แชร์ประสบการณ์ Work&Travel อันยากจะลืมเลือนค่ะ Vol.3

ลืมเรื่องบัตรโทรศัพท์ไปเลย เราซื้อในงานที่ acadex จัดอะ เปนของ อารายก้อไม่รู้อ่ะคะ 700 บาท โทได้ 20$ ถ้าโทภายในเมกาจะ 85 cent ต่อนาที แต่ว่าถ้าโทข้ามก็ ดอลกว่าๆ มั้งคะ แต่เวลาโทรกลับบ้านเนี่ย จะโทเข้ามือถือ เพราะฉะนั้นก็จะแพงกว่าอีก เราเอาไปทั้งหมด 3 ใบค่ะ เนื่องจากต้องโทหาที่บ้านบ่อยๆ แถวเพื่อนๆก็กำชับด้วยให้โทไปหาบ้าง สำหรับผู้ชาย 2 ใบก็อยู่ค่ะ เพราะเพื่อนผู้ชายมันใช้ไม่หมดอะ แต่เราใช้ไม่พอ ต้องฝากเพื่อนที่เมืองไทยซื้อให้อีก 2 ใบ

สำหรับโทรศัพท์ที่ใช้ที่นั่น เนื่องจากว่าเราขี้เกียจเปลี่ยนซิมมือถือที่เราพกไป เราก็เลยซื้อ go phone ค่ะ ของ at&t เหมือนพวก dprompt สมัยก่อนอะ เครื่องละ 25$ แล้วก็ค่อยเติมเงินเอา แต่ขอบอกค่ะว่า ไม่เวิร์คเลย
เพราะโปรโมชั่นของเราเนี่ย คือโทหาเครือข่ายเดียวกันฟรี แต่ว่าถ้ามีการโทออกรับสายในวันไหน วันนั้นก็จะต้องจ่าย 1 $ ถ้าโทหาเครือข่ายอื่น นาทีละ 10 cent แล้วก็ อย่าลืมนะคะว่าที่เมกา โทออกหรือรับสาย เสียเงินทั้งนั้นค่ะ

จะขอแนะนำโปรโมชั่นที่เพื่อนใช้แทนละกันนะคะ เป็นของ t mobile ค่ะ บุฟเฟ่ต์โทตอนกลางคืนฟรี ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายไหนก็ตาม ไม่แพงด้วยค่ะ ลองหาดู คุ้มมากๆ


แล้วก็มาถึงเรื่องซักผ้านะคะ เนื่องจากอากาศที่นั่นไม่เหมือนเมืองไทย เสื้อพนักงานเราก็ใส่ อาทิดนึง ซักทีนึงค่ะ ส่วนกางเกงเราใส่สองตัวต่อ อาทิตย์ เพราะไม่มีเหงื่อออกด้วย ก็เลยไม่เหม็นค่ะ พอถึงวัน off ก็จะรวบรวมเสื้อผ้าของทุกคนไปหยอดเหรียญเครื่องซักผ้าที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของ apartment อะ 1.50$ ส่วนผ้าเช็ดตัวอย่าซักรวมกับเสื้อผ้านะ เด๋วขนมันติดกางเกงอะ แล้วก็เนื่องจากว่าที่นั่นเค้าไม่มีที่ตากผ้าให้ เราจึงจำเป็นที่จะต้อง อบแห้งด้วย ก็มีเครื่องอบให้เหมือนกัน ราคาเท่ากัน แต่ว่าควรวางแผนให้ดีๆ เสื้อผ้าที่แห้งง่ายๆ เราก็เฉลี่ยกันไปกับพวกที่แห้งยากๆ และที่สำคัญมากๆ กางเกงยีนส์ห้ามอบแห้งเด็ดขาด หลังจากเรา prove แล้วว่า การอบแห้ง มันทำให้กางเกงเล็กลง แล้วถ้าเราอ้วนขึ้นอีก งานเข้าแน่ๆ เพราะ size เสื้อผ้าที่นั่นไม่ค่อยจะพอดีกับเราสักเท่าไหร่หนัก
มาพูดถึงเรื่องบัตร isic กันมั่ง หรือ international student identity card มั้ง เราถือว่าคุ้มพอสมควร เพราะสำหรับเมืองเราทำให้ขึ้นรถบัสได้ฟรี 250 บาทเอง แล้วถ้าเราไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะมีส่วนลดสำหรับนักเรียนด้วย อย่างเช่นตึก Empire State ก็ลดราคาให้ เราสมัครในงานปฐมนิเทศของ acadex อะ หรือใครที่ไม่ได้ไป ในงาน สามารถสมัครได้ ลองเข้าไปดูที่ //www.isiccard.com นะคะ แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าจะมีประโยชน์มั้ย สำหรับคนที่ไปทำงานคนละเมืองกับเรา เพราะเพื่อนเราที่ไปทำงานอีกที่หนึ่ง ไม่ได้ใช้เลยค่ะ แล้วก็ร้านอาหารบางร้านมีส่วนลดสำหรับนักศึกษานะคะ แค่โชว์บัตรให้เค้าดูตอนจ่ายตัง แล้วก็ถามว่า นักเรียนลดมั้ยน่ะคะ เพราะปกติทางร้านเค้าจะไม่ลดให้ ถ้าไม่ถาม อย่าง ihop เนี่ย ลดให้ 10% ค่ะ


เรารู้สึกโชคดีมาก เพราะที่เมืองของเราอะ มีคนไทยใจดี คนไทยคนแรกที่รู้จักเปน cook ค่ะ อยู่ร้านอาหารไทย บางครั้งก็มาทำอาหารไทยให้กิน ที่บ้านเค้ามีหมูยอ มีปลาทู เครื่องปรุงไทยๆ เค้าก็เอามาให้ เลี้ยงเบียร์อีกต่างหาก แล้วก็มีลูกค้าที่เป็นคนไทยด้วยค่ะ ตอนนั้นกำลัง วุ่นๆ เลยแล้วแบบว่าได้ยิน ภาษาไทยตอนเดินผ่านโต๊ะนึง ตกใจค่ะ ภาษาบ้านเกิดพอเลิกวุ่น ก็เลยเดินเข้าไปยกมือสวัสดีค่ะ แล้วก็คุยกันตามประสาคนไทย พี่เค้าก็ให้เบอร์ติดต่อไว้ เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือ แล้วคือโต๊ะนั้นเด็กเสิร์ฟฝรั่งเป็นคนดูแลค่ะ พอคนไทยวางทิปไว้ให้เราก็แอบเห็นว่า อุ้ยน้อยจัง คิดอยู่ในใจว่า ก็เงี้ยแหละคนไทย ครั้งต่อๆมา เวลาเค้ามาที่ร้าน เราก็ไม่ได้ เสิร์ฟให้เค้าสักที เพราะโต๊ะเราเต็มตลอดเลย เค้าก้อแบบว่าเนี่ย เสียดายจัง เลย อยากให้เราเป็นคนเสิร์ฟให้ เพราะคนไทยด้วยกัน เราก็คิดในใจ ดีแล้วแหละ ดูแย่เนอะเรา แต่ทำไงได้ วันนั้นเปนวันที่เราทำเงินได้ดี เราก็เลยไม่ค่อยอยากจะเสียโอกาส และแล้ว ประมาณอาทิดเกือบสุดท้ายที่เราทำงาน ก็ได้เสิร์ฟให้เค้าจนได้ คราวนี้กลุ่มคนไทย เหลือแค่สองคนมาค่ะ เราก็ดูแลตามปกติ พอเค้าจากไป ทิ้งทิปไว้ให้ เราก็เดินไปดูเห็นแบงค์ 5 $ ปุ๊ป ก็เซ็งนิดหน่อยแต่พอ หยิบออกมา ปรากฏว่าซ้อนกันอยู่ 2 ใบค่ะ ให้คนละ 5 $ เรานี่ลัลล้าเลยอะ สงสัยคงเพราะว่า เป็นคนไทยด้วยกัน ก็เลยให้เยอะมั้งคะ รู้งี้หาโต๊ะว่างๆ เสิร์ฟเค้าตลอดดีกว่า


