในโลกจะมีความยุติธรรม หากมีคนหรือสัตว์อยู่ร่วมกันมากกว่าหนึ่ง ต่างคนต่างก็เรียกร้องให้ได้มากที่สุด”


แนะนำให้ลองอ่านกันดูครับ เป็นอีกเรื่องที่จบได้อิ่มใจดี ทำให้เรานึกย้อนมองเวลาที่ผ่านมาในชีวิต ไม่แน่ว่าบางคนอาจจะอยาก ‘เก็บเวลาไว้ในขวดแก้ว’ เหมือนกับพวกเขาก็ได้


สวัสดีครับ




เวลาในขวดแก้ว

ฉบับปก แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 36

ปกนี้สวยดีนะครับ


Jim-793009

13 : 06 : 2016




Create Date : 13 มิถุนายน 2559
Last Update : 8 กันยายน 2559 17:56:34 น.
Counter : 13120 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Jim-793009
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]



"เขียน" ถ้าสิ่งนั้นคือความสุขอย่างแรกที่เรามองเห็นและนึกถึง ^_^

วรรณกรรมจึงงามกว่าเพชร คมกว่าดาบ เป็นโอสถอันประเสริฐยิ่งของชาวโลก
- กฤษณา อโศกสิน

"หนังสือบางเล่มผมไม่ได้อ่านเพราะชอบหรือไม่ชอบ เมื่อเป็นนิยายรักยอดนิยม ถ้าไม่อ่านก็เสียโอกาสทำความเข้าใจคนอื่น...ดีสำหรับผม ไม่ได้หมายความว่าคุณอ่านแล้วจะเข้าใจ หรือชอบในระดับเดียวกัน"
- ประชาคม ลุนาชัย [ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก]

"...สำหรับนักอ่าน หนึ่งในการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต คือการพบว่าตัวเองเป็นนักอ่าน ไม่ใช่แค่อ่านออก แต่ตกหลุมรักมัน ตกหลุมรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตกหลุมรักหัวปักหัวปำ หนังสือเล่มแรกที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นจะไม่มีวันถูกลืม..."
- Finders Keepers, Stephen King
New Comments