..ถ้าจักตายก็ขอตายในหน้าที่ ถ้าจักพลีก็ขอพลีแด่เหนือหัว ถ้าจักอยู่ก็ขออยู่เพื่อครอบครัว ถ้าจักชั่วก็ขอชั่วแก่ไพรี..
Group Blog
 
All Blogs
 

*เรื่องสมมุติที่เหมือนเรื่องจริงของกองทัพไทย-รัฐบาลไทยกับเรื่อง๓จชต.*

- ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยว่า ไม่ว่าใคร พรรคไหน จะเป็นใหญ่เป็นรัฐบาลในบ้านเมือง สิ่งที่ผมหวังโดยตลอดก็คือ ดับไฟใต้ซะที แม้โดยส่วนตัวผมไม่เคยชอบพรรค ปชป. แต่เมื่อเค้าเป็นรัฐบาล ผมก็คงต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาล ถึงจะดูเลือนลางเต็มทีก็ตาม


- ทุกวันนี้ 3-4รัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งผบ.ทบ.กี่คนก็พูดเหมือนกันหมดว่า ต้องแก้ปัญหาใน3จชต. มึงจะแก้ได้อย่างไรกันในเมื่อ ข้าศึกมีปืน ทหารมึงก็มีปืน ข้าศึกยิงทหารยิงประชาชนของมึง ทหารของมึงก็ยิงข้าศึกเหมือนกัน ฆ่ากันไปฆ่ากันมา4-5ปีผ่านไปตายห่าไป3-4พันศพ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ล้มเหลวหมดทุกอย่าง ที่รัฐออกมาแถลง ที่ผบ.ทบ.ออกมาพูด มึงหลอกตัวเองและหลอกประชาชนทั้งนั้น ในความเป็นจริงคือ จกร.ตาย1เกิด10 ประชาชน+จนท.รัฐ ตาย1ยังเหลืออีกหลายแสน วนเวียนอยู่แบบนี้ ทุกวันนี้ก็ยังฆ่ากันอยู่เป็นเรื่องปกติ นี่หรือวะที่ทั้งรัฐและกองทัพออกมาประสานเสียงว่า *เรามาถูกทางทางแล้ว*  ถามเสธ.แดงดูก็ได้ว่าที่ผมเขียนเนี่ยถูกมั้ย


- การแก้ปัญหา3จชต.ไม่มีทางทำได้จริง ไม่มีทางเกิดผลได้ครบถ้วนตามที่รัฐบาลออกนโยบาย คนใน3จชต.ไม่มีทางได้สันติสุขแบบเมื่อ30ปีก่อนกลับคืนมาแบบที่กองทัพพยายามจะทำ เพราะอะไร อ่านย่อหน้าบนอีกครั้งสิ  เมื่อเราเป็นรัฐ เมื่อเราเป็นชาติ เมื่อเรามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน3จชต. เรามีกลไกทางการปกครองอยู่ครบถ้วน  ทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินต้องอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของความเป็นรัฐ  ใครไอ้อีตัวไหนละเมิด รัฐมีหน้าที่ต้องปราบปราม  จากนั้นจึงจะถึงขั้นตอนของการแก้มูลเหตุของปัญหา พุดแบบชาวบ้านคือ ใครจับอาวุธต่อตีรัฐ รัฐต้องกระทืบให้จมดิน จะเอาอะไร จะเรียกร้องอะไร วางปืน ปลดอาวุธก่อน อย่าทำเยี่ยงโจร  แล้วค่อยมาคุยกันแบบสันติวิธี ทางสมานฉันท์จึงจะบังเกิด ทางออกร่วมกันจึงจะบรรลุ  หากคุยกันไม่รู้เรื่องค่อยฆ่ากันอีกรอบ ทีนี้ฆ่ากันให้สิ้นเชื้อเผ่าพันธุ์กันไปเลย เพราะคนไทยอย่างพวกกูไม่รู้จะหนีไปไหนอีกแล้ว ที่นี่คือแผ่นดินปู่ย่าตายายผืนสุดท้าย ยังไงคนไทยอย่างกูอีกหลายสิบล้านคนก็ไม่ยอมเสียแน่นอน ให้คนไทยตายหมดแผ่นดินก่อน จากนั้นมึงเอาไปเลย *ปฐพีไม่มีคน*


- ก่อนคิดแก้ปัญหาถึงมูลเหตุและรากเหง้า รัฐพันธมิตร เอ๊ย รัฐบาล จะต้องปราบปรามพวกกองกำลังติดอาวุธพวกนี้ให้หมดอำนาจกำลังรบก่อน  ประเทศไทยจะต้องไม่เจรจากับกลุ่มคนติดอาวุธใดๆที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ของประเทศ เพราะเราคือนิติรัฐ  การคงอยู่แบบศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจหลักทั้ง3ของชาติบนแผ่นดิน3จชต.  คือเครื่องหมายที่ทั้งโลกจะต้องรู้ว่าที่นี่ปกครองโดยรัฐบาลไทย รัฐบาลจะต้องออกนโยบายให้กองทัพจัดการแบบเด็ดขาดสำหรับกลุ่มคนติดอาวุธ  รัฐบาลต้องยื่นดาบอาญาสิทธิ์ให้กองทัพโดยไม่แทรกแซงขั้นตอนทางการทหารทุกรูปแบบ  รัฐบาลมีหน้าที่บอกกล่าวให้โลกรู้เท่านั้นว่าประเทศไทยโดยกองทัพไทยจะทำอะไรใน3จชต. ทำกับใคร ยังไง และเพื่ออะไร แบบนี้แล้วชาติมุสลิมอื่นๆใครเค้าจะกล้าต่อว่ารัฐบาลไทยได้ เพราะนี่คือการรักษาความมั่นคงของประเทศโดยชอบธรรม มีเหตุ และมีผลที่อธิบายกับนานาชาติบนเวทีโลกได้ อิสราเอล จีน อเมริกา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สเปน อินเดีย เค้าก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น นิติรัฐที่เอ่ยชื่อมานี้นั้น เค้ามีนโยบายทางความมั่นคงแบบนี้ทั้งนั้น ปัญหาในประเทศเค้าที่เกิด ก็คล้ายๆกับเรา ไม่เห็นมีใครไปแทรกแซงนโยบายของเค้าแม้แต่ยูเอ็นก็ตาม เพราะอย่างที่บอก *มันคือความชอบธรรมของกองทัพที่มีนิติรัฐรับรองอยู่* แม้ต้องทุ่มเทงบประมาณเพื่อการนี้สักเท่าใด รัฐบาลก็ต้องทำ เพราะทุกรัฐในโลกนี้เค้าจะยึดถือเหมือนกันหมดคือ *ความมั่นคงของชาติคือสิ่งสำคัญสูงสุด*


- เมื่อผ่านขั้นตอนการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธ แม้จะไม่ราบคาบ แต่ก็หวังให้เบาบางลงกว่า80-90เปอร์เซนต์ เพียงแค่ให้เราควบคุมพื้นที่และใช้กฎหมายในพื้นที่ได้100เปอร์เซนต์ ไม่มีพื้นที่สีแดงใน3จชต.อีกต่อไป ซึ่งจะว่าไปแล้วนั้น ด้วยศักยภาพเนื้อๆของกองทัพไทยนั้น ไม่เกินขีดความสามารถแน่นอน  ด้วยกำลังพล2-3หมื่นคนจาก4กองทัพภาคในปัจจุบันที่อยู่ในพื้นที่นั้น หากแก้ไขโครงสร้างการบังคับบัญชาให้รัดกุม รวบรัด และเป็นเอกภาพ ได้นายดี ได้ลูกน้องสด และการเมืองไม่มาเกี่ยวข้องหรือแทรกแซง ไม่มีทางที่กองทัพไทยจะล้มเหลว รัฐบาลจะเห็นผลจากการนี้ได้ในห้วงไม่เกิน6เดือนเท่านั้น(เวียดนามใช้กำลังพลพอๆกับเราในการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธใน5จังหวัดของเค้า เค้าใช้เวลาแค่2เดือนเศษ ราบคาบ  ที่เค้าทำได้เร็วเพราะประเทศเค้า รัฐบาลเค้าสามารถควบคุมข่าวสารภายในได้ทุกช่องทางการสื่อสาร แต่เราคงทำแบบนั้นได้ยากเพราะเราชอบอวด และเราให้อิสระกับสื่อมวลชนแทบจะทุกเรื่องแม้แต่เรื่องที่ล่อแหลมหรือสุ้มเสี่ยงกับความมั่นคง)


- การแก้ไขมูลเหตุและปัญหา ตรงนี้นั้นรัฐบาลประชาธิปัติย์น่าจะทำได้ดีแบบไม่น่าที่จะต้องมีใครแนะ เป็นเรื่องพื้นๆของรัฐศาสตร์การเมืองแบบมหภาค ใช้วิธีไหน ใช้นโยบายแบบใด ตรงนี้ไม่ยากถ้ารัฐบาลรู้โจทย์ที่จะต้องแก้ รัฐควรให้ในสิ่งที่เค้าควรได้ ควรแก้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของความเสมอภาคของชนทั้งชาติ ลองมาดุเหตุการณ์สมมุติกันเพื่อความเข้าใจง่ายๆ