สำหรับเรื่องที่ทุกคนสนใจ อีกเรื่องก็คงเป็น second job ใช่มั้ยคะ ถึงแม้เราจะไม่มีประสบการณ์ตรงสำหรับ second job เพราะความขี้เกียจส่วนตัว แต่พี่ที่ไปด้วยกัน เค้ามีถึง third job เลยค่ะ ก็เลยจะเล่าให้ฟัง ในส่วนนี้ คือ ตำแหน่งของพี่เค้าเป็น hostess ค่ะ ดังนั้น เวลาทำงานจึงน้อยกว่าของเรา แล้วเงินก็จะได้น้อยกว่าเรา ดังนั้นพี่เค้าก็เลยต้องดิ้นรนหาเงินเพิ่มค่ะ สำหรับพวก burger king , Mc , starbucks หรือตามร้านดังๆ จะยากหน่อยสำหรับการสมัคร พี่เค้าเน้นไปที่ร้านเล็กๆน่ะค่ะ เพราะจะไม่ค่อยมีคนมาสมัคร ไม่ต้องแย่งกับพวกฝรั่งเจ้าของภาษา งานแรกที่พี่เค้าได้คืองานล้างจาน หลังจากที่เลิกงานที่ ihop ตอนบ่ายสอง ก็ต้องนั่ง bus ไปที่ร้านอาหารสไตล์ mediteranian ที่ downtown ค่ะ ล้างจาน เฉพาะวันศุกร์และวันเสาร์ เหนื่อยมากค่ะ พี่เค้าบอกมา แต่ว่าได้วันละ 60 $ มั้งคะ ทำงานแค่ ห้าโมงเย็นถึงสี่ทุ่มมั้ง แล้วเจ้าของร้านก็มาส่งที่บ้านด้วย อีกงานหนึ่งก็คือ ผู้ช่วยกุ๊กค่ะ ถ้าจำไม่ผิดได้ชั่วโมงละ 8$ มั้ง คอยหั่นผัก ล้างผัก อารายประมาณนี้ ทำอาทิดละสามวัน สำหรับร้านอาหารไทยนะคะ ลองเข้าไปถามดูได้ เมืองเรามีร้านอาหารไทยสองร้าน ร้านแรกถามคุนพี่ กุ๊ก แล้ว เค้าบอกว่าตำแหน่งเต็ม ก็เลยไม่รับ ส่วนอีกร้านหนึ่งปิดปรับปรุงอยู่ ก็เลยสมัครไม่ได้ แต่ประมาน สามอาทิดก่อนกลับ ร้านเปิดค่ะ แล้วเค้าก็เข้ามาทานอาหารที่ ihop หาเด็กเสิร์ฟไทย ก็คือพวกเรา ว่าสนใจจะทำงานพิเศษที่ร้านเค้ามั้ย เค้าต้องการคน แต่พวกเราได้แค่ไปช่วยไม่กี่วันเท่านั้นเอง เพราะว่าจะกลับแล้ว พี่เค้าเลยไม่จ้าง ให้เป็นแค่ part time มาเฉพาะวันที่คนเยอะๆ ได้ 50$ ทำตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม ค่ะ แต่คนไทยจะเคี่ยวนิดนึงนะคะ ก็ดูดีๆละกัน

สำหรับธนาคารที่เราฝากเงิน เราเลือก Wachovia เพราะว่า มันได้เงิน 25$ ถ้ามีเพื่อน refer มาน่ะค่ะ เพื่อนฝรั่งเค้าให้มาใบนึง แล้วเราก็เอาใบเปิดบัญชี เราก็จะได้ 25 เพื่อนก็จะได้ 25 $ แล้วเราก็ refer ไปให้เพื่อนเรา เราก็จะได้อีก 25 เพื่อนก็จะได้อีก 25 ทำต่อกันเป็นทอดๆ เลือกสมัครแบบ free account นะคะ เพราะไม่เสียค่าธรรมเนียม ได้บัตรเดบิตไว้มารูดปรื๊ดๆ ด้วย แล้วก็ตอนที่จะกลับเมืองไทย ห้ามใช้คำว่า close account นะ เพราะว่าพวกเราเปิดบัญชีกันไม่เกินสามเดือน ดังนั้นเค้าจะคิดค่าปิดบัญชี ให้บอกเค้าไปว่า ถอนออกมาหมด อย่าปิด เพราะต้องเสียตัง 25 $ ซึ่งก็แพงอยู่นะ แต่ถ้าจะเอา bank ที่มีสาขาเยอะๆหน่อย เอาไว้สำหรับการไปต่างเมือง ก็ควรจะสมัคร Bank of America อะ สาขาเยอะ


อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของเรานะ คือเราคิดว่าการที่เราไป work & travel สำหรับเราคือไปเอาประสบการณ์ ไม่ได้ไปหาเงิน แล้วที่บ้านเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจหรือรักสบายนะ แต่เราคิดว่า ถ้ามีโอกาสไปอยู่เมืองนอกแล้ว ทำไมไม่ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า มัวแต่ทำงานหาเงินงกๆๆ แล้วจะได้อะไร ก็ได้แค่เงินกลับบ้าน คือเราก็เคลียร์กะที่บ้านแล้วว่า อาจจะไม่ได้คืนเงินนะ พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่า จะทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กิน ไม่ต้องห่วง จะเที่ยวก็เที่ยว เราก็เลยตั้งใจทำงาน first job ของเราให้ดี เก็บเงินเยอะๆไว้ไปเที่ยว แล้วก็ เวลาที่ว่างนอกจากทำงานก็ไปเที่ยวเล่นให้ทั่วเมือง หาประสบการณ์ ฝึกภาษาอังกฤษ ให้คล่องๆ พอช่วงหลังๆ เพื่อนๆเราที่คิดไม่เหมือนเรา ก็เริ่มแบบว่าเปลี่ยนแนวคิดมาเปนแบบเรา เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่า ไหนๆก็มาถึงเมกาแระ ตั๋วเครื่องบินก็แพง จะมัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในร้านได้ยังไง กลายเป็นว่าทุกคน พร้อมจะเที่ยวค่ะ แต่แนวคิดเรา เราไม่แนะนำสำหรับคนที่ได้งานที่ได้เงินน้อยๆนะ เพราะเดี๋ยวจะมีเงินไปเที่ยวไม่พอ แล้วจะลำบากมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เดินทางคนเดียว เพราะค่าใช้จ่ายอาจจะสูงกว่าไปหลายๆคนที่จะได้แชร์กัน

เนื่องจากว่าปกติวัน off ของพวกเราจะเป็นวันที่ร้านไม่ค่อยมีคนมากิน ซึ่งก็คือวันอังคารและ วันพุธ ดังนั้นเราจึงวางแผนที่จะไปเที่ยว เมืองหลวงของอเมริกาสักหน่อย เพื่อนๆทุกคนว่างเกือบจะตรงกัน ดังนั้นจึงเลือกวันที่ 1 – 2 เมษาในการเดินทาง และด้วยความช่วยเหลือจากพี่ agency ของ acadex ซึ่งก็คือพี่จิ๊บ มาเยี่ยมพวกเราพอดี แล้วจะแวะไปเยี่ยมคนอื่นที่ DC เราจึงติดรถไปด้วย หลังจากวางแผนการเดินทาง จึงสรุปได้ว่า มีเรา แล้วก็เพื่อนผู้ชายอีกสองคน ไปรถพี่จิ๊บตอนเย็นวันที่ 1 ส่วนเพื่อนๆที่เหลือจะนั่งรถของคนไทยที่รุจักกัน ตามไปตอน ห้าทุ่ม เพราะมีเพื่อนคนนึงต้องทำงานคืนนั้นถึงสี่ทุ่ม พอพี่จิ๊บมาถึงที่ apartment พี่เค้าก็สอนวิธีการใช้ //www.priceline.com ให้เป็นประโยชน์ ก็เลยจะมาแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักวิธีการใช้กันนะคะ

ที่หน้าแรก กดปุ่มตรง bid now ที่ชี้ไว้น่ะค่ะ



ต่อจากนั้น จะขึ้นหน้าต่างนี้มา ให้พิมรายละเอียดลงไปค่ะ แล้วกด bid now


แล้วก็เลือกโซนที่ต้องการนะคะ ระดับดาวของโรงแรม แล้วก็ราคาที่เราต้องการค่ะ สำหรับ DC เราเอา 3ดาวครึ่งค่ะ แล้วก็ 60 $ ส่วนโซน ที่แนะนำก็คือ 5,8,9 และ 13 เพราะไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวมากเกินไปนักค่ะ แล้วก็พิมรายละเอียดของชื่อคนจองด้านล่างของหน้านั้นนะคะ เนื่องจากว่ามีข้อจำกัดว่าต้องอายุมากกว่า 21 ค่ะ ทาง โรงแรมจะไม่ให้คนทีอายุต่ำกว่า 21 check in ค่ะ จากนั้นก็กด next



