Jazzyrain ... let's fill the life with happiness
Group Blog
 
All Blogs
 

SG-MY...ตอน 3 Singapore so cool ...review day2,3

เว้นวรรคไปนานเลยค่ะ เพราะมัวแต่ทำโน่นทำนี่อยู่

มาต่อกันเลยค่ะ

วันที่สองที่สิงคโปร์ เราก็ยังคงมุ่งมั่นกับพิพิธภัณฑ์ค่ะ โดยวันนี้เราเริ่มที่ SAM หรือ Singapore Art Museum เดินไปตามเคยค่ะ



ที่นี่เป็นตึกเก่าเหมือนกันค่ะ สวย...



ใช้เวลานานตามเคย แล้วก็ต้องแวะร้านนี้ค่ะ The Dome



ตั้งใจแวะร้านนี้ตามที่บล็อกของคุณ kizz_j แนะนำไว้ค่ะ ร้านนี้อยู่บริเวณเดียวกับ SAM ตอนแรกตั้งใจจะแค่ดื่มกาแฟ แต่กลิ่นอาหารในร้านหอมยั่วใจมากๆ



กาแฟพอใช้ค่ะ แต่อาหาร (ของเรา) อร่อยมากเลย เป็นพายเนื้อสโตรกานอฟค่ะ


ส่วนของแฟนเป็นพิตต้าค่ะ เห็นว่าเฉยๆ



อิ่มแล้วก็เดินต่อไปที่ 8Q ค่ะ ซึ่งเป็น museum น้องของ SAM (เป็น art เหมือนกัน แต่ว่าเล็กกว่าค่ะ)



จากนั้นก็เดินๆๆๆ ไปยัง Bugis เพื่อตามหาบันได้หลากสี
เดินไปจนสุดแยกก็หาเจ้าบันไดไม่เจอ เลยเลี้ยวเข้าไปถาม Tourist info แต่เค้าก็บอกไม่เคยเห็น

ก็เลยเดินออกมาเซ็งๆ ไม่ถึงห้าก้าว ก็เจอ ... เลยเดินกลับไปบอกเค้าว่า ถ้าคราวหลังมีคนมาถามหาเจ้าบันไดนี่ล่ะก็ บอกให้เค้าเดินไปอีกห้าก้าวละกันนะ

เฮ้อ



ที่เจ็บใจก็คือ เดินมาอีกหน่อยเดียว ก็จะพบว่าเป็นซอยที่ตะกี้ถอดใจ หันหลังกลับไปหา tourist info (คือถ้าเดินไปอีกสามก้าว ก็จะไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมา)



เนื่องจากเราใช้เวลาในมิวเซียมเยอะมาก ก็เลยต้องตัด little india ออก ตั้งใจว่าถ้าคราวหน้าไปสิงคโปร์คงต้องไปกินอาหารอินเดียให้ได้

เราก็เลยตัดสินใจนั่งใต้ดินมุ่งหน้าไป boat quay เพื่อไป Asian Civilization (กะใช้บัตร 3 day pass ให้คุมค่ะ )



เดินนานมากเหมือนเคยค่ะ เพราะที่นี่กว้างมากเลย แล้วก็ของน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะตอนนั้นจัดนิทรรศการเครื่องประดับของตะวันออกกลาง
กว่าจะออกมาก็ห้าโมง
จากนั้นตั้งใจจะเดินไป Raffles Hotel เพื่อ High tea แต่เนื่องจากมัวแต่เพลิดเพลินในมิวเซียม เลยมาถึงช้าไป อดเลย
เดินไกลเอาการเลยค่ะ จริงๆก็มีรถเมล์นะ แต่เราขี้เกียจรอ