รัฐบาล : ไง สงครามจบแล้ว ต้องการอะไร ถึงต้องจับอาวุธเป็นปฎิปักษ์กับราชอาณาจักรไทย
3จชต. : ก็อยากจะปกครองกันเองอ่ะ บรรพบุรุษเราเคยอยู่ตรงนี้และเป็นเอกราชมาก่อนจะถุกสยามรุกราน
รัฐบาล: ไม่ได้ว่ะ ประเทศไทยต้องมีรัฐบาลเดียว ถ้าเขตปกครองพิเศษ อันนั้นต้องพิจารณากันอีกที อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่ง่ายนัก ส่วนเรื่องในปวศ.นั้น ให้มันเป็นเสี้ยวหนึ่งในปวศ.ต่อไปเถิด ยอมรับความจริงที่เผชิญตรงหน้าดีกว่า หากรอดจากสยามในครั้งนั้น แน่ใจรึว่าจะไม่เสร็จญี่ปุ่น รึอังกฤษ พวกนั้นอ่ะมันไม่ใจดีแบบสยามนะ แล้วพวกมึงทำไรอยู่ตั้งเป็นร้อยปีกู้เอกราชไม่ได้ซักที ของกู8เดือนเองอ่ะ ฮ่าๆๆ
3จชต.: เอ้า กวนตีนนะนี่ พูดง่ายนี่ ยังงี้กุขอไปรวมกับมาเลเซียดีกว่าว่ะ อย่างน้อยก็อิสลามด้วยกัน
รัฐบาล: มึงคิดรึว่า มาเลเซียเค้าอยากได้มึง กุว่ามึงไปดูการเมืองของมาเลเซียให้แตกฉานก่อนดีกว่าว่ะ โดยเฉพาะรัฐที่ติดกับมึงอ่ะ ทุกวันนี้เค้ายังกัดกันไม่เลิกเรื่องเชื้อชาติและแนวคิด
3จชต.: ห่านี่ พูดไม่รู้เรื่อง งั้นกูกลับไปขุดเอาปืนที่ฝังดินซ่อนไว้มายิงพวกมึงต่อ
รัฐบาล : ตามใจมึงดิ กูก็ส่งทหารมาปราบมึงต่อ กองทัพกูได้งบพิเศษ ได้ พสร. ได้วันทวีคูณ งั้นเดี๋ยวกูส่งทหารตามรอยมึงไปเลยตอนมึงกลับ
3จชต.: ง่า กี้นี้พูดเล่น วางอาวุธหมดแล้ว งั้นเอางี้ ขอใช้กฎหมายอิสลามใน3จชต.ได้ป่ะ
รัฐบาล : ไม่ได้โว้ย กุจัดให้มีดาโต๊ะแล้วนี่ เป็นคนไทย อยู่แผ่นดินไทย ต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกันทั้งประเทศ แต่ถ้าจะให้เพิ่มบางหมวด บางอนุ สำหรับอิสลามใน3จชต.ก็อาจจะได้นะ ส่วนคนที่ไม่มีคดีค้างติดตัว เมื่อวางอาวุธ รัฐจะจัดนิรโทษกรรมให้ แบบที่เคยทำให้ ผกค.สมัยก่อนอ่ะ
3จชต.: ง่า คับ ขอให้จัดการคืนความยุติธรรมให้เราด้วย กรณีที่จนท.รัฐละเมิดเรา ทั้งตำรวจทั้งทหาร
รัฐบาล: ได้ กุจัดให้ แต่ต้องเป็นไปตามมูลเหตุและคดีความนะ แต่พวกมึงที่มีหมายจับและมีคดีติดตัว ก็ต้องโดนเหมือนกันนะ ว่ากันไปตามพฤติกรรม ส่วนจะได้อภัยรึไม่ อันนั้นค่อยว่ากัน
3จชต. : คับ แล้วสิทธิพิเศษต่างๆที่รัฐเคยจัดให้สำหรับมุสลิมใน3จชต.ในทุกๆด้าน ยังให้เหมือนเดิมป่ะคับ ขอเพิ่มนิดๆหน่อยได้มั้ยคับ
รัฐบาล: มึงรู้ป่ะ สิทธิต่างๆเหล่านั้นน่ะ มีคนไทยในภาคอื่นๆเค้าไม่เคยได้แบบนั้นเลยนะ คนไทยภาคอื่นน่ะเหมือนผัดไทย25บาท แต่พวกมึงอ่ะเหมือนผัดไทย30บาท รู้ไว้ด้วย
3จชต. : อ่อ คับๆ  แล้วเรื่องการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการศาสนาล่ะคับ
รัฐบาล : รัฐบาลไทยไม่เคยมีนโยบายกีดกั้น ขัดขวาง ริดรอน ทุกศาสนา แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนาไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นพุทธ มึงดูซิขนาด รธน.ไทยยังไม่ได้ระบุเลยว่าศาสนาประจำชาติไทยคือศาสนาอะไร มึงดูความใจกว้างของพวกกุละกัน
3จชต: คับ งั้นผมจะบอกให้พวกเราได้รู้กันทั่วๆว่าความสมานฉันท์แท้ๆได้เริ่มนับหนึ่งเกิดขึ้นจริงๆแล้วที่นี่
รัฐบาล :ดี ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรคับข้องใจ หรือมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ให้ร้องเรียนได้ในทุกช่องทางที่รัฐเปิดให้ มาคุยกัน พูดจากัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกัน ไฟใต้จะได้ดับซะที
3จชต.: คับ ยังมีหลายเรื่องนะคับที่พวกเรารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับชาวมุสลิมในพื้นที่
รัฐบาล : อ่อ เรื่องที่แล้วไปแล้ว ไม่ว่าจากรัฐบาลไหน รัฐบาลนี้จะแก้ไขให้ถูกต้องให้เหมาะสมและยุติธรรมกับชาวมุสลิมใน3จชต.ทุกคน เพื่อความปรองดองของคนในชาติ ต่อไปนี้ไม่มีพวกมึง ไม่มีพวกกู มีแต่พวกเรา จำไว้นะ
3จชต.  : T-T
รัฐบาล: ^^
คนเขียน: 5555+ กว่าจะมีแบบนี้ มาถึงตรงนี้จริงๆ กุว่านาซ่าส่งคนไปดาวพลูโตได้ก่อนแน่ๆ


 














 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 20:59:00 น.
Counter : 695 Pageviews.  

* จุดสูงข่มทางทหารใน๓จชต.*

* เชื่อว่า คงมีนายทหาร นายตำรวจ ที่ทำหน้าที่บังคับบัญชาลูกน้องอยู่ใน ๓จชต.ต้องเข้ามาอ่านบ้าง  ก่อนอื่น ผมขอกล่าวว่า สิ่งที่ผมเขียนต่อไปนี้ มิได้เจตนาจะลบหลู่ใคร หน่วยงานใด หรือมิได้เจตนาจะอวดรู้ อวดเก่งกว่าใคร มิบังอาจไปพร่ำสอน หรือเตือนใครใคร ขอให้คิดซะว่า ข้อเขียนนี้ ผมเขียนจาก *
 - สิ่งที่ผมรู้สึก สิ่งที่เฝ้าจับตามองและสังเกตุมาโดยตลอด
- สิ่งที่ชอบศึกษา และฝึกฝนอยู่ตลอดเวลาคนเดียวแบบเงียบๆ
- สิ่งที่เป็นความทรงจำในอดีต สิ่งที่เคยพบเห็น และเคยประสบมา
- สิ่งที่เคยค้นคว้า อ่านพบ ทดสอบ และทดลองทั้งจากอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งจากที่ร่ำเรียนมา


** เริ่มเลยนะ **
* จากกรณีสถิติการปะทะ จกร. การถูก จกร.ซุ่มโจมตี ในรอบปีสองปีที่ผ่านมา มีใครเห็นเหมือนผมว่า ร้อยละ๙๐ ที่เราต้องสูญเสียกำลังพล ส่วนใหญ่อุปสรรคใการแปรขบวนรบแบบฉับพลันของเรา
อันดับหนึ่งคือ สภาพภูมิประเทศ ทัศนวิสัย ณ จุดคิลลิ่งโซน  อันดับสองคือ สภาพการณ์หรือสถานะในขณะก่อนถูกโจมตี  อันดับสามคือ การรั่วไหลของข่าวสาร รวมทั้งแบบการปฎิบัติที่ซ้ำซากจำเจ *
๑. สภาพภูมิประเทศ ทัศนะวิสัย ณ จุดคิลลิ่งโซน 
- ข้อนี้นะ ผมอยากให้ผู้ออกทำหน้าที่ทุกคนในระดับ ผบ.ร้อย ผบ.มว. หรือแม้นแต่หัวหน้าชุด ไม่ว่าคุณจะเป็นทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ นาวิกฯ หรือแม้นแต่ตำรวจ จะเป็นรบพิเศษ หรือรบปกติก็แล้วแต่ ขอให้ทุกคนรู้ไว้ว่า * เมื่อใดที่เรา ละเลย หล่ะหลวม อ่อนล้า หรือแม้นกระทั่งประมาท  เราจะไม่ตายคนเดียว แต่เราอาจทำให้ผู้ใต้บัญชาต้องตายด้วย * สิ่งสำคัญที่สุดของคนเป็นนาย ในขณะออกทำหน้าที่คืออะไร ผมไม่ขอกล่าวถึงทุกคนคงรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว เมื่อเรียนมาแล้ว ฝึกมาแล้วในรูปแบบทางทหาร ฝึกมาเป็นผู้นำหน่วยขนาดเล็ก ทุกลมหายใจที่ชีวิตผู้ใต้บัญชาอยู่ในมือเราในขณะอยู่ในสนาม เราต้องแอคทีพตลอดเวลา เพราะเราคือผู้นำของพวกเขา เรียนมาแล้วนี่นะ เรื่องลีดเดอร์ชิฟ หากไม่ใช่ ตท.ก็มีเรียนในหลักสูตรชั้นนายร้อยเช่นกัน


๑.๑ สภาพภูมิประเทศที่เราออกทำการขณะนั้น เราต้องศึกษา มองมันทั้งในแผนที่ ทั้งภาพจริง ทั้งพื้นที่จริง ให้แตกฉานทุกเส้นหญ้า มองบ่อยๆ ดูนานๆ ดูให้รู้ว่าตรงไหนดีตรงไหนร้าย เพราะเราคือผู้สั่งการในการยุทธ ทุกช่องของแผนที่ในมือเมื่อเรามองดู เราต้องนึกภาพจริงออกในเสี้ยววินาที ดู พท.ฮันท์ มัวร์ในศึกหุบเขาลาตรังสิ เค้าทำแบบนี้มาก่อน ถึงบัญชาการรบได้แบบทุกมิติ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แบบไม่ติดขัดแบบฉับพลัน


๑.๒ อย่าละเลยรายละเอียดแม้นเพียงเล็กน้อยทางกายภาพในทุกสภาพภูมิศาสตร์สนาม อย่าลืมนึกไว้ตลอดเวลาว่า เรามีปืน มันก็มีปืน ต่างกันตรงใครเห็นใครก่อน ใครยิงใครก่อน เท่านั้น * บางครั้ง เมื่อเราต้องผ่าน ***จุดสูงข่ม***  *** จุดเสี่ยงสูง ***  ***จุดอับทึบ***   ทั้ง๓จุดนี้ฆ่ากองทหารทั่วโลกมาแล้วนักต่อนัก ระวังไว้ให้จงหนัก ถ้าเป็นผม ผมไม่เคยเสียดายลูกปืน ยิงก่อน ยิงสุ่ม ยิงกวาดก่อน  อย่าเสียดายลูกปืน เดี๋ยวเสร็จงานถึงฐานแล้วค่อยไปเบิกมาใหม่ก็ได้ถ้าตายซะก่อนจะไม่มีโอกาสเบิกอีก คิดซะว่ามันคือการทำลายโอกาสข้าศึกในการเล็งปืนใส่เรา ขู่มันลมๆแล้งว่า -อย่านะมึง กูระวังตัวอยู่-  ท่านโทอี่ยวในศึกแม่จริม ก็ทำแบบนี้เช่นกันมาแล้วในอดีตเมื่อต้องนำพลผ่านจุดที่มีลักษณะอย่างที่กล่าว*  และที่เราต้องเสีย นายตำรวจรบพิเศษจากสามพรานทั้ง๒นายนั้น ปัจจัยหลักก็มาจาก *จุดสูงข่ม* อย่างนี้แหล่ะ  ในทางกลับกัน ถ้าผมเป็นฝ่ายซุ่ม ผมก็ต้องพาพลไปหาจุดลักษณะทั้ง๓แบบที่กล่าวนี่ล่ะในการซุ่มทำบอดี้เค้าท์  การรบกันก็ต้องเดาใจกันเป็นเรื่องธรรมดา  เดาแบบประเมินเชิงประมวล ไม่ใช่เดาแบบสุ่มเรื่อยเปื่อย ง่ายๆก่อนนอนทุกคืน คุณลองนึกเล่นๆสิ ถ้าเราเป็นมัน เราจะทำยังไงกับกอง ลว.  ผมวาดภาพจินตนาการการรบในใจแบบนี้บ่อยๆทุกคืนก่อนนอนเมื่อ๒๐กว่าปีมาแล้ว  พ่อแม่ลูกเมียไม่ต้องคิดถึง เสียเวลาคิดเปล่าๆถ้าเรารอดกลับไปหาพวกเค้าไม่ได้ จริงไหม


