Group Blog
 
All blogs
 

~*เมื่อความรักของฉันเป็นสีฟ้า*~...When my love is blue...


“…คนเราทุกคนย่อมมี เนื้อคู่ ของตัวเองทั้งสิ้น และมักจะมีถึงสอง
สาม 
หรือแม้กระทั่งสี่คนในช่วงชีวิตหนึ่ง
พวกเขามาจากหลายยุคสมัย เดินทางข้ามมหาสมุทรแห่งกาลเวลา
พ้นความลึกสุดหยั่งของมิติสวรรค์เพื่อจะได้มาอยู่ร่วมกับคุณอีกครั้ง
…ชาตินี้เขาอาจจะมีรูปลักษณ์หน้าตาไม่เหมือนเดิม
แต่คุณจะรู้จักเขาด้วยหัวใจ ว่าคนนี้แหละ ใช่
…สมองของคุณอาจรั้งรอ ฉันไม่รู้จักเธอ แต่หัวใจคุณสิ รู้"
(จากหนังสือเรื่อง...เราจะข้ามเวลามาพบกัน)





ฤดูฝนเมื่อปีที่แล้ว...ฉันเคยบอกว่า ฉันเกลียดมัน...
แต่ปีนี้ ฉันยินดีจะบอกว่า ฉันชอบมัน...



คืนหนึ่ง...ด้วยหัวใจที่อ่อนแรง

ฉันอธิฐานกับโชคชะตาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า

ขอให้ฉันได้ฝันเห็นเนื้อคู่ของฉัน ถ้าเขาคนนั้นมีจริง



และ...ฉัน



ก็...ฝันถึงใครที่ไหนก็ไม่รู้ หน้าตาก็ไม่เห็น 

รับรู้แต่เพียงว่ามีความสุข รับรู้ได้ว่าเขาพูดกับเราด้วยรอยยิ้ม

ทั้งที่ไม่รู้ว่า...หน้าตาเขาเป็นยังไง ทุกอย่างแทบเลือนลาง

ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้หน้า แต่รู้ใจ...คุณเคยเป็นไหม? 



หลังจากที่ความฝันเกิดขึ้น ความทรงจำของคนในฝันก็เริ่มจางหาย

แต่กลับปรากฏเป็นใครบางคนที่ฉันบังเอิญไปเจอ

ฉันลืมเรื่องความฝันนั้นไปหมดแล้ว 

แต่ฉันกลับรู้สึกว่าคุ้นเคย...แค่เพียงได้ยินชื่อเขา



เขาเคยไปในสถานที่ที่ฉันรู้สึกอยากจะไป

ในช่วงเวลาเดียวกัน...แต่ฉันไม่ได้ไป 

เขาไป...และไปคนเดียว อย่างไม่มีเหตุผล



ฉันเชื่อว่ามันคือสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาแล้ว..

และฉัน...ก็เป็นคนทำลายมันเอง...



ฉันฝืนโชคชะตา และเลือกที่จะแอบบอกความในใจ

ทั้งที่ลืมไปว่า...เขาเข้าใจความหมาย



จนบทลงโทษที่ฉันฝืนลิขิตแห่งชะตาคือ 

เขา...ตัดฉันออกไปจากชีวิต

โดยที่ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้พูด หรือบอกอะไรสักคำ



ถามว่าฉันเจ็บปวดไหม...แน่นอน ไม่มีใครยิ้มได้

แต่ฉันยอมรับได้...เพราะฉันเลือกจะฝืนโชคชะตาเอง

ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามทางของมัน

ก็คงไม่เป็นแบบนี้



บางที...เขาอาจจะมาแค่ให้ฉันได้รู้ว่าเขามีและมีตัวตน



แล้วก็จากไป เพราะยังไม่ถึงเวลานั้นที่เราจะมาเจอกัน



ฉันต้องขอบคุณพี่ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจให้

และส่งข่าวเรื่องของเขาให้ฉันรับรู้ตลอด

จนบางครั้ง และหลายครั้ง ที่เขากับฉันเลือกจะทำอะไรเหมือนกัน

ฉันพูดแบบนี้ เขาก็พูดแบบนี้ เขาทำแบบนี้ ฉันก็ทำแบบนี้

แต่เรามองไม่เห็นกัน มีแค่คนกลางระหว่างเราเท่านั้นที่มองเห็น



เคยอ่านหนังสือเรื่องเราจะข้ามเวลามาพบกันไหม?

ถ้าเคย ฉันจะสมมติว่าฉันเป็นเอลิซาเบธ เขาเป็นเปโตร

และพี่คนกลางคนนั้น เป็น ดร.ไวร์ คงเข้าใจกันใช่ไหม?