ถ้าใครตั้งใจไปกิน high tea ต้องไป 15.30 - 17.30 นะคะ เราไปถึง 17.45 เลยอด

ก็เลยเข้าร้านเบเกอรี่ แก้ขัด .. ก้พบว่า Tiramisu ที่นี่อร่อยเลิศไปเลย



แล้วก็เดินเล่นขึ้นไปที่ Raffle Museum ... ก็เล็กๆค่ะ ไม่มีอะไรมาก
แต่ที่นี่สวยดีนะคะ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองนอนดูสักคืน อารมณ์เหมือนโอเรียนเต็ลบ้านเรา

พักจนหายเมื่อย ก็ออกเดินต่อ ไปยัง Singapore Flyer

ค่าตั๋วแพงโฮก ... แต่ก็นะ ครั้งหนึ่งในชีวิต

อ่อ ก่อนไป บังเอิญได้ดูสารคดี เกี่ยวกับไอ้เจ้า Flyer นี่ ว่ามันช่างยากลำบากในการสร้าง เค้าเจอปัญหาเยอะมากๆ เราก็เลยคิดว่า มันก็คุ้มที่จะจ่าย



เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเค้าโชคดี มาวันที่ไม่มีคน เลยเหมือนได้กระเช้าส่วนตัว แต่เรานี่ตรงข้ามเลย คนเยอะเต็มกระเช้า แถมมีเด็กวิ่งเล่นด้วย

แนะนำว่าไม่ต้องนั่งเก้าอี้ตรงกลางที่เค้ามีให้หรอกค่ะ แต่เกาะกระจกด้านที่หันเข้าเมืองไว้ดีกว่า จะได้ชักภาพได้ตามอัธยาศัย
เรานี่นั่งพื้นมันซะเลย



ตลอดทริปนี่ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องนะคะ แต่ใช้ "ไหล่ตั้งกล้อง" แทน

เป็นไหล่ของคุณแฟนค่ะ *o*

เพราะเราไปแบบ backpack ก็เลยขี้เกียจแบกขาตั้งไป

Flyer จากข้างล่างค่ะ



จากนั้นก็เดินอีก ไปยังesplanade นึกว่าเป็นห้างแล้วจะมีร้านให้ช้อปง่ะ แต่เราคงหามันไม่เจอเองอ่ะค่ะ จ๋อยเลย Charles & Keith ของเรา

วิวดี๊ดีค่ะ แถมอากาศก็ดีด้วย แนะนำให้มาชมวิวตอนกลางคืนเนอะ



ถ่ายรูปแต่บนสะพานค่ะ ไม่ได้ลงไปถ่าย merlion เลย ไม่รู้จะมีกี่คนที่เป็นอย่างเรา ฮ่าๆ (แต่ก็กะว่าถ้าไปคราวหน้าก็คงถ่ายนะ)




และแล้ว..ก็ได้เวลา...หม่ำไฮไลท์สิงคโปร์ ... Chilli crab น่ะเอง
ต้องยอมรับเลยค่ะ ว่าไปเที่ยวคราวนี้ ทำการบ้านเรื่องอาหารน้อยมาก แต่จัมโบ้นี่ ไม่ต้องทำก็รู้ ว่าต้องไปลองสักครั้ง

เราเลือกสาขา Boat quay ค่ะ เพราะว่าอยู่ริมน้ำ แล้วก็ใกล้ใต้ดิน จะได้กลับง่ายๆ (จริงๆ Clarke quay ก็น่าจะบรรยากาศดี)
เดินไปอีกแล้วค่ะ น่องโป่งเลย

จานแรกเป็นเจ้ากุ้งจานนี้ค่ะ (จำชื่อไม่ได้) แต่อร่อยดี รสชาติเหมือนกุ้งผัดไข่เค็ม (เมื่อเดือนก่อนไปกินกุ้งผัดไข่เค็มที่มุมอร่อยมา สูสีเลยค่ะ)




