Group Blog All Blog
|
เอาเท้าแตะเกาหลีเหนือ ตอน JSA ทัวร์
ความเดิมตอนที่แล้ว หลังออกจากสถานีรถไฟโดราซานมาได้ ไกด์ก็พาเราไปมอบตัวให้กับอีกคณะนึง นัยว่าแยกกันตรงนี้แล้วเธอจงไปเสี่ยงชีวิตต่อไปกับอีกบริษัทนึงแทนนะจ๊ะ ขึ้นรถได้ เขาก็พาเราไปหม่ำกลางวันก่อน ไกด์คนใหม่เป็นเจ่เจ้น่าจะ 40+ ดูคล่องแคล่ว ช่างจำนรรจาไม่น้อย อ่อ ไอ้ทริปเกือบสี่พันบาทนี่รวมอาหารกลางวันด้วยนะจ๊ะ เป็นพุลโกกิเนื้อ ใครทานเนื้อไม่ได้ก็ควรบอกไกด์ล่วงหน้าไว้ด้วย เป็นหม้อสำหรับสองคน และเครื่องเคียงไม่อั้น แต่ไม่รวมเครื่องดื่ม สั่งแฟนต้าสับปะรดมากิน ขวดล่ะ 3,000 วอน หืมมมมมมม? สงสัยป้าจะรีบรวยชาตินี้แล้วล่ะ ราคาขนาดนี้อ่ะ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - หม่ำเสร็จ ก็ได้เวลา JSA (The Joint Security Area) Tour หรือปันมุนจอม นั่งรถไป ID check point อีกรอบ เจอทหารแซ่บหน้าเหมือนพี่เรนอีกที เพราะบริเวณนี้ห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด ถ่ายได้แค่จุดที่อนุญาตเท่านั้น ลวดหนามเต็มเบยยยยยย สักพักคนขับรถก็วิ่งไปข้างล่างก่อนกลับมาพร้อมบัตรนี้ ให้ทุกคนติดตัวไว้ (รอดชีวิตกลับมาจากที่นี่ได้ ไปซื้อเลย 208 งวดที่แล้ว กินเรียบ ขอบใจ!) UNCMAC Guest ย่อมาจาก United Nations Command Military Armistice Commission Guest แปลไทยว่า "ฉันเป็นแขกของยูเอ็น อย่ายิงฉันนะ ฉันกลัว" ใน 16 ประเทศที่ร่วมด้วยช่วยกันดูแลที่นี่ มีไตรรงค์ธงไทยปลิวไสวสวยงามสง่าอยู่ด้วยนะ เห็นอยู่แถวๆ แคมป์นะ แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ ตรงนั้นห้ามถ่าย ชื่นใจหน่อยว่า อย่างน้อยฉันก็มาจากประเทศพันธมิตรระดับต้นๆ เคยมีทหารไทยมาประจำการที่นี่ด้วยนะ ชื่อ เสธฯ อิ๊ก (ลองหาอ่านดูได้ในพันทิปเนี่ยแหละ) แล้วก็นั่งรออยู่บนรถพักใหญ่ ก็มีนายทหาร UN ขึ้นมาตรวจพาสปอร์ตเรียงตัวอีกรอบ พี่บึ้กผิวดำชื่อว่า "ชาร์ลี" จะมาประกบรถเราตลอดเวลาทัวร์ คอยให้ความรู้เราแทนเจ่เจ้และดูแลเราๆ ด้วยนะ พอรถได้รับอนุญาตให้ไปต่อได้ ก็ไปที่ห้อง Slideshow and Briefing ก่อน เพื่ออธิบายระเบียบการเข้าเยี่ยมชม JSA ว่าต้องทำตัวแบบไหนบ้าง เช่น ห้ามใส่เสื้อสีหรือลายทหาร / ห้ามเมาเหล้า / ห้ามใส่รองเท้าแตะ / ห้ามใส่กระโปรงสั้น / ห้ามใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ ฯลฯ และเหนือสิ่งอื่นใด มาเพื่อเซ็นใบนี้ ใบรับรองว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ฉันจะไม่เรียกร้องใดๆจ๊ะ แปลชัดๆ คือ ระหว่างเยี่ยมชม ถ้าเกาหลีเหนือเกิดยิงปรมาณูมา หรือบังเอิญเดินไปเหยียบกับระเบิดเอง...ตายไป ทางญาติไม่มีสิทธิ์โวยวายนะจ๊ะ ประมาณนั้น ความเสี่ยงมันอยู่ตรงจะเซ็นดีไหมนี่แหละ 555555 แต่ก็ต้องเซ็นอ่ะ ไม่เซ็นไม่ได้ไปต่อ พอเซ็นแล้ว นั่งฟังบรีฟแล้ว.....เคยดูๆ มาปกติเห็นเป็นทหารบรีฟ ไอ้นี่ก็ตั้งใจเตรียมสอบโทอิคเต็มที่ ไฉนเลยเป็นเจ่เจ้ไกด์เราที่บรีฟแทนฟะ!! แล้วเจ่เจ้เหมือนเรียนภาษาอังกฤษมาจากอินเดียอ่ะ ฟังแล้วง่วงมาก สำเนียงก็มากกกกก แล้วแบ่บ....มันควรสุขุม กึ่ม กดดันเล็กๆ อารมณ์ควรมาคุ ด้วยการอธิบายของทหาร พออาเจ้มาเล่า มันเหมือนเกาหลีเหนือใต้จูงมือกันไปชมดอกไม้บานยามเช้าอ่าาาาาา มันไม่ขึงขัง มันไม่เร้าอารมณ์เล้ยยยยย เผลอสัปหงกไปหนึ่งที ก็โดนต้อนไปขึ้นรถอีกคัน คันนี้ให้เอาไปแค่ตัว กล้อง และของติดตัว ติดกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อได้หมด ตราบใดที่ "in your pocket" แต่กระเป๋าสะพายห้ามโดยเด็ดขาด และคันนี้ขับโดยทหารที่นี่ด้วย...เช่นเคย ห้ามถ่ายรูป มองไปรอบตัวแห้งแล้งและมีแต่รั้วหนามหนาแน่น ไม่เกิน 5 นาที ก็ถึงอาคารหลังนึง จอดปุ๊บ เข้าไปด้านใน เจอบันไดสูงชัน แหงนคอตั้ง มีคนยืนเป็นแถวตอนลึก รถใครรถมัน (ไม่มีรูป ห้ามถ่าย จินตนาการกันไปเองนะ) และชาร์ลีโอปป้าบอกให้เดินเรียงแถวกันขึ้นมา ก้าวขึ้นไปถึงบันไดขั้นสูงสุด เปิดประตูออกไป คุณพระ!!!! ปันมุนจอม อาคารกล่องสีฟ้าอยู่ตรงหน้า ตื่นเต้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน คือ แบ่บบ....เกาหลีเหนืออยู่ตรงหน้าแล้วอ่ะ คือเราไม่รู้ซิ.....