เอลิซาเบธเจ็บปวดจากความรักและเรื่องราวในชีวิตเธอ

ส่วนเปโตร เคยผิดหวังกับความรักและมีปัญหาในชีวิตเช่นกัน

สองคนนี้เดินทางมากพบ ดร.ไวร์ เหมือนกัน แต่ต่างกันที่เวลา

ต่างฝ่ายต่างถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกให้ ดร. ฟัง

เพื่อเข้ารับการรักษาอาการทางจิต จน ดร. สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

และนั่นก็ทำให้ ดร. รู้ว่า SOULMATE มีจริง



ส่วนฉัน...ฉันเจ็บปวดอย่างสาหัสกับความรักครั้งล่าสุด

ฉันต้องการเพื่อน ต้องการคนปลอบใจ พี่คนกลางคนนั้นคือที่พึ่งของฉัน

พี่รับฟังฉัน และให้กำลังใจฉัน และพี่ก็ทำให้ฉันได้เจอเขาคนนั้น

ด้วยความบังเอิญ...ไม่มีใครจงใจ จะให้เจอ

ส่วนเขาคนนั้น...คือคนที่พี่คนกลางรู้จัก 

และรับรู้เรื่องราวของเขามาตลอด

จนวันที่ฉันถูกเขาตัดออกจากชีวิต พี่คนกลาง

ก็ยังทำหน้าที่เป็นคนกลาง เป็นคนสื่อสาร
และรับรู้ความเป็นไปของเราสองคน

เรามองไม่เห็นกัน เราไม่รู้เรื่องของกันและกัน

แต่เราทำอะไรเหมือนกัน...นั่นคือสิ่งที่พี่คนกลางสังเกต

และมากพอที่พี่คนกลางจะบอกได้ว่า...เชื่อแล้วว่าคู่แท้มีจริง



หากคำทำนายของผู้ล่วงรู้อนาคตเป็นจริง

เราสองคนจะกลับมาเจอกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ผู้รู้บอกกับฉัน ทั้งที่ไม่รู้เรื่องเขาคนนั้น

ด้วยหัวใจของคนที่เจ็บช้ำ...จึงเอ่ยปากถามผู้รู้ไป

ว่าฉันจะมีเนื้อคู่ไหม และหน้าตาเป็นยังไง

ผู้รู้บอกกับฉันในรายละเอียดที่มองเห็น

ทุกอย่างตรงกับเขาคนนั้นอย่างน่าใจหาย

สองคนนี้ไม่รู้จักกันมาก่อน และฉันก็ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผู้รู้



ยิ่งทำให้ฉันแน่ใจแล้วว่า...ที่ฉันต้องมองเห็นเขาด้านเดียว

เหมือนในความฝัน ที่ฉันทำได้แค่ยืนมองเขานอกห้องกระจก

ทำได้แค่มองเห็น แต่ไม่อาจส่งเสียงอะไร และเขาก็ไม่รู้รับรู้อะไร

มีแต่ฉันที่รับรู้ว่า แค่ได้มองเห็นก็มีความสุขแล้ว



ฉันเชื่อแล้วว่าบทลงโทษของคนที่ฝืนชะตามีจริง




ต่อไปนี้ฉันจะไม่ฝืนมันอีก 

ฉันจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางของมัน





ฉันจะไม่หวังอะไรทั้งสิ้น แต่ฉันจะศรัทธา
ศรัทธาในความรู้สึกของตัวเอง



และถ้าเราสองคนถูกกำหนดมาแล้ว...พลัดพรากจากกัน

ก็ต้องมีสักวันที่เราจะได้กลับมาพบกัน



ในเมื่อเราก้าวข้ามเวลามาแล้ว...ฉันเชื่อว่า




"เราจะข้ามเวลามาพบกัน" อีกครั้ง...ในไม่ช้านี้...











 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 18 กรกฎาคม 2553 0:27:00 น.
Counter : 274 Pageviews.  