จานนี้หอยเชลล์ รสชาติอารมณ์ติ่มซำค่ะ อร่อยอีก


สุดท้าย Chilli Crab ค่ะ ตัวโตสมคำร่ำลือ และสดอร่อยมากๆ


มื้อนี้อิ่มพอดีๆค่ะ Citibank ลด 10% นะ (มื้อกลางวันทางร้านมีโปรลดราคา 20% ด้วยนะ) ทั้งหมดประมาณ 1200 ค่ะ ไม่แพงนะเราว่า

จากนั้นก็ไปทำภารกิจตามหา tiger balm สีแดง ที่มีเพื่อนฝากซื้อค่ะ ว่าสีแดงมีขายแต่ที่สิงคโปร์ และเผ็ดร้อนกว่าสีเหลืองในบ้านเรามากๆ ก็เลยเดินไป China town เพราะเมื่อวานที่มาเดินที่นี่ก็เห็นว่ามี แต่คุณแฟนไม่ยอมซื้อ เพราะคิดว่าจะมีที่ถูกกว่า
ปรากฏว่าร้าปิดหมดแล้วค่ะ ... เงียบจนน่ากลัว ... แถมโดนแฟนด่าอีกว่าพาไปเดินทำไม เห็นก็เห็นว่ามันปิด
ก็ใครจะไปรู้ล่ะเนอะ มันอาจจะยังเปิดอยู่เป็นร้านสุดท้ายก็ได้

นั่งใต้ดินกลับไปแบบงอนๆกันนั่นล่ะ

เดี๋ยวตอนนหน้าจะพาออกเดินทางเข้ามาเลเซียนะคะ




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2553    
Last Update : 29 มิถุนายน 2553 21:10:15 น.
Counter : 778 Pageviews.  

SG-MY...ตอน 2 Singapore so cool (เตรียมทริปแบบละเอียด) + review day1

ตั้งชื่อตามที่รีวิวไว้ใน blueplanet ค่ะ แต่ในนี้จะเล่าละเอียดกว่าละกันเนอะ

สำหรับสิงคโปร์นี่เราเตรียมตัวค่อนข้างมาก เพราะมีสถานที่น่าสนใจหลายที่ เลยต้องมานั่งดูว่าจะไปไหนบ้าง

วิธีเตรียมทริปของเราก็คือ
1. หาข้อมูล โดยการเอาคู่มือนำเที่ยวทั้งหลายมาอ่าน รวมทั้งดูกระทู้ที่มีคนเคยรีวิวไว้ ซึ่งเราก็จะเอาสถานที่ที่เราสนใจไปลิสท์ไว้ใน file excel โดยใส่ที่ตั้ง เวลาทำการ ราคาค่าเข้า ไว้ให้เรียบร้อย รวมทั้ง remark ไว้ด้วยว่าที่นั้นมีอะไรที่พลาดไม่ได้บ้าง

2. ดูประกอบกับแผนที่ โดยเราใช้ google map เป็นหลัก เราก็พล็อตไว้ก่อนว่าเราอยากไปที่ไหนบ้าง แล้วพอเห็นภาพรวม ก็เอามาเรียง จัดกลุ่มว่าอะไรควรไปวันไหน เพื่อให้เราไม่ต้องย้อนไปย้อนมา รวมทั้งหาเส้นทางขนส่งสาธารณะไว้เลย แล้วเอาไปเติมใน excel ในข้อแรก

3. จากนั้นเราก็สามารถเลือกโรงแรมที่อยู่ในย่านที่มีที่ที่เราสนใจเยอะๆ เพื่อที่จะได้ประหยัดค่าเดินทาง โดยเราเลือก YMCA (จริงๆ เราบุ๊คไปก่อนที่จะวางแผนค่ะ เพราะยังไงซะมันก็อยู่ใกลรถไฟใต้ดิน) แต่ก็โชคดีที่ว่า YMCA นี่ใกล้พิพิธภัณฑ์ทั้งหลายมากเลย