เราสนใจและวุ่นวายอยู่ในเกาหลีใต้มานาน พอที่จะสนใจสังคม ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา ผู้คนของเขาแล้วอ่ะ สนใจจนวันหนึ่ง จากที่ไปเกาหลีใต้ไปวันๆ เอาสนุก เราก็สงสัยว่าทำไมเขาแบ่งแยกประเทศกัน ทำไม? อาจไม่ได้สนใจลึกซึ้งมากนัก แต่ตอนดูปรีฟจบ ทั้งจาก DMZ และ JSA เราก็เศร้าลึกๆ นะ แบบว่าอินไปกะเขา ประหนึ่งตรูเป็นพลเมือง เป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้ (แต่ฟากไหน ยังไม่แน่ใจ) ทีนี้พอวันหนึ่งได้มีโอกาสมายืนตรงนี้ มันทั้งตื่นเต้น ทั้งเครียด ทั้งดีใจ แบบบรรยายไม่ถูกเลย อาคารสีฟ้าหลังเล็กๆ อาจไม่ได้มายาก แต่ก็ไม่ใช่จะมาได้ง่ายนัก ก่อนมาที่นี่ต้องจองล่วงหน้า อย่างน้อยๆ ก็ 1 วันเพื่อส่งหน้าพาสปอร์ตมาให้เช็คก่อนว่าเป็นบุคคลต้องห้ามหรือไม่ เพราะบุคลากรบางอาชีพ และบางสัญชาติก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามานะจ๊ะ เช่น ครูอาจารย์ นักข่าว คนอเมริกา และแม้แต่ประชาชนชาวเกาหลีใต้เองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ด้วย เราเดินแถวตอนลึกเข้าไปในอาคารสีฟ้า Freedom House สถานที่ที่เหนือใต้มีไว้เจรจาว่าความ (ซึ่งไม่เคยสำเร็จเลยเหอะ) เข้าไปแล้วเงียบกว่าเดิม ต้องจุ๊ๆ โหวกเหวกโวยวายมาก จุดนี้ให้ถ่ายรูปได้ แต่อย่างแรกที่เราขอถ่ายคือ ถ่ายคู่กับชาร์ลีโอปป้า 555555 และเนื่องจากเพื่อให้อินกับสถานที่ และเลียนแบบทหารที่นี่ เอ๊ย ไม่ใช่ เพื่อให้ดูกลมกลืนกับเจ้าหน้าที่ทหาร และเพราะไม่สามารถเปิดเผยหน้าตาเราได้ ดูกลืนกันเนอะๆๆๆๆ สูงไม่ถึงไหล่เลย ให้เจ่เจ้ถ่ายให้ ฝีมือระดับมาสเตอร์พีซมาก ทั้งเอียง ทั้งเบลออ่ะค่ะ - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - อาคารหลังนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นของเกาหลีเหนือ อีกครึ่งของเกาหลีใต้ โดยทางเทคนิค โต๊ะนี้แบ่งครึ่งด้วยธงเล็กๆ บนโต๊ะนี่แหละ ลากจากธงตรงๆ มาเลย ครึ่งโต๊ะ ทันทีที่คุณเดินก้าวมายืนฝั่งขวา ก็เท่ากับคุณยืนในดินแดนเกาหลีเหนือแล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ตื่นเต้น!!! พี่ทหารคนนี้ เป็นลูกครึ่ง เพราะครึ่งตัวยืนฝั่งใต้ อีกครึ่งหนึ่งยืนฝั่งเหนือ 5555 ม่ายช่ายยยยย ชาร์ลีอธิบายว่าที่ต้องใส่แว่นสีเข้มไว้เพื่อป้องกัน Eye Fighting เอางั้นเลยนะ จะไฟท์กับใครล่ะ ในนี้มีแต่ทหารใต้สองคนเอง เป็นคนจริงๆ นะ แต่ยืนนิ่งมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก และวันๆ นึงก็ไม่รู้มีคนมาจ้องหน้าแกกี่คนกันเนอะ แต่ที่แน่ๆ วันนั้นพี่แกร้อน เห็นเหงื่อซึมเต็มหน้า น่าสงสารจัง ให้ถ่ายรูปด้วยได้ ยืนด้านข้างเท่านั้น ห้ามเดินตัดหน้าและห้ามเดินผ่านหลัง แกจะจับเราทุ่มทันที ชาร์ลีเตือนไว้ แต่ไม่มีใครกล้าเดินตัดหน้าหลังหรอก เลยแค่ยืนเคียงถ่ายรูป ส่วนด้านหลังพี่ทหารคนนี้คือประตู ที่เปิดออกไปก็เข้าเขตเกาหลีเหนือแบบเน้นๆ เราไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดแน่นอน ใครเดินผ่านพี่เขาไป เขาจะล็อกตัวทันทีเลย แอบส่อง นี่ก็จุดแบ่งดินแดนนะ พื้นกรวดนั่นฝั่งใต้ พื้นทรายนี่ฝั่งเหนือ แอบส่องมองไปนู่น ฝั่งเกาหลีเหนือ ไม่เจอไรหรอก มองย้อนกลับไปที่ฝั่งใต้ ได้อยู่ในนี้ไม่เกิน 10 นาทีก็ต้องถอยออกมา เดินเรียงแถวกลับไปอย่างเป็นระเบียบ และสุดท้าย ชาร์ลีให้ยืนเรียงหน้ากระดานหันหน้าเข้าหาเกาหลีเหนือเพื่อถ่ายรูปตรงไปด้านหน้าได้ แต่ห้ามถ่ายเอียงซ้าย และห้ามถ่ายเอียงขวา ให้ยิงตรงเท่านั้น นี่ชาร์ลีต้องคอยเดินเล่านั่นนี่ และมองพวกเราตลอดมีใครยกกล้องไปผิดมุมหรือป่าว จะได้ยิงทิ้ง .... ไม่ใช่แหละ ส่วนพี่คนนี้เกาหลีใต้ ขี้แอ๊คมาก คนนี้เป็นบัดดี้ชาร์ลี ชื่อไรไม่รู้ ดูรถอีกคันที่มาพร้อมกับกรุ๊ปเรา ผอมขาว .... บอกเลยชาร์ลีดูคุ้มครองเราได้มากกว่า 555 และขอแนะนำ นี่คือบ๊อบ เห็นบ๊อบไหม? อ่ะ บ๊อบชัดๆ ดูมุ้งมิ้ง ทหารเกาหลีเหนือรายเดียวที่ยืนมองเรากลับมาคนนี้ เหล่า UN ตั้งชื่อให้ว่า บ๊อบ เพราะมักจะว่อบไปแว่บมา 55555555555555 มุขตลกของอเมริกันเค้า เหล่าใต้จะจับตามองบ๊อบเสมอ ถ้าบ๊อบหายไปเกิน 1 ชั่วโมง แปลว่าทางนี้ก็ต้องระวังตัว อาจมีเหตุใดๆ (บางทีบ๊อบอาจปวดท้องอึก็ได้นะ ชาร์ลี) 3 ต่อ 1 ..... ในขณะที่ฝั่งใต้นี่ยืนกันเพียบ ฝั่งเหนือทำไมมีบ๊อบยืนคนเดียวหว่า? เม้าท์ไป ในตึกนั้น อาจอยู่กันเป็นกองทัพก็ได้เนอะ แล้วในกล่องฟ้านี่ ทำไมไม่มีทหารเกาหลีเหนือมายืนอ่ะ? ทำไมมีแต่พี่ใต้สองคนหว่า