คือฝันไปหรือใครเรียก

ไม่รู้ว่าฝันไปหรือมีใครเรียก

เมื่อคืนก่อนนอนเราเผลอพูดขึ้นมา อยากฝันเห็นเนื้อคู่ ถ้ามีจริงก็ขอให้เจอในความฝัน
แต่ตอนนั้นที่พูดก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่คิดว่าจะต้องฝันหรอกมันคงมีแต่ในนิยายเท่านั้น
จนกระทั่งนอนไปสักพัก ภาพของความฝันก็ปรากฏ
ในฝันเลยเริ่มจากการที่เราได้เจอกับแฟนเก่าที่เราเพิ่งเลิกไป
เขาขับรถพาเราไปเที่ยวในสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นมหาวิทยาลัยในภาคอิสาน
เราจำชื่อได้ แต่ว่าสถานที่ในนั้นกับชื่อมหาวิทยาลัยแห่งนั้นไม่เหมือนกัน
เราว่าสถานที่นั้นสวยมา เป็นรูปทรงคล้ายยุโรป เขาพาเราไปส่งไว้ที่คณะหนึ่ง
เป็นคณะที่เราเรียนอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่มหาลัยของเรา
เราไปจ่ายเงินค่าละครเวที ย้ำว่าเป็นค่าละครเวที
แต่ละครเวทีเรื่องอะไรเราก็จำไม่ได้
ลักษณะคล้ายๆกับตัว ล เหมือนจะเป็นคำว่าลำดวล
แต่เราก็ไม่ได้สนใจ จากนั้นก็มี นศ สองคนผิวขาวๆเดินเข้ามาพบอาจารย์
เราก็เลยขอตัวออกไป เราไม่เจอแฟนเก่าเรา เลยอาศัยช่วงที่รอ
เดินดูตัวตึก ตึกเป็นตึกทรงยุโรปโบราณ
มีบันไดโค้ง เราจำได้ เรายังบอกกับตัวเองเลยว่า
เราจะเอาบันไดนี้แหละไปเขียนในนิยาย แล้วก็น่ามาถ่ายรูปคู่แต่งงาน
แบบย้อนยุค เพราะตึกที่นี่สวยมาก
หลังจากนั้นแฟนเก่าเราก็ขับมอเตอร์ไซด์มารับเรา
เขาพาเราขับวนไปมา ตลอดสองข้างทางสวยมาก
มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นตึกโบราณสวยเหลือเกิน
แต่แล้วอยู่ดีๆแฟนเก่าเราก็หยุดรถแล้วบอกให้เราลงจากรถไป เขาส่งเราได้แค่นี้
เราก็อารมณ์แบบว่า เสียใจนิดหน่อยที่เขาทิ้งเรา
แล้วเขาก็ขับรถออกไปโดยไม่รอให้เราเรียกกลับมา
เราเลยตัดสินใจหันหลังเดินออกไปจากที่ตรงนั้น
ตรงหน้าเราเป็นสะพานข้ามไปศาลาปราสาทหินกลางน้ำ
เราก็เลยเดินไปตามสะพานนั้น สักพักก่อนจะถึง
ก็มีผู้ชายคนนึงมาเรียกชื่อเรา เขาเป็นผู้ชายที่ไหล่กกว้างมากๆ
สูงกว่าเรา ผมยาว ลักษณะเหมือนศิลปิน หรือนักดนตรี
เขาเรียกชื่อเราอยู่หลายรอบ เราก็หันไป แล้วถามว่า
"คุณรู้จักที่ฉันได้ยังไงคะ" เรามองไม่เห็นหน้าเขา แต่รู้สึกว่าเขายิ้มให้ แล้วตอบเราออกมา
"ก็เห็นพี่หนุ่ยพูดถึงบ่อยๆ เลยอยากรู้ว่าใช่หรือเปล่า" (แฟนเก่าเราชื่อหนุ่ย)
ทีนี้เราก็ทำหน้าแหยๆเค้าเลยถามเราว่า
"หลงทางเหรอ" เราพยักหน้าตอบเขาไป เขาก็หัวเราะ (เราได้ยินเสียงนะ)
"เดินตรงไปแหละเดี๋ยวก็เจอทางออก"
"อ๋อ...ขอบคุณค่ะ" แต่เรายังไม่ทันได้ถามชื่อหรือว่าอะไรนะเขาก็บอกเราอีก
"เดี๋ยวผมขอตัวไปทำงานก่อนนะ เดินไปแล้วเดี๋ยวเหมี่ยวก็เจอเอง"
ทีนี้เขาก็เดินเข้าไปในห้องปราสาทหินกลางน้ำนั้นอะ
ในห้องนั้นเป็นห้องที่มีแต่งานปั้น งานศิลปะ ผู้ชายคนนี้กำลังปั้นรูปปั้นบางอย่างทิ้งไว้
ผลงานในห้องนั้นเป็นของเขา เราพยายามเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน
เหมือนกับว่ามีกระจกกั้นไว้ เราเลยทำได้แค่มอง
แต่เรารู้สึกว่าเค้ามีรังสีอบอุ่นกับเรามากๆ
เสียดายที่เราไม่เห็นหน้าเค้า ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ
ตอนนั้นเราเรียกเค้าจนถอดใจเค้าก็ไม่ได้ยิน เลยตัดสินใจทำตามที่เขาบอก
คือ "เดินตรงไปแล้วก็จะเจอทางออก"
เราก็เลยเดินตรงไปเรื่อยๆ จนพ้นเขตของปราสาทหินกลางน้ำ
เราก็เจอทางออก ตรงนั้นมียามมีคนเฝ้า
แล้วก็เจอแม่เราอยู่ แม่เรายืนรออยู่ แล้วถามว่าจะไปหรือยัง
เราก็ลังเลใจเพราะยังจะเจอคนๆนั้นกับแฟนเก่าเราอีก
เราแอบหวังอะว่าเค้าจะวิ่งตามมา
แต่ด้วยความเร่งรีบและจำนวนคนเยอะมากๆ
เราเลยต้องตอบตกลงแม่ไป แม่เลยซื้อตัวรถตู้ให้
สุดท้ายก็ไม่ได้ไป เพราะแม่มีปัญหาเรื่องอะไรสักอย่างกับคนขับรถเนี่ยแหละ
จากนั้นเราก็เลยตื่นขึ้นมา