ก็จะได้ประมาณนี้ ส่วนช่องเล็กๆข้างล่างของหน้านั้น ก็ให้พิมตัวอักษรอะไรก็ได้



แล้วก็กด next แล้วก็พิมรายละเอียดให้เรียบร้อย รวมถึงบัตรเครดิตที่จะใช้ตัดเงินด้วย


แล้วก็กด buy my hotel room now ซึ่งหลังจากกดปุ่มนี้แล้ว จะไม่สามารถแก้ไขอารายได้ เนื่องจากทางเว็บจะ random โรงแรมตาม spec ที่เราเลือกเอาไว้ให้มาเรียบร้อย แล้วจะตัดเงินจากบัญชีไปในทันที ดังนั้นควรตรวจทานข้อมูลให้เรียบร้อย แต่ถ้าปรากฏว่ามันขึ้นมาว่า ไม่สามารถให้ราคานี้กับคุณได้ ก็เปลี่ยนราคาไปเรื่อยๆ อีกสักหน่อย ก้อจะได้เอง จากนั้นก็ print reservation ออกมา หรือ จด reservation number ไว้ เอาไว้ตอนไป check in อย่าลืมพกบัตรเครดิตและpassport ไปด้วย
ขอบอกว่าเราปลื้มเว็บนี้มากๆเพราะทำให้เราได้ที่พักดีๆ และราคาถูก ครั้งที่ bid ที่พักใน DC เราได้พัก Marriott นะ ตอนแรกที่ไป check in คือเราจองเอาไว้ 3 ห้อง เราก้อบอกพนักงานว่าเราต้องการ double bed ทั้งหมด 3 ห้องเลย แต่เนื่องจากทางโรงแรมไม่มีห้อง double bed เหลือ พี่พนักงานสุดสวย ก็เลย offer ห้อง suite ให้ เป็นห้องใหญ่มาก สามห้องนอน มีห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซักผ้า ให้ด้วย ส้มหล่นมากค่ะ พอเรากลับมาเราลอง search ดู ปรากฏว่าห้องที่เราไปพักเนี่ย คืนละ ครึ่งแสน ได้มั้ง หรูมาก เสียดายพักแค่คืนเดียว
นี่ค่ะ รูปห้องพักสุดหรู



ห้องนั่งเล่นรวม





ตอน check in ก็ขอแผนที่ DC เอาไว้ แผนที่อันนี้ เวิร์คมาก แต่เนื่องจากมันใหญ่อ่ะ เลยไม่สามารถสแกนให้ดูได้ ขอ เอารูปมาจากอินเทอร์เน็ตละกานนะคะ



เหนจุดแดงๆที่เรา mark ไว้มั้ยคะ อันนั้นคือสถานที่ที่ห้ามพลาดค่ะ จะเห็นว่ามันจะกระจุกอยุ่บริเวณเดียวกันหมดเลย เพราะฉะนั้นการเดินทางจึงใช้ การเดินค่ะ สำหรับตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดินแบบรายวันไม่คุ้มค่ะ เพราะระยะห่างของแต่ละที่มันนิดเดียว ถึงแม้จะขึ้น subway ก็ต้องเดินพอๆกานอยู่ดี เพราะฉะนั้นรองเท้าต้องแบบสบายๆนะคะ คำแนะนำพิเศษค่ะ ให้ไปช่วงวันเดียวกับที่เราไปนะ เพราะเป็นช่วงที่ดอกซากุระบาน รอบสระน้ำตรง Jefferson Memorial เหมือนอยู่ ญี่ปุ่นเลย ช่วงเราไปนี่เริ่มจะเหี่ยวแระ แต่ยังสวยอยู่
เราเริ่มออกจากโรงแรมตอนประมาณ ทุ่มกว่าๆ พี่จิ๊บขับรถออกมาส่งที่ china town เพราะว่าเค้าต้องไปหาเด็กเวิร์คคนอื่นต่อ แล้วจะกลับมาดึกๆ เราสามคนก็เลยเข้าไปกินร้านที่พี่เค้าแนะนำ



ถือว่าโอเคนะมือนี้ เป็ดย่างตัวละ 11 $แล้วก็ ราดหน้าหมี่กรอบอีกจานประมาน 5 $ ตกคนละ 5$ อยู่ท้องค่ะ เป็ดหนังกรอบมากกกก อร่อยดี แล้วก็ถึงเวลาตระเวนราตรีแล้วค่ะ
สถานที่แรก subway สถานี china town ค่ะ



ตุ้ขายตั๋วค่ะ



ภายในสถานี


ทะลุขึ้นมาใกล้ ๆกับ Washington Monument เดินไปเรื่อยๆก็เจอค่ะ เพราะมันโดดเด่นมาก หลายๆคนอาจจะคุ้นๆ ก็ไอ่แท่งนี้แหละคะ ที่หักในเรื่อง 2012





แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จนถึง World War II Memorial ค่ะ สวยมากๆๆๆ




ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ นั่นคือ Lincoln Memorial ค่ะ ใครไม่รุจักบ้างคะ คนนี้ Abraham Lincoln ที่เปนคนเขียน คำประกาศอิสรภาพของอเมริกาค่ะ ภายในนั้นก็มีสลัก คำประกาศอิสรภาพไว้ พยายามยืนอ่านอยู่นาน แต่ว่าแปลไม่ออกค่ะ ไว้จะหารูปมาลงให้ดูนะคะ
ขยายภาพค่ะ Lincoln Memorial



แล้วก็ถ่ายกลับไปทางที่เดินมาค่ะ
สระน้ำที่เห็นเรียกว่า reflection pool ค่ะ
เสร็จแล้วพี่จิ๊บก็กลับมารับพวกเราที่นี่ แล้วก็ไปโรงแรมค่ะ เนื่องจากเที่ยงคืนแล้ว ต้องพักผ่อนบ้างอะไรบ้าง




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2552    
Last Update : 27 ธันวาคม 2552 19:40:58 น.
Counter : 550 Pageviews.  

แชร์ประสบการณ์ Work&Travel อันยากจะลืมเลือนค่ะ Vol.2

หลังจากย้ายเข้า apartment เรียบร้อย ก็มีเรื่องของ money order ค่ะ

ต้องขออธิบายก่อนว่า ที่ apartment นี้เค้าไม่รับเงินสดและไม่รับเครดิตการ์ดค่ะ รับแต่ check หรือ money order เท่านั้น ซึ่ง monet order เนี่ย หาได้ทั่วไปค่ะ คือไปซื้อที่ 7 eleven หรือ post office หรือ bank ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมในการออก money order ด้วย ไปทำที่ post office ค่ะ ถูกสุด

จะเหนรูปข้างล่างนี่ดูเงินเยอะนะ สังเกตดีๆจะเปน 1 $ เกือบหมด เพราะพวกเราเป็นเด็กเสิร์ฟอ่ะ ส่วนใหญ่เค้าจะให้ทิปกันเปน แบงค์ 1$ อันนี้เปนช่วงแรกๆเลยได้น้อย ตอนหลังพัฒนามีแบงค์อื่นบ้างเหมือนกัน

ตอนไปทำ money order ขอแนะนำว่าให้มัดเงินให้เรียบร้อย เปนระเบียบ แยกเป็น เท่าไรๆให้เรียบร้อย เพราะไม่งั้นเค้าจะมองหน้า แล้วเอาเราไปด่าในใจค่ะ แล้วต้องหาจังหวะที่เค้าไม่ค่อยมีคนด้วย ไม่งั้นพวกที่ต่อแถวอยู่ก้อจะด่าเราอีกเหมือนกัน

ค่า apartment มี deposit ด้วย ถ้าจำไม่ผิดจ่ายครั้งแรก 1000 กว่าๆน่ะค่ะ

รูปกองเงินที่เตรียมเอาไปทำ money order ค่ะ


วันที่ เข้าอยู่ apartment วันแรก chester พาไปฉลองค่ะ ที่ร้าน wild wing อยู่ใน downtown ต้องไปวันอังคารเท่านั้นด้วยเพราะว่า ปีกไก่ 1 แถม 1 คือ เค้าจะมีเมนู แปดปีกต่อตะกร้า เราก้อจะได้ อีก แปด ปีกค่ะ

ถ้ามีข้าวเหนียวนะ เยี่ยมเลย ที่นี่เค้ากินปีกไก่คู่ กับ blue cheese ไม่ก็ ranch dressing แล้วก็มีผักด้วยเป็นคึ่นไช่ ฝรั่งอ่ะ เรียกว่า celery อร่อยมากๆ ชอบนะ

หารูปไม่เจออ่ะ ร้านนี้ พอกินอิ่ม chester ก็พาไปดูโบสถ์เค้าค่ะ สวยมากๆ ไปตอนกลางคืน เปิดไฟสวยๆด้วย