อาคารตรงหน้าคืออาคารเกาหลีเหนือ ห่างกันแค่นี้แหละ แต่เดินไปมาหากันไม่ได้ เศร้าเนอะ เหมือนอาคารที่เรายืนอยู่ฝั่งนี้ อาจดูใหญ่โต หรูหรา แต่ไม่ได้ใช้งาน อาคารนี้จึงไม่มีแม้แต่เก้าอี้สักตัวตั้งไว้ด้วยซ้ำ เป็นอาคารโล่งๆ ที่มีไว้ให้เราเดินผ่านมายังกล่องสีฟ้านี่เท่านั้น ทำไมเหนือไม่ให้ใช้ เราก็ต้องเชื่อด้วยอ่ะ งงเล็กน้อย อ่ะ ชาร์ลีโอปป้าแบบเน้นๆ กับท่าโพสต์ไอดอล 555555 หมดเวลา เดินกลับไปที่รถ รถวนพามาออกเส้นถนนหน้ากล่องฟ้านี่แหละ ได้เห็นใกล้ๆ อีกครั้ง แล้วก็แวะให้ดู Bridge of No Return อีกนิด เป็นสะพานที่ตอนรบกัน ถ้าใครข้ามสะพานนี้มาก็เลือกฝั่งเลย จะอยู่เหนือหรืออยู่ใต้? เลือกแล้วไม่มีสิทธิ์กลับไปนะ เลือกแล้ว ข้ามมาแล้วจะมีตู้โทรศัพท์ให้กดโทรหา (อยู่ตรงไหนไม่รู้ ชาร์ลีชี้โบ๊ชี้เบ๊ไป) แล้วทหารจะมารับตัวคุณไปดูแลต่อ ได้ความว่าปีที่แล้ว มีคนใช้โทรศัพท์แค่ 4 คนเท่านั้น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - ทัวร์ช่วงบ่ายมาที่นี่ที่เดียวไม่ได้ไปตระเวนไหนต่อ แต่ต้องเรียกว่าเป็นที่เดียวที่ตื่นเต้นสุดๆ เสร็จแล้วไปหยุดที่ร้านขายของที่ระลึกนิดหนึ่ง ขายทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้าแบบทหารๆ กลับบ้านด้วยความปลอดภัยและได้ใบประกันชีวิตกลับคืนมาเป็นที่ระทึกด้วย 55555 JSA อาจดูตึงเครียด แต่เพราะมันเป็นสถานที่อ่อนไหว เราจึงต้องเคารพคำสั่งของทหาร หลายๆ จุดห้ามถ่ายรูป เพราะอะไร? เพราะการถ่ายรูปออกไปเท่ากับเป็นการเปิดเผยข้อมูลฐานที่ตั้งของทหารฝั่งใต้มากไป และอาจเกิดความเสี่ยงในการรักษาความปลอดภัยได้ เพราะมันมีคนถ่ายแล้วมักจะเขียนบล็อก เช่น เราไง 5555 ดังนั้น จุดไหนห้ามถ่าย คือ ต้องเชื่อฟังนะ ห้ามคือห้าม เพราะถ้าผิดพลาดอะไรไป เรื่องเล็กๆ อาจก่อให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง และเพื่อความปลอดภัยของประเทศเกาหลีใต้ด้วย มาอยู่บ้านเมืองเขา รักผู้ชายของเขาแล้ว ก็ต้องช่วยดูแลบ้านเมืองของเขาด้วยจริงไหม? เป็นการท่องเที่ยวที่ดี มีสาระมากๆ สำหรับเรา อยากมาอีกรอบอ่ะ คราวหน้าจะตั้งใจฟังไกด์ให้มากกว่านี้ ไม่แอบหลับแล้ว เกาหลีใต้มีอะไรให้เที่ยวมากกว่าพระราชวัง สวนสนุก และการช้อปปิ้งนะ รู้ยัง? เอาเท้าแตะเกาหลีเหนือ ตอน DMZ ทัวร์
เกริ่นให้เว่อร์ไป จริงๆ ก็แค่ชายแดนน้อยๆ นั่นแหละ สืบเนื่องจากหาที่เที่ยวในโซลไม่เจอ เบื่อแล้ว งั้นฉันจะไปไหนดีหว่า?? ก็เลยนั่งกดนั่นนู่นนี่ดู จนไปเจอ DMZ ทัวร์เข้าให้ ดีเอ็มซี .... อ่านว่าซีนะจ๊ะ ไม่อ่านว่าแซ่ด DMZ คือ Korean Demilitarized Zone นั่นเอง เอาง่ายๆ คือเขตปลอดทหาร (ปลอดทหารเกาหลีเหนือ-ใต้นะ แต่ทหาร UN อยู่ตรึมเลย) หรือเอาให้ง่ายกว่า คือ ชายแดนหรือจุดแบ่งแยกดินแดน เกาหลีเหนือ และ เกาหลีใต้ นั่นแหละตัวเทอว์!!! DMZ เป็นสถานที่เคยผ่านตามามากมายหลายครั้ง แต่ไม่เคยสนใจคิดจะไป มาวันนี้ทำไมตัวอักษรสามตัวนี่ มันดึงดูดสายตาชะมัดยาดเลย หลังจากนั่งอ่านรีวิวแล้วก็คิดว่า เออ ไปอันนี้ดีกว่า อยากไปปันมุนจอม เข้าไปในกล่องฟ้าๆ นั่น คงตื่นเต้นดีพิลึก ก็นั่งหาข้อมูลใหญ่เลย จะไปที่นี่ต้องทำอะไร แบบไหน ยังไงบ้าง อย่างแรกการไปที่นี่มีสองแบบ คือ 1. ทัวร์ครึ่งวัน จะไปแค่ DMZ หรือ JSA ก็ได้ 2. ทัวร์เต็มวัน คือลากยาวเลยทั้ง DMZ และ JSA แล้วมันต่างกันยังไง?? ต่างกันที่ราคาทัวร์ไงเธอ 555555 ไม่ใช่ล่ะ อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ทั้งหมดอ่ะนะ หลังจากนั่งหาข้อมูลการไปเที่ยวที่นี่ก็ค้นพบว่า DMZ นั้นสามารถไปเองได้ เดินทางจากโซลไปเองได้ แต่ JSA ต้องไปกับทัวร์เท่านั้น (JSA คืออะไร ติดตามต่อไป) ทีนี้ก็เลือกเอาว่าสนใจแบบไหน มีทัวร์ให้เลือกมากมายหลายที่ ราคาก็ใกล้เคียงกันไป เลือกเอาตามสะดวกใจ ไปเสิร์ชๆ หาเอาเหอะ มีเพียบบบบบบ ส่วนเรา เนื่องจากที่พักก็มีทัวร์นี้ขาย เราเลยเลือกจากที่นี่ไปเลย สะดวกดี ไม่ต้องออกไปถามหาล่ะ ขี้เกียจ 5555 เราเลือกทัวร์เต็มวันมา สนนราคาคนละ 130,0000 วอน หรือราวๆ 3,900 บาทไทย (สะดุ้งเฮือกนิดนึง แต่เอาวะ! สักครั้งเนอะ) การเดินทางตามนี้ Pick up infornt of our guesthouse Imjingak Park-Freedom Bridge - The 3rd infiltration Tunnel - DMZ exhibition hall Dora observatory - Dorasan train station - Unification Village (Pass