เราไม่รู้ว่านี่มันคือสิ่งที่เราคิดไปเองหรือเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง
แต่รู้ว่าเราอยากฝันเห็นผู้ชายคนนั้นอีก แค่เห็นเค้าเราก็มีความสุขแล้ว
จริงๆนะ








 

Create Date : 15 มีนาคม 2553    
Last Update : 15 มีนาคม 2553 18:03:48 น.
Counter : 314 Pageviews.  

จบกันตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าชีวิตนี้ต้องเกลียดกัน

หนักใจและฝืนเท่าไม่ไหว ฉันทนมามากไป
อึดอัดใจมานานแสนนาน วันนี้ฉันขอเป็นฝ่ายไป
ไม่เหลือแล้วหัวใจ...ขอเป็นคนทิ้งเธอ

ฉันเป็นผู้หญิงที่ใจง่าย เป็นคนที่เธอเคยได้ใจ
เพราะความหวั่นไหวต้องทนอ่อนใจเพราะใจอ่อน
ต่อไปจากนี้ไม่มีแล้ว ไม่ยอมไม่ทนเหมือนวันก่อน
ฉันคงต้องเลือกไป จะมองว่าฉันเป็นคนใจง่ายก็ไม่แคร์

"ไม่มีใครทนเจ็บปวดไปได้ทั้งชีวิตหรอกนะ
...เราไม่ใช่โยคีนะเหมี่ยว มันก็แค่คนเลวๆคนนึง
เราต้องดีใจนะ ที่เราตัดมันออกไปชีวิตได้"
คำพูดของพี่หมอ พี่สาวที่ฉันรัก และเป็นกำลังใจให้ฉัน
...ในวันที่ฉันเลือกแล้ว

"พี่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไปด้วยกันไม่ได้
มันไม่เหมาะกับแก แล้วถ้าแกยังฝืนต่อไป
ก็มีแต่แกคนเดียวที่เจ็บ"
คำพูดของพี่พิ้ง...พี่สาาวที่รักอีกคน
...ในวันที่ฉันเลือกแล้ว

"พี่รู้ว่าน้องพี่มันแลว แต่แกก็เป็นน้องพี่
พี่ก็ไม่รู้จะบอกแกสองคนยังไง
แต่ดีแล้วที่แกเลือกแบบนี้ แกต้องอยู่ได้นะเหมี่ยว
พี่จะอยู่ข้างแก...ยิ้มเข้าไว้"
คำพูดของพี่อุ๊ พี่สาวที่น่ารัก
...ในวันที่ฉันเลือกแล้ว

"ตั้งแต่ที่ฉันรู้เรื่องแกกับมันมา
ฉันก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะทำอะไรให้แกเลย
หนึ่งเดือนแล้วนะที่ฉันเห็นแกร้องไห้มาตลอด
อย่าถามว่าแกผิดอะไร
แกต้องถามว่ามันเคยรักใครนอกจากตัวเองหรือเปล่า"
คำพูดของจอย ฝาแฝดของฉัน
...ในวันที่ฉันเลือกแล้ว

"ดีแล้วเหมี่ยว ที่มึงตัดสินใจแบบนั้น
ถ้ามึงยังอยู่กับมัน มึงก็จะมีแต่เสียใจ"
คำพูดของปาน...เพื่อนสนิทตั้งแต่ตอนเรียนโรงเรียนประจำ

"เราต้องใจแข็งแบบนี้แหละเพื่อน"
คำพูดของเหมียว...เพื่อนสนิทตั้งแต่ตอนเรียนโรงเรียนประจำ

และประโยคสำคัญจากคนที่สำคัญที่สุด...แม่
"ถ้าทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทนหรอกลูก
ดีแล้วที่หนูเลือกแบบนี้
เราควรจะเลือกคนที่เค้าดูแลเราด้วย
ไม่ใช่ให้เราไปดูแลเค้าฝ่ายเดียว
ความรัก...มันคือเรื่องที่คนสองคนต้องเกื้อกูลกัน
หนูตัดสินใจถูกแล้ว"

