โยเกิร์ต เมนูอร่อย มากคุณค่า
อร่อยกับ "โยเกิร์ต" (M&C แม่และเด็ก) โยเกิร์ต เป็นภาษาตุรกี มีต้นกำเนิดในราชสำนักของกษัตริย์ฟรานซิสแห่งฝรั่งเศส ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 16 โยเกิร์ตคืออายุวัฒนะสำหรับมนุษย์ คนยุโรปจึงหันมารับประทานโยเกิร์ตกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ในปี ค.ศ. 1919 ในกรุงบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ปัจจุบันมีประชาชน ทั่วโลกรับประทานโยเกิร์ตกันเป็นประจำกว่า..... ร้อยละ 30 โยเกิร์ตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการหมักนมโดยเชื้อจุลินทรีย์ทำจากนมสด นมพร่องมันเนย นมคืนรูปจากนมพร่องมันเนย ซึ่งหมักด้วยจุลินทรีย์ Lactobacillus bulgaricus กับ Streptococcus thermophilus จุลินทรีย์จะเปลี่ยนน้ำตาลในนม คือ แลคโตสให้เป็นกรดแลคติก ที่ทำให้โปรตีนตกตะกอน มีลักษณะเป็นลิ่มอ่อนนุ่ม คือ มีเนื้อสัมผัสกึ่งแข็งกึ่งเหลว โดยทั่วไปมีสีขาวถึงนวล มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เฉพาะตัว รสชาติเปรี้ยว เนื่องจากมีกรดค่อนข้างสูงและมีจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ปริมาณมาก นอกจากนี้ กรดแลคติกที่ได้จากการผลิตโดยจุลินทรีย์แล้ว ยังมีสารประกอบอื่น ๆ เกิดขึ้นอีกด้วย แต่มีในปริมาณน้อย ได้แก่สารประกอบที่ระเหยได้ หรือสารประกอบอะโรมาติก ซึ่งพบว่าสารประกอบเหล่านี้ ทำให้เกิดคุณสมบัติเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์ เช่น กลิ่น รสชาติ และเนื้อสัมผัสที่แตกต่างออกไป ชนิดของโยเกิร์ต 1.Set yogurt หรือโยเกิร์ตแบบคัสตาร์ด จะมีการบ่มในภาชนะบรรจุ เช่น ถ้วยพลาสติก โดยการเติมส่วนผสมที่ฆ่าเชื้อแล้วทั้งหมด ปิดฝาภาชนะแล้วบ่มที่อุณหภูมิและเวลาที่ต้องการ โยเกิร์ตที่ได้จะมีลักษณะเป็นครีมข้น ผลไม้อยู่ด้านล่างถ้วย ต้องคนก่อนรับประทาน 2.Stirred yogurt หรือโยเกิร์ตแบบสวิส โดยจะมีการบ่มส่วนผสมทั้งหมดในถังขนาดใหญ่และมีการกวนส่วนผสมต่าง ๆ ให้เข้ากันก่อนที่จะบรรจุ โดยสามารถให้ความร้อนเพื่อให้เก็บไว้ได้นาน มีลักษณะเป็นครีมเหลว 3.Drinking yogurt หรือนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม มีลักษณะเป็นน้ำที่ได้จากการเจือจางโยเกิร์ตด้วยน้ำผลไม้แล้วผสมเป็นเนื้อเดียวกัน 4.Concentrated yogurt เป็นโยเกิร์ตชนิดเข้มข้น 5.Frozen yogurt เป็นโยเกิร์ตที่มีลักษณะคล้ายไอศกรีม โยเกิร์ตที่ผลิตจากนมสดจะมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่านมสด โปรตีนที่ได้จากโยเกิร์ตคือ เคซีอีน เป็นโปรตีนคุณภาพสูง เพราะมีสารที่จำเป็นที่ร่างกายเราไม่สามารถสร้างเองได้มากมาย ได้แก่ กรดอะมิโนที่จำเป็น อันมีส่วนสำคัญต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเรา และมีสารอาหารที่มีคุณค่ามากมายทั้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี แร่ธาตุสำคัญ ๆ เช่น แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และเชื้อจุลินทรีย์ แลคโตบาซิลลัส ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานเป็นปกติ สำหรับเด็ก ๆ แล้ว โยเกิร์ตมีความสำคัญสำหรับกลุ่มเด็กที่ไม่ค่อยรับประทานผักผลไม้ ลดปัญหาการเกิดอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และยังให้คุณค่าด้านอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอีกด้วย สลัดกุ้งทอด เสิร์ฟกับซอสโยเกิร์ต ส่วนผสมซอสโยเกิร์ต โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วยตวง ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 1 ช้อนโต๊ะ ขึ้นฉ่ายสับ 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา มะกอกดองสับ 1 ผล เกลือเล็กน้อย ส่วนผสมกุ้งทอด กุ้งแกะเปลือก 6 ตัว ไข่ไก่สำหรับชุบทอด1 ฟอง แป้งสาลี และเกล็ดขนมปังสำหรับคลุกทอด เกลือ พริกไทยป่น เล็กน้อย น้ำมันสำหรับทอด วิธีทำ 1.ผสมส่วนผสมซอสโยเกิร์ตทุกอย่างที่เตรียมไว้รวมกัน แล้วพักไว้ 2.ล้างกุ้งให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย คลุกด้วยแป้งสาลี จากนั้นนำมาชุบไข่ คลุกด้วยเกล็ดขนมปัง 3.นำกุ้งลงทอด ในน้ำมันร้อน ใช้ไฟปานกลาง จนกระทั่งสุกเหลือง กรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน 4.จัดเสิร์ฟกับผักสลัด และซอสโยเกิร์ต Tip : สามารถปรับเปลี่ยนผักสลัดตามที่ลูกชอบได้ เช่น ผักกาดแก้ว แครอท มะเขือเทศ แตงกวา เรดโอ๊ก กรีนโอ๊ก เป็นต้น สเต็กไก่อบโยเกิร์ต เสิร์ฟกับซอสโยเกิร์ตและผักต้มสุกผัดเนย ส่วนผสม เนื้อไก่ 3 ชิ้น โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วยตวง กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ เนยสด 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นเล็กน้อย ส่วนผสมซอส หอมใหญ่สับ ¼ ถ้วยตวง กระเทียมสับ 1ช้อนโต๊ะ เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น 1 ช้อนชา น้ำซุป ¼ ถ้วยตวง โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ¼ ถ้วยตวง เกลือป่นปรุงรสเล็กน้อย วิธีทำซอสเลม่อน 1.ผัดหอมใหญ่ กระเทียม เนยสด พริกไทยป่น พอหอม เติมน้ำซุปเคี่ยวจนส่วนผสมสุกนุ่ม 2.ปรุงรสด้วยเกลือ ยกลง เติมโยเกิร์ตชิมรสอีกครั้ง ใช้จัดเสิร์ฟกับไก่ที่อบเตรียมไว้ วิธีทำ 1.หมักไก่กับส่วนผสมทั้งหมด คลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้ประมาณ 20 นาที 2.อบไก่ที่หมักไว้ โดยวางเรียงในถาดอบรองด้วยหัวหอมใหญ่หั่นแว่น 3.จากนั้นอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นานประมาณ 15-20 นาที หรือจนกระทั่งสุกเหลือง (สามารถทอดในกระทะเทฟร่อนโดยใช้น้ำมันเล็กน้อย) 4.