by) ID check point-Camp Bonifas (Slideshow and Briefing) - JSA (Freedom house, พอถึงเวลา เอ้า ตื่นเช้า เป็นการเดินทางที่ไม่ประสงค์จะแจ้งที่บ้านก่อนว่าจะไปนะ กลัวแม่ห้าม เพราะหลายคนรวมที่บ้านเราก็คงถาม จะไปทำม๊ายยยย เสี่ยงไหม แต่บางที ชีวิตก็ต้องการความเสี่ยง 5555 (เพื่อ?) 8.20 น. มารอหน้าที่พัก สักพักก็มีสาวเกาหลีมาแนะนำตัวแล้วชวนไปขึ้นรถ เอ้า ไปๆๆๆ ไกด์สาวเราแนะนำตัว จำชื่อไม่ได้แหละ แหะแหะ ว่าทัวร์นี้เป็นทัวร์จีน ไป DMZ แค่ครึ่งวัน ส่วนใครอยากไปถึง JSA เดี๋ยวตอนเที่ยงให้เปลี่ยนรถนะ อะเคร! แต่ระหว่างที่รอรถออก รอคนมาให้ครบ ซึ่งกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงนั้นเราก็ถามตัวเองว่าไปดีไหม? ไม่ใช่ไม่อยากไปนะ แต่คือเมื่อวานไปจินเฮมา ไปชมซากุระะนอกเมืองมา ตากฝนทั้งวัน กลับมาก็ค่ำ พักผ่อนน้อย มันเหนื่อยมาก วันนี้ตื่นเช้าอีก คิดในใจ ยกเลิกไม่ไปดีไหม อยากนอนอยู่บ้านนิ่งๆ พักผ่อนสังขาร แบบว่าเปลี้ย....มากกกก ระหว่างที่ลังเล รถก็หมุน เฮ้ย!! (แต่การไม่ได้ลงจากรถ คือ สิ่งที่ดีอ่ะ เพราะทริปวันนี้เรารู้สึกดีกับมันมากๆ) DMZ นั้นอยู่ในเมืองพาจู ที่ไม่ไกลจากกรุงโซลมากนัก ประมาณ 50-60 กิโลได้ เรียกว่าถ้าทะเลาะกันตูมตามขึ้นมา โซลนี่แหละเละก่อนเมืองใดในเกาหลีใต้ นั่งรถมาราวๆ ชั่วโมง หลับๆ ตื่นๆ ฟังไกด์บ้าง ไม่ฟังบ้าง ก็คนมันง่วง....ก็ถึง.....ไหนวะ? มองซ้ายมองขวา เจอแต่ภูเขาแห้งแล้ง ต้นไม้ตายซาก ดูแบบกันดารมากๆ มองไปนอกหน้าต่างเจอทหารหล่อแซ่บมาก (ซึ่งจุดนี้ห้ามถ่ายรูป แอ๊กกก ขัดใจ!) ตามกำหนดคือต้องไปอิมจินกักก่อน แต่ไม่แหะ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด เราจึงมาโผล่ที่อุโมงค์หมายเลข 3 ก่อนเลย งงแป๊บ ไกด์ต้อนเราเข้าห้องนิทรรศการไปเจอนี่เลย ผังเขตแดน แล้วอธิบายอะไรให้ฟังมากมาย เช่น เส้นสีแดงนั้นคือเส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นแบ่งแยกดินแดนเหนือใต้ออกจากกัน และ .... 2 กิโลเมตรจากเส้นสีแดงคือเส้นสีส้มของชายแดนของแต่ละฝั่ง คือ อาณาเขตที่เรียกว่า DMZ แบบชัดๆ ส่วนอันนี้คือผังของโซน JSA (The Joint Security Area) จุดที่มีอาคารสีฟ้าอ่ะนะ ขณะที่สาละวนถ่ายรูป (ไม่ได้เรื่อง) เราก็ตั้งใจฟังไกด์ด้วยนะ มาทั้งที เก็บความรู้ให้เต็มดีกว่า แล้วสักพักก็ต้อนเข้าห้องไปฟังสงครามเกาหลีฉบับย่อ ความยาวประมาณ 8-9 นาทีเท่านั้น แต่เป็นช่วงนาที ที่ทำเราน้ำตาซึมอ่ะ คือ......มันเร็วมาก ฟังและอ่านไม่ทัน (ม่ายช่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย) ในห้องน่าจะนั่งได้ประมาณ 50 คนล่ะมั้ง ทั้งนั่งทั้งยืน ให้เข้ามาทีละสองกรุ๊ป แล้วปิดประตูขัง สไลด์ขึ้น เอาเท่าที่จับใจความมาได้ คือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง คาบสมุทรเกาหลีก็ถูกแบ่งเป็นสองฝั่งคือ เหนือและใต้ เหนือนั้นดูแลโดยกองทัพโซเวียตและจีน เลยชื่นชอบไปทางคอมมิวนิสต์ ส่วนใต้นั้นหลังโดนญี่ปุ่นปกครองมา ถึงจะเขม่นญี่ปุ่น แต่ก็ชอบแนวคิดแบบประชาธิปไตย พอชอบไปคนละทางก็เลยขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน พี่เหนือเขาก็แบบอยากปกครองทั้งหมด เขาก็ไปมุ้งมิ้งกับทางโซเวียต "บุกมันเลยดีไหม ลวกเพ่" ทางนั้นก็สอนวิชามาให้ ทำให้เหนือบุกใต้บ่อยๆ คุณพระ พยายามมาก 4 อุโมงค์นี้ ถูกขุดในปีต่างกัน มีระยะทาง ความลึก ก็ต่างกันและมาจากคนละเมืองด้วยนะ อุโมงค์แรกขุดในปี 1974 ต้นทางจากเมืองยอนชอน จ.คยองกี และถูกค้นพบเพราะว่าเหนือดันฝังท่อเอาไว้ (นัยว่าให้อากาศถ่ายเท ไว้หายใจ) พอความดันใต้ดินพุ่ง ทหารใต้เลย เอ๊ะ ไอน้ำอะไรวะมาจากใต้ดิน เลยขุดเจอจ้า อุโมงค์สองขุดในปี 1975 ต้นทางจากเมืองจอลวอน จ.คังวอน อุโมงค์สามขุดในปี 1978 ต้นทางจากเมืองพาจู จ.คยองกี โดยผู้ลี้ภัยจากเหนือบอกทางให้ใต้รู้ว่ามีอุโมงค์นี้อยู่ และเป็นอุโมงค์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวลองไปมุดดูได้ด้วย อุโมงค์สี่ขุดในปี 1990 ต้นทางจากเมืองยองกู จ.