รายละเอียด ขั้นตอนการขอสัญชาติเกาหลี
ก็คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีมั้ยนะ แต่หลังจากที่อัปขึ้นเฟซว่าได้สัญชาติเกาหลีแล้ว ก็มีคนถามเข้ามาเยอะมาก ว่าวิธีการทำยังไง อะไรยังไง เป็นยังไงบ้าง งั้นก็เลยขอมาเขียนแบบเต็มๆ (เพราะมันคงยาวมาก) ในบล็อกน่าจะดีกว่า (ลงในเฟซ)
ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาเข้าเรื่องกันเลยแล้วกัน... โก โก~~
ก่อนจะขอสัญชาติ
อะ ทีนี้ ก่อนที่เราจะขอสัญชาติ เราก็ต้องมาดูตัวเองก่อนว่า เข้าหลักเกณฑ์ในการขอมั้ย จะไปยื่นเรื่องขอได้รึยัง ซึ่งวิธีการดูตัวเองง่ายๆ นั่นก็คือ เราแต่งงาน "อย่างถูกต้องตามกฎหมาย" มานานแค่ไหนแล้ว และ "พักอาศัยจริงนับเป็นวัน" อยู่ในเกาหลีมานานเท่าไหร่แล้ว
ตามหลักเกณฑ์การยื่นขอสัญชาติ จะแบ่งเงื่อนไขออกเป็น 2 ข้อใหญ่ๆ คือ 1. จดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และพักอาศัยอยู่ในเกาหลีจริง มีจำนวนวันรวมไม่ต่ำกว่า 2 ปี 2. จดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และพักอาศัยอยู่ในเกาหลีจริง มีจำนวนวันรวมไม่ต่ำกว่า 1 ปี
ตรงจำนวนวันตรงนี้ ถ้าใครมีการเดินทางออกนอกประเทศในระหว่างนั้น จำนวนวันที่ออกนอกประเทศทั้งหมด จะถูกหักออก ไม่นับให้นะคะ เช่น อยู่เกาหลีมาครบ 2 ปีเด๊ะเลย แต่เคยออกนอกประเทศในระหว่างนั้นรวม 30 วัน ก็แปลว่า ยังยื่นขอไม่ได้ ต้องอยู่ต่อไปอีก 30 วันก่อน ให้ครบ 365+365 วัน ถึงจะยื่นขอได้
อะ ถ้าตรงข้อใดข้อหนึ่งก็ยื่นขอได้เลยค่ะ
ในการยื่นขอ
ในการยื่นขอสัญชาติ มันก็จะมีเอกสารเยอะแยะตาแป๊ะไก่ก๊าาาาา ให้เราต้องปวดเศียรเวียนเฮดในการจัดเตรียม บางรายก็ต้องบินไปเอามาจากเมืองไทย ดังนั้น ตรงนี้เป็นข้อแนะนำอย่างยิ่งยวดค่ะว่า ใครที่มีแพลนจะไปเมืองไทยในช่วงไม่เกิน 2-3 เดือน ก่อนยื่นเรื่องขอสัญชาติ ให้เตรียมเอกสารมาจากเมืองไทยได้เลย
เอกสารที่ใช้ในการยื่นขอสัญชาติ 1. ใบคำร้อง ติดรูปสี 1.5 นิ้ว 2. เอกสารประจำตัวของคนต่างชาติ (คือของตัวเรานี่แหละ) ทั้งหลาย ได้แก่ - หนังสือเดินทาง - บัตรประชาชน (ของประเทศไทย) ตัวจริง+สำเนา - บัตรประจำตัวคนต่างชาติตัวจริง+สำเนา 3. เอกสารฝ่ายคู่สมรสชาวเกาหลี - 기본증명서 - 혼인관계증명서 - 가족관계증명서 - 주민등록등본 - 주민등록증 사본 4. เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน (ตรงนี้จะเป็นเอกสารของฝ่ายคนเกาหลีเช่นกันค่ะ) - แบงก์สเตทเมนต์ย้อนหลัง 6 เดือน - เอกสารยืนยันการเช่าบ้าน/เป็นเจ้าของบ้าน/ที่พักอาศัยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านวอน - หนังสือรับรองการเป็นพนักงาน (หนังสือรับรองการทำงาน) ตัวจริง และหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท (ที่ทำงานอยู่) ในกรณีที่เป็นพนักงานประจำ - หรือในกรณีที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ให้ยื่นสัญญาเช่าที่ตั้งบริษัท และหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทแทน (ทั้งตัวจริงและสำเนา) - กรณีทำสวน ก็ให้ยื่นเอกสารการครอบครองที่ดินแทนค่ะ 5. เอกสารที่อยู่ปัจจุบัน - กรณีเป็นเจ้าของที่พักอาศัย (คือไม่ได้เช่าอยู่) ให้ยื่นหนังสือแสดงความเป็นเจ้าของที่พักอาศัยนั้น - ถ้าเป็นการเช่าอยู่ (ทั้งชอนเซ และวอลเซ) ก็ให้แสดงหนังสือสัญญาเช่าทั้งตัวจริงและสำเนา - กรณีอื่นๆ ให้แสดงหลักฐานการมีที่อยู่อาศัยจริงค่ะ 6. เอกสารอื่นๆ (อันนี้ไม่ใช่เอกสารที่ต้องแสดง แต่ถ้าแสดงก็จะดีค่ะ) - รูปถ่ายครอบครัว, รูปแต่งงาน 2-3 ใบ - หนังสือรับรองว่ามีการอยู่อาศัยเป็นคู่แต่งงานจริงจากเพื่อนบ้าน พร้อมเอกสารรับรองตัวเพื่อนบ้าน 7. ใบเสร็จยืนยันการจ่ายค่ายื่นขอสัญชาติ 3 แสนวอน (อันนี้ไปจ่ายที่นั่นเลย ระหว่างคุณภรรยายื่นเอกสาร คุณสามีก็ไปจ่ายเงินซะ แล้วเอาใบเสร็จกลับมาให้ค่ะ) 8. หนังสือรับรองประวัติอาชญากรรม (จากเมืองไทย) 9. 국적통보제도 อันนี้จำได้ว่าเป็นแบฟอร์ม ไปกรอกที่สำนักงาน ตม. ได้เลยค่ะ - ใบแจ้งเกิดตัวจริงและสำเนา - ทะเบียนบ้านเมืองไทยที่มีชื่อพ่อแม่
ทีนี้ดูผ่านๆ เอกสารก็เหมือนจะมีแค่นี้ ง่ายๆ ไม่อะไร แต่ปัญหาคือ เอกสารจากเมืองไทยทั้งหลายนั้น เตรียมยากมาก เพราะต้องนำไปแปล และรับรองทุกฉบับค่ะ อย่างเช่นข้อ 9 พวกใบเกิด สูติบัตร ทะเบียนบ้านไรพวกนี้ ต้องแปลและประทับรับรองมาจากกรมการกงศุล แล้วเอาหนังสือรับรองประวัติอาชญากรรมในข้อ 8 มารวม แล้วเอาทั้งหมดไปที่สถานทูตเกาหลี เพื่อขอประทับรับรองซ้ำอีกทอดนึงด้วยค่ะ ตรงนี้แหละที่จะใช้เวลาและแรงกายพอสมควร
เอาล่ะ สมมุตินะครับ สมมุติ สมมุติว่าเราได้เอกสารมาครบแล้ว...
เราก็ได้เวลาไปให้ถึงสำนักงาน ตม. ที่รับผิดชอบเขตพื้นที่ที่เราอยู่อาศัย อย่างตัวนีดนี่คือ อยู่ในโพฮัง จริงๆ ในโพฮังก็มีสำนักงาน ตม. นะ แต่ว่า ที่นี่เป็นแค่สาขาย่อย (เค้าเรียกว่า 출장소 คืออารมณ์แบบ แค่มาตั้งสำนักงานเพิ่มเฉยๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่รับผิดชอบจริงๆ อารมณ์ป้อมยามทำนองนั้นเลย ดูแลได้แค่งานเอกสารเล็กๆ น้อยๆ) ดังนั้น เลยต้องถ่ออออไปถึงแดกู (และหลังจากนั้น เมื่อได้สัญชาติแล้ว ก็ยังต้องไปแต่แดกูตลอดทุกงานด้วย)