จัดเสิร์ฟกับผักต้มสุกผัดกับเนยสด และซอส Tip : สามารถปรับเปลี่ยนผักต้มสุกหลากชนิดตามชอบ ก่อนเสิร์ฟ ผัดหอมใหญ่สับ 2 ช้อนชา เนยสด 2 ช้อนชา พอหอม ใส่ผักที่ต้มเตรียมไว้ ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทยป่น เสิร์ฟขณะร้อน วุ้นโยเกิร์ต ส่วนผสม ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วยตวง น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วยตวง วนิลา 1 ช้อนชา วิธีทำ 1.ผสมผงวุ้น น้ำเปล่าแช่ไว้ประมาณ 5 นาที 2.ยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟกลางเคี่ยวจนส่วนผสมเดือด จนกระทั่งวุ้นสุก สังเกตจากวุ้นจะมีลักษณะใส ระหว่างเคี่ยวใช้พายไม้คนที่ก้นกระทะตลอดเวลา ระวังอย่าให้ส่วนผสมไหม้ 3.เติมน้ำตาลทรายแดง วนิลา เคี่ยวต่อสักครู่ จนส่วนผสมเดือด 4.เติมน้ำผึ้งและโยเกิร์ต คนให้เข้ากัน 5.ยกลง เทส่วนผสมที่เคี่ยวได้ ใส่พิมพ์ พักให้เย็น แกะออกจากพิมพ์ 6.จัดเสิร์ฟกัซอสโยเกิร์ต และผลไม้สด Tip : ซอสโยเกิร์ต เตรียมโดยใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วยตวง ผสมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน คุณแม่ขา...พักก่อนนะคะ
คุณแม่ขา...พักก่อนนะคะ (รักลูก) เรื่อง : เพียงขวัญ ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความเครียดสามารถบั่นทอนสุขภาพกายใจของทุกคนได้เป็นอย่างมาก และหากกำลังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องดูแลตัวเองทั้งกายใจ ไม่ให้ความเหนื่อยล้าหรือความเครียดมาทำร้ายทั้งคุณแม่และคุณลูกได้ค่ะ..... ถึงเวลาพักหรือยัง ? คุณแม่อาจคิดว่าตนเองสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ ทั้งงานในบ้านและนอกบ้าน แต่ระวังนะคะ...เพราะความเครียดหรือความเหนื่อยล้า อาจแอบแฝงอยู่และรอจังหวะทำร้ายสุขภาพกายใจ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็เป็นได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ? ลองเช็กตัวเองจากคำถามเหล่านี้ดูสิคะ รู้สึกอยากร้องไห้บ่อย ๆ ไม่มีสมาธิ การตัดสินใจช้าลง ไม่อยากพูดจากับใคร ๆ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห กินอาหารมากหรือน้อยกว่าปกติ ไม่สามารถจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยจัดการได้ นอนไม่หลับ ขี้หลงขี้ลืม ขาดความกระตือรือร้น รู้สึกเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย หัวเราะน้อยลง รู้สึกหดหู่ และหวาดระแวงคนอื่น ๆ ถ้าคำตอบคือ "ใช่" มากกว่า 4 ข้อ แสดงว่าคุณแม่ต้องหาเวลาพักผ่อนแล้วล่ะค่ะ เพราะหากปล่อยไว้ก็จะนำไปสู่อาการเครียดเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของทั้งคุณแม่และสุขภาพของเจ้าตัวเล็กในท้องแน่ ๆ กิจกรรมสบายสลายเครียด