คังวอน (ข้อมูลนี้หามาจากวิกิของเกาหลี เห็นเขียนว่างี้อ่ะนะ แต่ตอนฟังทำไมได้ยินว่ามีจากอินชอนด้วยฟะ) สังเกตว่าเกาหลีเหนือ พยายามมากๆ ในการขุดอ่ะเนอะ แต่พอจับได้ก็บอกไม่ใช่ของฉันจ้า เธอเองที่ขุดมาหาฉันหรือป่าว? ถถถถถถถ แถมาก พอทะเลาะกันหนักเข้า สหประชาชาติเลยเข้ามาดูแลแล้วบอกให้จบที่เส้นขนานที่ 38 นั่นแหละ ภาพในวีดีโอที่เปิดโชว์มันก็แบบดูหม่นหมองอ่ะ สงครามไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรือป่าวนะ พี่น้องกัน คนเกาหลีเหมือนกัน ทำไมต้องรบกัน ฆ่ากัน มันน่าเศร้ามากเลย คนอื่นดูแล้วอาจงงๆ (แบบฟังไม่ทัน อะไรยะ เร็วไปไหน ฉันก็เป็น) หรือดูแล้วอาจเฉยๆ แต่เราดูแล้วน้ำตาซึมอ่ะ สะอื้นในอกเบาๆ มันดูน่าเศร้ามากจริงๆ นะที่ต้องมาแตกคอกันแบบนี้ ดูจบแล้ว รู้ที่มาที่ไปแล้ว ไกด์ก็พาเราไปมุดอุโมงค์ ซึ่งเป็นที่น่าเศร้ามากอ่ะว่า สภาพร่างกายวันนี้ไม่พร้อมมุด #ร้องไห้หนักมาก เสียดายอ่ะ คือคนท้อง คนเป็นโรคหอบ หรือความดันงี้ ไกด์ไม่แนะนำให้มุด เราไม่ได้เป็นสักกะอย่างที่ไกด์บอก แต่เราเป็นผู้หญิงเสียเลือด ขืนลงไปมุดขึ้นมาจะตายเอาได้นะ เสียดายยยยยยย ย.ยักษ์ ร้อยตัว (ไว้ไปซ่อม ห๊ะ จะไปอีกหรอ?) ทางเข้าไปสู่หนทางดำดิน ระหว่างรอทุกคนไปมุดอุโมงค์ เราก็ถ่ายรูปรอบๆ ที่นี่ไว้ดูเป็นที่ระลึก เสร็จแล้ว ไกด์พาเราไปต่อที่ Dora observatory เป็นจุดชมวิวเกาหลีเหนือ 5555 มีกล้องส่องทางไกลไว้แอบมองฝั่งนู้นบ้าง เมื่อก่อนไม่ให้ถ่ายรูปหลังเส้นเหลือง แต่เดี๋ยวนี้ให้ถ่ายได้แล้ว ซูมไปเหอะ....ไม่เจออะไร หึหึหึ ด้านขวามือจากตรงนี้จะมองเห็นเสาธงสองเสาริมชายแดนเหนือใต้ ธงใต้ว่าสูงแล้ว ธงเหนือสูงกว่า เพื่อแสดงศักดาความเหนือ(กว่า) เห็นธงสองธงในรูปนี้ไหม? และไกด์บอกว่าธงเกาหลีเหนือไม่เคยโบกสะบัดตามแรงลม เพราะมันหนักมาก สะบัดไม่ไป อ่ะ North Korea Flag แบบซูมสุดใจ แล้วก็ แทกึกกีของฝั่ง South Korea ตรงแถวๆ ธงนั่นมีหมู่บ้านอยู่นะทั้งสองฝั่ง ของฝั่งเหนือเรียกว่า Propaganda Village เป็นหมู่บ้านที่สร้างไว้หลอกๆ ว่าอยู่ดีกินดีมีสุขจ้า แต่จริงๆ ไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นี่หรอกนะ มองไปทางซ้ายเจอทางด่วนข้ามไปนิคมอุตสาหกรรมเคซอง ของเกาหลีเหนือ ซึ่งไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านเท่าไร และมองไปไกลๆ ก็เจอแต่ภูเขาหัวล้าน ไกด์บอกว่าเกาหลีเหนือมีนโยบายไม่ปลูกต้นไม้บนภูเขา เพื่อที่เวลารบจะได้เห็นชัดๆ เป็นตรรกะที่เราไม่เข้าใจเท่าไร มีต้นไม้ไว้แอบซุ่มยิงไม่ดีกว่าเหรอ หัวล้านยังงี้ ใครยิงมาก็ไม่มีที่แอบอ่ะดิ ตายก่อนเขาไหม? เอาที่เกาหลีเหนือสบายใจล่ะกัน สรุป ภูเขามีต้นไม้คือของใต้ ภูเขาหัวล้านคือของเหนือนะจ๊ะ ก่อนออกจากที่นี่ มีร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักช้อป มีไวน์จากเกาหลีเหนือด้วยนะ ไกด์บอกไว้ 5555 หน้าตาแบบนี้ รสชาติไม่รู้นะ ไม่ได้ซื้อมาชิม และผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากชาวบ้านที่อยู่ในเขตปกครอง DMZ นี้ เห็นว่าจะเน้นไปทางถั่วเหลือง โสมเกรดดี (ระดับถวายราชวงศ์เลยนา...เดี๋ยวนี้ก็พวกคนรวยๆ อ่ะ) ส่องกันจนไม่เห็นอะไร เราก็ไปต่อที่ Dorasan train station ไกด์ของเรากำลังอธิบายที่มาที่ไปให้ฟัง เราชอบที่นี่มากเลยล่ะ อย่างหนึ่งที่ตัดสินใจมาทัวร์ที่นี่เพราะป้ายนี้เลย อ่านแล้วรู้สึกทั้งหวังและสิ้นหวังยังไงไม่รู้แหะ สมัยนึง....(สมัยไหน ฟังไกด์ไม่ทัน) เหนือใต้ตกลงจับมือกันนิดนึงว่าเราจะทำธุรกิจรวมกันนะ โดยมีเงื่อนไข 3 อย่าง 1. ต้องสร้างนิคมอุตสาหกรรมเคซอง ที่ชายแดนเหนือ เพื่อจะได้มีรายได้เข้าประเทศ 2. ต้องสร้างสถานีรถไฟไปมาหาสู่กันระหว่างเรา >> ที่มาของสถานี Dorasan 3. ต้องมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกาหลีเหนือด้วย คือ เที่ยวเคซอง ไปเช้าเย็นกลับได้ มีขายพวกของพื้นเมือง โสม ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ฯลฯ เที่ยวคึมกังซาน ภูเขาแสนสวยของเกาหลีเหนือ แบบค้างคืนเพราะมันไกล ไปกลับไม่ไหว ทีนี้ มีอยู่วันหนึ่ง ผู้หญิงชาวใต้คนนึงก็ไปเที่ยวคึมกังซานนี่แหละ เดินไปมาท่าไหนไม่รู้ ถูกยิงตาย เฮือก!!! ชาวใต้ก็โวย เฮ้ยยยย ยิงเราทำไม ไหนว่าเราจะไม่ทำร้ายกัน ชาวเหนือก็บอก ก็เดินล้ำชายแดนต้องห้ามมาทำไมเล่า! งานนี้ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรแน่ แต่มันทำให้ชาวเหนือใต้เริ่มโกรธกันอีกรอบ และการเดินทางท่องเที่ยวไปคึมกังซานก็ไม่รับรองความปลอดภัยอีกต่อไป ตามมาด้วยการไปเที่ยวเคซองก็ลดลง ตามมาด้วยสถานีโดราซานที่สร้างจนแล้วเสร็จ ตามมาด้วย.....