ก่อนไปก็อย่าลืม print excel ที่ว่านี่ไปด้วยนะคะ และพอไปถึงโรงแรมก็หยิบแผนที่มากาง พร้อมทั้งวงสถานที่ที่จะไปไว้เลย เวลาเดินจริงๆจะได้ไม่มัวมะงุมมะงาหรา (excel เรานี่ดูจนกระดาษเปื่อยตั้งแต่วันแรก)

--

พร้อมแล้วก็ไปกันเลยค่ะ

--

เราไป Jetstar ไฟลท์ดึกค่ะ แต่ก็คนเยอะมาก ขาไปนั่งติดกับพี่คนไทยคนนึงที่แต่งงานกับคนมาเลเซีย โดยพี่เค้ามีจุดหมายที่ JB ก็เล่าให้เค้าฟังว่าจะไปไหนบ้าง
เค้าก็บอกว่า สิงคโปร์กะมะเลนี่ต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ ที่สิงคโปร์นี่จะสะดวกและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวมาก ส่วนมาเลต้องระวังทุกฝีก้าว พี่เค้ายังใจดีให้นามบัตรมาด้วยเผื่อว่าต้องการความช่วยเหลือตอนไปมาเล

พอลงจากเครื่อง คนต่อคิวผ่านต.ม.กันแถวยาวเลยค่ะ (ถ้าเป็นไปได้ เลือกแถวที่ผู้หญิงน้อย เพราะเค้าจะถามผู้หญิงเยอะกว่า)

ตอนกรอกใบ immigration เราดันไปเขียนว่า next destination เป็น Melaka (ก็ในหนังสือนำเที่ยวทั้งหลายบอกว่ามันเขียนได้สองแบบนี่นา) แฟนเราที่เดินนำหน้าไปก่อนเลยโดนต.ม.ดุ ว่ามันเป็นภาษามลายูนะ ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Malacca แล้วแฟนเราก็เลยชวนเค้าคุยเรื่อยเปื่อย (ต.ม.เป็นผู้ชายหน้าดุมากกกก) ปรากฏว่าพอถึงตาเรา เค้าไม่ถามอะไรเราสักคำเลย แค่วงคำว่า Melaka ให้ดูเท่านั้นเอง แหะๆ

ตอนนั้นเราก็เห็นบางคนโดนเรียกเข้าห้องไปนะ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันค่ะ

เนื่องจากไปถึงหลังเที่ยงคืน รถไฟฟ้าก็เลยปิดให้บริการไปแล้วค่ะ เราก็เรียกแท็กซี่ไป ปรากฏว่าเท็กซี่นึกไม่ออกว่าโรงแรมเราอยู่ตรงไหน แล้วเราดันไม่ได้ปริ้นท์แผนทีไป รวมทั้งไม่ได้หยิบแผนที่ที่แอร์พอร์ตมาเลย ก็เลยชี้ไม่ได้ ได้แต่ให้เค้าดู booking ที่มีที่อยู่ของโรงแรม

เพราะฉะนั้น อย่าลืมปรินท์แผนที่โรงแรมไปด้วยนะคะ

แต่แท็กซี่ก็พาไปถึงโดยสัสดิภาพค่ะ สนนราคา ประมาณ 20 เหรียญนิดๆมั้ง
(พอๆกับจากบ้านไปสุวรรณภูมิแหละ)

YMCA ของเรา สภาพเก่าเชียวค่ะ พรมทางเดินกลิ่นไม่ค่อยดีด้วย งานนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมารีวิวที่พักเลยค่ะ เพราะว่าเหนื่อยมากๆ แล้วหลังจากนั้น ห้องก็ไม่เคยกลับไปในสภาพดีอีกเลย เพราะเรากองของไว้เต็มเตียง

บอกได้แค่ว่าราคา s$130 ต่อคืนนี่คุ้มที่โลเคชั่นและความปลอดภัย ห้องเก่าและมีกลิ่นอับ (แต่เตียงโอเค และห้องน้ำสะอาด) ส่วนอาหารเช้าไม่ต้องพูดถึง (ไม่อร่อยเลย)