มีตัวอย่างของกิจกรรมที่ทำง่าย ๆ สบาย ๆ มาให้คุณแม่เลือกตามความสนใจ ใครจะเลือกทำมากกว่าหนึ่งข้อ หรือจะทำทุกข้อก็ไม่ว่ากัน บางกิจกรรมนอกจากช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายแล้ว ยังได้คุณค่าทางใจอีกด้วยนะคะ ...DIY เพื่อเจ้าตัวเล็ก เช่น ทำสมุดภาพ โดยเลือกภาพถ่ายของครอบครัว ภาพถ่ายของคุณแม่ในช่วงเดือนต่าง ๆ ภาพที่ถ่ายจากอัลตร้าซาวด์ ฯลฯ นำมาติดและตกแต่ง อาจจะเว้นที่ไว้สำหรับติดรูปเจ้าตัวเล็กหลังจากที่เขาคลอดออกมาแล้วด้วยก็ได้ หรือเลือกทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ถักนิตติ้ง เย็บผ้ากันเปื้อนให้ลูก หรือตกแต่งห้องสำหรับลูกน้อย ฯลฯ ช็อปปิ้งออนไลน์ คุณแม่ไม่ต้องฝ่ารถติดออกไปนอกบ้านให้หงุดหงิดใจ ก็สามารถได้ของใช้ทั้งของตัวเอง และของสำหรับลูกน้อยได้เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก แต่สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง คือ การเลือกร้านค้าที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ค่ะ แต่หากปกติอยู่แต่ในบ้านแล้วรู้สึกอยากเปิดหูเปิดตา จะหาเวลาไปเดินช็อปปิ้งของกินของใช้ให้เพลินใจบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ ขอความช่วยเหลือ หากคุณแม่รู้สึกเหนื่อยหรือเครียดกับภาระหน้าที่ที่ต้องทำในแต่ละวัน ก็อย่าฝืนและอย่าเก็บไว้คนเดียวควรขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เช่น คุณแม่เวิร์กกิ้งมัมอาจขอให้เพื่อนร่วมงานช่วยเหลือในบางเรื่อง หรือขอให้คุณพ่อหรือสมาชิกคนอื่น ๆ ช่วยทำงานบ้านบางอย่างให้ ฯลฯ ขณะเดียวกัน คุณแม่ก็ต้องไม่รู้สึกอายหรือเสียหน้าที่จะขอความช่วยเหลือด้วย ทำสมาธิ การทำสมาธิไม่จำเป็นต้องเป็นการนั่งนิ่ง ๆ แล้วหลับตาภาวนาเท่านั้นนะคะ แต่อาจเป็นการก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ บนสนามหญ้า หรือบริเวณที่มีอากาศปลอดโปร่ง บรรยากาศสบาย ๆ ที่สำคัญจะต้องเป็นพื้นที่ที่คุณแม่สามารถก้าวเดินได้อย่างปลอดภัย เมื่อคุณแม่เอาใจมาจดจ่อในแต่ละย่างก้าว ให้เป็นก้าวย่างที่มั่นคงและปลอดภัย นอกจากคุณแม่จะได้สมาธิและดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบันแล้ว ยังถือเป็นการออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ ไปในตัวด้วยนะคะ ศิลปะบำบัด เลือกได้ตามใจชอบค่ะ ทั้งการวาด การปั้นเปเปอร์มาเช่ ฯลฯ นอกจากจะช่วยให้คลายเครียดแล้ว ผลงานบางชิ้นอาจกลายเป็นของขวัญของฝาก ของแต่งบ้าน หรืออาจกลายเป็นงานอดิเรกที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวก็ได้ หมั่นสังเกตและดูแลสุขภาพของตัวเองทั้งกายใจ หากมีสัญญาณเตือนว่าคุณแม่อาจเหนื่อยหรือเครียดจนเกินไป ก็หาวิธีผ่อนคลายได้ตามใจชอบ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงทั้งคุณแม่และเจ้าตัวเล็กในท้องค่ะ คัพเค้ก...