ความหวังที่จะรวมตัวกันดังเดิมของพี่น้องชาวเกาหลีทั้งสองฝั่ง ล่มลงไปอีกครั้ง จนกระทั่งปัจจุบันนี้..... การมาสถานีโดราซานอาจมาได้จากกรุงโซล นั่งรถไฟใต้ดินตุเลงๆ มาเที่ยวได้นะจ๊ะ แต่จากนี้ไปก็ไม่รู้จะไปไหนต่อแล้ว ตัวสถานีสะอาดและใหม่มาก เพราะไม่เคยถูกใช้งาน กว้างขวาง และสะดวกสบาย คล้ายๆ Seoul Station ขนาดย่อมเลยล่ะ ซื้อตั๋วเข้าไปชมรางรถไฟได้นะ ที่ตรงนี้เลย ราคาคนละ 500 วอน (ถือเป็นค่าบำรุงสถานที่ไป) แล้วก็เข้าสถานีไปโลด ไปๆ ไปเปียงยางกัน บริเวณรางรถไฟก็ยังมีคุณทหารมาคุมนะ ก็เขตทหารนี่นา ไปเปียงยางอีก 205 กิโลเมตร ไปโซลอีก 56 กิโลเมตรเอง คือมีเต็มที่ก็แค่รถไฟท่องเที่ยว DMZ train เท่านั้นที่ให้บริการ Not the last station from the South, But the first station toward the North. รถไฟขบวนแรกที่แล่นสู่เปียงยางจะคือเมื่อไรกันน๊าาาาาาา 남이섬 เพลงรักในสายลมใบไม้ร่วง
ภาษาเกาหลีออกเสียงว่าอย่างนั้น ส่วนคนไทยเรามักเรียกว่า "เกาะนามิ" เป็นเกาะที่คล้ายๆแลนด์มาร์คของเกาหลีใต้ ใครไม่มาเกาะนี้เหมือนมาไม่ถึงเกาหลีใต้ ประมาณนั้นเลย ประวัติของเกาะนี้คือท่านนายพลนามิ..... เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่บล็อกท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์นะ แต่คือบล็อกบันทึกการท่องเที่ยวแบบมั่วๆของเราต่างหาก ดังนั้นอย่าถามว่าเกาะนามิมีประวัติอย่างไร เราไม่รู้ เรารู้แค่เป็นเกาะที่ดังเพราะ Winter Sonata นั่นแหละ คนเลยแห่กันมาเพียบทุกฤดู นามิซอมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 (และไม่รู้จะมีอีกกี่ครั้ง เริ่มไม่มั่นใจแหละ) และเป็นครั้งที่ประทับใจที่สุด เพราะใบไม้เปลี่ยนสีได้สวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถ่ายรูปด้วยความเพลิดเพลิน แม้คนจะมหาศาล เนื่องจากอากาศเย็นสบาย ปลายฤดูใบไม้ร่วงแหละ ทัวร์ก็มาชื่นชมความงามมากมาย และเจ้าบ้านเองก็มา มาทั้งครอบครัว พี่น้อง เพื่อนฝูง คู่รัก เพื่อนร่วมงาน มาปูเสื่อ นอนเล่น ชมวิว กินบรรยากาศกันมากอยู่ สองครั้งแรกมาด้วยรถทัวร์ เพราะมากับทัวร์ ครั้งที่สามมาด้วยรถไฟใต้ดินสาย 1 มั้งถ้าจำไม่ผิด ฮ่าาาาาา เป็นขบวนธรรมดาๆ ที่กว่าจะเดินทางไปกลับถึงสถานี Gapyeong เล่นเอาหมดไปเป็นวันๆ ครั้งนี้มี ITX แล้วจ้า ชีวิตจึงไฮสปีดขึ้นอีกนิด พอครึ้มใจ ครึ้มและย่ามใจมาก ..... มากๆด้วย ตื่นเช้ามาก็นั่งรถไฟไปสถานี Cheongnyangni (ชื่ออ่านยากยังไม่พอนะ สะกดยากด้วย ป่วยจิต) แล้วมุ่งหน้าไปต่อขบวนรถ ITX ไปซื้อตั๋วรถจากตู้อัตโนมัติ ที่เริ่มหายนะ ณ จุดนี้ เพราะไอ้ตู้ที่มีภาษาอังกฤษดันเจ๊ง ไอ้ที่ไม่เจ๊งก็ดันมีแต่ภาษาเกาหลี โอ้วววว ชีวี ช่างยากเหลือ เริ่มจากเมื่อเราออกจากรถไฟใต้ดินธรรมดามาและต้องเปลี่ยนไปขึ้น ITX เราก็ต้องเอาบัตรเราไปตื๊ดก่อนที่เจ้าตู้นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันเอ๋อ error (เอ๋ออย่างไรไม่รู้ แต่เขาบอกให้ทำ ก็ทำเถอะ) และเมื่อออกจาก ITX ไปขึ้นรถไฟธรรมดาก็ต้องตื๊ดอีกรอบด้วยนะ รถไฟใต้ดินสาย 1 เปลี่ยนเป็น ITX แตะบัตรที่ฝั่งขวาของตู้ ITX เปลี่ยนเป็น รถไฟใต้ดินสาย 1 แตะบัตรที่ฝั่งซ้ายของตู้ แตะแล้วก็มาซื้อตั๋วก่อนนะ ตู้อยู่ข้างๆกัน เริ่มจากดูทางซ้าย วันนี้วันที่เท่านี้นะ เวลาตอนนี้นะ สถานีต้นทางที่เราอยู่นี่นะ ถูกต้องแล้วยัง ถ้ายังจะเปลี่ยนวัน เปลี่ยนเวลา เปลี่ยนสถานีที่จะขึ้นก็เปลี่ยนซะ ถ้าไม่เปลี่ยนก็เลือกทางขวามือเลย ปลายทางที่ใด กดจึ้กเข้าไปซะ จริงๆมันจะขึ้นขบวนเร็วสุดที่มีให้เราทันที แต่ถ้าไม่เอาก็เลือกเวลาเอาตามใจชอบ เลือกจำนวนคน ถ้าเกินสามคนก็กด more แล้วใส่จำนวนคนเอานะ แล้วมันก็ขึ้นอันนี้มา กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด คนเต็ม!! เปลี่ยนๆ เปลี่ยนรอบ ไม่อยากยืนไป เปลี่ยนดูเวลาอื่นซิ ยังซื้อไม่เสร็จ มัวแต่ถ่ายรูป เปลี่ยนเวลาไปมา เครื่องก็เจ๊ง เลยต้องไปซื้อที่เครื่องแบบเกาหลี ก็อาศัยจิ้มๆอ่านๆเอาเท่าที่ปัญญาไปไหว จนได้ตั๋วไป Gapyeong มา อย่ากระนั้นเลย ย่ามใจ .... กะว่ามาซื้อตั๋วตรงนี้ก็ได้ขึ้นเลย ใช่นะ ก็ได้ขึ้นเลย แต่มันเต็ม!!! รถไฟมันขึ้นว่ารอบที่เร็วที่สุดที่จะได้ "นั่งไป" คือ เที่ยวตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ หันไปดูนาฬิกาตอนนี้จวน 8 โมงเช้า....