วันแรก เราตั้งนาฬิกาปลุกเก้าโมง เพราะที่สิงคโปร์นี่สถานที่ต่างๆ เปิดสิบ-สิบเอ็ดโมงทั้งนั้นเลย ... ลืมตาขึ้นมาก็เห็นแต่สายฝนกระหน่ำ พอไปกินข้าวก็ยังตกเยอะอยู่ ก็เลยต้องควักเสื้อกันฝนออกมา (มีประโยชน์จริงๆเห็นมั้ยล่ะ)

จากตอนแรก โปรแกรมของวันแรกจะเป็น Singapore Art Museum เลยต้องเปลี่ยนเป็น National Museum เพราะอยู่ตรงข้ามโรงแรม จะได้ไม่ต้องฝ่าฝนไปไกล

เมื่อเข้าไปถึงก็ซื้อตั๋วแบบ 3 day pass เลยค่ะ s$20 ใช้ได้ 8 museum ด้วยกัน
ซึ่งเราไปทั้งหมด 5 museum มั้ง ก็คุ้มแล้วค่ะ เพราะบางที่ประมาณ 8-10 เหรียญ

โดมภายใน museum ค่ะ



พอเข้าไป เค้าก็จะให้ไปโซนนี้ก่อนค่ะ



ก่อนเข้า เราก็จะได้อุปกรณ์ชิ้นนี้มา เดินไปตรงจุดไหนก็ดูเบอร์ที่พื้น แล้วกดตาม ก็จะมีเสียงพากษ์ให้ฟัง หรือถ้าเป็นรูปภาพ ก็จะมีคำอธิบายขึ้นมาให้ค่ะ



ภายในมิวเซียมนี่ใหญ่ทีเดียวค่ะ

ทั้งๆที่จริงๆแล้วสิงคโปร์ไม่ได้มีประวัติศาสตร์อะไรให้เล่ามากมาย (ไปตรงไหนก็เจอแค่ Raffles) แต่เค้ากลับทำสื่อการนำเสนอได้อย่างดี

เราเดินไปก็นึกไป ว่าถ้าเมืองไทยมีอย่างนี้จะดีแค่ไหน เพราะเด็กๆก็คงสนใจใฝ่รู้กันมากขึ้น

เดินกันอยู่นานมากค่ะ กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงได้มั้ง (ทั้งๆที่ตามแพลนคือหนึ่งชม.) เพราะแฟนเราเป็นคนช่างสงสัย อยากรู้ อยากดูไปซะทุกอย่างค่ะ เลยใช้เวลาค่อนข้างเยอะ

จากนั้นก็เดินไป Peranakan Museum ซึ่งอยู่ไม่ไกล ที่นี่เป็นตึกเก่าเล็กๆ ข้างในก็ไม่มีอะไรมาก จะจัดแสดงเสื้อผ้า วิถีชีวิตของ Peranakan



แล้วก็เดินไป Armenian church ซึ่งจริงๆแล้วจะไปตามหาร้านอาหารชื่อ My secret garden ซึ่งเราไปเจอในบล็อกนึงเขียนบอกไว้ว่าร้านสวยมาก แต่เราหาไม่เจอ เดินวนรอบนึงก็ถอดใจ เดินไปนั่งใต้ดินเพื่อไป Far east square โดยตาม google บอกให้ไปลงป้าย Raffle place ซึ่งเราก็เชื่อ

โดยที่เราอยากไปที่นี่เพราะเราเห็นในรูปแล้วตึกมันสวยดี รวมทั้งมีคำอธิบายว่าเป็นแหล่งของกิน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีร้านไหนน่ากินเลยค่ะ จนคุณแฟนที่เริ่มหิวจะหันมากินหัวเราแทน เพราะเดินมาจากรถไฟฟ้าค่อนข้างไกลทีเดียว (จริงๆแล้วนั่งไปลง china town เลยจะดีกว่า)