ในวันที่ไปยื่นเอกสาร แนะนำว่า ให้พาคุณสามีไปด้วยนะคะ เพราะเหมือนตอนรับเอกสาร เค้าจะแอบเล็งๆ อยู่เหมือนกัน เพราะตอนแรกไปด้วยกันนั่นแหละ แล้วพอถึงคิวยื่นเอกสาร จินกูเดินไปเข้าห้องน้ำ เลยเข้าไปยื่นคนเดียว เค้าก็ถามว่า มมาคนเดียวเหรอ แล้วสามีไปไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน พอดีจินกูเดินมา เลยบอกว่าไปเข้าห้องน้ำมา จากนั้นเค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร และเป็นคนออกคำสั่งให้จินกูเป็นคนเดินไปชำระค่าสมัครขอสัญชาติ 3 แสนวอน แล้วให้เอาใบเสร็จกลับมาด้วย (ค่าสมัคร 3 แสนวอนเนี่ย สอบได้ 2 ครั้ง ในกรณีที่สอบไม่ผ่าน ถ้า 2 ครั้งก็ยังไม่ผ่าน ต้องยื่นเอกสารและจ่ายค่าสมัครใหม่ทั้งหมดนะกรั๊บ)
ทีนี้ จากลิสต์รายการเอกสารข้างบนทั้งหมด ตม. ติ๊กมาให้ว่า เอกสารสำคัญที่มีผลต่อการยื่นขอสัญชาติจะมี 3 ข้อ คือข้อ 4 8 9 ข้อ 4 คือเรื่องเงิน อันนี้ค่อนข้างซีเรียสนะคะ เพราะเค้ามีกำหนดเกณฑ์เอาไว้ในเรื่องของรายได้ของสามี เค้าคงมองในแง่ว่า มีความสามารถในการรับผิดชอบครอบครัวได้มากแค่ไหน เกณฑ์ที่เขียนเอาไว้ข้างบนเนี่ย 30 ล้านวอนเป็นของเมื่อตอนสมัครเมื่อปี 2016 ตอนนี้เหมือนจะได้ยินมาว่าเพิ่มขึ้นแล้ว ยังไงเช็คให้ชัวร์ก่อนไปยื่นขอแล้วกันนะคะ ส่วนตอนนีดยื่นเนี่ย ไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้ เพราะเงินเดือนจินกูเกินเกณฑ์ไปเยอะมากกก (ฟังดูน่าหมั่นไส้เนอะ) น่าจะราวๆ 2-3 เท่าตัวได้เลย บวกกับความน่าเชื่อถือของตำแหน่งงานและบริษัทที่ทำงาน จึงทำให้ ตม. ติ๊กผ่านข้อนี้ให้ก่อนเลย ก็สบายไป ส่วนเอกสารส่วนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ผ่านฉลุย ได้ใบยืนยันการสมัครขอสอบสัญชาติมา
ส่วนของการสอบ
อะ ทีนี้ มาในส่วนของการสอบกันบ้าง
อย่างที่บอกแต่แรกว่า เรามาขอสัญชาติในนามของวีซ่าคู่สมรส เราได้สิทธิ์พาสการสอบส่วนของข้อเขียนไปจากการขอสัญชาติในแบบอื่น (ดูมีอภิสิทธิ์ชน) ซึ่งจริงๆ แล้ว การสอบสัญชาติ เราจะแบ่งเป็นแบบใหญ่ๆ ได้ 2 แบบ
คือ 1. สอบตามขั้นตอน 2. ลงทะเบียนเรียนโปรแกรมของ ตม.
ข้อ 2 เรื่องการเรียนโปรแกรมของ ตม.เนี่ย ได้ยินมา (เนื่องจากไม่ได้ลงเรียน) ถ้าสอบผ่านตามระดับขั้นต่างๆ แล้วจะได้พาสการสอบทั้งหมด แม้แต่การสอบสัมภาษณ์ ก็คือ เอาใบจบหลักสูตรนี้มายื่นในวันยื่นเอกสาร แล้วก็รอรับสัญชาติได้เลย ง่ายดีเนอะ แต่จริงๆ แล้ว โดยส่วนตัวมองว่ายากและยุ่งกว่าเยอะเลย เพราะต้องเสียเวลาเรียนนานมาก มีการเรียนแบ่งออกเป็น 5 ระดับ แล้วในแต่ละระดับ ยังต้องมีการสอบวัดระดับด้วย คือถ้าสอบไม่ผ่าน ก็ไปเรียนระดับนั้นใหม่ เวลาก็ยาวออกไปอีก แล้วพอผ่านครบ 5 ระดับ ก็จะมีการเรียนขั้นสุดท้ายคือ เลือกว่า จะเรียนเพื่อขอวีซ่าถาวร หรือขอสัญชาติ ซึ่งจำนวนชั่วโมงตามกำหนดของคอร์สก็จะต่างกันออกไป แต่สรุปว่า โดยการคำนวณคร่าวๆ (คร่าวมากๆ จริงๆ) คือน่าจะต้องเรียนกันเป็นปีๆ อะ กว่าจะผ่านครบ ได้ไปยื่นขอสัญชาติ