จะให้ฉันรอถึงบ่ายสองเลยหรือนายจ๋า เห็นทีจะไม่ไหว เลยตัดสินใจจิ้มเอารอบที่เร็วที่สุดมา ก้มหน้ามองตั๋วให้ปวดใจ มันเขียนว่า "ตู้ที่ 6 และ ตั๋วยืน" 55555555 ราคาตั๋วยืนไปและกลับเที่ยวละ 3,400 วอน แต่ถ้าตั๋วนั่งจะ 4,000 วอนต่อเที่ยว กำลังจะไปต่อไป...ก็มีสาวจีนสองนางมาถามว่าจองตั๋วได้ไงอ่ะ สอนบ้าง เพราะมีแต่เกาหลี นางอ่านไม่ได้เช่นกัน ตอบไปแบบเก๋ๆว่า "ไอสอนไม่ได้หรอก เพราะไอก็มั่ว แต่ไอซื้อให้ยูได้นะ" แล้วก็ไปจิ้มมั่วๆจนได้ตั๋วมาให้อีกสองนางเหมือนกัน 5555 ไปเที่ยวเดียวกันเลย คอยมองๆนางไว้ กลัวนางทั้งสองหลง ลงผิด ไปไม่ถูก อีกนิดนี่จะชวนไปด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอดล่ะ 555 ก้าวขึ้น ITX ที่มาเลทไปสองนาทีได้ (ผิดวิสัย ไยมาเลทหว่า) ก็หามุมยืน รถแน่นมากกกกกกก เพราะประชาชนพลเมืองโซลแห่แหนกันจุดหมายเดียวกับเรา งานนี้เลยยืนกันแน่นขบวน ขอบคุณ ITX ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ราวๆ 40 นาที ยืนพอเพลินๆ เราก็มาถึงเสียที ถ้าเป็นรถไฟธรรมดาแบบคราวก่อน บอกเลยว่าปูเสื่อนอนเหอะ 555555 มันจะนานกว่านี้มากนัก แถมระหว่างยืนป้าก็จ้องหน้าเรา เราก็จ้องกลับ จ้องไปจ้องมา ป้าก็ล้วงมือไปในถุง แล้วหยิบส้มมาสองลูก ยัดใส่กระเป๋าหน้าท้องตรงเสื้อเราซะดื้อๆ แล้วพูดว่า "กินซิๆ" แอ๊กกกก....หนูขอโทษที่คิดในใจว่าป้าไม่น่ารัก ขอบคุณมากนะคะ แม้ส้มป้าจะเปรั้ยวสุดพลังก็เหอะ ลงรถมาได้ อยากซื้อบัตรขากลับเลย เผื่อได้นั่ง แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะกลับกี่โมง อีกอย่างยืน 40 นาทีก็ไม่โหดร้ายมากนัก เลย...เดี๋ยวค่อยมาซื้อล่ะกัน อ่ะ ออกไปนั่งแท็กซี่ต่อเพื่อไปที่ท่าเรือ (เจอสองสาวจีนอีกรอบ) มาคราวนี้เกาหลีใต้ทำเส้นทางใหม่ วนอีกด้านของภูเขา วิวสวยดี ค่ารถเลยขึ้น เพราะระยะทางไกลขึ้น จากสามพันวอน เป็นร่ำๆจะห้าพันวอนแหละ ลงมา โอ้วววววววว พีเพิ่ลจ้า พีเพิ่ล มากันบานตูม เราก็ไปต่อคิวซื้อบัตรข้ามฝาก ขึ้นเกาะกัน (เจอสองสาวจีนอีกที) แล้วก็ไปต่อคิว คนเยอะจริงๆ เยอะมากๆ แต่ก็ไม่ได้แน่นจนหายใจหายคอไม่ออกหรอกนะ ข้ามเรือไปห้านาทีก็ถึงแล้ว นามิซอม ณ คาอึล ก่อนลงเรือ เจอเจ้คนนี้แก้ยืนแก้ผ้าแช่น้ำอยู่ แกไม่หนาวเรอะ??? ในฤดูใบไม้ร่วง ทั่วเกาะที่เต็มไปด้วยเมเปิ้ลและแปะก๊วย ดูสวยมากๆๆๆๆๆ เหลืองทั้งต้น แดงทั้งต้น งาม-งด-หยด-ย้อยยยยยยยยยย ยืมเพื่อนมาเป็นนางแบบ อิอิ โรแมนติคเป็นบ้า (แม้ข้างๆ ป้าจะมายืนเบียดหามุมถ่ายรูปก็เหอะ) ชอบรูปนี้เป็นพิเศษ ถ่ายออกมาได้ดูอาร์ตมากๆ (คิดเอง ชมตัวเอง) เจ้าของเกาะผู้โด่งดัง วันนี้บนเกาะมีอีเว้นท์ด้วย คนก็เลยเยอะหนักเข้าไปอีก 555 โชคดีจริงๆฉัน เลือกวันเที่ยวได้ดี นามิรีสอร์ท ..... มีคนมาพักอยู่เหมือนกันนะ กลางค่ำกลางคืนคงเงียบน่าดูเลยเนอะ สัมพันธ์ไทย-เกาหลี "แทกึกกีและไตรรงค์" เดินวนๆ ถ่ายนั่นนี่อยู่นาน จนอิ่มใจก็ถึงเวลากลับแบบเผชิญชีวิตอีกสักที คราวก่อนพอข้ามเรือมาก็เรียกแท็กซี่ คราวนี้รอเท่าไรก็ไม่มี แท็กซี่หายากมากกกก จนตัดสินใจเดินไปถามไกด์ท้องถิ่นของบริษัททัวร์แห่งหนึ่งที่กำลังนับลูกทัวร์อยู่ว่า "แถวนี้ไม่มีจุดเรียกแท็กซี่เหรอคะ" เจ้แกก็ใจดี ทำหน้าลำบากใจใส่แล้วกล่าวว่า "ไม่ค่อยมีจ๊ะ มีแต่รถบัสตรงโน้นแน่ะ" โค้งขอบคุณไปที แล้วเดินไปดู จุดจอดรถเมล์ เลยๆไปทาง GS25 เห็นแล้วร้อง อุ๊!!!!! คนรอเยอะมากกกกกกกก และรถมาทุกหนึ่งชั่วโมง คิดได้ไงวะ? แหล่งท่องเที่ยวขนาดนี้ แถมฤดูท่องเที่ยวอีก ควรมีรถเวียนบ่อยหน่อยไหมล่ะ นี่นานๆ มาทีคนก็เลยเยอะมากๆ น่ะซิ แต่ก็อย่างว่า ส่วนใหญ่มากับทัวร์ไง ไม่ก็ขับรถมากัน ไม่ค่อยมีใครมาเอง รถประจำทางเลยน้อยมาก ทำใจ ฮืออออออ รถเมล์เวียนมาถึง (กรุณาศึกษาอักษรฮันกึล แล้วขึ้นคันที่มันเขียนว่า 가평역 {Gapyeong Station} ด้วยนะฮะ ชีวาจะได้ไม่ยากไปกว่านี้อีก) ก็ขึ้นไป ใช้บัตร T-Money หรือ cash bee แตะได้นะจ๊ะ นั่งไปแป๊บเดียวไม่ทันตื่นตกใจก็ถึง ได้ลงแหละ ยืนรอรถนานกว่าอ่ะ บอกเลย แล้วไปซื้อตั๋วขากลับที่แน่นอนว่า.....ยืนกลับ 5555555555 คนเยอะจริงๆแหะ และเจอป้าอีกคนแจกส้มให้อีกแล้ว นี่มันฤดูแจกส้มหรือไงเนี่ย 5555555555 รถมาแล้ววววววววววว ใครจะนั่ง ITX เราขอแนะนำว่าถ้าไม่อยากยืนเก๋ๆ สวยๆ แบบเรา ควรจองล่วงหน้า โดยเฉพาะฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่นะ จองเหอะ!!! Rose Garden, Heaven Garden