๑.๓ ในยามปกติ นอกจากเราจะต้องดัดแปลงฐานที่มั่นให้มั่นคงแล้ว ถ้าเราต้องออก ลว.นอกฐาน เราควรดัดแปลงภูมิประเทศที่น่าจะเป็นอันตราย หรือเป็นจุดเสี่ยงกับพวกเราให้หมด หรือให้เหลือน้อยที่สุด ถ้าหมดก็ไม่เสี่ยง ถ้าเหลือน้อย ก็เสี่ยงน้อย  ก็เลือกกันเอาเองก็แล้วกันขึ้นอยู่กับความขยัน  ผมเคยพาพลไปถางป่าโค่นไม้๒ข้างทางที่มันทึบๆบ่อยๆ  เคยลงไปมุดดูตามใต้สะพานบ่อยๆ บางทีก็วางกับล่อไว้ วางแล้วต้องจำให้ได้นะ เวลาได้ยินเสียงจะได้มาถูกที่ จุดสูงข่ม จุดข่ม บางที่ ก็วางบ่อย ถ้าเราไม่มีปัญญาดัดแปลง ก็ต้องเล่นแบบนี้แหล่ะ ในการสงครามจริงๆ ไม่มีสุภาพบุรุษหรอก ฆ่าข้าศึกมันด้วยวิธีไหนได้ ก็ทำทั้งนั้น หากชาวบ้านเดินมาโดนเข้า ก็ต้องทำใจ ใส่บาตรให้ทีหลัง ชาวบ้านปกติที่ดีๆใครจะมาเดินดุ่มๆในที่แบบนี้ โดนซะคนนึง อีกหน่อยจะไม่มีใครกล้าเดินมาส่งเดชอีก ที่จะมีมาเดิน ก็พวกมันทั้งนั้น ทิ้งความเป็นสุภาพบุรุษคาเดทกองไว้ที่รั้วโรงเรียนก่อน นี่สนามรบจริง ความเป็นสุภาพบุรุษเท่ๆ มันช่วยให้เราไม่ตายไม่ได้ ความรู้+ประสบการณ์+ลางสังหรณ์ เท่านั้นที่จะช่วยให้เรารอดกลับไปสอนคนอื่นต่อได้  และในสุดท้ายมันก็จะส่งผลในชัยชนะของประเทศด้วยในมวลรวม


๒.สภาพการณ์หรือสถานะในขณะก่อนถูกโจมตี 
- ข้อนี้เท่าที่ผมรวบรวมข่าวสารย้อนหลังลงไป๒ปีเศษ ส่วนใหญ่เกือบร้อยเปอร์เซนต์พบได้ว่า เกือบทุกครั้งที่เราต้องสูญเสียกำลังพล เรามักอยู่ในสถานะเคลื่อนพล รองลงมาคือ อยู่ในสถานะรอเผชิญเหตุ สิ่งที่ผมรู้สึกสะท้อนใจมากๆคือ เราค่อนข้างละเลยในความปลอดภัยในรูปแบบทางทหาร ผบ.ร้อย ผบ.มว. หน.ชุด ส่วนใหญ่ชอบปฎิบัติรวมควบ๒สถานะคือ เคลื่อนพล+ลว.  อ่านมาถึงตรงนี้อย่าโกรธผมนะ ถ้าผมจะด่าหรือเหน็บแนมสอดแทรกบ้าง ขอให้คิดซะว่าผมติเพื่อก่อ ด่าเพื่อให้คิด เหน็บเพื่อให้ประโยชน์กับพวกคุณ เพราะยังไงๆใจผมก็อยู่ข้างพวกคุณไม่เคยคิดเป็นอื่นอยู่แล้ว  เขียนภาษาวัยรุ่นคือ กูรักมึงน่ะ ถึงด่ามึงไง กลับมาที่จุดอ่อนที่ชอบละเลยกันต่อนะ การเคลื่อนพล+ลว. คุณย้อนกลับไปคิดถึงตอนคุณเป็นนักเรียนทหารซิ เค้าสอนคุณมายังไงเรื่องการเคลื่อนพล เรื่องการ ลว. มันเรื่องเดียวกันไหม แบบปฎิบัติมันเหมือนกันไหม วิธีการและมาตรฐานความปลอดภัยมันอันเดียวกันไหม คิดซิ ให้เวลาคิด๓๐วิ แล้วค่อยอ่านต่อ


- เอาล่ะ คงคิดออกแล้วนะ แล้วคุณลองดูซิว่าที่ชอบนิยมทำกันจนมันแทบจะกลายเป็นหลักนิยมไปแล้วอยู่ตอนนี้น่ะ ไม่กลัวตายกันเลยใช่ไหม การ ลว.ทางทหารด้วยวิธีการต่างๆนั้น มันมีรูปแบบของมันอยู่แล้วแบบกว้างๆ  ส่วนการเคลื่อนพลนั้น มันก็มีรูปแบบตั้งมากมาย ทั้งแบบปกติและแบบการรบ พวกคุณเก่งชิบหายเลยที่เอาทั้งสองกรณีมาควบรวมแล้วทำมันพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน  นี่ไงถึงตายกันแบบเป็นระยะๆตลอดสองปีที่ผ่านมา ต่อไปจะเขียนแบบลูกทุ่งเผื่อพลเรือนที่ไม่รู้เรื่องการทหารจะได้อ่านเข้าใจ  เมื่อเรายกพล๑มว. ขึ้นรถกระบะ นายนั่งหน้า ลูกน้องนั่งหลัง อาวุธครบมือ เซฟบ้างไม่เซฟบ้างตามวินัยสนามรบแต่ละคน ภารกิจคือ ลว. ตรวจตราเส้นทาง คุ้มครองเส้นทางและพื้นที่คมนาคม นี่คือสถานะของเราก่อนถูกบอดี้เค้าท์


 **หลักของการ ลว.ทางทหารเขียนแบบลูกทุ่งง่ายๆคือ  ชุด ลว.ต้องพร้อมตอบโต้หรือโจมตีข้าศึกในฉับพลันที่ตรวจพบ หรือแม้นแต่เมื่อเป็นฝ่ายถูกโจมตีก็ต้องแปรขบวนรบเพื่อตอบโต้ได้ในฉับพลัน ** สภาพนี้พวกคุณจะแปรขบวนรบแบบฉับพลันได้ยังไง ผมยังนึกภาพไม่ออก ด้วยสภาพยานพาหนะ ด้วยสภาพจุดสูงข่ม ด้วยสถาพจุดเสียเปรียบทางยุทธวิธี ใน๓๐วิแรกถ้าไม่ตายหมด ก็ต้องมีตายไป๑ใน๓  ยังไม่ต้องคิดถึงการสั่งลูกน้องเข้าสู่ยุทธวิธีมาตรฐานหรอก  ๓๐วินาทีแรกของการถูกโจมตี เป็นการเสี่ยงวาสนาล้วนๆ  นี่เป็นการจำลองสถานการณ์แบบถูกซุ่มด้วยปืนนะ ถ้าถูกซุ่มด้วยระเบิดจะสาหัสกว่านี้นับร้อยนับพันเท่า ภายใน๓๐วินาทีแรก มันคือการเอาชีวิตรอดล้วนๆ ถ้าหัวหน้าไม่ตายก่อน ต้องมีคนสั่งการยุทธใน๓๐วิต่อมา นั่นคือการสั่งแปรขบวนรบ คุณเห็นกันไหมว่า เราเต็มใจ และจงใจที่จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วยตัวเราเองทั้งนั้น ทุกครั้งที่มีเรื่องแบบนี้ จกร.จะเผ่นไปก่อนที่กำลังเสริมจะมาแทบทุกครั้ง โดยที่ทหารที่อยู่ในที่ปะทะ แทบจะทำอะไรมันไม่ได้เลย ตอบโต้แลกเลือดไม่ได้เลยนอกจากจะยิงปะทะเชิงป้องกันตัวและหาที่มั่นบุคคลเพื่อรอกำลังเสริมมาช่วยเท่านั้น เป็นกันแบบนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะรบพิเศษหรือรบปกติ แม้นแต่ทหารพรานก็ตกอยู่ในสภาพแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในรอบ๒ปีที่ผ่านมา  ครั้งล่าสุดที่ต้องเสียนายตำรวจพลร่มนี่ก็เช่นกัน แบบนี้เลย  จะต้องตายกันอีกเท่าไร เราถึงจะเปลี่ยนยุทธวิธีในการ ลว.ด้วยยานพาหนะ**


- เดินครับพี่น้อง เดินด้วยตีนเท่านั้นเสี่ยงน้อยสุด  และยังสามารถแปรขบวนรบเพื่อตอบโต้ได้ในเวลาที่น้อยกว่า๑๐วิด้วยซ้ำ เราสามารถลดเวลาเสี่ยงวาสนาได้น้อยลงไปถึง๒๐วิในกรณีถูกซุ่มทั้งด้วยระเบิดและปืน ชุด ลว.สามารถแปรขบวนเพื่อเข้าสู่ยุทธวิธีทหารราบมาตรฐานได้แทบจะในทันทีที่เสียงปืนของ จกร.ดังขึ้นนัดแรก ลองนึกภาพตามสิ  กว่าคุณจะเปิดประตูรถ กว่าลูกน้องคุณจะโดดลงจากหลังกระบะ กว่าจะหมอบ กว่าจะหาเป้าหมายแล้วยิงสวน ที่ตาย ที่บาดเจ็บ มีแล้ว เกิดแล้ว๑ใน๓ หรือบางทีเกือบครึ่ง   แต่ถ้าคุณพาพลเดินเท้า ลว. เปรี้ยงแรกมา ทุกคนหมอบลงโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว กลิ้งตัวหาที่มั่นบุคลเข้าสู่ยุทธวิธีมาตรฐานเพื่อตอบโต้ได้ในทันทีและฉับพลัน คุณแทบจะไม่ต้องสั่งการเลยด้วยซ้ำ เสี่ยงวาสนาแค่เพียงอึดใจ จากตกเป็นเป้าแบบโดดๆ พริบตาเดียวทุกคนในชุดเหลือเป็นเป้าเล็กที่แบนราบและพร้อมสู้ในทันที   ในทางเป็นจริงนั้นการลว.ด้วยการเดินนั้น โอกาสที่คุณจะตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ก่อนนั้นมีมากทีเดียว การระมัดระวังทำได้ง่ายกว่ามาก การตรวจการณ์ด้วยสายตาของกำลังพลทั้งชุดนั้น ช่วยกันดูได้อย่างละเอียดและถี่ถ้วนได้ง่ายกว่าการ ลว.ด้วยยานพาหนะ ดังนั้นการที่ผู้นำจะพาหน่วยไปตกวงซุ่มนั้น ถ้าเก๋าจริง แอคทีฟจริง เป็นไปได้น้อยกว่าการ ลว.ด้วยยานพาหนะมากๆ  อันนี้นั้นฝากระดับ น.ยุทธการช่วยพิจารณาด้วย คุณหาวิธีร่างแผนยุทธการ ลว.ใหม่เถิด ทำยังไงที่จะขจัดจุดด้อยของการลว.ทางเท้าได้เหมาะสมกับภารกิจ เช่น ระยะทาง การจัดพล เวลา จุดนัดพบ ทำยังไงข้อจำกัดตรงนี้จึงจะหมดไปและคุ้มค่าทางยุทธการ อันนี้นั้นคนที่เป็นเสธ.คงคิดออกและมีวิธีการลดความสูญเสียและความเสี่ยงให้กับหน่วยตัวเอง ถ้าผมเป็น น.ยุทธการที่นั่นนะ ผมเสนอแผนกับคอมแมนด์ให้สั่งเดินเท้าหมดแหล่ะ แบ่งออกเป็นหลายๆชุด เดินสวนกันเป็นใยแมงมุมทั้งพื้นที่ตลอด๒๔ชม. มีฐานลอยเป็นระยะๆให้ชุด ลว.คลายเครียดและได้พัก มียานเกราะติดอาวุธหนักเคลื่อนที่เร็วเป็นชุดเสริมหรือกำลังสนับสนุนประจำอยู่ฐานลอยทุกฐาน   ผลัดชุดกันออกลว. ผลัดชุดกันเป็นหน่วยสนับสนุนสลับกันไปตามวงรอบ  เอามั้ยล่ะ ให้เดินแม่งทั้งวันเสร็จงานช้าหน่อยแต่ไม่ตาย  กับให้เอารถกระบะออกเสร็จงานเร็วแต่อาจตายได้ง่ายๆทุกเมื่อ   เอาอันไหน
 