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของคำสำคัญในวันที่ฉันเลือกแล้ว
วันที่ฉันต้องตัดใจทั้งที่ยังรักเค้าหมดหัวใจ
แต่...ฉันคงทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดทั้งชีวิตไม่ได้
2 อาทิตย์ก่อนหน้านี้ ฉันทำใจที่จะไม่พูดไม่คุยกับเขา
เพราะเขาเลือกจะทำแบบนั้นกับฉันก่อน
จนมาถึงวันสำคัญ เขาเข้ามาคุยกับฉัน
แล้วก็บอกฉันว่า เขาคบกับผู้หญิงคนนึงมาแล้ว 2 อาทิตย์
นั่นเท่ากับเวลาที่เราไม่คุยกัน
แต่แรกฉันก็พยายามคิดว่าเค้าคงล้อเล่น และยังให้อภัยเขาได้เสมอ
ฉันนึกย้อนไปก่อนหน้าที่เราจะไม่คุยกัน
เค้าบอกกับฉันว่า เค้ากำลังจะจีบสาวคนนึง
ไม่รู้จะติดหรือเปล่า...ฉันก็คิดว่าเขาอำฉันเล่นก็เลยไม่ได้ใส่ใจ
แต่เมื่อผ่านไปเขามาตอกย้ำเรื่อยๆ ฉันก็เริ่มจะหมดความอดทน
ข้อความที่ฉันเขียนระบายในบล็อกคราวก่อนนี้
คือสิ่งที่มาจากเบื้องลึกทั้งหมด
เพียงแต่ที่ฉันลบมันทิ้งไปเพราะคิดถึงเหตุผลว่า
ฉันควรจะให้เกียรติเขา...แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้ให้เกียรติฉันเลย

แต่แรกฉันก็พยายามคิดว่าคงไม่มีอะไร
จนกระทั่งฉันไปเจอรายชื่อนึงใน Facebook
เป็นชื่อของรุ่นน้องของเขา เรียนที่เดียวกัน
แล้วก็คงจะเรียน ป.โท ด้วยกันในเวลานี้
ที่ปวดใจมากกว่านั้นก็คือ เขาเคยบอกชื่อนี้ให้ฉันฟัง
ถึงตรงนี้ฉันกลับรู้สึกชาไปทั้งหัวใจ
เพราะฉันรู้จักกับคนๆนี้ แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
ฉันไม่ถามเขาแล้วว่าใช่คนๆนี้หรือเปล่า
เพราะเขาจะไม่ตอบฉัน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยบอกฉันเลย
ในสิ่งที่ฉันถามไป ขนาดถามเรื่องงานเขาก็ไม่ตอบ
จนถึงวันนี้ วันที่ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง
เพื่อไม่ให้หัวใจของตัวเองปวดร้าว
ฉันเข้าใจแล้วว่า อาการปวดหัวใจเป็นยังไง
ฉันจึงเลือกที่จะ โพสต์ข้อความบอกรักเขาใน หน้า Facebook
แล้วบอกกับเพื่อนว่า ถ้าเขาลบข้อความนั้น เท่ากับว่า
เขาไม่ได้รักฉันแล้ว...และหลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ...เขาไม่ได้ลบคอมเม้นต์นั้น
แต่เขาลบฉันออกจากรายชื่อเพื่อนของเขา
ฉันตกใจมาก แต่ก็ยังฝืนยิ้ม แล้วแกล้งถามเขาไปว่า
"ถึงขั้นลบเลยเหรอ" เขาตอบฉันว่า
"มาโพสต์อะไรก็ไม่รู้ น่ารำคาญ"
"ถ้ารำคาญก็ลบกระทู้ได้นี่ ไม่เห็นต้องลบรายชื่อออกเลย"
เขาไม่ตอบอะไรฉัน หลังจากนั้นผ่านไปสักพักเขาก็บอกกับฉันว่า
"ถ้าทำแบบนี้อีกก็น่าดู" ฉันก็เลยถามกลับไป
"จะตีก้นเค้าเหรอ" เขาตอบฉันมาว่า
"มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องอธิบายอีกแล้ว"
ฉันหยุดนิ่งไปพัก แล้วหวนนึกถึงคำที่เขาบอกกับฉัน
"คิดว่าต่อเวลาไปก็เท่านั้น ยังไงแกก็ยังอ้วนเหมือนเดิม"
วินาทีนั้นฉันตัดสินใจแล้วว่า ฉันจะไม่ขอทนกับเขาอีกต่อไป
ในเมื่อเขาจะไปจากฉันเหตุเพราะฉันอ้วนขึ้น
หรือว่าเบื่อหน้าฉัน ฉันก็จะเป็นฝ่ายไปจากเขาเอง
คนเรามันจะรักกัน ขอสำคัญคือจิตใจ
และสิ่งที๋ฉันอยากจะบอกกลับไปก็คือ
"ต่อให้ยื้อเวลาไปเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีวันดีขึ้น"
หลังจากที่ฉันได้สติ ฉันจึงตัดสินใจบอกกับเขาไปว่า
"หนูก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพูดกับพี่เหมือนกัน"
ฉันบล็อกเขาจาก msn แล้วก็ลบชื่อเขาออกจากทุกสิ่งทุกอย่างที่มี