เลยมาลงเลือกที่ข้อ 1 ด้วยความมั่นหน้าในภาษาเกาหลีของตัวเอง ไหนๆ ก็ได้พาสข้อเขียนไปสอบสัมภาษณ์เลยแล้ว งั้นก็ลุยเลยแล้วกัน
ในส่วนของการสอบเนี่ย ในวันสอบ เค้าจะเริ่มต้นขั้นตอนด้วยการให้เข้าไปปุ๊บ แล้วอ่านคำปฏิญาณตนว่าจะเป็นคนดี ปฏิบัติตามกฎหมายของเกาหลีอย่างเคร่งครัดอะไรทำนองนี้เล็กๆ น้อยๆ ก่อน สำหรับคนที่ภาษาเกาหลีไม่แข็งแรง เค้าจะใช้ส่วนนี้สอบภาษาเกาหลีไปในตัวด้วย ดังนั้น!!! กรุณาฝึกอ่านก่อนไปสอบสัมภาษณ์ด้วยนะแคะ
나는 대한민국에 귀화함에 있어 대한민국에 충성을 다하고 대한민국의 헌법과 법률이 정한 내용을 준수하며 자유민주적 기본질서를 수호하고 평화통일을 지향하며 대한민국 국민으로서의 의무와 책임을 다할 것을 엄숙히 서약합니다.
ลองฝึกอ่านให้ชินปากไปก่อน แล้วก็ลองแปลๆ หาความหมายไว้ด้วยก็ดีนะคะ เผื่อเค้าถามว่า ประโยคนี้แปลว่าอะไร คำนี้คืออะไร ฝึกอ่าน เว้นวรรค ออกเสียงให้สำเนียงเป๊ะให้มากที่สุด เพราะตอนระหว่างที่นั่งรอเข้าสัมภาษณ์ เห็นมีคนเดินหน้าเจื่อนออกมา แล้วพูดว่า โดนถามเรื่องในคำปฏิญาณ แล้วตอบไม่ได้ แต่โดยส่วนตัวไม่โดนถามคำถามในนี้ค่ะ แต่ถูก ตม. ชวนคุยนอกเรื่องตอนก่อนเริ่มสัมภาษณ์จริงแทนค่ะ
ในการเข้าสอบสัมภาษณ์ สามีจะเข้าไปพร้อมกันในตอนแรก คุยกันเล็กน้อย แล้วจะเชิญสามีออก แล้วเหลือเราอ่านคำปฏิญาณคนเดียว จากนั้นก็เริ่มคำถามสัมภาษณ์
ทีนี้ แนะนำเลยว่า ในการจะไปสอบสัมภาษณ์ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งอ่านตำราหาความรุ้อยู่นะคะ แนะนำว่า ให้ไปหาอ่านรีวิวของคนที่สอบแล้ว ว่ามีคำถามอะไรบ้าง และคำตอบคืออะไร แล้วท่องไปเลย ไปเสิร์ชในยูทูบก็ได้ ของคนเวียดนามทำไว้เยอะมาก ลิสต์ตามนั้นออกมา แล้วท่องจำไปเลย ถ้าท่องได้แค่ตรงนั้น ผ่านแน่นอน นอกนั้นจะมีคำถามเชิงไหวพริบอยุ่บ้าง ที่เรียกว่าเชิงไหวพริบเพราะว่า คำตอบมันอยู่ในคำถาม ถ้าเอะใจสักนิด 555
อะ หลักจากตอบคำถามกันจนคอแห้ง ก็ได้เวลาเปิดคาราโอเกะกัน นั่นคือร้องเพลงชาติ 555+
อย่างที่รู้กันดี(?)ว่าเพลงชาติเกาหลีนั้นย้าววววยาว มี 4 ท่อนแน่ะ แต่นั่นเก็บไว้ให้ผู้ชายเค้าฝึกร้องกันตอนไปเกณฑ์ทหารเนอะ เราขอสัญชาติสวยๆ ก็ร้องท่องแรกท่อนเดียวพอ
동해물과 백두산이 마르고 닳도록 하느님이 보우하사 우리 나라만세 무궁화 삼천리 화려 강산 대한 사람 대한으로 길이 보전하세