ลงรูป hall ใน โบสถ์แทนละกันนะคะ




หลังจากที่เราผ่านการเทรนนิ่งเรียบร้อยแล้ว เค้าก็ให้เริ่มงานเลยค่ะ กะทำงานของเราคือ บ่ายสาม ถึง สี่ทุ่ม มีฝรั่งร่วมทำงานด้วยอีก 4 คน จะได้โซนคนละ 7-8 โต๊ะต่อวันค่ะ แบ่งเป็น บูธ กะ เทเบิ้ล ค่ะ ถ้าคนแก่มาจะชอบนั่งบูธ เพราะมันนิ่ม แต่ถ้าเป็นพวกตัวใหญ่ๆหน่อยก็จะ เลือกเทเบิ้ลค่ะ ซึ่งเวลาลูกค้ามา hostess เค้าจะคอยรับลูกค้าแล้วไล่ตามโซน เลยค่ะ แต่ถ้าบังเอิญมีเหตุจำเป็นที่จะต้องลงให้ใครเบิ้ล ก็จะ skip คนนั้นในรอบถัดมา

เหตุจำเป็นก็เช่น ลูกค้า request จะนั่งตรงนี้ หรือ จะให้เด็กเสิร์ฟคนนี้เสิร์ฟ

แต่เนื่องจากว่าบางทีมันก็ต้องมีการโกงกันบ้าง hostess จะแปะป้าย skip ไว้ เด็กเสิร์ฟบางคนก็จะไปเอาออกแล้ว hostess ก็ลืมจำว่าถึงคิวใคร skip คัยไปบ้าง อารายประมาณนี้ เห็นแก่ตัวกันมากเลยค่ะ

เราเคยโดนอยุ่หลายครั้ง แต่คือเราไม่ยอม พอสมมติว่าเราโดนแย่งไปทั้งๆที่เป็นคิวเรา พอลูกค้าคนถัดไปมา เราก็จะไปรับเลยค่ะ จริงๆก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่แบบว่าถ้ายอมเค้าไปเรื่อยๆ ก็จะโดนแย่งไปเรื่อยๆ แล้วบางทีลูกค้าที่ควรจะเป็นของเรา แล้วโดนแย่งไป ทุกคนจำได้ไงว่าคนนี้เคยให้ทิปเยอะมาก ก็จะแย่งกัน

มีเพื่อนเราที่อยุ่คนละกะกะเราอ่ะ โดนแย่งบ่อยมาก แล้วไม่กล้าสู้ฝรั่ง ก็โดนแย่งจนถึงอาทิตย์สุดท้ายที่เราทำงานเลย แต่คือฝรั่งกะเดียวกะเพื่อนเรา แต่ละคนโหดมาก แย่งกันแบบหน้าด้านๆเลย แล้วพอเราได้ไปลองทำกะเพื่อน รู้เลยค่ะ ว่าเหนื่อยมาก ต้องรับลูกค้าให้เร็ว ไม่งั้นนี่โดนแย่งไปแบบต่อหน้าต่อตาเลย เป็นอะไรที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนจริงๆ

รูปที่ร้านค่ะ




มาต่อกันที่เรื่องอาหารนะคะ ที่เราเตรียมไปจากเมืองไทย ก็มี
ซีอิ๊ว ฉลากเขียว ฝาเขียว
น้ำตาล
น้ำมันหอย
ผงคนอร์
มาม่าโสารพัด
ผงโลโบ
จาน ชาม ช้อน มีด แก้วน้ำ
พริกไทย
พริกป่น

ไม่ต้องทำตามก็ได้นะคะ จิงๆแล้วควรจะเอากันไปเยอะกว่านี้ แต่เพื่อนร่วมแก๊งบอกว่ากระเป๋าเต็ม เอาไปแค่นี้แหละ

ตอนอยุ่ที่ โรงแรมก็ทำอารายมากไม่ได้ค่ะ วันๆ ได้แต่ต้มมาม่า แล้วก็ใส่ผัก บ้าง เพื่อให้ร่างกายมีสารอื่นบ้างนอกจากผงชูรส

หลังจากที่ผมร่วงกันมากมาย เราก็ได้ฤกษ์ย้ายไปหาสิ่งใหม่ที่กว่า นั่นคือ อพาร์ตเม้นท์ค่ะ

ก่อนอื่นไป walmart ที่แรกเลยค่ะ หม้อหุงข้าว 20 $ มั้ง ราคาประมานนี้ ไม่แพงแล้วก็ใช้คุ้มค่ะ

แล้วก็เดินหาน้ำมันพืช ไม่รุแหละว่ายี่ห้ออารายบ้าง ใช้สำหรับอะไร อันไหนถูกหรือมีโปรโมชั่นซื้อ1แถม1 ก็ซื้อเลยค่ะ

ต่อจากนั้นก็มีเครื่องครัวค่ะ ซื้อชุดตะหลิวมา 10 $ มีทั้งตะหลิว ที่ตักน้ำแกง แล้วก็อีกอันนึงอารายก้อไม่แน่ใจอะ

แล้วก็ซื้อชุดกระทะ หม้อ ทั้งหมด 20$ มั้ง มีกระทะเล็ก หม้อเล็ก หม้อใหญ่ หม้อใหญ่มาก ถือว่าคุ้มค่ะ

แล้วก็เดินไปที่ good will ค่ะ มีใครไม่รุจักมั่ง

อยุ่เมกานี่ถ้าไม่ไป good will นี่เสียดายแย่ค่ะ เพราะว่าที่นี่จะเป็นเอาของมือสองมาขายค่ะ คุณภาพก็แล้วแต่ดวงค่ะ ถ้าวันที่เราไป มีคนเอาของมาบริจาคพอดี แล้วสภาพดี เราก็ซื้ออันนั้นไป

ที่เราได้มาก็คือ microwave ค่ะ 10 $ เท่านั้นนนน คุณภาพดีค่ะ เสียอย่างเดียว ไฟตรงตัวเลขไม่ติด มีอยุ่ครั้งนึง เพื่อนต้มมาม่า ตั้งใจจะต้ม 4 นาที แต่มันไม่มีไฟไงคะ เลยกลายเป็น 40 นาที เพื่อนกดผิด มาม่าเหลวเลยค่ะ

นอกจาก walmart และ goodwill ที่ควรไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ kroger จากการสำรวจตลาดมาแล้ว ปรากฏว่าของสดที่นี่ถูกสุดแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นพวกผัก เนื้อไก่ เนื้อหมู ขนมปัง หรือ ไข่ไก่ แล้วอย่าลืมทำบัตรสมาชิกนะคะ ฟรี แถมมีโปรโมชั่นสำหรับสมาชิกด้วยในบางครั้ง

อยู่ที่อเมริกา เราไม่ได้กินไข่ไก่ค่ะ ใช้ไข่เป็ดแทน เพราะว่าถูกกว่ากันมาก จำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่มีโปรโมชั่นราคาถูกค่ะ ถ้าซื้อ 3 โหล แล้วก็มีเบคอนก็ถูก เป็นโปรโมชั่นเหมือนกัน ถ้าซื้อ2 อันจะถูกมาก แล้วก็มีนม ก็มีโปรโมชั่นอีก

นอกจาก kroger แล้ว แหล่งของกินอีกอย่างก็คือ asian market ค่ะ จะมีร้านไหนก็แล้วแต่เมืองนะ เมืองอื่นอาจจะมีร้านใหญ่ๆถ้าคนเอเชียเยอะ แต่ของเราร้านเล็กมาก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ มีข้าวขายค่ะ เราซื้อเป็นกระสอบ 13 กิโลอะ เพราะคนเราเยอะ เป็นข้าวหอมมะลิของไทยเลย ภาษาไทยเขียนไว้ชัดเจน แล้วก็มีพวกน้ำมันหอยตราสามแม่ครัว กระป๋องพริกแกง ซื้อมาทำแกงเขียวหวานได้ แล้วก็มีเครื่องปรุงไทยๆ หลายๆอย่างขาย อย่างน้ำมันหอยเนี่ย 3.89$ แพงหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีนะ

ถัดจาก asian market อีกร้านนึงที่แนะนำก็คือ 1$ ค่ะ พวกของใช้แบบว่าไม่ได้ต้องการคุณภาพอะไรมากนัก ก็ไปดูด้วย เช่นพวก แก้วน้ำกระจอกๆ มือจับกันความร้อนของไมโครเวฟ ฟอยล์ห่ออาหาร ทั้งร้าน 1 $ ค่ะ