โชคดีที่บ้านของฉันไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว
เพราะเขาไม่เคยมาที่บ้าน ไม่เคยซื้ออะไรให้ฉัน
ฉันโทรไปร้องไห้กับเพื่อน แล้วก็เล่าเรื่องราวระหว่างฉันกับเพื่อนให้ฟัง
นั่นทำให้ฉันรู้แล้วว่า สิ่งที่ฉันทำไปมันไม่ผิดอะไรเลย
เพราะนับจากนี้ ฉันก็จะมีอิสระมากขึ้น ไม่ต้องมากังวลว่า
เขาจะโทรมาหรือไม่ เขาจะทักใน msn มาหรือเปล่า
เขาต้องการอะไรจากฉันไหม แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน
ที่คิดว่าต้องหาเงินเพื่อเดินทางไปหาเขา...มันไม่จำเป็นอีกแล้ว
ที่ผ่านมา เขาให้อะไรกับเราบ้าง แล้วเราให้อะไรกับเขาบ้าง
มีแต่ฉันที่ให้ ในขณะที่เขา ไม่เคย

ฉันเลยคิดว่า...จบเสียวันนี้
วันที่ฉันยังรักเขา ยังจะดีกว่า ให้เราเกลียดกัน

รู้ว่าวันนี้ต้องเสียใจ
ดีกว่าทนอยู่ไปอย่างบอบช้ำ
อาจต้องใช้เวลาเนิ่นนานแต่ต้องทำ
ดีกว่าย่ำบนหัวใจที่ไร้ความหมาย

อยากให้รู้ว่ายังรักจนวันนี้
วันที่ฉันยอมเป็นคนใจร้าย
ความทรงจำที่มีไม่จางหาย
เหลือเพียงคนเดียวดายที่เคยเห็น

อาจต้องเจ็บต้องเหงาเพราะความรัก
แค่อกหักก็ใช่ว่ารักไม่เป็น
ต้องแข็งใจต้องทำใจให้เธอเห็น
ดีกว่าเป็นคนไร้ค่าในสายตาเธอ




 

Create Date : 04 มีนาคม 2553    
Last Update : 4 มีนาคม 2553 21:33:21 น.
Counter : 523 Pageviews.  

รู้สึกกันบ้างหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้ เราใช้ไปรษณีย์กันน้อยลง

รู้สึกกันบ้างหรือเปล่าว่าเดี๋ยวนี้...เราใช้ไปรษณีย์กันน้อยลง

วันนี้เหมี่ยวนึกอะไรบางอย่างได้ เลยลองทำดู

เพราะวันนั้นเหมี่ยวไปซื้อการ์ดให้คุณพ่อแล้วก็มี

โปสการ์ดใบหนึ่ง มันลงมาที่มือเหมี่ยว

ข้างหน้าเป็นรูปถนน แล้วก็มีต้นไม้สองข้างทาง

พร้อมกับข้อความที่เขียนว่า
"ใช่ว่าระยะทางจะเป็นอุปสรรคของความรัก"

เหมี่ยวก็เลยซื้อมาแบบไม่ต้องสงสัย 55

เพราะมันทำให้เหมี่ยวคิดถึงใครบางคน


เมื่อก่อนเหมี่ยวจำได้ว่ามีช่วงนึงชอบดารา

ก็จะแบบไปหาที่อยู่มา แบบบริษัทก็เอาวะ

แล้วก็เขียน ทำการ์ดทำอะไรไป คิดแล้วก็ขำตัวเองนะ

แต่กับคนใกล้ตัวเราไม่เคยทำ...