โชคดีมากๆ ที่เราได้ Kaya toast มาช่วยชีวิต ก่อนที่คุณแฟนจะโมโหหิวไปมากกว่านี้ ร้านนี้ก็อร่อยดีค่ะ เป็นของขึ้นชื่อของสิงคโปร์เค้าล่ะ

จากนั้นก็เดินไป china town ค่ะ ได้มุมนี้มา น่ารักดี



ยังคงเดินหาของกินกันต่อไป แต่ก็ไม่พบอะไรน่าสนใจ จนไปเห็นร้านของหวาน (จำชื่อไม่ได้) คนเยอะมากๆ (สงสัยดัง) แต่มันก็เฉยๆนะ แล้วก็เดินเรื่อยๆค่ะ จนถึงวัดจีน ก็ไม่ได้กินอะไรเพิ่ม (ทั้งๆที่ปกติ เราช่างกินมากๆนะ ดูได้จากบล็อกของกินของเรา)

ตรงหน้าวัดจีน เงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นนี่ค่ะ การตากผ้าแบบสิงคโปร์เค้าล่ะ ที่นี่พื้นที่น้อยจริงๆ (คุณแฟนช่างสังเกตุของเราล่ะค่ะ ที่เป้นคนเห็น)



จริงๆแล้วจาก China town เราจะต้องไป URA Gallery ก่อนค่ะ แต่เนื่องจากเวลาช้าไปกว่าแพลนมากแล้ว ก็เลยตัดทิ้ง (จริงๆเพราะต้องเสียค่าเข้าต่างหากจาก 3 day pass อิอิ) แล้วมุ่งหน้าไป Henderson wave bridge ซึงการเดินทางโดยรถเมล์นี่ก็ต้องยกนิ้วให้ google map เลยค่ะ

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เราไม่มีเศษตังค์ ป้ายรถเมล์ที่นี่ดีมากเลยค่ะ บอกว่ามีสายไหนบ้าง ไปไหนบ้าง ราคาเท่าไหร่ แต่ปัญหาก็คือ นถเมล์เค้าไม่ทอนตัง แล้วเราก็ไม่ได้ซื้อบัตร ezy เพราะอยู่แค่ไม่กีวัน และส่วนใหญ่ก้เดินซะมากกว่า
เพราะฉะนั้นเลยต้องวิ่งแลกเหรียญกันให้วุ่น (ตอนหลังเลยไม่ยอมใช้เหรียญเลยค่ะ เอาไว้ขึ้นรถเมล์)

แล้วก็ไปถึงค่ะ Henderson wave bridge เดินขึ้นกันหอบแฮ่กเลยทีเดียว





จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์ไป Vivo City ซึ่งเป็นห้างขนาดใหญ่ แล้วก็ขึ้นไปชั้นบนสุด เพื่อขึ้น Monorail ไป sentosa ค่ะ

เราไปถึงก่อนเวลาแสดง song of the sea ค่อนข้างมาก เลยแวะเดินเล่นตามป้ายต่างๆก่อนค่ะ แล้วก็เดินไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ท ก่อนจะเดินกลับมาดูการแสดง

แนะนำนิดนึงว่า ระหว่างแสดง แถวหน้าเปียกแน่นอนค่ะ เรานั่งแถวสองก็ไม่รอด เพราะฉะนั้น แถวสี่ขึ้นไปจะดีกว่า

แล้วก็นั่งโมโนเรลกลับมาที่ Vivo city
เดินเล่น เผื่อมีร้านน่ากิน (แต่ก็ไม่มี)


สุดท้ายก็นั่งใต้ดิน (ซึ่งอยู่ใต้ห้างเลยค่ะ) กลับโรงแรม
โชคดีมาก ที่แถวๆโรงแรม มีฟู้ดคอร์ท 24 ชม. เลยเข้าไปกินข้าวรอบดึกค่ะ

แค่วันแรกก็ยาวแล้ว เดี่ยววันที่สองค่อยมาต่อกระทู้หน้าก็แล้วกัน มีเรื่องเล่าอีกเพียบเลยค่ะ




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 1:57:43 น.
Counter : 937 Pageviews.  