ในรูปนี่คือ asian market ค่ะ



ต่อจากของกิน ก็เป็นเรื่องของสาวๆค่ะ shoppinggg

ร้านที่แนะนำนะคะ คือ TJ Max กะ Marshall ค่ะ สองร้านนี้ของจะคล้ายๆกัน คือเป็นพวกของแบรนด์เนมค่ะ พวกกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า

เสื้อผ้า และรองเท้า จะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร เพราะ เป็นแนวของฝรั่ง ไซส์ก็ของฝรั่ง แต่ที่เจ๋งก็คือ กระเป๋าค่ะ เราได้มาทั้งหมด 6 ใบ เป็นพวกแบรนด์เนมทั้งนั้นเลย อย่างกระเป๋าเงินของ Liz Clabourne 9.99 $ กระเป๋า lacoste ที่ขายๆกันอยู่ ใน shop ก็ 26 $ เท่านั้น แต่ต้องรื้อให้เจอ หาให้ได้ค่ะ แต่ถ้าไม่ชอบของถูก หรืออยากได้แบบที่มันแฟชั่นล่าสุดหน่อย คงต้องไปเดินห้างน่ะค่ะ

ถ้าเพื่อนๆไปตอนช่วงที่เป็นวันแม่ หรือ วัน memorial day เค้าจะมีช่วงลดราคาน่ะค่ะ แต่ก็ลดแค่ประมาน 30% ราคาจริงก็ยังถือว่าสูงอยุ่ ถ้ารวยก็ไปซื้อได้ค่ะ เราเสียดายตัง เราก็เลยไม่ซื้ออ่ะ

อีกสองร้านที่ควรเข้าคือ Victoria Secret และ Bath&Body works ร้านแรกนั้น ก็จะมีโปรโมชั่นลดราคาของมันนะ เช่นพวกครีมแต่ละแบบ ซื้อ 4 แถม 1 อารายประมานนี้ ส่วนลิปกลอสที่ส่วนใหญ่เค้าซื้อมาฝากเพื่อนๆกัน ที่เป็นอันเล็กๆอ่ะ 6 อัน 20$ ค่ะ ถือว่าราคาถูกนะ ถ้าเทียบกะแบรนด์ของมัน

ส่วน Bath&Body Works ชอบมากค่ะ ตอนเราไปซื้อมีโปรโมชั่น ซื้อ 3 แถม 2 พอดีเลย ก็เลยซื้อ สครับมาสามกระปุก แล้วก็แถมครีมมาสองหลอด แบ่งกะเพื่อนนะค่ะ คุ้มมาก ตอนนี้ยังใช้ไม่หมดเลย

ในรุปนี้คือร้าน Marshall ค่ะ




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2552    
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 20:35:34 น.
Counter : 424 Pageviews.  

แชร์ประสบการณ์ Work&Travel อันยากจะลืมเลือนค่ะ Vol.1

สวัสดีค่ะ จริงๆเนื้อหาในกระทู้ก็เก่าพอสมควร เนื่องจากกลับมาตั้งแต่ เดือนมิถุนายนแล้ว แต่ว่าเพิ่งจะพอมีเวลาน่ะค่ะ ก็เลยมาเล่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอให้ทุกท่านฟังนะคะ


เนื่องจากตอนที่เราได้ไป เวิร์ดที่อเมริกา ได้ความรุ้ และอะไรต่อมิอะไรจากในห้องนี้เยอะพอสมควร ก็เลยคิดว่าอยากทำอะไรให้มีประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตามนะคะ


เกริ่นมานาน ขอเข้าเรื่อง เลยละกานค่ะ
จขกท. ตอนแรกสมัครไปเวิร์คกะทาง oversea น่ะค่ะ แต่เนื่องจากว่าการลงทะเบียนเลือกที่ทำงานทางอินเทอร์เน็ตของกลุ่มเรา ไม่เรียบร้อยดีน่ะค่ะ ประมาณว่า ทั้งกลุ่มเนี่ยมี อยู่ 6 คนค่ะ แต่ว่าได้ที่ทำงานที่ตอนแรกต้องการเนี่ย เพียงสองคน เราก็เลยย้าย เอเจนซี่ค่ะ ไป กับทาง acadex แทน


สถานที่เลือกทำงานของพวกเราก็คือ ร้าน IHOP Restaurant ค่ะ ตั้งอยู่ที่เมือง Charlottesville รัฐ เวอร์จิเนียค่ะ เนื่องจากว่าเพื่อนของ จขกท เข้าไปดูเว็บไซด์ของทางร้านแล้ว อยากกินน่ะค่ะ เหตุผลตะกละสุดๆ ลองเข้าไปดูก็ได้นะคะ //www.ihop.com


ทุกขั้นตอนการสมัครของพวกเราก็เป็นไปได้ด้วยดีค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรราบรื่นมาก แต่ด้วยความขี้เกียจของพวกเราค่ะ ( แนะนำว่าอย่าทำอย่างนี้นะคะ ) จึงไม่ได้หาตั๋วเครื่องบินเองอย่างที่คนอื่นเค้าทำกัน พวกเราเลยฝากทาง agency จองให้อะไรเรียบร้อยเลยค่ะ ซึ่งทำให้เกิดปัญหามากมายเลยค่ะ ไว้จะเล่าให้ฟัง ตอนช่วงเดินทางกลับละกันนะคะ


Eva air ค่ะ 53000 บาท จาก BKK >> TAIPEI >> SANFRAN >> RICHMOND ค่ะ เพราะว่าเราเลือกที่จะ stop over ที่ sanfrancisco ค่ะ กะว่าจะไปเที่ยวก่อนกลับ จะได้ประหยัดคาเครื่องบินไปในตัว


จะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดของที่จำเป็นต้องเตรียมไปนะคะ เพราะว่ากระทุ้อื่นก็คงมีคำแนะนำไว้อยุ่แล้ว เพราะทุกคนก็เตรียมไปเหมือนๆกันน่ะค่ะ


ส่วนที่พัก พวกเราก็ของ่ายไว้ก่อนอีกค่ะ ฝากทาง agency จองให้ค่ะ เป็น hotel 3 ดาว ไม่ไกลจากที่ทำงานสักเท่าไรนัก รู้สึกว่าจะประมาน 400 $ ต่อห้องต่อสัปดาห์ค่ะ ซึ่งกลุ่มของเราไปกัน ชายสาม หญิงสามค่ะ เลยลงตัว


เริ่มปัญหาแรกที่เกิดขึ้นเลยนะคะ เมื่อเหยียบย่างลงสุ้พื้นดินเมือง richmond ค่ะ โทรไปหานายจ้างค่ะ เพื่อให้เค้ามารับ แต่ปรากฏว่าเค้าไม่สนใจค่ะ เค้าบอกว่าให้เราหาทางมาเอง ไอ่เรากะเหรี่ยงหกตัวก็หงอยสิคะ เพราะว่าจากเมือง richmond ไป charlottesville ก็ประมานสอง ชม น่ะค่ะ ก็เลยนั่ง taxi 2 คัน เค้าเหมาค่ะ 200 $ ต่อคัน เค้าบอกว่าถ้ามิเตอร์เกิน 200 เค้าจะไม่คิดเงินเพิ่มค่ะ แต่อย่าลืมนะคะ มาอเมริกา ต้องทิปด้วย


แต่ก่อนขึ้น taxi ไป เนื่องจากว่ามีพี่อีกคนมาจากอีก เอเยนต์นึงติดมาด้วย กระเป๋าเดินทางโดน ตม. อเมริกาทำแตกค่ะ ก็เลยพาพี่เค้าไปเคลมที่เคาเตอร์ของ american airline ถ้าเพื่อนๆโดนอย่างนี้ก็ไปเคลมได้นะคะ เพราะเค้าส่งกระเป๋าเดินทางใหม่มาให้ ใบใหญ่กว่าเดิม แถมยี่ห้อดังด้วยค่ะ

มาพอถึงที่พักที่จองไว้นะคะ RED CARPETS INN เป็นโรงแรม สาม ดาว ที่แพงพอสมควรเลยนะ แถมจากโรงแรม ก็ต้องเดินไปที่ทำงานด้วย ไม่มีทางอื่น หรือจะเป็นจักรยานก็พอไหว แต่ว่าเนื่องจากมันเป็นโรงแรมไง อะไรๆก็ไม่สะดวกเลยค่ะ จะต้มมาม่าก็ต้องไปที่ lobby ขอยืมใช้ไมโครเวฟ ถ้าหิวตอนดึกๆก็ลำบากอีก ช่วงแรกๆที่ลำบากค่ะ