  
๓.การรั่วไหลของข่าวสาร รวมทั้งแบบการปฎิบัติที่ซ้ำซากจำเจ
- ข้อนี้เขียนเป็นร้อยๆรอบในหลายๆที่  การรั่วไหลของข่าวสารมีหลายลักษณะ แต่โดยมากมักเกิดจากรั่วจากกำลังพลเป็นหลัก รองลงมาเป็นเอกสาร ต่อมาเป็นการรั่วจากการสื่อสาร เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดไม่ต้องเขียนกันมาก เพราะมันแก้ไขกันได้ถ้าอยากจะแก้ไข่หรือมีความตั้งใจจะแก้ไข  ในระดับล่างๆก็แค่สั่งลูกน้องอย่าขี้โม้กับสาว อย่าคุยโว อย่าเบ่ง อย่าน้ำลายแตกฟองกับพลเรือน ในระดับสูงกว่านี้ก็แค่ปฎิบัติตามมาตรการการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลข่าวสารให้เคร่งครัด อย่าโง่พูดให้ข่าวแบบไม่คิด อย่าละเลยเรื่องบุคคลากร ส่วนในระดับสูง ก็แค่ต้องแยกแยะให้ออกว่าอันไหนควรพูดอันไหนไม่ควรพูด ไม่ใช่ออกทีวีพูดไปเรื่อย ไมค์จ่อปากเมื่อไรพุดทำเท่ห์ตลอด ให้รู้ไว้บ้างว่าผู้ปฎิบัตระดับล่างลงไปเค้าจะได้ยากจากการพูดไม่คิดของคนระดับบริหารจัดการ  แต่ทั้งหลายทั้งปวงของเรื่องนี้นั้น โดยรวมๆแล้วมันขึ้นอยู่กับสำนึกของคน บางครั้งให้ข่าวแล้วดูเหมือนเท่ แต่จริงๆแล้วมันดูสเล่อมากๆและดูวินัยเลวในสายตาของทหารทั้งทัพก็มีอยู่บ่อยๆ


- ต่อไปเป็นเรื่องสำคัญที่คนระดับหัวหน้ามักจะเพิกเฉยหลือละเลย นั่นคือการสั่งการปฎิบัติแบบซ้ำๆซากๆ จำเจทุกเมื่อเชื่อวันจนข้าศึกมันจับทางได้ วันว.เวลาน. สำหรับการปฎิบัติที่ไม่เน้นตรงเวลา มันไม่จำเป็นนักที่จะต้องทำตาม รปจ.เป๊ะๆๆๆ ประยุกต์ ปรับปรุง หลีกเลี่ยง ๓สิ่งนี้คนระดับสั่งการควรจำให้มั่น อย่าซ้ำซาก เปลี่ยนมั่ง สลับมั่ง อย่าคิดง่ายทำง่ายเข้าว่าจนเคยตัวหรือเคยชิน ตำแหน่งหน้าที่ยิ่งสูง ยิ่งต้องขอให้รู้และมีสำนึกไว้เสมอด้วยว่า ทุกคำสั่งที่ออกจากเรา มีหลายสิบหลายร้อยชีวิตเค้าต้องเสี่ยงเพื่อการนั้น  เพราะฉนั้น อย่าขี้เกียจ อย่ามักง่าย ถ้าไม่อยากมีบาปกรรมจากความขี้เกียจของตัวเองติดตัว คิดก่อนสั่ง พิจารณาก่อนเซนต์ เป็นคุณสมบัติที่ดีของคนระดับสั่งการ  เรื่องนี้คงไม่ต้องขยายความมาก เพราะสามัญสำนึกของทหารทุกคนต้องรู้อยู่แล้วว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และอย่างไร  จำไว้ว่า การเป็นวีรบุรุษแท้ๆ ควรจะมีชีวิตอยู่  ไม่ใช่ต้องตายเสมอไป  ไม่มีสุภาพบุรุษในสนามรบ ในสนามรบมีแต่ปีศาจสงครามทั้งนั้น ปีศาจที่ทำทุกอย่างเพื่อฆ่า เพื่อทำลาย เพื่อข่มขวัญ ชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบในการฆ่าในการทำลายล้างเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายตน เด็กๆที่จบมาใหม่ๆ คุณต้องตีความหมายคำว่า *การเข้าสู่สนามรบ*ให้ถูกต้องตามจริงด้วยตัวของคุณเอง  อย่าประมาท อย่าละเลย อย่าดูเบากับข้าศึก ๓สิ่งนี้จะทำให้คุณเป็นวีระบุรุษในขณะที่ยังมีลมหายใจ     











 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 20:59:31 น.
Counter : 2306 Pageviews.  

ดับไฟใต้ 5ปีผ่านไป ใช้งบไปแล้ว109,000 ล้านบาท แน่ใจนะว่ามาถูกทางแล้ว?

- เห็นตัวเลขแล้วโคตรเหนื่อยใจ นี่ถ้าเป็นธุรกิจการค้าขาย ต้องเรียกว่าขาดทุนชิบหายวายป่วง ประเดี๋ยวจะแจกแจงให้อ่านกันว่า หนึ่งแสนเก้าพันล้านบาท รัฐบาล+กองทัพ เอาไปทำอะไรบ้างในห้วง5ปีที่ผ่านไป เจตนารมณ์ในการเขียนกระทู้นี้ ไม่ได้มุ่งหมายโจมตีรัฐหรือกองทัพ แต่ให้คิดซะว่า นี่คือคำท้วงติงและต่อว่าของประชาชนอย่างพวกกูที่เป็นคนเสียภาษีให้รัฐ


- ห้วง5ปีที่ผ่านไป รัฐ+กองทัพลงมือตรวจค้น จับกุม ปิดล้อม เรียกแบบทหารว่า เปิดโอเปอเรชั่นทางทหารไปกว่า1หมื่นครั้ง หมื่นกว่าครั้งนี้เป็นเรื่องเป็นราวเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมในอัตราแค่ร้อยละ2.5เปอร์เซนต์เท่านั้น ดูตามรูปการณ์และข้อมูลทางสถิติในห้วง5ปีที่ผ่านไปแล้วนั้นสิ่งที่เราได้รู้ได้เห็นกัน(แต่รัฐ+กองทัพเค้าแถลงแบบดูเหมือนจะดีให้เรางงเล่นๆ) นั่นคือ ในทางทหาร เหตุการณ์รุนแรงทางทหารมันลดลง    แต่เหตุร้ายรายวัน รายเดือน ยังมีอัตราเฉลี่ยในห้วง5ปีนั้นยังแปรปรวนอยู่  แปลไทยแบบชาวบ้านได้ใจความว่า เหตุปะทะหรือการปฎิบัติการทางทหารของพวกโจรใต้ที่มุ่งต่อตีเจ้าหน้าที่รัฐนั้นลดลง แต่เหตุการณ์ที่โจรใต้มุ่งต่อตีทำร้ายพลเรือนไทย ยังคงมีอยู่ ลดบ้าง เพิ่มบ้างในห้วง5ปีที่ผ่านไป (สรุปแล้วตกลงมันลดลงหรือเท่าเดิมวะ กุก็งงว่ะ)


- และแล้วเมื่อเจาะลึกในข้อมูลทางสถิติ ความงงก็หายไป กลายเป็นความสงสัยแทน  นั่นคือ 5ปีที่ผ่านไป ตายเยอะอันดับ1คือ พลเรือนไทย ทั้งพุทธและมุสลิม ตายตามมาเป็นอันดับ2คือ ทหารและเจ้าหน้าที่รัฐ (อ่านให้ดีนะ อ่านช้าๆและทำความเข้าใจด้วย เดี๋ยวงงตายห่า) *ช่วงแรก* ของห้วง5ปีนั้น เป้าหมายหลักของ จกร.คือ ทหารและเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น ตำรวจ ครู  ผู้ใหญ่บ้าน และทรัพน์สินของทางราชการ แต่ช่วงหลังของห้วง5ปีที่ผ่านไปนั้น เป้าหมายเหล่านี้ทำได้ยากขึ้นเพราะกองทัพส่งทหารลงไปคุ้มครองในพื้นที่หลายหมื่นคน  ดังนั้นเป้าหมายของ จกร.จึงเปลี่ยนมาเป็น พลเรือนไทยตาดำๆแทน  ยอดเจ็บ ยอดตาย เมื่อครบห้วง5ปีจึงแซงหน้าทหารและเจ้าหน้าที่รัฐไปโดยปริยาย  นี่รึ เนี่ยนะคือสิ่งที่รัฐ+กองทัพภูมิใจแถลงต่อคนไทยทั้งมวลถึงงานดับไฟใต้ในห้วง5ปีว่า *เรามาถูกทางแล้ว*  ลดความสูญเสียของรัฐได้ แต่ประชาชนทั่วไปในพื้นที่รับแดกลูกปืนและระเบิดแทนจนท.รัฐ  นี่รัฐไม่รู้เลยรึไงว่า การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนไทย นั่นก็เหมือนสิ่งที่รัฐสูญเสียเช่นกัน เพราะรัฐมีหน้าที่ให้ความคุ้มครอง ปกป้องดูแลพลเรือนของรัฐ ทหาร-ตำรวจ -จนท.รัฐ คือผู้ที่จะต้องตายก่อนประชาชน ตายแทนประชาชนเมื่อเกิดเหตุทางความมั่นคง ไม่ใช่มุ่งลดการสูญเสียจนท.รัฐเป็นหลัก โดยไม่สามารถลดการสูญเสียของพลเรือนของรัฐได้เลย แล้วยังเสือกจะทำมาเป็นคุยว่าที่ผ่านมาสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ   ดีเหี้ยอะไร เปลี่ยนแม่ทัพไป6คน ผบ.ทบ.2คน รมต.กลาโหมอีก4คน ใช้งบละเลงยังกะเบี้ย คนยังถูกลอบฆ่าตายทุกวันโดยเฉลี่ย ประชาชนอย่างกูมองมุมไหนก็เห็นว่าไม่คืบหน้าเลยสักนิด(รัฐ+กองทัพเอานี่ไป1อันจากเจ้าของกระทู้  ๐II๐ )


- งบหนึ่งแสนเก้าพันล้านบาท 5ปีผ่านไปถูกละลายไปกับ
1.ค่าตอบแทนกำลังพลที่ลงทำงานในพื้นที่(มีทั้งผีทั้งคน อย่าเถียงกุ กุรู้ดี ปะมาณว่า ตัวอยู่นี่ ชื่ออยู่นู่น และก็มีไม่ใช่น้อยๆด้วย)  รวมทั้งค่าวัสดุคุรุภัณฑ์สิ้นเปลืองทั้งหลายแหล่ กองทัพเถียงดิว่า ไม่ได้มาล้วงเอาจากงบตรงนี้  อย่าเถียงเลย ตีงูให้กากินเปล่าๆ  รถจอดเป็นแถว น้ำมันไม่มีเติมเพราะนายเอาตังค์ไปแดกหมดแล้ว 555+  )