SG-MY...ตอน 1 เตรียมทริป

จริงๆกลับมาจากทริปเป็นเดือนๆแล้วค่ะ แต่ว่าเนื่องจากวันหยุดเฉพาะกิจ ทำให้เราได้มีเวลามาเขียนบล็อก เพื่อที่จะได้เอาไว้อ่านเป็นความทรงจำ แล้วก็เป็นแนวทางของเพื่อนๆที่กำลังสนใจไปสิงคโปร์-มาเลเซีย

เริ่มทริปนี้จริงๆ จากการจองตั๋วเครื่องบินของ Jetstar ไปสิงคโปร์ค่ะ คนละ 2,150 แต่เวลาไม่ดีค่ะ เป็นไฟลท์สุดท้าย ซึ่งตอนนั้นเรากะแฟนคิดว่า ไปดึกจะได้ไม่ต้องรีบไปสนามบินมาก (เพราะทำงาน) แล้วก็ตื่นเช้ามาจะได้เที่ยวเลย

แต่ก็กลายเป็นว่าเป็นการเพิ่ม cost ค่าที่พักเข้ามา แล้วค่าโรงแรมที่สิงคโปร์ก็แพงโหดร้ายมาก รวมทั้งค่า taxi ที่เพิ่มมาด้วย เพราะไปถึงหลังเที่ยงคืน ไม่มีรถไฟฟ้าแล้วค่ะ

ก็กลุ้มใจกันเหมือนกันค่ะ เพราะว่าจองตั๋วไปแล้วเพิ่งนึกได้ แต่สุดท้ายก็ว่าคุ้มนะคะ เพราะถ้าไปรอบเช้า กว่าจะเข้าโรงแรม แล้วก็คงเหนื่อยจากการเดินทางด้วย คงเที่ยวได้ไม่เต็มที่เท่านี้

เนื่องจากเราไปช่วงวันหยุดสงกรานต์ค่ะ เลยลาเพิ่มแค่วันเดียว ก็จะได้วันหยุดสิบวัน ซึ่งแฟนเราก้แพลนมาให้คร่าวๆว่า สิงคโปร์ มะละกา กัวลาลัมเปอร์ คาเมรอนไฮแลนด์ แล้วก็ปีนัง ค่ะ

ดังนั้นเราจึงจองตั๋วกลับจากปีนัง ราคาคนละ 1,700 ค่ะ

ส่วนเรามีหน้าที่จัดทริปในรายละเอียด ว่าจะนอนที่ไหนกี่คืน ไปไหนบ้าง ค่ะ

หลังจากจองตั๋วเครื่องบิน (ตั้งแต่ปลายปี 52) ช่วงวันหยุดปีใหม่เราก็เริ่มแพลนว่าจะไปไหนบ้าง โดยเราสลับค้างหลายคืนบ้าง คืนเดียวบ้าง เพื่อให้ไม่เหนื่อยจากการเดินทางจนเกินไป

ก็สรุปออกมาว่า สิงคโปร์ 3 คืน มะละกา 1 คืน KL 2 คืน คาเมรอน 2 คืน ปีนัง 1 คืนค่ะ

แฟนเรารับหน้าที่ไปเอาเอกสารนำเที่ยวจากสำนักงานท่องเที่ยวของมาเลย์และสิงคโปร์ที่สีลมค่ะ เราก็เอามาศึกษาว่าที่ไหนมีอะไรน่าสนใจบ้าง ประกอบกับดูจากรีวิวในพันทิปค่ะ

แล้วก็ได้เวลาหาที่พัก โดยหลักๆเราก็ดูจาก พันทิป agoda(เลือกราคา) แล้วก็ไปดูรีวิวใน Tripadvisor ค่ะ