แล้วเราก็ไปรายงานตัวที่ร้าน ihop เลยค่ะ เดินไป ไกลพอสมควร ทางร้านก็ต้อนรับอย่างดีค่ะ มีอาหารฟรีให้ด้วยมื้อนึง ให้เลือกสั่งเอาจากเมนูเลยค่ะ

แล้วเค้าก็ให้เรากรอกเอกสารต่างๆค่ะ ให้เมนูร้านมา แล้วก็ให้คู่มือการทำงานมาค่ะ เราไปถึงวันอังคารมั้ง ถ้าจำไม่ผิด เนื่องจากว่าเราไปกันเยอะไงคะ เค้าก็เลยแยกกะทำงานค่ะ แล้วก็ให้เริ่มคนละวัน ช่วง training ได้ ประมาน 5 $ กว่าๆค่ะ ต่อหนึ่ง ชม แล้วทางร้านก็จะมี employee meal ให้ค่ะ โดยหักจากค่าแรงซึ่งเดิมเป็น 2.13 $ หักไป 0.5 $ ต่อชม ค่ะ เน้นว่าต่อชม

ลืมอธิบายไปค่ะ อาจจะเห็นว่าค่าแรงนี่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ก็เพราะว่าเราเลือกมาทำงานเป็น server ค่ะ ทุกคน rate เท่านี้หมด ทางร้านจะมีโตีะประมาน 50 โต๊ะ ได้มั้งคะ แบ่งการทำงานออกเป็นสามช่วง 9 -3 , 3-10 , 10- 6 ค่ะ เพราะทางร้านเปิด 24 ชม ค่ะ แล้วก็จะแบ่งเขตการดูแลรับผิดชอบของ server แต่ละคนค่ะ ถ้ากะเช้าก็จะแบ่งถี่หน่อย ประมาณคนละ 3 โต๊ะ แต่ของตัวเรา ทำกะบ่าย.ค่ะ ได้ 6 โต๊ะ เนื่องจากมีจำนวน serverน้อยกว่าค่ะ แล้วเราได้โซนไหน ลูกค้าตรงโซนเรา เราต้องเป็นคนดูแลทั้งหมดค่ะ ได้ทิปเท่าไรก็เท่าน้น เก็บมาได้หมดเลยค่ะ

ตอนช่วงเทรนนิ่งก็ไม่มีอะไรค่ะ ทุกคนยังปรับตัวด้านภาษาไม่ค่อยได้ เค้าให้เราเดินตามเด็กเสิร์ฟฝรั่งค่ะ คอยเรียนรู้งาน ช่วยได้มากเลยค่ะ เนื่องจาก trainer ของเราเก่งค่ะ ฉายาเจ๊ตาคม เราแอบเรียกอย่างนั้นน่ะค่ะ เพราะ she แก สวยค่ะ ตานี่กรีดมาคมทุกวันเลยค่ะ เราก็เลยเลียนแบบ step เค้าค่ะ

คือ 1. เมื่อลูกค้านั่งที่โต๊ะ เราก็เข้าไป Hi ! How are you doing? My name is ... . I will be your server today ค่ะ แล้วเค้าก็จะทักตอบกลับมา เราก็ถามต่อไปค่ะ what would you like to drink ? ซึ่งตอนที่ลูกค้านั่งโต๊ะ hostess เค้าจะวาง เมนู ไว้ให้แล้วนะคะ

2. พอลูกค้าสั่งน้ำเรียบร้อย เราก็ไปทำตามที่เค้าสั่งค่ะ หยิบแก้ว กดน้ำแข็ง เติมน้ำ กลับมา เสิร์ฟค่ะ แล้วถามต่อว่า Are you ready to order ? แต่ถ้าดูแล้วเค้ายังเลือกไม่ได้ก็ถามเค้าไปค่ะ ว่า Or you need some more minutes ?

3. ถ้าเค้าพร้อมเราก็พร้อมจดค่ะ แต่ถ้าไม่ เราก็ค่อยกลับมาใหม่ภายหลังค่ะ แต่ไม่ควรจะเร่งเร้าเค้ามากเกินไป เพราะเดี๋ยวเค้าวีนคะ

4. อาหารเสร็จเราก็พร้อม serve ค่ะ จากนั้นควรให้เค้าทานไปสักพอประมาณก็เข้าไปถามค่ะ everything is gonna be ok? เผื่อให้ดูว่าเราใส่ใจลูกค้านะ

5. จากนั้น ถ้าเค้าทานจะเสร็จแล้ว เราก็เอาบิลไปวางที่โต๊ะค่ะ แล้วเค้าก็จะทิ้งทิปไว้ให้เราบนโต๊ะ หรือ อาจจะให้กับมือ ถ้าเค้าปลืมเรา หรือ ก็อาจจะให้ใน เครดิตค่ะ ซึ่งจะมีช่องให้ลูกค้ากรอก ตอนจ่ายตัง ว่าจะให้เท่าไร แล้วพอเราเลิกงาน manager จะมาเอาเงินสดให้เองค่ะ

ที่กล่าวมาคือที่เราดูมาจาก trainer เรานะ แล้วก็เอาไปปรับปรุง ประยุกต์อีกที เพราะถ้าจะให้พูดแบบเดิมทุกโต๊ะๆ ก็เบื่อน่ะค่ะ แต่ก็ประมาณนี้แหละ

ตามปกติทางร้านจะให้เราเทรนเนอร์ 5 วันค้่ะ เพื่อนๆคนอื่นๆก็ได้เทรน 5 วัน แต่ตัวเราเทรนแค่ 3 วันเอง สงสัยเพราะเทรนเนอร์ขี้เกียจ และเ manager ขี้เกียจให้สอบหลายรอบค่ะ

คือพอพ้นการเทรน เค้าจะมีการสอบค่ะ ไม่ยากอะไร เพราะมีคุ่มือมาให้แล้ว อีกอย่าง คำถามก็เปน common sense น่ะค่ะ ประมาณว่า การตักน้ำแข็ง ทำไมถึงห้ามใช้แก้วตัก ถึงต้องใช้ที่ตักน้ำแข็ง อารายยังงี้ แล้วก็สอบเมนูค่ะ อันนี้ยาก max เมนูของร้านนี่เป้นล้านค่ะ ให้บอกส่วนประกอบทั้งหมดค่ะ แล้วก็จานที่ใช้ใส่ เพราะทางร้านใช้จานหลายแบบ แล้วเราก็ต้องเลือกใช้ให้ถูกค่ะมีทั้ง underliner , soup bowl , salad bowl , service plate ประมาณนี้ค่ะ แต่ว่าคุนเพื่อนฝรั่งทั้งหลายก็ใจดี ตอนสอบก็แอบเดินมาบอกบางข้อ สุดท้ายก็ผ่านค่ะ


พักจากเรื่องร้านอาหารนะคะ กลับมาที่ที่พักค่ะ ตอนนั้นเป็นสถานการณ์ตึงเครียดสุดๆค่ะ เริ่มตั้งแต่ตอนที่เราไปตามหาร้านซักรีดแถวที่พักค่ะ ขออ้างอิง Regina ค่ะ เป็นเจ้าของร้านซักรีดค่ะ ชาวไต้หวัน พอพวกเราเข้าไปสอบถามเค้าค่ะ เรื่องราคา เค้าก็เป้นกันเองสุดๆค่ะ เค้าถามว่า พวกเราเป้นคนไทยใช่ไหม มาทำ ihop ล่ะสิ พักที่ red carpet inn หรอ ที่นั่นน่ะ แพงสุดๆ เค้าน่ะรุจัก เด็ก work ปี่ที่แล้ว เค้าแนะนำที่อยู่ใหม่ให้ชื่อ autumn hill apartment คะ แต่ว่าไม่รับเด็กไทย เพราะว่าเด็กปีก่อนๆทำไว้แสบมากค่ะ มีเรื่องชกต่อยจนผนังห้องพัง พรมขาด เค้าเลยไม่รับเด็กไทย พอปีที่ผ่านมา เรจิน่าเค้าก็เลยแนะนำรุ่นก่อนว่า บอกไปว่าเป็นคนไต้หวัน เป็นญาติของเรจิน่า แล้วอย่าพูดภาษาไทย ไอ่เราก็เด็กกะเหรี่ยงค่ะ กล้าๆกลัวๆ เค้าก็ถามว่าเนี่ยลองไปเจรจาดู ส่งคนที่ฟังรู้เรื่องไปนะ ขอเป็น ผู้หญิงด้วยจะได้มีปัญหาน้อยกว่า แล้วก็บอกว่าอยู่แค่ 2 คนพอนะ ไม่งั้นเค้าจะคิดแพง เราก็ถูกส่งไปค่ะ แสร้งทำเป้นคนไต้หวัน ถามว่าตอนนั้นกลัวไหม ? กลัวมากค่ะ ว่าจะโดนจับได้ เราก็เข้าไปค่ะ michelle เป็นเจ้าหน้าที่ที่พาเราดูค่ะ ที่ apartmentนี้เยี่ยมไปเลยค่ะ ปลื้มมากๆ 2 ห้องนอน เพราะเราบอกไปว่าอยู่ สองคนค่ะ แต่ว่าทุกอย่างพร้อมหมด แล้วเราก็กลับไปประชุมกันค่ะ

