Welcome to Kyoto
ไม่ใช่สนับสนุนเงินตราออกนอกประเทศนะคะ แต่ทริปที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่นได้มีโอกาสไปเที่ยวเกียวโตในช่วงฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีมาก และบรรยากาศสวยงามจึงอยากบันทึกเรื่องราวดีๆไว้ในนี้ค่ะจะเริ่มเรื่องละนะ.......................................ฉันได้เดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นช่วงเดืนพฤศจิกายน ปี2548 อีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งกลับมาเมื่อปลายเดือนกันยายน การไปครั้งนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นการทำงานที่ค่อนข้างเครียดในการทำงานกับเวลาที่ค่อนข้างกระชั้น แต่ครั้งนี้ด้วยความดื้อดึงของฉันที่อยากไปเยือนเกียวโตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นที่ฉันอยากไปมากที่สุดในชีวิตเขาก็เลยต้องพาฉันไปเกียวโตตามใจฉัน................................................เกียวโตเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่นมาเนิ่นนาน เดิมมีชื่อว่าเมืองเฮอันเคียว เป็นเมืองที่ประทับของจักรพรรดิ์เรื่อยมาจนถึงสมัยเมจิ(ราวๆรัชการที่ 5 )หลังการล้มล้างอำนาจระบอบโชกุนลงแล้ว จึงได้ทรงย้ายมาประทับที่เมืองเอโดะหรือเมืองโตเกียวในปัจจุบัน รวมเวลาจนถึงวันนี้เมืองเกียวโตมีอายุราว 794 ปีแล้ว(แก่กว่าเมืองเชียงใหม่อยู่นะเนี่ย เชียงใหม่ราวๆ 700กว่าปีเอง) โดยการวางผังเมืองเกียวโตเป็นไปตามนครฉางอัน เมืองหลวงเก่าของจีน .......................................................................การเดินทางของฉันเริ่มจากสถานีรถไฟอิวาตะ ไปต่อรถไฟ ชินกังเซน ที่เมือง ฮามะมัตซึ เพื่อมุ่งหน้าสู่เกียวโตใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อมาถึงสถานีรถไฟเกียวโตฉันต้องตื่นตาตื่นใจกับขบวนนักเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นชาวต่างชาติมากมายจนหนาแน่นไปหมด หน้าสถานีรถไฟคือหอคอยเกียวโต..................................เริ่มแรกเราต้องฝ่าฝูงชนไปซื้อตั๋วรถบัสชนิดที่สามารถนั่งกี่สายก็ได้ในหนึ่งวัน แล้วต้องเบียดเสียดผู้คนไปขึ้นรถบัสที่แน่นเอี๊ยด มุ่งไปยังสถานที่แรกคือวัดทอง บรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีที่วัดทองวัดทองสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1224 และปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกดลกแล้วด้วย ฉันเห็นวัดทองครั้แรกถึงกับขนลุกด้วยความยิ่งใหญ่อลังการของวัดนี้ทันทีชื่นชมกับวัดทองได้สักครู่เราก็รีบเดินทางไปวัดเงิน ซึ่งฉันรู้สึกว่าวัดเงินดูเงียบสงบมากกว่า แต่ธรรมชาติรอบข้างช่างงดงามนักหนา ทิวทัศน์โดยรอบวัดเงินวัดเงินมองจากมุมสูงภาพจากมุมสูงอีกภาพที่สามารถแสดงให้เห็นว่าเมืองเกียวโตกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและแออัดจนน่ากลัว แต่กระนั้นคนญี่ปุ่นก็มีวิธีจักดารให้ธรรมชาติอยู่กับเมืองได้เป็นอย่างดีภาพนี้ยิ่งเห็นว่าเมืองขยายออกไปอย่างชัดเจน แต่ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่าต้นไม้สูงๆนั้นช่วยบังวิวของเมืองได้ส่วนหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าเป็นการตั้งใจหรือว่าบังเอิญสวนหินกับใบไม้เปลี่ยนสีที่วัดเงินที่เกียวโตนี่วัดเยอะมาก ถ้าจะเที่ยวทั้งวันก็คงไม่หมด ครั้งนี้เราจึงเลือกเที่ยวเพียง 3 วัดดังคือ วัดเงิน วัดทอง และวัด คิโยมิซึเดระ ทางขึ้นสู่วัดคิโยมึซึเดระเรามาถึงวัดราวๆ 4 โมงครึ่ง แต่ด้วยเข้าสู่ฤดูหนาวจึงทำให้พระอาทิตย์ตกเร็วมาก ภาพที่ได้จึงใกล้มืดแล้ว เจดีย์ตรงทางเข้าวัดระเบียงวัดคิโยมิซึที่มีชื่อเสียง คิโยมิซึเดระบุไท วัดนี้ได้รับการรับรองเป็นมรดกโลกอีกเช่นกัน บรรยากาศเริ่มมืดแล้วจึงต้องปรับโหมดในการถ่ายภาพสำหรับถ่ายในที่มืดทำให้ภาพที่ถ่ายได้ชัดสุดเท่านี้เพราะไม่มีขาตั้งกล้องถ้าใครไปเยือนวัดนี้จะต้องแวะดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลออกมาจากซอกหินของวัดนี้................................ตอน 6 โมงเย็นจะมีการแสดงแสงสี ที่วัดนี้ด้วย แต่เราไม่อาจรอถึงตอนนั้นได้จึงต้องรีบกลับเพื่อให้ทันรถไฟชินกังเซนเที่ยว 1 ทุ่ม และต้องทานข้าวกล่องในรถไฟหอคอยเกียวโตยามค่ำ ไปเกียวโตคราวนี้ฉันสนุกและประทับใจกับสถานที่แห่งนี้เหลือหลาย หวังไว้ว่าจะได้กลับมาอีกในฤดูที่สวยงามเช่นนี้อีก...........................................
Nagoya-Tokyo
เพิ่งไปดูงานที่นาโกย่ากับโตเกียวมา เหนื่อยจังแต่ก็โอเคสนุกดี รู้สึกเหมือนไปเดินมาราธอนยังไงไม่รู้เพราะเดินขึ้นเดินลงสถานีรถไฟตลอดรูปปราสาทนาโกย่าและรูปที่วัดอะซะคุซะ โตเกียวปราสาทหลังเล็กนี้เป็นปราสาทดั้งเดิมเมื่อ 400 ปีก่อน ไม่ได้ถูกเผาไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2>ปราสาทหลังใหญ่ ถูกไฟเผาไหม้จนหมดเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เห็นอยู่นี้เป็นปราสาทจำลองค่ะ น่าเสียดายเนาะย้ายมาวัดอะซะคุซะค่ะ เวอร์ชั่นไม่มีคนโคมไฟอันใหญ่หน้าประตู คามินาริมง หรือ ประตุสายฟ้า ปรกติคนตรึม แต่วันนี้ไม่มีคนเลยเพราะมาเช้ามากอ่างสำหรับล้างมือก่อนเข้าวัด ซึ่งนิกายเซนถือว่าต้องทำความสะอาดมือก่อนเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์