ขนมน่ารักน่าหม่ำในงานแต่ง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ruffledblog.com และ greenweddingshoes.com ปัจจุบันนี้มีบ่าว-สาวหลายคู่นิยมนำ "คัพเค้ก" (Cupcake) ของหวานชิ้นพอดีคำ ที่มีการจัดแต่งหน้าได้อย่างน่ารักน่าชังและน่ารับประทาน อีกทั้งยังมีสีสันสดใสสวยสะดุดตา มาดัดแปลงเป็นเค้กแต่งงานทดแทนเค้กแต่งงานแบบเดิม ๆ หรือหากไม่นำมาเป็นเค้กแต่งงาน คัพเค้กก็จะถูกนำมาเป็นของชำร่วยเก๋ ๆ หรือขนมหวานแสนอร่อยในงานแต่งงาน จึงทำให้คัพเค้กเป็นหนึ่งเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง..... อาจเพราะคู่บ่าว-สาวสมัยใหม่ต้องการความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้คัพเค้กขึ้นแท่นเป็นนางเอกในงานแต่งงาน คงหนีไม่พ้นเนื้อเค้กที่นุ่ม หอม บัตเตอร์ครีมละมุนลิ้น รวมถึงการตกแต่งหน้าเค้กในสไตล์ต่าง ๆ ตามแต่ธีมงานแต่งงาน ที่สร้างความรู้สึกน่าเอ็นดูทุกครั้งที่พบเห็น สำหรับคู่บ่าว-สาวที่เริ่มหลงใหลความน่าอร่อยของ "คัพเค้ก" แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดีนั้น เราขอแนะนำให้อิงกับธีมงานแต่งงานของคุณจะดีที่สุด เพื่อความกลมกลืนและเข้ากันดี และวันนี้กระปุกเวดดิ้งก็ได้นำเอา "คัพเค้ก" หน้าตาน่ารักน่าหม่ำมาฝากกันด้วยค่ะ เผื่อเป็นไอเดียดี ๆ ในการสร้างสรรค์คัพเค้กเก๋ ๆ ในงานแต่งของคุณทั้งคู่ อาหารดี กินได้ทุกวัน
ช่วงเวลาเร่งรีบ บวกกับวิถีชีวิตของคนที่ต้องทำงานตามเวลา อาจทำให้หลายคน ไม่มีเวลาเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ อาหารดีหรือไม่ อยู่ที่เลือกให้สมดุล วิธีการที่สำคัญที่สุดของการเลือกอาหาร คือเลือกอย่างไร ให้เราสามารถทานได้ทุกอย่าง เลือกอาหารอย่างสมดุล แล้วการเลือกอาหารอย่างสมดุล ทำได้อย่างไร การทานอาหารให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพนั้น คุณสามารถทำได้ทุกวันและทุกมื้อ โดยอาศัยหลักพิจารณาเพียงข้อเดียว คือ เรื่องของความสมดุลของอาหาร ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทานแฮมเบอร์เกอร์ แทนที่จะทานทั้งชุดที่มีทั้ง เฟรนซ์ฟรายด์และน้ำอัดลม คุณก็เลือกทานแค่ แฮมเบอร์เกอร์ แล้วอาจเสริมด้วยสลัดสักเล็กน้อย อาหารมื้อนั้นของคุณก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ดั้งนั้นหากคุณจะทานคุณก็จำเป็นต้องหาอาหารมาเสริม เพื่อให้อาหารมื้อนั้น ๆ เข้าใกล้สมดุลมากที่สุด เช็คพฤติกรรมการกินของตัวเอง การเลือกทานอาหารให้หลากหลาย เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง ที่จะทำให้เราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และสามารถหลีกเลี่ยงสารพิษที่อาจตกค้างอยู่ภายในได้ ตัวอย่างเช่น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง บางคนชอบ ทานได้ แต่อย่าทานทุกวัน เพราะหมูปิ้งที่ไหม้เกรียมจะตกค้างในร่างกาย แม้ว่าตามปกติร่างกายสามารถขับสารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายได้เองก็ตาม แต่หากสะสมก็สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ เพราะฉะนั้นการทานอาหารซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ตัว อาจก่อให้เกิดการสะสมของสารอาหารบางอย่าง หรือสารพิษบางชนิดจนเกินพอดี ก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น วิธีที่จะช่วยให้คุณตามพฤติกรรมการรับประทานอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การทำบันทึกสิ่งที่ทานในแต่ละมื้อ จะทำให้คุณเห็นว่า อาหารอะไรที่คุณทานบ่อย และจะสามารถปรับพฤติกรรมการบริโภคของคุณเองได้ โดยอาจเพิ่มหรือลดอาหารบางประเภท ซึ่งตรงนี้จะกลายเป็นข้อมูลคร่าว ๆ ให้คุณวางแผนการรับประทานอาหารได้อย่างสมดุลมากขึ้น อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ได้หายากเกินไปอย่างที่คิด ที่สำคัญต้องมีสติ อย่าตามใจปาก นึกถึงความพอดี ก็ทำให้ได้อาหารดี มีคุณภาพต่อสุขภาพคุณแล้ว. . . . . 10 ข้อแนะนำในการทาลิปสติก ให้สวยเริ่ดกว่าที่เคย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ต่อให้ตอนนี้เมคอัพริมฝีปากจะมีหลากหลาย ทั้งทินท์ ทั้งกลอส ไม่ว่าจะเป็นกลอสใสหรือกลอสแบบมีสี แต่ถ้าพูดถึงความคลาสสิคที่ยังไว้วางใจได้เสมอ ก็ต้องยกให้ "ลิปสติก" นี่แหละค่ะ ที่เป็นคู่ใจอันดับหนึ่ง ทาแล้วได้ลุคที่เป็นโปรเฟสชั่นนอลกว่า สีสวยสดคมกว่า ทำให้เรียวปากดูชัดเจนโดดเด่นได้มากกว่า และคราวนี้เพื่อความสวยของเรียวปากอย่างสมบูรณ์แบบ ลองมาดูข้อแนะนำในการทาลิปสติก ให้สวย ให้เริ่ด กว่าที่เคยกันเลยค่ะ 1. เตรียมผิวริมฝีปาก เพื่อจะทาลิปติกให้ดูเรียบเนียน ก็ต้องเตรียมผิวริมฝีปากให้พร้อมด้วย อย่าลืมทำการสครับริมฝีปากด้วยเกลือและกับน้ำมันกินได้ อย่างอัลมอนด์ ออยล์ หรือโอลีฟออยล์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือใช้แปรงสีฟันขนนุ่มขัดริมฝีปากเบา ๆ หลังแปรงฟันก็ได้ค่ะ 2. เลี่ยงลิปสติกที่มีชิมเมอร์มากเกินไป ลิปสติกที่มีประกายชิมเมอร์มาก ๆ บางทีก็ดูหลอกตาเกินไป โดยเฉพาะเมื่อจะใช้ทาให้เรียวปากดูมีประกายอิ่มเอิบขึ้นมา การเลือกใช้ลิปสติกที่สามารถให้ความชุ่มชื้น หรือเนื้อที่ดูเป็นครีมมากกว่า จะสามารถให้ประกายออกมาจากตัวเนื้อลิปสติกเองได้ แถมยังดูอิ่มสวยกว่าพวกที่ใช้ลูกเล่นประกายชิมเมอร์ หรือเมทัลลิกเสียอีก 3. เลือกลิปสติกเฉดที่เหมาะกับสีริมฝีปาก หากอยากจะทาลิปสติกให้สวย ให้เลือกสีลิปสติกโดยพิจารณาให้รับกันดีกับสีของริมฝีปาก (ไม่ใช่สีผิวนะจ๊ะ) คนที่มีเรียวปากค่อนข้างซีด ดูดีในสีแดงเชอร์รี่ หรือแดงคอรัล