วาระการประชุม ก็คือเรื่องของ เรจิน่า แหละค่ะ เพราะว่าเค้าดีเกินไปจนน่ากลัว เป็นใครก็ต้องหวาดระแวงจริงมั้ยคะ ตอนนั้นยังเคยมาโพสขอคำปรึกษาในนี้อยุ่เลย กลัวมากค่ะ กลัวหลายเรื่องทั้งเรื่องที่ไปโกหกเค้าว่าจะพักกันสองคน มีแต่ผู้หญิง แล้วยังเรื่องต้องหลอกว่าเป็นคนไต้หวันอีก เครียดมากค่ะ แต่ที่พักที่นั่นก็ดีกว่าที่นี่เยอะมาก แล้วถ้าเราจะไปอยู่ เราก็ต้อง break contact แล้วก็จะมีปัญหาอีก ค่ะ ก็เลยไปถาม manager ว่ามีที่พักไหนบ้างมั้ยที่ดีดี ทางmanager ก็ให้นามบัตรคนนึงมาค่ะ บอกว่าเป็นคนจีนที่เคยไปอยู่ในเมืองไทย น่าจะพอช่วยเหลือเทอได้นะ

พอกลับมาถึงที่พักค่ะ เราก็ถูกใช้งานอีกค่ะ โทรไป Mr.Chester ค่ะ เราก็อธิบายไปว่าเรามีปัญหายังไง มีเรื่องเรจิน่า แล้วเค้าก็ถามเราว่าเราพักที่ไหน ห้องอะไร เดี๋ยวอีก ชม เค้ามาหาค่ะ

พอวางสายไปปุ๊ป ช็อคค่ะ ชักศึกเข้าบ้านอีกแล้วชั้น เราก็เลยไปชุมนุมกันในห้องผู้ชายค่ะ รอเค้ามา และแล้วเค้าก็มาถึงคะ ตรงเวลาเด๊ะ เชสเตอร์ เป็นคนจีนที่เคยทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ทีเมืองไทยมาปีกว่าค่ะ มีลูกสาวบุญธรรมด้วย เป็นคนไทยค่ะ ทำงานแล้ว เชสเตอร์มีอาชีพเป็นนักบุญค่ะ เราจึงวางใจว่าเค้าไม่โกหกค่ะ รู้สึกดีใจมากๆค่ะที่ได้รูจัก คุนลุงคนนี้ ขอเรียกว่าคุณลุงละกันนะคะ ถ้าพวกเราไม่ได้รู้จักกับเค้าพวกเราคงแย่น่ะค่ะ

เค้าก็พูดจาตามประสานักบุญค่ะ ว่าเราไม่ควรโกหกนะ แล้วก็จะไปโกงเค้า เช่าห้องสองคน แต่อยุ่กัน เจ็ดคน น่ะมันไม่ได้ ผิดกฏหมาย พวกเราก็ไม่รุ้จะทำยังไงค่ะ ก็คุยกันหลายๆเรื่อง เค้าก็แนะนำนุ่น แนะนำนี่ เค้าก็บอกว่าที่เมืองนี้นะมี bus นะ ถ้าจะเดินทางก็สะดวก แล้วเค้าก็โทรไปถามทางบริษัท bus ค่ะ ว่า ถ้ามีบัตร isic มีส่วนลดอะไรมั้ย แล้วก็ได้ค่ะ เมืองนีเป้นเมืองมหาลัยค่ะ University f virginia ดังนั้น นักศึกษาขึ้นฟรีค่ะ คุยๆกันไปแล้วเค้าก็จากไปค่ะ ทิ้งพวกเราให้นั่งประชุมกันต่อว่าเอายังไง

วันรุ่งขึ้น ก็ตัดสินใจกันค่ะ โทรไปหา เชสเตอร์ ให้เค้าช่วยไปพูดทาง apartment ค่ะ เพราะเราติดปัญหาเรื่องเป็นคนไทยค่ะ แล้วก็สัญญา 6 เดือน คราวนี้เราไปแบบเปิดเผยค่ะ แต่ตัวเราไม่ได้ไปด้วย เพราะกลัวเค้าจำได้ค่ะว่าเคยมาแล้วแล้วบอกว่าเป็นคนไต้หวัน ส่งเพื่อนๆไปกะเชสเตอร์แทน ปรากฏว่า สำเร็จค่ะ นอกจากจะได้ที่พักห้องนั้นแล้ว ก็ยังได้ สัญญา 3 เดือนด้วยค่ะ เนื่องจากเชสเตอร์อธิบายให้เค้าฟังว่าเรามาโครงการแลกเปลี่ยนอยู่แค่ สามเดือน เอง แล้วอีกอย่างช่วงนั้น เศรษฐกิจมันก็ไม่ดีใช่มั้ยคะ เค้าก็เลยยอมด้วย ห้องที่เราได้นะคะ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีห้องครัว ห้องทานอาหารเย็น แล้วก็ห้องนั่งเล่นค่ะ ใหญ่มากๆ ที่สำคัญ มีเตาแก๊สกับตู้เย็นให้ด้วย 900 $ ค่ะต่อเดือน ไม่รวม น้ำ ไฟ โทรศัพท์ค่ะ


พอวันที่ต้องไปเซ็นสัญญาค่ะ เราก็เปลี่ยนลุคสุดฤทธิ์ ใส่แว่นกันแดดอันหนาๆ ทำผมใหม่ แต่ปรากฏว่า michelle จำได้ค่ะ แต่เจ๊ไม่ว่าอะไร คงเพราะตอนนั้นที่เค้าถามเรามามาจากไหนเราตอบว่า Taiwan แบบ ออกสำเนียงก้ำกึ่ง น่ะค่ะ มันจะคล้ายๆ Thailand นิดนึง จะต้องมีมัดจำด้วยค่ะ 1000 $ เค้าจะคืนให้หลังจากที่เราย้ายออกโดยส่งกลับมาให้ที่ไทยค่ะ

ค่าไฟ ค่าแก๊ส และ ค่าโทรศัพท์เค้าให้เราติดต่อเองค่ะ เราก็ถูกใช้งานอีกแล้วค่ะ กับเพื่อนผู้ชายอีกคนที่ภาษาพอๆกัน ไปนั่งคุยโทรศัพท์ค่ะ ถามรายละเอียด ต้องช่วยกันฟัง เพราะว่า การคุยโทรศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษนี่ยากมากค่ะ เพราะมันจะไม่มีภาษามือไงคะ สุดท้าย เราก็มีใช้ค่ะ มีน้ำร้อนด้วยนะคะ ที่นี่ จ่ายอยู่ใน ค่าแก๊สค่ะ แล้วก็มีค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอเนต เนตเร็วค่ะ ขอย้ำ แล้วก้อต้องติดต่อไปรษณีย์อีก การเช่า apartment อยู่เองก้อลำบากอย่างเนี้ยแหละ แต่ก้อได้ประสบการณ์ดีนะคะ

รูปทื่พักตอนแรกค่ะ




ซูมมม



อพาร์ตเม้นค่ะ




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2552    
Last Update : 29 ตุลาคม 2552 20:28:47 น.
Counter : 246 Pageviews.  