จริงๆแล้วเรากับแฟนตั้งใจให้ทริปนี้เป็นแบบ backpack ค่ะ แต่ว่าเราทนไม่ได้จริงๆกับการ "ค่ำไหนนอนนั่น" เราเข็ดกับการ walk-in เพราะมันเหนื่อยและน่าหงุดหงิดมากๆ และเราก็ไม่สามารถใช้ห้องน้ำรวมได้เช่นกัน ที่พักแต่ละที่ก็เลยค่อนข้างแพง (สำหรับการเป็น backpacker)

เดี๋ยวเราไปเขียนเหตุผลที่เลือกแต่ละโรงแรมในตอนนั้นๆดีกว่า

ที่เราต้องแพลนล่วงหน้านานมาก ก็เพราะช่วงเดือน 1-4 ของปี เราจะงานยุ่งมากๆๆๆ แบบว่าสี่ทุ่มอย่างต่ำ เพราะฉะนั้นเพื่อนๆไม่จำเป็นต้องแพลนล่วงหน้านานขนาดนี้ก็ได้ค่ะ

ก่อนถึงวันเดินทาง ... เราเตรียมพร้อมเสมอค่ะ แต่ว่า ...เดี๋ยวจะเล่าว่าตกม้าตายยังไง

1. ซื้อปลั๊ก universal ไปใช้ที่โน่น
2. ซื้อ memory card เพิ่ม เพราะไม่ได้เอาโน้ตบุ๊คไป
3. print ตั๋ว, ใบจอง, แผนที่ต่างๆ รวมทั้งคู่มือนำเที่ยว
4. ซื้อเสื้อกันฝน (ที่โน่นอากาศเอาแน่ไม่ได้น้า)
5. แลกเงิน

แต่ทีนี้ด้วยความงก (ของแฟนเรา) เลยรอจนอัตราแลกเปลี่ยนเป็นที่น่าพอใจ สุดท้ายก็ไม่พอใจซะที ไปแลกเอาวันสุดท้าย ซึ่งแบงค์ต่างๆ ไม่มีเงิน ringgit หรือ s$ เลย ต้องจองล่วงหน้าสองวัน
เราเลยโทรเช็คหัวปั่นเลย ปรากฏว่าได้ s$ จาก UOB ส่วน RM คงต้องไปแลกเอาดาบหน้า

เรื่องที่ตกม้าตายก็คือว่า

ไอ้ปลั๊ก universal ที่เลือกมาดิบดี ไม่เอาอันที่ดูกิ๊กก๊อก เลือกอันที่มีช่องให้เสียบ USB มันกลายเป็นว่า มีแต่ USB ไม่มีช่องให้เสียบปลั๊ก ......สุดท้ายต้องไปตะลอนหาซื้อที่สิงคโปร์

แล้วก็เมมโมรี่การ์ด ที่อุตส่าห์ซื้อตอนมันลดราคา ก็ลืมเอาไป ...ต้องย่อไซส์รูปให้เหลือแค่ medium

เซ็งเลยค่ะงานนี้

สุดท้ายก่อนไป
- เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะกับสภาพอากาศ
- ยาต่างๆ (ขอบอกว่ายาหม่องที่เอาไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ ทริปนี้ต้องยกให้ยาหม่องเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเลยทีเดียว)
- อุปกรณ์กันแดด เพราะที่นั่นร้อนมากจริงๆ
- ที่ขาดไม่ได้ก็คือ พาสปอร์ต และ ปากกา ค่ะ




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2553 23:47:04 น.
Counter : 577 Pageviews.  


Rainy in the blue sky
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ฟังเพลงแจ๊สในวันฝนตกนี่มันช่างดีจริงๆ

http://www.jazzyrain.com
New Comments
Friends' blogs
[Add Rainy in the blue sky's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.