ร้องกันไปทั้งคอแห้งๆ นั่นแหละ เสียงหลง บางห้องก็ร้องเสียงดังฟังชัด ชัดไปถึงห้องอื่นเลยก็มี 555 ณ จุดนี้ เวลาร้อง แนะนำให้เชิดหน้าเบาๆ เหมือนเราภาคภูมิใจ แต่จริงๆ นั่นก็เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหน้ากรรมการสัมภาษณ์ให้เขินอายในเสียงอันไพเพราะของเรา
เสร็จออกมา สำหรับตัวนีดนั้น สอบไป 2 รอบค่ะ เอาให้คุ้มค่าสมัครสามแสนวอน 555 จริงๆ คืออย่างที่บอกว่า ด้วยความมั่นหน้า สอบครั้งแรก คิดว่าตัวเองเจ๋ง ไม่อ่าน ไม่ท่อง ไม่อะไรไปเลย ร้องได้แต่เพลงชาติ สุดท้าย ถูกถากถางออกมาจากห้องสอบ เสียเวลารอนัดวันสอบใหม่ไปอีก 6 เดือน
มาผ่านเอารอบสอง ด้วยความยิ้มแย้มของกรรมการสอบ (คนเดิมกับรอบแรก แถมจำหน้าตรูได้อีกซะงั้นด้วย) เพราะรอบนี้ กดคะแนนเต็มมาค่ะ คือตอบไม่ผิดเลย หุหุ ตอบถูกแบบเป๊ะๆ จนไม่อยากอวดว่า ท่องมาดีขนาดไหน
พอสอบผ่านปุ๊บ วันรุ่งขึ้น จะมีแมสเสจส่งมาทางมือถือว่า สอบผ่านหรือไม่ผ่าน แต่จริงๆ สอบเสร็จก็รู้ตัวแล้วล่ะ ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน
อะ สรุปว่าผ่านแล้ว งั้นรอต่อไป
สำหรับตัวนีดเองนั้น สมัครขอสัญชาติเดือน เมษา 2016 > สอบสัมภาษณ์ครั้งที่ 1 ม.ค. 2017 (ตก) > สอบสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 10 ก.ค. 2017 (่ผ่าน) > ตม. มาเยี่ยมบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการพิจารณา เม.ย. 2018 > ใบอนุญาตสัญชาติ พ.ค. 2018
สิริรวมเวลาทั้งหมด 2 ปีเต็มๆๆๆ เต็มเอียด เต็มมากๆ เต็มสุดๆ จนแทบจะรอไม่ไหว ตอนต้นเดือนเมษา เลยมีการส่งคอมเพลนไปกระตุ้นเล็กน้อยว่า เฮ้ย!!! นี่มันเลยระยะเวลาที่คุณแจ้งแล้วนะ (คือในเว็บ ตม.เอง จะมีสิ่งที่เรียกว่า 국적업무 처리 기간 ประกาศทุกเดือนว่า ตอนนี้กำลังดำเนินการของคนที่ยื่นคำร้องเมื่อเดือนไหน ปีอะไร) ซึ่งตอนนั้นมันเลยไปถึงคนที่ยื่นคำร้องเดือน มิ.ย. 2016 ทั้งที่ตัวเองยื่นตั้งแต่ เม.ย. แล้ว พอยื่นเรื่องตรงเข้าถึงกระทรวงยุติธรรม (ซึ่งเป็นต้นสังกัดของ ตม.) เท่านั้นเอง ผ่านไปสองอาทิตย์ โทรมาขอนัดวันเข้าเยี่ยมบ้านเลย
อะ!! เชิญค่ะ มาๆๆๆ เปิดบ้านรอ หลังจากมาเยี่ยมบ้านเสร็จ 1 เดือนต่อมา ก็ได้ข้อความว่า ใบสัญชาติจะส่งมาให้ภายใน 10 วัน สรุป เป็นอันเรียบร้อย เตรียมฉลองได้!!!
เอาเป็นว่า ใครสงสัยตรงไหน ก็ถามเข้ามาได้นะคะ จะช่วยตอบคำถามให้ เพราะหลังจากที่ได้ลองทำด้วยตัวเองแล้ว มันไม่ยากเลยจริงๆ แต่แลกมากับอะไรดีๆ อีกมากมาย
Create Date : 15 มิถุนายน 2561 | | |
Last Update : 15 มิถุนายน 2561 12:22:33 น. |
Counter : 6522 Pageviews. |
| |
|
|
|