2.งบพัฒนาชุมชน  (ยังรบกันโครมๆ ระเบิดตรงนู้นตูม ตรงนี้ตูม มันถึงขั้นตอนของการพัฒนาชุมชนแล้วรึไง เคยเขียนไปครั้งนึงแล้วเรื่องอะไรก่อนอะไรหลังในการดับไฟใต้ มันผิดขั้นตอนทางยุทธศาสตร์การต่อสู้ ทำให้ตายตอนนี้ก็ไม่เกิดผล ได้ไม่คุ้มเสีย เหอะ พอพวกมึงพัฒนาเสร็จ โจรก็เข้ามาฝังตัวสร้างแนวร่วมต่อ  พาพวกมายิง ชรบ.เอาปืนลูกซองไปแดก  ถ้าอยากทำขั้นตอนนี้จริงๆ มึงทำแล้วต้องส่งกำลังตั้งฐานเฝ้าทุกชุมชนที่เข้าไปทำ เพื่อกันพวกมันกลับมาแทรกซึมฝังตัวในพื้นที่  เมื่อพลเรือนในชุมชน มีความปลอดภัย อยู่ดี กินดี ศาสนกิจดี แนวร่วมถึงจะลดลงตามธรรมชาติ  ต้องทำอย่างนี้ ไอ้ฟายยยย ไม่ใช่ให้ฝ่ายปกครองกับ กอ.รมน.พื้นที่ทำกันเอง  สิ่งนึงที่พวกมึงไม่เคยเข้าใจจนวันนี้เลยคือ 3จชต.ไม่มี ขนพร.ที่ชัดเจน มึงจะเอาตำราทหารมากางแล้วกำหนดเขตพื้นที่อำนาจกำลังรบแต่เพียงฝ่ายเดียวตามรูปแบบทางทหารได้ยังไง  เพราะที่นี่คือเขต ขนพร.ที่ทับซ้อน ชุมชน ป่า ชายป่า เมือง รบกันทุกที่แบบสงครามกองโจรตามแต่จะกำหนดเป้าหมาย ไหนทหารคนไหนรู้ว่า ขนพร.ของ3จชต.อยู่ตรงไหน บอกกูทีซิ  เจตโด้-*-  )


3.งบฟื้นฟูเยียวยา กำลังพลและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ร้ายใน3จชต.  (โอเค ตรงนี้ไม่มีอะไร สมควรที่จะต้องใช้ต้องทำ  แต่ แต่ แต่ พิจารณากรณี *งบฟื้นฟุเยียวยาญาติพี่น้องโจรที่ตาย*อีกทีก็น่าจะดีไม่น้อยนะ ว่าสมควรได้รับมั้ย น่าจะให้มั้ย กุสงสัยอย่างนึงว่า ทำไมพี่น้อง พ่อแม่ ลูกเมีย ของ จกร.ทำไมไม่ห้าม รึห้ามไม่ได้ ก็ควรชี้ช่องให้ จนท.รัฐเข้าจับกุม เออ ยังงี้น่ะ น่าจะให้ แต่ที่มาลอบยิงพลเรือน ตำรวจ ทหาร แล้วปะทะตายในที่รบน่ะ กรณีเคสแบบนี้รัฐ+กองทัพมึงจะใจดีไปถึงไหน ใจดีมากไปบางครั้งมันจะดูเหมือนอ่อนแอนะจ๊ะ  ว่างๆเข้าไปขอคำแนะนำจาก พลเอก กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาค4 มั่งนะ แนวคิดท่านในเรื่องนี้เจ๋งทีเดียว


4.งบจัดซื้อ จัดหา เครื่องป้องกันชีวิตของผู้ปฎิบัติหน้าที่ใน3จชต. (จริงๆตรงนี้มองดูรูปการณ์ เรายังคงต้องยืดเยื้ออีกนานใน3จชต. รัฐ+กองทัพควรเจียดงบตรงนี้ อนุญาตให้มหาวิทยลัย วิทยลัย ที่มีความสามารถในเรื่องการประดิษฐ์คิดค้น วิจัย ทำเรื่องพวกนี้ให้จับต้องได้ เพื่อลดงบจากการที่ต้องจัดซื้อ เพราะรู้ๆกันดีอยุ่ว่ามันแพงแค่ไหนในการจัดซื้อของพวกนี้ รึว่าตรงนี้มีรู มีช่องสำหรับนายคนไหนรึเปล่า ถึงไม่คิดแก้ไขปรับปรุง พัฒนาการจัดหา  เสื้อเกราะตัวนึง3-4หมื่น ในขณะที่กำลังพลทำงานเป็นหมื่น ต้องเงินเท่าไรล่ะ ถึงจะได้ครบทุกคน )


5.งบทางการปฎิบัติงานสนาม (ตรงนี้ไม่ขอออกความเห็นในเชิงติเตียนรึต่อว่า งานพวกนี้ผมรู้ดีว่ามันหินขนาดไหน ทั้งงานข่าวกรอง งานต่อต้านข่าวกรอง งานจิตวิทยามวลชน งานโอเปอเรชั่นทางทหาร ตรงนี้ต้องใช้เงินทั้งนั้นและมีผลคาบเกี่ยวกับงบในข้อที่1  งบตรงนี้บางเคส บางตัว บางยุทธ เป็นเรื่องที่ยากที่จะเขียนออกไป ความหนักใจของผุ้มีหน้าที่ทำงานในกลุ่มนี้นั้นผมเข้าใจได้ดีว่า เหมือนปิดทองหลังพระ ได้นายดีมีหัวใจงานก็ไปโลด ได้นายเหี้ยงานก็เน่าบวกแถมด้วยความเสี่ยงแบบโง่ๆที่ไม่น่าจะต้องมาเสี่ยง เคราะห์หามยามร้ายถึงที่ตายก็ตายเงียบ น้อยคนนักจะรู้ซึ้งถึงวีรกรรม จะว่าไปแล้วนั้นงานในสนามต่างๆ ถ้าไม่มีคนปิดทองหลังพระหาข่าว มันก็ยากที่จะลุล่วงในแบบที่เราเห็นๆกันในหน้า นสพ.น้ำเน่า มีตายกันแยะนะสำหรับงานในกลุ่มนี้ เพียงแต่มันไม่เป็นข่าวไง ผมถึงเรียกว่านี่คือการตายเงียบ ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ พลาดพลั้งถูกเสือแดกคาถ้ำในรูปแบบคนขายกับข้าว คนขายไม้กวาด คนขายไอติม บ่อยไป 2 นย.ที่ตายเมื่อ2-3ปีก่อนนี้ก็ใช่  พวกเราอยู่แนวหลังคงไม่รู้หรอกว่า เรื่องพวกนี้เราก็ทำ และมันก็ทำเหมือนกับเราเช่นกัน ตามอำเภอ ตามหน่วยราชการ มีพวกมันปะปนอยู่ทั้งนั้น เพียงแต่เรายากที่จะรู้แน่ชัดเท่านั้นว่าใครเป็นใคร )


- หมดแล้ว 5ข้อ 5งบหลัก 5เรื่องที่หมดไปถึง หนึ่งแสนเก้าพันล้านในรอบ5ปีที่ผ่านไป  เนื้องานที่ได้มาจากการละเลงงบนี้มันอยู่ตรงไหน ผมเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน  มองภาพรวมนั้นเขียนแบบไม่โกหกได้คือ มันเหมือนกับเราเพิ่งจะเริ่มงานเริ่มต้นมา2-3เดือนนี้เองในเชิงของผลที่ออกมาให้เราจับต้องได้ แต่เวลามันผ่านไปแล้วถึง5ปี คนตายไปไม่น้อย  ยังไม่เห็นหนทาง ไม่เห็นช่องทางจะยุติเสียที ในมุมมองของพลเรือนนั้นต่างจากมุมมองของทหารเป็นอย่างมาก ทหารเราไม่เคยคิดอะไรสวยงามน้ำเน่าไปวันๆแบบนักการเมือง แต่การเมืองนั้นอยู่ได้และดำเนินกิจกรรมด้วยการขายฝัน ขายความหวังให้กับชนในชาติ มีทั้งจับต้องได้จริง และมีทั้งลมๆแล้งๆ  5ปีผ่านไป กองทัพถูกการเมืองแทรกแซงตลอดมาในทุกๆด้าน ผู้ใหญ่ ผู้นำของกองทัพเองก็ไม่มีน้ำอิ๊วพอที่จะแข็งขืน ลู่ตามลมตลอดเวลาทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองอยู่ในทัพก็แค่อีกไม่นาน แต่กลับก็ไม่เคยคิดจะฝากชื่อเสียงเกียรติยศของขุนทหารไว้บนแผ่นดินสักครั้งในชีวิตด้วยการดับทุกข์เข็ญของปวงประชาเพื่อนร่วมชาติที่ต้องตกอยู่ในดงกระสุนและควันระเบิด สิ่งเหล่านี้ทำให้กองทัพและประชาชนจะค่อยๆเหินห่างกันในความรู้สึกความศรัทธาในแบบไทยๆ 


- *บทสรุป*
- 5ปีที่ผ่านพ้น รัฐบาลคับ ผู้นำกองทัพคับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนไทยทั้งชาติคับ เราเห็นกันแล้วกับความจริงตรงหน้าในวันนี้แล้วใช่ไหมว่า *กองทัพไทยโดยรัฐบาลไทย ไม่สามารถดับทุกข์ของคนไทยใน3จชต.ได้เลย ไทยพุทธใน3จชต.เคยมีถึง3แสนกว่าคน วันนี้เหลือ7หมื่นเศษๆเท่านั้น มุสลิมไทยเองใน3จชต.ก็ดูแปลกแยกในสายตาของคนทั้งชาติไปโดยปริยาย ทั้งๆที่มุสลิมไทยใน3จชต.ส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่เลวร้ายหรือคิดร้ายกับราชอาณาจักรไทย จะว่าไปแล้วนั้น มุสลิมไทยใน3จชต.เองนั้นมียอดเจ็บยอดตายสูงกว่าไทยพุทธเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้คนเหล่านี้ถูกเพื่อนร่วมชาติเหมารวมไปกับ จกร.เสียแล้วในมุมมองของความรู้สึก รัฐบาลไทยและกองทัพไทยควรจะเร่งแก้ไขเรื่องนี้ให้ถูกทาง ก่อนที่เหตุจะบานปลายกลายเป็นการผลักดันให้คนที่ไม่ได้รู้เรื่องกับ จกร.เหล่านี้ไปอยู่ในมุมที่ตรงข้ามกับราชอาณาจักร เมื่อถึงวันนี้ รูปการณ์เป็นแบบนี้  กองทัพไทยควรจะต้องยอมรับความจริงที่ขมขื่นเสียทีว่า กองทัพทำเรื่องนี้โดยลำพังตามวิถีทางของทหาร ตามมุมมองของทหาร ตามยุทธศาตร์และยุทธวิธีของทหาร ไม่ได้แล้ว เพราะมิติรูปแบบของความมั่นคงใน3จชต.ในวันนี้ มันอยู่นอกเหนือความเข้าใจในแบบทหารไปแล้ว กองทัพไทยถึงรบไม่เคยชนะเสียทีกับศึกนี้  ต่อจากนี้ไป กองทัพไทยควรทบทวนทุกบริบทของกองทัพที่ผ่านมาในงาน3จชต.เสียที ระดมสมองเคาะปัญหาและอุปสรรคออกมาให้เป็นยุทธศาสตร์ใหม่ที่เข้มแข็งและมีจุดหมายที่จับต้องได้ มิใช่ยุทธศาสตร์ลมๆแล้งที่แทบไม่เห็นฝั่งแบบที่ทำอยู่ทุกวันนี้   หยุดเถอะคับกองทัพไทย หยุดแล้วทบทวนใหม่  รัฐบาลเองก็ทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะคับ หยุดก้าวก่ายและหยุดเสือกกับงานของกองทัพซักที อย่าเอากองทัพไปทำงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร อย่าเอากองทัพมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง   เพราะหากวันใดประชาชนทั้งมวลหมดศรัทธาทั้งรัฐบาลและกองทัพ วันนั้นหายนะจะมาถึงชาติเราทั้งจากภายนอกและภายในอย่างที่ยากจะคาดคิด  ถ้าถึงวันนั้น 100ผบ.ทบ.  100ประชาธิปัตย์  100พันธมิตร ก็จะมิอาจต้านพลังของประชาชนมวลรวมได้นะจะบอกให้










 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 21:00:06 น.
Counter : 312 Pageviews.  