พอโตขึ้นมาสักหน่อย เดี๋ยวนี้อะไรๆก็เป็นเทคโนโลยีไปหมด

แม้กระทั่งการส่งการ์ดหรือจดหมายก็พิมพ์ผ่านจอคอมกัน

จนบางคนคิดว่าคงลืมการเขียนไปแล้ว

ประมาณว่าเขียนหนังสือแล้วมันไม่สวยเหมือนก่อน

เพราะเหมี่ยวเป็นหนึ่งในนั้น

เหมี่ยวก็เลยคิดดว่า น่าจะลองส่งไปรษณีย์ดูนะ


อีกอย่างแฟนเหมี่ยวเขาจะเป็นประเภทว่า

ถ้าให้ต่อหน้าจะแกล้งทำเฉยๆ แล้วก็วางทิ้งไว้

ดังนั้นเราต้องส่งให้แบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

แล้วก็จะได้มีตราไปรษณียืประทับไว้ที่ซอง

เป็นที่ระลึก ต่อไปข้างหน้าจะได้เอามาดูได้ว่า

ส่ง ณ วันที่เท่าไหร่ เหมี่ยวก็เลยจัดการเขียน


เพราะยังไงเราก็อยู่ไกลกัน แต่มันก็ไม่ไกลที่ไปรษณีย์จะไปถึง

เหมี่ยวอยู่ลพบุรี เขาอยู่ขอนแก่น

เจอกันเดือนละครั้งสองครั้ง แต่เราคุยกันตลอด

เปิดกล้องเวปแคมคุยกันบ้าง เรียกได้ว่าทุกวัน


เหมี่ยวเลยเขียนเนื้อเพลง One Love

ของทาทาลงไป เพราอะไร และทำไม

ก็เพราะว่าวันนั้นเหมี่ยวกับเขานั่งรถไปด้วยกัน

แล้วเพลงนี้ดังขึ้น สองข้างทางตรงหน้าเป็นต้นไม้

เหมือนในโปสการ์ดเลย แล้วบรรยากาศก็เหมือนกันเลย

ใครที่อยู่มหาวิทยาลัยขอนแก่นคงคิดเหมือนเหมี่ยวนะ

ก็เลยเลือกจะเขียนเพลงนี้ลงไป

เขียนชื่อเขาเป็นชื่อตัวละครในเกมส์

ที่เราเจอกันครั้งแรกเมื่อปีปลายปี 51

แต่เหมี่ยวจะไม่พูดถึงนะ ว่าเหมี่ยวส่ง

เพราะมันจะไม่เซอร์ไพรส์ อิอิ


มาดูหน้าตากันเลยดีกว่า


หน้าตาโปสการ์ด



นี่เลยอุปกรณ์



เขียนเสร็จแล้ว



พรุ่งนี้จะเอาไปส่งแล้วนะจ๊ะ


ใครสนใจอยากทำแบบนี้ก็ดีนะ

แบบว่าบ้านเดียวกันก็ได้นะคะ

มันเซอร์ไพรส์ดีนะเหมี่ยวว่า

ยังไงซะเขียนด้วยมือก็ยังสื่อความหมาย

ได้ดีกว่าพิมพ์เอานะ เพราะอย่างน้อย

มันก็สัมผัสได้ถึง อารมณ์ของคนเขียนนะคะ


ป.ล. ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด


เรายืนห่างกันสุดไกลตา มองไปสุดฟ้าไม่เห็นกัน

มือเราไม่เคยจับมือกัน ฉันและเธอแสนไกล

เพียงใจที่มองสิ่งเดียวกัน เพียงเราส่งใจให้ถึงใจ

มือเราที่เคยห่างกันไกล ก็จับกันได้ง่ายดาย


เพราะคำว่า รัก

ยังคงจะเป็นที่รวมใจ ไม่ให้ห่างกัน

รัก ยัง ผูกพัน ไม่จางจากใจฉันและเธอ


one love ด้วยทุกหัวใจที่เหมือนกัน

with love ไม่ว่าอยู่ที่ใด

one love ด้วยรักที่มีในหัวใจ

อาจจะใกล้จะไกลต่างกันสักเท่าไหร่

หล่อรวมหัวใจเป็นรักเดียว


จะไกลแค่ไหนไม่เดียวดาย

ก็เพราะว่าใจที่ฉันมี

ยังมองยังเห็นเธอคนดี

เป็นรักเดียวเสมอไป

เพราะรักไม่เพียงแค่ตามอง

รักนั้นต้องมองด้วยหัวใจ

จะเป็นที่ไหนเวลาใด ก็อยู่ใกล้ๆ กัน


เพราะคำว่า รัก

ยังคงจะเป็นที่รวมใจ ไม่ให้ห่างกัน

รัก ยัง ผูกพัน ไม่จางจากใจฉันและเธอ


one love ด้วยทุกหัวใจที่เหมือนกัน

with love ไม่ว่าอยู่ที่ใด

one love ด้วยรักที่มีในหัวใจ

อาจจะใกล้จะไกลต่างกันสักเท่าไหร่

หล่อรวมหัวใจเป็นรักเดียว


เพราะคำว่า รัก

ยังคงจะเป็นที่รวมใจ ไม่ให้ห่างกัน

รัก ยัง ผูกพัน ไม่จางจากใจฉันและเธอ


one love ด้วยทุกหัวใจที่เหมือนกัน

with love ไม่ว่าอยู่ที่ใด

one love ด้วยรักที่มีในหัวใจ

อาจจะใกล้จะไกลต่างกันสักเท่าไหร่