คนที่มีปากแดงเป็นสีเลือดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ดูดีในสีฮ็อตพิงค์ สีส้ม หรือสีแดงแครนเบอร์รี่ คนที่มีริมฝีปากค่อนข้างคล้ำ ดูเกิดมาก ๆ ในสีแดงอิฐ หรือแดงเบอร์กันดี 4. วิธีเลือกลิปสติกสีนู้ดให้แจ่ม ลิปสติกสีนู้ดที่ทาแล้วจะดูสวย คือสีนู้ดโทนที่อ่อนกว่าหรือเข้มกว่าสีผิวจริงเพียงเล็กน้อย หากคุณเป็นคนผิวขาวให้เลือกเฉดนู้ดที่เจือสีชมพูจาง ๆ แต่ถ้าคุณมีผิวเหลืองหรือออกไปทางคล้ำ ให้เลือกสีเบจที่เข้มกว่าผิวจริงนิดหน่อย จะสวยมาก 5. เลือกสีไม่ดีระวังจะเหมือนผีดูดเลือด ลิปสติกสีแดงที่เจือสีน้ำเงินหรือม่วงเอา (สีแดงอันเดอร์โทนน้ำเงิน) ไว้มากเกินไป อาจให้ลุคที่ดูโทรม สูงวัย ไปจนถึงดูเหมือนกับผีดูดเลือดได้ หากต้องการเลือกลิปสติกสีแดงอันเดอร์โทนน้ำเงินแบบนี้ ให้เลือกแบบที่เจือสีน้ำเงินหรือม่วงเพียงเล็กน้อย จะปลอดภัยในการใช้มากกว่า 6. เคล็ดลับการทาลิปไลน์เนอร์ ปัจจุบันนี้ลิปสติกมีคุณภาพดีขึ้นมาก ทาแล้วติดทน ไม่เลือนไว ให้เม็ดสีที่แน่นคมชัด จนแทบไม่ต้องใช้ลิปไลน์เนอร์กันเลย ลิปไลน์เนอร์ที่เคยฮิตกันพักใหญ่จึงค่อย ๆ ลดความสำคัญลง แต่ถ้าอยากเน้นขอบปาก โดยเฉพาะรอยหยักตรงกลางริมฝีปากบนที่เขาว่ากันว่าดูเซ็กซี่ ให้เด่นชัดขึ้น ให้เลือกใช้ลิปไลน์เนอร์สีที่เท่ากับสีของริมฝีปาก (ไม่ใช่เท่ากับสีลิปสติกนะคะ) วาดเน้นตรงรอยหยักที่ขอบริมฝีปากบน เท่านี้ก็ช่วยเน้นให้เห็นส่วนรอยหยักที่เซ็กซี่ได้ชัดเจนแล้ว 7. ใช้นิ้วแตะริมฝีปากเบา ๆ หลังทาเสร็จ หลังจากทาลิปสติกเสร็จแล้ว ให้ใช้ปลายนิ้วแตะให้ทั่วริมฝีปากเบา ๆ เพื่อเป็นการทำให้สีลิปสติกที่สดจากแท่งดูละมุนลง และดูกลมกลืนไปบนเรียวปากมากขึ้น 8. เริ่มทาปากจากตรงกลาง ในการทาลิปสติก ให้เริ่มทาจากตรงกลางริมฝีปากเสมอ จากนั้นจึงค่อย ๆ เบลนออกไปที่มุมปากทั้งสอง จะทำให้ได้น้ำหนักของสีที่สวยงามกว่า 9. ไม่ทาลิปสติกจัดเกินไป หลีกเลี่ยงการทาลิปสติกที่จัดจ้านเกินไป ด้วยการเริ่มทาที่ริมฝีปากล่างก่อน แล้วเม้มปาก สีลิปสติกก็จะกระจายไปที่ริมฝีปากบนด้วย จากนั้นจึงเบลนหรือเติมสีให้พอดีอย่างบรรจงโดยการใช้พู่กันทาปาก 10. ทาลิปสติกแล้วซับปาก เคล็ดลับความติดทน เมื่อทาลิปสติกชั้นแรกแล้ว ให้ซับริมฝีปากด้วยกระดาษทิชชู่ จากนั้นจึงทาลิปสติกซ้ำอีกครั้ง ลิปสติกชั้นแรกทำหน้าที่เหมือนเบส ส่วนชั้นที่สองที่ทาลงไปก็เป็นตัวปกป้องชั้นเบส และทำให้สีดูสด คมชัดมากยิ่งขึ้น และที่ติดทนนานก็เพราะต่อให้ชั้นบนเลือนไป ชั้นเบสที่ทาเอาไว้ก็ยังคงอยู่นั่นเอง ได้ทราบเคล็ดลับในการทาลิปสติกดี ๆ แบบนี้แล้ว คราวนี้ถึงเวลางัดเอาลิปสติกแท่งเก่งของคุณมาใช้อีกครั้งแล้วล่ะ คราวนี้รับรองทาแล้วสวยเริ่ดกว่าเดิมแน่นอนค่ะ ;)D,J,K,W,S,S,M,P,D,L |
jaideeda1
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] |