* การเมืองนำการทหาร VS การทหารนำการเมือง *

- วันนี้รัฐยังคงกระเทาะปัญหา๓จชต.ไม่ออก ทั้งๆที่ผู้นำส่วนใหญ่เป็นทหารเหล่ารบทั้งเกือบทั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น
เราควรทำอย่างไรทั้งในแง่ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ในเงื่อนไขของความเป็นจริงของสภาพการณ์ที่อยู่บนโจทย์ดังนี้ 
๑. เราเสื่อมหรือเสียอำนาจการควบคุมพื้นที่ ในพื้นที่ส่วนใหญ่ ทั้งการปฎิบัติและทางนโยบาย
๒. เราไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายหลักได้เต็มกำลังกับสังคมในพื้นที่ด้วยเงื่อนไขและปัจจัยทางศาสนาและเชื้อชาติ
๓.เราไม่สามารถควบคุมข่าวสารได้ร้อยเปอร์เซนต์ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ในแง่ของข่าวสารที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ
๔.เราขาดเอกภาพในการใช้อำนาจทั้งมวลในพื้นที่ ทั้งตัวอำนาจและตัวผู้ใช้อำนาจ
๕.กองทัพไม่สามารถเชื่อมการปฎิบัติทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของสารพัดหน่วยสารพัดเหล่าในพื้นที่ให้เป็นทิศทางเดียวได้


** ดังนี้เราจะเห็นได้ว่า เรามีปัญหาในพื้นที่๓จชต.ทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร การเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การทหารเป็นเรื่องการปฎิบัติ ทั้งสองด้านต่างมีดีมีด้อยมีข้อจำกัดในตัวของตัวเอง รัฐบาลที่ทำงานเป็น จะต้องแยกข้อดีและข้อเสียของทั้งสองด้านออกจากกัน รวมถึงแยกผู้รับผิดชอบออกจากกัน  ทั้งสองด้านไม่ควรเน้นด้านใดด้านหนึ่งในสภาวการณ์อย่างนี้ ทั้งการเมืองและการทหาร ต้องควบคู่กันไป ต้องเดินไปพร้อมกัน โดยมีรัฐบาลเป็นผู้เชื่อมงานทั้งสองด้านเข้าด้วยกันด้วยผลจากการปฎิบัติ ในยุทธวิธีของทหารนั้น การใช้กำลังถือเป็นข้อเด่น ในยุทธศาสตร์การเมืองนั้น การใช้นโยบายถือเป็นข้อเด่น หากกำหนดนโยบายทางการเมืองสำหรับ๓จชต.ไว้ในลักษณะเน้นการสมานฉันท์ แล้วเน้นด้านนี้เป็นหลัก  เราจะอ่อนแอและเสียการควบคุมพื้นที่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ในขณะที่การทหารนั้น จะทำอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะ ทหารมีข้อเด่นที่การใช้กำลังเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมกองทัพถึงเละเป็นโจ๊กในงาน ๓จชต. สรุปคือ ในที่สุดเอาดีไม่ได้เลยทั้ง๒ด้านทั้งการเมืองการทหาร ภาพลักษณ์กองทัพก็เสีย ภาพลักษณ์รัฐบาลก็เสีย พวกโจรก็ได้ใจ ทหารกับพลเรือนในพื้นที่ก็ตายกันต่อไป  แล้วผู้มีอำนาจก็ยังดันทุรังจะพูดอีกว่า ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ก็ในเมื่อสภาวการณ์ที่เห็น มันก็ฟ้องด้วยภาพอยู่กันชัดๆในตลอด๖เดือน-๑ปีที่ผ่านไป ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยไม่มีใครมาสมานฉันท์กับรัฐเลย มีแต่ยิงเอาฆ่าเอาตลอดเวลา ในขณะที่กองทัพออกแอคชั่นเมื่อไรเป็นโดนสกัดตลอดจากทางฟากนโยบายเนื่องจากเน้นสมานฉันท์ของชนในชาติเป็นหลัก  หรือรัฐบาลคิดว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็ก๗ขวบทั้งหมด ที่ว่านอนสอนง่าย เอานู่นมาล่อเอานี่มาแจก แล้วเหตุจะสงบ รัฐบาลไม่คิดมั่งหรือว่า เด็กก็มีทั้งเด็กดีและเด็กนิสัยเสีย ที่บางครั้งก็ต้องควบคุมและดุด่าเฆี่ยนตีเพื่อให้หลาบจำเพื่อให้กลัวเกรง หรือเลี้ยงไม่ไหวก็ต้องไล่มันออกจากบ้านไป ให้มันไปรู้ไปลองด้วยตัวเองว่า ที่ไหนจะสุขเท่าบ้านตัวเองไม่มีอีกแล้ว **


** ส่วนการจะนำการทหารนำการเมืองนั้น ในทางเป็นจริงที่จับต้องได้ เห็นภาพได้นั้น เราจะปฎิเสธแนวนี้เลยทีเดียวก็ไม่ควรนัก หรือจะเน้นแนวนี้เสียทั้งหมดเลย ก็ไม่เหมาะสักเท่าไร เพราะจากสภาพเศรษฐกิจ-สังคม-การเมือง ในแบบไทยๆนั้น เรายังมีข้อจำกัดมากมายทั้งเรื่องประเด็นทางศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม และเชื้อชาติ หากเรายึดด้านนี้เป็นหลักและดำเนินนโยบายอย่างไม่รัดกุมพอ นั่นอาจทำให้เราถูกแทรกแซงจากอำนาจอื่นได้ อีกทั้งอาจผลักดันปัญหาขยายไปสู่การเริ่มต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และกำลังอาวุธแบบสมัยคอมมิวนิสต์เฟื่องฟูอีกก็เป็นได้  คำจำกัดความในคุณลักษณะของการปฎิบัติของกองทัพคือ รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด อย่างนี้นั้น เราสามารถหยิบยกมาใช้ได้ในบางห้วงเวลาที่เราต้องการความสงบหรือต้องการปราบปรามในบางกาลบางพื้นที่ที่มีการต่อตีด้วยอาวุธเท่านั้น  ไม่ให้รบไม่ให้ปราบปรามเลยในขณะที่ จนท.รัฐ-พลเรือน ถูกต่อตีด้วยอาวุธอยู่ตลอดนั้นจะให้กราบอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ บางครั้งต้องโอเปอเรชั่นข่มศึกให้หยุดนิ่งเพื่อปรับขบวนอย่างนี้นั้น ทั่วโลกเขาก็ยึดถือปฎิบัติกันมาตลอด ไม่มีใครว่าอะไรได้เพราะนั่นคือการปราบปรามเพื่อความสงบในพื้นที่ เป็นกิจการภายในของเราที่ไอ้หน้าไหนก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะมาแทรกแซงเราได้ในต่อหน้า แต่ลับหลังนั้นก็ไม่แน่   แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะควบคุม ถ้าเราปราบปรามได้จริง ทำให้พื้นที่สงบได้จริง ไม่ช้ามันก็หมดกำลังไปเอง หากการเมืองจะตามหลังการทหารนั้น เราก็จะเห็นผลจากการปฎิบัติของกองทัพได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในขณะที่การเมืองก็ต้องเล่นเป็นและรู้บทตัวเองว่าควรซับพอร์ทการทหารอย่างไรในปัญหาที่เกิดจากการใช้กำลังทหารหรือจะสมานฉันท์หลังโอเปอเรชั่นมวลรวมก็ยังไม่สายนัก ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์การต่อสู้ในพื้นที่รุนแรงแค่ไหน เชื่อไหมว่าผู้ก่อการทั้งหลายใน๓จชต. กลัวรัฐบาลไทยจะใช้แนวนี้ทั้งนั้น จึงบีบรัฐด้วยกลยุทธ์ต่างๆมากมาย เช่น การจรยุทธ์ในเขตเมือง การวินาศกรรมในเขตชุมชน การซุ่มตีฉาบฉวย การก่ออาชญากรรมรายวันต่อพลเรือนและ จนท.รัฐ และโดยมากใช้ศาสนาและศาสนสถานหรือทุกสิ่งที่เกี่ยวกับศาสนามาเป็นเกราะป้องกันทั้งสิ้น ทำไมต้องทำเช่นนี้? ก็เพื่อบีบมิให้รัฐใช้การปราบปรามแบบเต็มกำลังด้วยการทหาร เพราะปัจจัยทางศาสนาเป็นเรื่องใหญ่รัฐบาลน่าจะไม่ต้องการมีปัญหากับโอไอซีหรือรัฐอิสลามเพื่อนบ้านอื่นๆ ซึ่งมันก็ได้ผลตามนั้น รัฐบาลไทยเงื้ออาวุธค้าง ไม่กล้าฟาดฟัน สุดท้ายเลือกเอาการเมืองมาแก้ปัญหานำการปราบปรามทางทหาร เข้าทางตีนอย่างที่หวังจริงๆ  และนี่คือจุดเปลี่ยนอันน่าเศร้าใจของกองทัพในเวลาต่อมา **


*** กาลเวลาผ่านไปและผ่านมา รัฐบาลไทยและกองทัพไทยเหมือนจมดิ่งอยู่กับปัญหา๓จชต. ยังหาทางออกไม่ได้ ก็เลยเกิดแนวคิดที่จะให้๓จชต.เป็นเขตพัฒนาพิเศษ แล้วรัฐบาลจะควบคุมอีกชั้นหนึ่ง มันน่าจะเอาคนคิดมาเลาะกะโหลกดูสมองนัก ว่าทำด้วยอะไร  ขนาด๓จชต.อยู่ในการปกครองของรัฐบาล ทหารตำรวจตรึงเต็มพื้นที่ ยังคุมไม่ได้เลย แล้วถ้าปล่อยไปลักษณะนั้น จะเหลืออะไรในแง่ความมั่นคง รัฐบาลไทยเวลานี้นั้นมิใช่มีแต่คนไม่เก่ง คนเก่งมีแยะทีเดียว แต่โดยมากได้แต่คิดแต่ไม่กล้าทำ กลัวเหยียบตีนกันเองแล้วตัวเองจะหมดวาสนา เป็นอย่างนั้นจริงๆทั้งวงการเมืองและวงการทหาร น้อยคนนักที่จะคิดเอาชาติเป็นที่ตั้ง ตัวเองเป็นที่รอง เพราะถ้ามีคนคิดอย่างนี้ ป่านนี้รูปการณ์ใน๓จชต.และปัญหาอื่นๆในส่วนกลางจะไม่ค้างคาอยู่อย่างนี้ วันนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ การเมืองและการทหารเพื่อแก้ปัญหา๓จชต.จะก้าวไปด้วยกัน ควบคู่กันไป ซัพพอร์ทกันและกันไป การทหารหนักการเมืองเบา การเมืองเบาการทหารหนัก ปรับใช้ให้เหมาะแก่ห้วงเวลา เป้าหมายคือความเป็นชาติ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของราชอาณาจักรไทย ไม่มีสยาม ไม่มีมลายู ไม่มีอื่นใด มีแต่ไทยเท่านั้น นี่เป็นเรื่องของการเมืองที่ต้องออกนำ ไอ้อีที่จับอาวุธหรือเจตนาต่อตีรัฐ พลเมืองของรัฐ จนท.รัฐ ความมั่นคงของรัฐ นี่เป็นเรื่องของการทหารที่ต้องออกนำ หากทั้งสองสิ่งก้าวเคียงกันไป โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ชี้นำโดยยึดเอาบ้านเมืองเป็นหลักเป็นชัย ทุกปัญหาที่เกิดเราแก้ได้ทั้งสิ้น หนักกว่านี้ไทยก็เคยเจอมาแล้ว เราก็ผ่านมาได้ทั้งนั้น มีเสียเลือด เสียเนื้อ เสียใจ แต่เราก็ยังคงอยู่รอดมาได้เพราะสิ่งเดียวนั่นคือ ความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันทั้งชาติ ย้อนกลับไปดู ปวศ.เราจะเห็นได้ว่า ความเข้มแข็งของผู้นำ+ความเข้มแข็งของกองทัพ+ความสามัคคีของชนในชาติ สามสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราอยู่ได้ สมานฉันท์นั้นเอาไว้ใช้เวลากัดกันเอง เวลาอย่างนี้เอามาใช้ไม่ได้ เพราะเรากำลังกัดกับคนอื่น คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไทย ดังนั้น สมานฉันท์ไม่ใช่จุดเริ่ม ไม่ใช่จุดสุดท้าย มันเป็นแค่องค์ประกอบเท่านั้น รัฐบาลควรลืมตาและตื่นจากความลุ่มหลงมัวเมาเสียที มองความจริงที่อยู่ตรงหน้าและรวบรวมความสามัคคีของชนในชาติที่เหลืออยู่เล็กน้อยนั้น แล้วก้มหน้าตั้งใจทำงานให้สมกับที่ประชาชนมุ่งหวัง เพื่อให้พวกเราผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้เสียที ***


 * หากความดีและสาระที่นำมาโพสนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งหลาย ผู้เขียนขอยกทุกสิ่งนี้ให้แด่ ผู้พลีชีพทั้ง๗ และทุกผู้ทุกนามที่สละชีพเป็นราชพลีในพื้นที่๓จชต.ด้วยหน้าที่ ที่พวกท่านเหล่านั้นแบกไว้บนบ่า *















 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 20:50:46 น.
Counter : 564 Pageviews.  