ไม้เรียกผะกากุพฺ- ชะกะสีอรุณแสง ปานแก้มแฉล้มแดง ดรุณี ณ ยามอาย; ดอกใหญ่และเกสร สุวคนธะมากมาย, อยู่ทน บ วางวาย มธุรสขจรไกล; อีกทั้งสะพรั่งหนาม ดุจะเข็มประดับไว้ ผึ้งเขียวสิบินไขว่ บมิใคร่จะห่างเหิน. -มัทนะพาธา- นี่จะเป็นการเขียนที่สดชื่นรื่นรมย์ที่สุด เพราะสวยงามอลังการมาก ชื่นตาชื่นใจ การไปเกาหลีทุกๆครั้งนั้น ต้องไปในที่ๆเคยไปบ้าง เช่น มยองดง ไปทุกครั้งงิ และก็ต้องไปในที่ๆไม่เคยไปบ้าง ไหนๆก็ไปๆมาๆบ่อยล่ะ เราก็ควรเที่ยวไปเรื่อยๆให้ทั่วสาธารณรัฐเกาหลีใต้ เนอะ เนอะ ไปครั้งนี้ตรงกับเทศกาล Rose Garden ใน Olympic Park จึงเดินทางไปดู เห็นเค้าว่าเปิดถึงแค่เดือนสิงหา 2014 เท่านั้น ไม่ควรพลาด เพราะพลาดแล้วไม่รู้ปีหน้าจัดอีกไหม 555 ไปถึง แว่บแรก อึ้งๆ มันดูไม่อลังการเท่าจินตนาการ แต่พอเริ่มเดินถ่ายรูปเท่านั้นแหละ คุณเอ๊ยยยยยยยยย ความงามของธรรมชาติมันดึงดูดให้ลุ่มหลงจริงๆ กุหลาบมากกว่า 50 สายพันธุ์กระจายกันตามมุมนั้น มุมนี้ หลากสี หลากทรง จะสวยไปไหนค๊าาาาา เราเป็นผู้หญิงอ่อนโยน รักดอกไม้ รักธรรมชาติ รักเด็ก รักผู้ชายเกาหลี สถานที่นี้จึงเหมาะกับเรายิ่งนัก หมดคำบรรยาย เชิญทัศนาดอกกุหลาบที่เราตั้งใจถ่ายมาจนโดนหนามเกี่ยวให้แสบขาเล่นๆ 555 เริ่มจากนี่เลย....เคยสงสัยตัวเองไหม ว่าฉันคือกุหลาบหรือมะลิซ้อน ก๊ากกกก และ ยาวไปค่ะ ยาวไปเลย หวังว่าทุกคนที่หลงเข้ามาเห็นบล็อกนี้ จะมีวันเวลาดีๆที่สดชื่นดั่งดอกไม้งามนะคะ (^___^) Review T'Way Air : T'Way, It's yours.
ราคาไม่แพง น่าสนใจที่ 12,500 บาท รวมทุกอย่าง แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าต้องการจ่ายบัตรเครดิต ก็ต้องไปรูดที่บริษัทเลย คือ ตึกแปซิฟิคเพลส 2 แถวสถานีรถไฟฟ้านานานะจ๊ะ และจะชาร์จเพิ่มอีก 3% ตามธรรมเนียม เวลาเดินทางคือ BKK-ICN TW102 01.25-08.35 ICN- BKK TW101 20.15-00.10 ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่คนไทยชอบเดินทาง เพราะไปถึงโน่นเช้า ได้เที่ยวเต็มวัน ในขณะที่ขากลับก็ได้กลับเย็นๆด้วย สบายดี เที่ยวได้อีกทั้งวัน 555 ส่วนเรื่องกระเป๋าก็ตามมาตรฐานทั่วไป 20 กก. โหลด และ 7 กก. สำหรับ carry on ขาไปส่วนใหญ่ไม่ค่อยเกิน จะเกินเสมอยามกลับ ฮ่าาาาาาา ที่นั่งด้านในเป็นแบบ 3-3 ตามประสาเครื่อง B737-800 ออกจะเล็กไปสักหน่อย แต่พอนั่งได้ไม่ถึงกับหงุดหงิดเท่าอีกสายการบิน แหะแหะ ตอนเครื่องขึ้นนี่เสียงดังน่ากลัวมาก ลั่นเคบินจนต้องภาวนา ลูกช้างจะรอดไหม โดยรวมแล้วการบริการก็ดีนะ แอร์เอาใจใส่ดี ยิ้มแย้ม น่ารัก เสียอย่างมากคือภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ขาไปนี่กัปตันพูดเบามากกกก และด้วยวันที่เดินทางนั้นฝนตก ทัศนวิสัยแปรปรวน พอต้องรับฟังคำแนะนำจากแอร์..... ฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ เดินทางไปเกาหลีมาก็มาก ประสบปัญหาการสื่อสารบนเครื่องบินก็คราวนี้ แอร์ใช้ภาษาพูด แบบภาษาพูดจริงๆ ห้วนๆ ดูให้ความสนิทสนมแต่รัว และเว้นวรรคแปลกๆ จนฟังแล้วมึน ขากลับก็ไม่แพ้กัน กว่าจะจับใจความได้คือประโยคสุดท้าย T'Way, It's yours. มื้อเช้าเสิร์ฟด้วยครัวซองต์ทูน่าแฮม อร่อยดีนะ แต่ไม่อิ่ม (จะเอาอะไรนักหนาล่ะเนอะ) ขอ Water ไป ได้ Orenge juice มา พอเราบอกว่าขอน้ำเปล่าอีกที แอร์จากยิ้มๆก็หน้าหงิก เอ๊ะ ยังไง เครื่องจะลงที่ด้านนอกของอินชอนสักหน่อย (เหมือนสายการบิน low cost เจ้าอื่นๆแหละ) เวลาลงเครื่องก็จะต้องนั่งรถไฟเข้าไปที่ ตม. และ baggage claim เสียเวลาอีกนิด ไม่มาก รถไฟมาทุก 5 นาที สะดวกมากอยู่ ขากลับก็นั่งรถไฟออกมาที่เกตอีกหน่อยเหมือนกัน อาหารขากลับเป็นข้าวและผัดไก่ตามนี้ รสชาติไม่ค่อยถูกปากเท่าไร แต่ขากลับเนื่องจากไม่อยากนอน เลยนั่งอ่านหนังสือมาตลอดทาง แอร์ก็น่ารัก ผลัดกันมาถามว่าดื่มน้ำไหม รับอะไรเพิ่มหรือป่าว ทำให้การอ่านหนังสือของเราไม่กระหาย แต่อ่านไม่รู้เรื่อง (ถามบ่อยมาก) 555 สรุป.....ถ้าไม่ค่อยสนใจเรื่องอาหารบนเครื่องเท่าไรก็นั่งได้เลยสายการบินนี้ เพราะเวลาดี ราคาดี อาหารมันก็กุ๊กกิ๊กเบาๆตามราคาตั๋วแหละ แอร์ก็น่ารักเป็นระยะ ฮ่าๆๆๆๆๆ |
ณ เงา
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]
Link |