หล่อรวมหัวใจ


one love ด้วยทุกหัวใจที่เหมือนกัน

with love ไม่ว่าอยู่ที่ใด

one love ด้วยรักที่มีในหัวใจ

อาจจะใกล้จะไกลต่างกันสักเท่าไหร่

หล่อรวมหัวใจเป็นรักเดียว








 

Create Date : 05 มกราคม 2553    
Last Update : 5 มกราคม 2553 2:09:51 น.
Counter : 327 Pageviews.  

My destiny...

"อย่าหยุดศรัทธา...สักวันคงได้พบเธอ"

"เจ็บกับศรัทธา...กี่วันก็ไม่พบเจอ"




จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะรักใครแบบไม่มีเหตุผล?



ทุกวันนี้ฉันนั่งถามตัวเองถึงต้นตอของความรักในวันนี้

ทำไมฉันต้องคิดถึงเค้า? และทำไมฉันต้องรักเค้า?

เพราะความรักมันไม่มีเหตุผลอย่างนั้นหรือ?

ฉันเฝ้าถามเค้าตลอดว่าทำไมถึงรักฉัน

และทุกครั้งก็จะได้คำตอบมาเสมอว่า
“มันไม่มีเหตุผล”

มันเป็นคำตอบเดียวกับตัวฉัน ใช่! เพราะมันไม่มีเหตุผล

แต่คงเป็นคำบันดาลของคนที่อยู่เบื้องบนต่างหาก

หรือที่เรารู้กันว่ามันคือ
“พรหมลิขิต”



Do you believe in Destiny?

...คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม?...




ฉันเองก็ตอบไม่ได้ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ

แต่ก็อาจจะบอกว่าหนึ่งในสามของความคิด

ฉันเชื่อว่ามันมีอยู่จริง...I believe in destiny



กับคนหนึ่งคนที่รู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่เพิ่งได้รู้จักกัน

โดยที่ยังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน

ทำไมเรารู้สึกว่า เราอยากเจอคนๆนี้

เรารู้จักคนๆนี้ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ทำไมเราถึงรับรู้ว่า...เค้าจะมาเมื่อไหร่

ที่สำคัญ...ทำไมเราต้องมีบาดแผลหัวใจมาเหมือนกัน



เค้าเจ็บปวดกับอดีตที่ฝังใจ...จนกระทั่งไม่เปิดใจรับใครเข้ามา

ส่วนฉันเจ็บลึกกับอดีตที่ฝังใจ...จนกลายเป็นคนไม่มีหัวใจ

แต่ทำไมเราถึงเปิดใจให้กัน?

และกล้าที่จะเปิดใจยอมรับความรักให้เข้ามาในชีวิตเราอีกครั้ง

ทั้งที่เคยเข็ดขยาดกับความรักจนไม่อยากจะพบเจอมันอีก



หรือ เราจะเป็นหนึ่งในโลกของกันและกัน?

   

หนึ่งคนหยุดนิ่งและทิ้งหัวใจไว้นอกกาย

หนึ่งคนเฝ้ารอและคิดว่าสักวันคงจะได้เจอ



หรืออาจจะเป็นคำตอบของกาลเวลาว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะได้เจอกัน



เวลาสอนให้เราได้บทเรียนจากความรัก

เพื่อให้เราได้รักอย่างดีที่สุด



หรือความเจ็บปวดในอดีตก็คือยารักษาแผลใจของอนาคต



เคยเจ็บจนไม่อยากรักใครมาเหมือนกัน

เลยต้องมาพบกันเพื่อรักกันในที่สุด



ดังนั้นฉันก็จะไม่ตามหาคำตอบที่เคยค้างคาใจอีกต่อไป

เพราะฉันจะไม่มีวันรื้อฟื้นอดีต แต่ฉันจะใช้อดีตเป็นบทเรียนของชีวิต

เพื่อเดินต่อไปข้างหน้าและบอกกับตัวเองว่า




“ฉันจะรักคนนี้ให้ดีที่สุด”



...คิดถึงแกนะพี่หนุ่ย...












 

Create Date : 10 เมษายน 2552    
Last Update : 10 เมษายน 2552 20:00:38 น.
Counter : 299 Pageviews.  

1  2  3  

กานท์ชญา
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add กานท์ชญา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.