*มุมมองแบบทหารเกี่ยวกับสงคราม๓จว.ภาคใต้(๒)*

* ถ้า คมช.จะเจ๊ง ถ้าท่านนายกฯจะเจ๊ง ก็เรื่อง๓จว.นี่แหล่ะที่จะทำให้เจ๊ง*


- คนไทยมีนิสัยไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียวโดยมิได้ต่อสู้ โดนอย่างนี้บ่อยๆ ถี่ๆ รายวัน คนไทยทั่วประเทศจะทนรับไม่ได้ นานๆไปจะรู้สึกไม่พอใจรัฐบาลที่เชื่องช้า และแก้ไขอะไรไม่เป็นรูปธรรม ท้ายที่สุดความต้องการและความเจ็บแค้นแทนเพื่อนร่วมชาติจะกลายเป็นหอกเป็นดาบทิ่มแทงเข้าใส่รัฐบาลจนเจ๊งทั้งคณะ


- กองทัพกำลังถูกกดดันอย่างหนัก นายทหารสายรบหลายท่านเริ่มซ่อนความคับแค้นไว้ในใจต่อรูปแบบของกองทัพที่เกี่ยวกับ ๓ จว.ใต้ หากความอดทนสิ้นสุด เราอาจได้เห็นปฎิวัติซ้อนในเร็ววัน


- สถานการณ์๓จว.ใต้ในวันนี้ บ่งบอกถึงขีดความสามารถของคณะเสธ.ในเหล่าทัพได้อย่างชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ รร.เสธ.ต้องสังคายนาระบบการสอนเสียใหม่ ให้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของกองทัพไทย ทุกวันนี้ เราเป่ะปะมากกับการตั้งธงปัญหาและการฟันธงปัญหา นั่นคือการนำไปสู่การล้มเหลวในยุทธการต่างๆใน ๓ จว.ภาคใต้


- กองทัพไทยทุกวันนี้ หวงของมากกว่าหวงคน เป็นอย่างนี้ทั้ง๓เหล่าทัพ กลุ่มโจรที่โอเปอเรชั่นอยู่ในพื้นที่นั้น เราจะเห็นได้ว่า พวกนี้ไม่มีเทคโนโลยีในการรบสักเท่าไร แต่กลับสร้างผลการยุทธได้อย่างรุนแรง แต่กองทัพไทยมีเทคโนโลยีที่ดีกว่ากลุ่มโจรพวกนี้แยะ กลับเอาไว้โชว์แค่วันเด็ก เอาไว้อวดแค่สื่อมวลชน เอาไว้แค่พีอาร์ แต่กลับเทกำลังพลลงไปโดยปราศจากความมั่นใจในการรุกรบ ผลที่ได้จึงเป็นอย่างที่เห็น การข่มขวัญข้าศึก เป็นเพลงยุทธบทแรกของทุกตำรารบ แม้แต่พวกโจรเองมันก็ใช้วิธีนี้ตลอดมาจนทุกวันนี้ สร้างความหวาดกลัวและหวั่นไหวให้กับกำลังพลในพื้นที่อย่างรุนแรง หากเราไม่ข่มศัตรูให้หวั่นไหวบ้าง ขวัญกำลังใจไพร่พลที่ไหนจะมีเหลือ ยิ่งเป็นศัตรูที่มองไม่เห็นตัวด้วย ยิ่งสร้างความหวาดระแวงให้กับกำลังพลอย่างสูง


- นายอย่าแยะ เสธ.อย่าเยอะ ตัดใจมอบหมายให้ ทภ.๔บัญชาการไปโดยตรง พลาดมาปิดข่าว สำเร็จก็ต้องประโคม นี่เป็นเพลงยุทธบทแรกๆของการข่าว การโอเปอเรชั่นของทหารในพื้นที่รบ ควรใช้ทหารของ ทภ.๔เป็นหลัก ไม่ควรเอาทหารจากภูมิภาคอื่นมา ให้ทภ.๔ไล่ต้อนข้าศึกทั้งการการข่าวและการเมือง คัดกรองคนร้ายออกจากคนดี แยกแนวร่วมออกจากแนวปกติ แล้วกดดันให้พวกนี้ต้องหนีออกจากชุมชนเมือง พอเข้าป่า ก็ประเคนสรรพกำลังอัดให้ย่อยยับ อย่าให้เหลือเชื้อพันธ์ให้คนภายหน้าต้องได้ยากอีก


- กฎอัยการศึก ต้องเข้ม เคอร์ฟิวต้องมีแล้ว ใน๓ จว.ใต้ เศรษกิจพินาศ เราสร้างใหม่ภายหลังได้ แต่ชีวิตทหาร พลเรือน ตายแล้วตายเลย สร้างใหม่ไม่ได้ คุมเข้มเรื่องข่าวสาร ข่าวสารใดๆใน๓จว.ใต้ นสพ.วิทยุ โทรทัศน์ กองทัพต้องตรวจต้องบล๊อค ข่าวเราเราปล่อย ข่าวพวกมันเราปิด ต่อให้มันฆ่าคนอีกกี่พันศพ พีอาร์ของมันก็ไร้ค่า


- ปิดชายแดน๓.จว.ทุกด้าน ทั้งที่ติดกับ จว.อื่น และประเทศอื่น ค่อยๆเทกำลังพร้อมเทคโน บีบวงล้อมให้แคบลงไปเรื่อยๆ สกรีนทุกด้านแม้แต่ธุรกรรมการเงิน กดดันอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้ามันจะหันมาอัดทหาร แทนอัดพลเรือน เมื่อนั้นเราจะเห็นตัวมัน


- ส่งนักรบลงไปเป็นนาย ส่งนักรบลงไปเป็นเสธ. ส่งไอ้พวกคิดออกแค่ พสร.วันทวีคูณ กลับกรุงเทพให้หมด ไอ้พวกนี้กินแรงชาติ เอาคนอยากรบลงไปรบ เอาคนปอดแหกกลับมา จัดกำลังแบบไทยๆ อย่าจัดแบบเวสพอยท์ เพราะนี่มันสงครามจรยุทธ เวสพอยท์ไม่เคยชนะสงครามแบบนี้แม้แต่สักครั้งในทุกภูมิภาคของโลก เลิกเป่ะป่ะ เลิกแยกทหารแบบผิดคุณลักษณะ แม้อาจทำให้๓จว.มีสภาพเหมือนยามสงคราม ก็ต้องทำ รบพิเศษติดอาวุธแปลงตัวเป็นพลเรือนซ้อนอยู่ในพลเรือนที่ทหารคุมอยู่อีกชั้น ทหารจะตายน้อยลง ข่าวสารจะหลั่งไหลมากขึ้น นี่เป็นเรื่องสำคัญ *จงอย่าใช้ทหารหรือกำลังรบผิดคุณลักษณะทางทหาร* มิฉะนั้น มันจะเหมือนเป็นการทำลายหรือบั่นทอนประสิทธิภาพของกำลังรบโว้ย รู้บ้างมั้ย ....


ทุกวันนี้คนทั่วไปไม่รู้หรอกว่า ทหารที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ ๓จว.น่ะ ขวัญกำลังใจอยู่ในขีดไหนขั้นไหน ผลล่ะอยากให้คนทั้งประเทศได้รู้ได้เห็น บรรยากาศวันที่ ผู้การเขียว ถูกซุ่มด้วยระเบิดเสียชีวิตจริงๆ ข่ายวิทยุทหารทุกข่าย ระงมเซ็งแซ่ไปทั้งทัพ ข้าราชการฝ่ายปกครองตึงเครียดไปทุดอำเภอทั้ง๓จว.โดยเฉพาะในยะลา ส่วนด้านกำลังพลของทั้ง๓ ฉก.นั้นระดับบนเคียดแค้น ระดับล่างเสียขวัญ ตำรวจนั้นไม่ต้องพูดถึง ปอดลอยไปถึง ปทุมวัน ในกทม.แล้วตั้งแต่สิ้นเสียงระเบิด *


** นาทีนี้ชั่วโมงนี้ ยุทธการต่างๆของทัพไทย ใน๓จว.นั้น เละเทะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทำได้แค่เฝ้าพระ เฝ้าวัด เฝ้าครู เฝ้าชุมชน หากเผชิญเหตุแบบนี้ ยุทธวิธีพื้นฐานของทหารเขาต้องทำยังไงกัน แล้วกองทัพเราได้ทำอย่างนั้นรึเปล่า **


*** สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นคือ พวกพลรบจรยุทธของพวกโจรนี้ มันไม่มีความเกรงกลัวทหารหรือกองทัพเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะอะไร? ก็เพราะระดับมันสมองของพวกมันวางหมากไว้แล้วว่า ให้ก่อเหตุถี่ๆ หนักๆ แรงๆ ต่อเนื่อง และพยายามแฝงตัว หลบหลีกซ่อนเร้นให้พ้นหน้าศึกทุกครั้ง พีอาร์ที่ออกไป ภาพคือ ทหารหรือกองทัพไทย ไร้น้ำยา ไร้ประสิทธิภาพ ทำอะไรพวกมันไม่ได้เลยนอกจากตามเก็บศพเก็บชิ้นส่วนพวกเดียวกันเท่านั้น ยิ่งนานวัน ภาพนี้จะเสริมให้มีคนไปร่วมกับพวกมันมากขึ้น เพราะเห็นแล้วว่าจนท.รัฐหน่อมแน้มเพียงใด การได้ฆ่าทหาร หลบหลีกการไล่ล่าของทหาร จะเป็นสิ่งที่ท้าทายและได้รับความยอมรับในกลุ่ม ดังนี้เราจะเห็นได้ว่า ขวัญกำลังใจของพวกมันกำลังฮึกเหิมและกล้าแข็งขึ้นทุกวัน แต่ฝ่ายเรานั้นขวัญกำลังใจลดลงจนแทบเป็นศูนย์ ทหารจำนวนไม่น้อย ก่อนนอนนั่งจดบันทึกว่าเหลืออีกกี่วันวะ ที่จะครบกำหนดกลับที่ตั้งปกติ ***


**** นั่นคือเรื่องขวัญกำลังใจของไพร่พลฝ่ายเรา แต่หากพูดถึงขวัญกำลังใจของพลเรือนในพื้นที่นั้น บอกได้คำเดียวว่า คำนี้ พลเรือนผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไม่รู้จักคำนี้แล้ว ลืมไปแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ รัฐเอง กองทัพเองก็อย่าหวังเลยว่า ปจว.ของรัฐและกองทัพจะประสบผล ข่าวจะบอด การเล็ดรอดจะบังเกิด เพราะพลเรือนพวกนี้หมดแล้วซึ่งความหวังในความปลอดภัยในชีวิตที่จะได้รับจากรัฐ สู้อยู่เฉยๆ นิ่งๆ จะดีกว่า รัฐจะไม่ได้รับความร่วมมือใดๆจากพลเรือนอย่างเป็นชิ้นเป็นอันอีกต่อไป หากไม่มีการข่มขวัญศัตรูที่มองไม่เห็นตัวด้วยแสนยานุภาพที่เรามี ****


***** วันนี้ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะเล่นใต้ดินกับพวกมันบ้าง ใต้ดินอย่างไรนั้น ผมขอไม่เขียนในที่สาธารณะอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาเป็นว่า ทหารทุกคนน่าจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร หากเราปล่อยให้ข้าศึกมีสกอร์นำ โดยเรามีแต้มเป็นศูนย์อยู่อย่างนี้ มิช้าทุกยุทธการในกองทัพเราจะล่มสลาย และอาจลุกลามเข้าสู่เมืองใหญ่ๆหรือกรุงเทพในไม่ช้า ทหารรบพิเศษ เก่งและได้รับการยกย่องเชื่อถือในประสิทธิภาพจากทหารทุกเหล่าทัพ แต่ในความเก่งกาจนั้น เกิดจากการซุ่มตีข้าศึก มิใช่เกิดจากการประจัญบานกับข้าศึก ทหารราบหลักต้องรบเป็นหมู่ ไปเป็นหมู่ ทำการรบทำการควบคุมพื้นที่การรบแบบทหารราบตามคุณลักษณะทางทหารแบบทหารราบ ทหารรบพิเศษซุ่มข้าศึก หลบหลีกซ่อนเร้นรุกลวงหน่วงรั้งทำลาย อยู่กันแค่คนสองคนก็ซุ่มข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าได้ คนสองคนได้เปรียบข้าศึกเพราะซุ่มตีตอนข้าศึกไม่รู้ตัว ข้าศึกมี๕ ตีตอนไม่รู้ตัว๑วินาทีแรกเด็ดไป๓ เหลืออีก๒ สู้กันแบบตัวๆ รบพิเศษได้เปรียบอีกนิดตรงที่ซุ่มอยู่ ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม นี่คือคุณลักษณะของทหารรบพิเศษ การส่งทหารราบ๒คนไปเฝ้าจุด ไม่ต่างอะไรกับส่งพวกเขาไปตาย เพราะมันผิดคุณลักษณะทางการรบ การส่งทหารรบพิเศษขี่มอไซค์ซ้อนกัน๒นายไปตรวจตรา ก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งหมูไปเข้าปากหมา เพราะมันผิดคุณลักษณะของทหารรบพิเศษอีกเช่นกัน *****


***** เห็นมั้ยครับพี่น้องทหารทั้งหลาย ว่านี่คือการใช้กำลังพลผิดคุณลักษณะทางทหาร รบสิบศึกก็แพ้สิบศึก หากผบช.ที่มีอำนาจสั่งการ ยังงมงายอยู่กับตำราเสธ.อเมริกา ชีวิตพี่น้องทหารอีกมากจะต้องเซ่นสังเวยต่อไปเรื่อยๆ เริ่มจัดสรรค์ เริ่มจัดกำลัง เราก็มั่วแล้ว นี่ขนาดยังไม่ทันได้รบ ก็ยังออกทะเลขนาดนี้ เห็นมั้ยว่า เกือบจะทุกครั้ง ทหารเราจะเป็นเป้าโดยมิทันได้ต่อสู้แทบจะทุกครั้ง มันน่าแค้นใจไหม บ้านนี้เมืองนี้มันของเรา เราจะรบทัพจับศึกก็ทำในแบบของเรา จะกลัวไปไยกับคำท้วงติงของนานาประเทศ เมื่อพวกมันต้องการสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวให้แก่ทหารและพลเรือนของเรา เราก็ควรสนองตอบมันด้วยการสร้างภาพแห่งสงครามในแบบของทหารให้พวกมันได้หวั่นไหวบ้าง ขวัญกำลังใจของพลเรือนจะกลับคืน กำลังพลจะฮึกเหิม ยุทธการของกองทัพจะเข้มแข็งและประสบผล *****


** เรื่องใน๓จว.ใต้นั้น รัฐพยายามจะยัดเยียดให้กลุ่มนู้นกลุ่มนี้เป็นศัตรู เป็นจำเลย นั่นเป็นเพราะว่ารัฐยังหาตัวศัตรูจริงๆไม่เจอ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูเป็นใคร การชี้นำให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นว่า กลุ่มที่รัฐเอ่ยออกมานั้นคือตัวการ คือศัตรูของประเทศ ศัตรูของพลเรือนใน๓จว.ภาคใต้ มันเป็นได้แค่เพียงการปิดบังความไม่รู้ของรัฐต่อสาธารณะชนเท่านั้น ผมไม่เคยแปลกใจเลยว่าทำไมกองทัพไม่เดินหน้าในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ไปตามยุทธวิธีพื้นฐาน นั่นก็เป็นเพราะว่ารัฐโดยกองทัพนั้น ยังไม่รู้จะปักธงปัญหาไปที่ใด องค์ประกอบในการสงครามมันจึงยังไม่ครบ นั่นคือ มูลเหตุ-ปัญหา-พิพาท-ศัตรู-สงคราม รัฐรู้มูลเหตุ รัฐรู้ปัญหาแต่ก็ไม่ยอมแก้ รัฐพิพาทแล้วแต่เพิ่งคิดจะมาสมานฉันท์ แต่รัฐยังไม่เห็นไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ไหน สงครามหรือการจัดการทางการทหารในฝ่ายของเราจึงชะงัก และล้มเหลวมาตลอดทั้ง๒รัฐบาล ทหารจะรบไม่ได้ถ้าไม่รู้ว่าข้าศึกคือใคร เรื่องอย่างนี้หากเป็นรัฐบาลปักกิ่ง เขาฆ่าล้างเมืองไปแล้วทั้ง๓จังหวัด **



*** หากรัฐและกองทัพยังคงวิ่งตามหาโจรใต้ วิ่งไล่หลัง ก้าวตามหลังอยู่อย่างนี้ รัฐจะไม่มีวันได้พบได้รู้ว่าศัตรูที่แท้จริงของปัญหานี้คือใครและอยู่ที่ไหน ศัตรูอยู่รอบๆตัวเราตลอดเวลา และที่น่ากลัวกว่านั้นคือศัตรูที่เป็นพวกเรากันเอง รัฐควรจะประจัญหน้าและก้าวสวนทางวิ่งสวนทางกับโจรใต้พวกนี้ พวกมันคิดมันทำเรียงลำดับอย่างนี้
๑.ยึดครองพื้นที่ ๒.แย่งชิงมวลชน ๓.ทำสงครามจรยุทธ์ ๔.คิดแบ่งแยกดินแดน
-ทางที่เราควรจะทำคือ -
๑.แบ่งแยกพื้นที่หรือดินแดนแล้วควบคุมด้วยกฎอัยการศึกอย่างยามสงคราม
๒.ทำสงครามนอกแบบตอบโต้*เพื่อข่มขวัญ*กับพวกมันแบบที่กล่าวไว้ในกระทู้บน
๓.แยกพลเรือนที่ดีออกจากพลเรือนแอบแฝง ด้วยเครื่องมือชั้นดีอย่างกฎอัยการศึกแบบยามสงคราม
๔.ยึดครองพื้นที่ในเขตเมือง บีบวงล้อมในทุกแบบและทุกทาง กดดันให้พวกมันอยู่ในเมืองไม่ได้


*** ท่านผู้อ่านคิดว่า ถ้ารัฐโดยกองทัพทำอย่างนี้ เราจะเสีย๓จว.นี้ไปมั้ย ***


* เกิดเป็นทหารต้องแสวงหาศึก อยากเป็นขุนศึกต้องออกล่าศัตรู ตายช่างแมร่งมัน*













 

Create Date : 08 ธันวาคม 2549    
Last Update : 16 ธันวาคม 2552 21:01:16 น.
Counter : 1081 Pageviews.  


Westpoint
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




* ทหารต้องมีวินัย วินัยเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมกองทัพ ทหารในกองทัพคือผู้ถืออาวุธของแผ่นดิน คำสั่ง สำหรับทหารนั้นคือสิ่งสำคัญที่เราไม่อาจละเลยได้ หากทหารทุกคนในทัพเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง โดยไม่นำพาต่อวินัยในการเป็นผู้ถืออาวุธของชาติ ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย อาวุธเล็กอาวุธน้อย กองทัพจะเป็นกองโจร ในการมีการใช้ในการถือครองอาวุธของแผ่นดินด้วยหน้าที่นั้น วินัยล้วนเป็นหลักทั้งสิ้น ในสังคมทหาร ในกรมกองทหาร ไม่มีคำว่าประชาธิปไตย ไม่มีการออกสิทธิออกเสียง ไม่มีโหวต ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา การวางปืนแล้วหันหลังออกจากแนวไป ไม่สนใจไม่ปฎิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชามิว่าด้วยเหตุผลใดไม่ว่าในสนามรบหรือในที่ตั้ง นั่นคือการหนีทัพ ในสนามรบนั้นหากทำอย่างนี้ ถูกยิงเป้าทันที หากทำนอกสนามรบ นั่นคือการละทิ้งหน้าที่ มีโทษไม่น้อยเหมือนกัน มีทหารอีกมากมายนักในกองทัพที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้บังคับบัญชาไปทุกเรื่อง แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้น เราไม่มีสิทธิโต้แย้งใดๆในคำสั่ง สิ่งเดียวที่ทำได้สำหรับระดับปฎิบัติคือ เมื่อเราเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ผิด เป็นคำสั่งที่ผิดศีลธรรมจรรยาของทหารแห่งชาติที่ดี ไม่ว่าด้วยแง่มุมใดๆ เรายังคงต้องปฎิบัติไปตามคำสั่งนั้น เราอาจทำให้ไม่สำเร็จ ทำได้แค่นี้เท่านั้น เราทำแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ นี่เป็นทางออกเดียวเท่านั้นของระดับผู้ปฎิบัติหรือระดับสั่งการในสนามเล็กๆ รูปการณ์อย่างนี้มิใช่ว่ามิเคยมี ตัวอย่างมีให้ดูมาแล้วจากในอดีต เรามิได้ผิดวินัย แต่เราทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในเบื้องลึกในจิตใจเท่านั้น นี่เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมทหารค่อนกองทัพ ถึงต้องทำอย่างที่ประชาชนทุกคนเห็นตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในรร.ทหารในระดับเริ่มต้น ก้าวย่างแรกของการเป็นทหาร ทุกคนในกองทัพจะต้องถูกหล่อหลอมเรื่องวินัยอย่างสุดขั้ว รร.ทหารที่ไหนๆในโลกก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น เพราะทุกคนในโลกรู้กันดีว่า ผู้ที่จะจบออกไป จะเป็นผู้ที่ต้องถืออาวุธของชาติ และจะต้องใช้อาวุธในมือไปตามหน้าที่ และวินัยที่ รร.ทหารเฝ้าหลอมให้ทหารทุกคนนั่นก็คือ วินัยในการมีหน้าที่ ส่วนการจะถือจะใช้อาวุธในมือของตนตามหน้าที่และคำสั่งนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกเฉพาะตนในความเป็นชาติ และความเป็นคนไทยเท่านั้น *นี่เป็นสิ่งเดียวที่จะมีอำนาจเหนือกว่า หน้าที่ในทางเป็นจริงของทหาร *
Friends' blogs
[Add Westpoint's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.