บันทึกการเดินทาง After Work in WAT Program in USA Vol.2

วันที่ 2 ใน New York City

ตื่นแต่เช้าค่ะ เพื่อไปขึ้นเรือที่ ท่าเรือเฟอร์รี่ มาถึงนิวยอร์คแล้ว จะพลาดการไปเยี่ยมชม เทพีเสรีภาพได้ไงเนอะ

ค่าเข้า 12 $ ค่ะ เนื่องจากเรามาตั้งแต่เช้า ตั๋วของพวกเราเลยสามารถขึ้นชมเทพีได้ ไม่ใช่ได้แค่ถ่ายรุปข้างนอกค่ะ


หันหลับไปทางเกาะแมนฮัตตัน



ขึ้นไปข้างบนก็ไม่มีอะไร เพราะว่าเค้าไม่ได้ให้เราขึ้นไปถึงหมวกเทพีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก่อนจะขึ้นไปได้เนี่ย ต้องผ่านกรรมวิธีมากมาย มีเครื่องเป่าๆ อารายก้อไม่รุ ตรวจนู่น ตรวจนี่ สงสัยจะกลัวระเบิด อยู่ถึงประมานบ่ายสอง ก็นั่งเรือกลับค่ะ จิงๆมันมีเกาะ Elly ด้วย ซึ่งเป็นเหมือน ตรวจคนเข้าเมือง สมัยก่อนน่ะ แต่ว่าไม่ได้แวะไปดู เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร เสียเวลาเที่ยวค่ะ

ข้ามฝั่งกลับมา เจอ ร้าน subway พอดี เลยเข้าไปกินฟุตลองเป็นอาหารกลางวันกัน แล้วก้อออกมาถ่ายรูปกะ คุนกระทิง สัญลักษณ์ตลาดหุ้นที่เค้าบอกว่าถ้าไม่มาถ่ายรุปตรงนี้ นี่มาไม่ถึง Wall Street




จากนั้นก็เดินไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ มี Trinity Church อันโด่งดังที่ ถ่าย National Traeasure อะ ถ้าจำไม่ผิด สวยมากๆๆ






แล้วจากนั้นก็เดินไปดูตลาดหุ้น New York มียามคุ้มกันหนาแน่นอยู่ ก็นะ สถานที่สำคัญก็ต้องมีการคุ้มกันเป็นธรรมดา

ได้แวะไปดู Ground Zero ที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก World Trade Center ค่ะ ไม่มีอารายเรย มีแต่ไซด์ก่อสร้าง

ตามตารางเที่ยวที่วางไว้ จะไปขึ้นตึก Empire State ต่อ แต่ว่าเนื่องจากเค้าปิดไม่ให้ขึ้น เนื่องจากว่าท้องฟ้าไม่เปิด มีเมฆ หมอก เค้าเลยไม่เปิดให้ขึ้น จึงไปเดินเล่นถนน FIFTH AVENUE แทน

ถนนสายนี้เค้าบอกว่าแพงที่สุดในโลก แต่ไม่รุว่าที่แพงนี่หมายถึง ของในร้านแต่ละร้านนี่แพงที่สุดหรือว่าอะไร แบรนด์ดังๆเต็มไปหมด ไม่มีปัญญาซื้อค่ะ

เนื่องจากมีคนแนะนำมาว่าถ้าจะไปชอปปิ้งต้องที่ SOHO ก็เลยไปกัน แต่ปรากฏหาร้านไม่เจอค่ะ ไม่เห็นจะมีร้านถูกๆเจ๋งๆเลยอะ ก้อเลยเดินต่อไป Little Italy เพื่อหามื้อเย็นทานกัน แล้วก็ไปเป็นเหยื่อของร้านอาหารอิตาเลียนแถวนั้น เนื่องจากสามเดือนที่ผ่านมา ไม่ได้กินพิซซ่าแบบนี้เลย สปาเกตตี้ด้วย เลยกินกันหนุกหนาน อร่อยใช้ได้นะ แต่แพงไปหน่อย เด็กเสิร์ฟนี่แบบว่าพยายามชวนคุยเต็มที่ เผื่อจะได้ทิป แต่พอฟังอาหารที่สั่งไป ก็เลิกมายุ่งเรย เนื่องจากไอ่พวกนี้ก็กะเหรี่ยงดีดีนี่เอง 555+

จากนั้นก็นำของทั้งหลายไปเก็บที่พักก่อน ไม่ไหวอะ เหนื่อยมาทั้งวัน ให้เวลาเพื่อนร่วมทางทุกคนพักเท้าสักหน่อย เพราะเด๋วต้องลุยอีก

หลังจากหายเหนื่อยนิดนึง ก็นั่ง subway ไปเกือบสุดสาย เป้าหมายของคืนนี้คือ สะพาน Brooklyn Bridge ค่ะ

เสียดายคุนตากล้องหามุมถ่ายรูปสวยๆไม่ค่อยได้อ่ะ รูปเลยออกมาได้แค่นี้









หลังจากนั้นทุกคนยังไม่เหนื่อยกัน เลยไปเดินเล่นกิน Starbucks ต่อที่ TimeSquare เนื่องจากเพื่อนอยากเดินร้าน M&M อ่ะ ร้านน่ารักมาก แต่ของแพ้งแพง

เปนอันว่าจบวันที่สองสุดแสนเหนื่อยของ New York Trip ค่ะ

เครดิตรูปทั้งหมด : ninechrist ค่ะ




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2552    
Last Update : 15 ตุลาคม 2552 23:48:39 น.
Counter : 286 Pageviews.  

บันทึกการเดินทาง After Work in WAT Program in USA Vol.1

เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่

จากประสบการณ์การเข้าร่วม โปรแกรม WORK & TRAVEL ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ summer ที่ผ่านมา ก็ถือว่าได้อะไรกลับมาเยอะพอสมควร แต่ที่จะเล่านี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ทำงานนะคะ เป็นหลังจากเลิกทำงานแล้วมาท่องเที่ยวค่ะ เผื่อผู้ที่สนใจจะไปอเมริกาเหมือนกัน จะใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกที่เที่ยวที่ดีขึ้นค่ะ

เราเลิกทำงานวันที่ 25 พฤษภาคมน่ะค่ะ แต่ว่าเนื่องจากต้องรอเพื่อนอีกคนที่ยังต้องทำงานอีกวันนึง จึงไปรอเพื่อนที่ WASHINGTON D.C. ชอปปิ้งรอก่อนค่ะ

วันที่ 26 ซื้อตั๋วรถทัวร์จีนไปนิวยอร์คจากวอชิงตันค่ะ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ //www.gotobus.com

ถึง NEW YORK CITY ประมาณบ่ายนิดๆ จึงเอาของไปเก็บที่โรงแรมคะ แต่ก่อนอื่นต้องซื้อ บัตรรถไฟใต้ดินรายสัปดาห์ก่อน 25 $ ค่ะ คุ้มมากๆ ซึ่งที่พักก็คือ Hilton Garden Inn ราคาคืนละ 100 เหรียญน่ะค่ะ สะดวกมากตรงที่ออกจากโรงแรมมาปุ๊ป ก้อมี subway อยู่ข้างๆเรย

จากนั้นไปจองตั๋วดูละคร Broadway ค่ะ ที่ TKTS ตั้งอยู่กลาง Time Square เลยค่ะ ที่นี่จะขายตั๋วถูกกว่าที่โรงละครจริงๆ ต่อคิวยาวพอสมควรค่ะ

พอถึงคิวปุ๊ป ก้อเจรจาค่ะ ซื้อตั๋วดู Phantom of the Opera ค่ะ 9 ใบ ตอนแรกคุนฝรั่งบอกว่า 62.5 $ ไอ่เราก็นึกว่า 9 ใบ 62.5 $ ถูกจัง ปรากฏว่า ต่อคนค่ะ แพงเหมือนกันนะเนี่ย แต่ถ้าไม่ดูเนี่ย เหมือนมาไม่ถึง New York ค่ะ




ระหว่างที่ต้องรอเพื่อนที่ยังเดินทางตามมาอยุ่ จึงไปถ่ายรูปเล่นแถวโรงละครที่เราจะต้องมาดูกันคืนนี้ค่ะ ถือเป็นการสำรวจเส้นทางไปในตัว




แล้วเราก็ไปหาอะไรกินกันแถว China Town ค่ะ อร่อย เป็ดหนังกร๊อบกรอบ ไม่แพงด้วยค่ะ


แล้วเราก็ต้องไป Time Square เพื่อนเตรียมตัวดู Phantom ค่ะ คนเยอะมากๆ แล้วแต่ละคนก้อแต่งตัวดูดี มีพวกเราเนี่ยแหละค่ะ กากสุดๆ

ไม่มีรูปภายในน่ะค่ะ เนื่องจากฝรั่งเค้าไม่ให้ถ่าย แต่จริงๆคนก็่ถ่ายกันเยอะแหละค่ะ

เนื้อเรื่อง ก็เหมือนที่พวกเราดูกันในภาพยนตร์น่ะค่ะ เพียงแต่นี่จะเป็นละครเพลง ที่อลังการงานสร้างมากๆ

รู้สึกประทับใจเรื่องนี้มากๆ ไม่เสียตายตังที่เสียไปเลยค่ะ ถึงแม้จะฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง เนื่องจาก เค้าร้องเป็นเพลง เรยฟังไม่ออก นี่ถ้าพูดปกติก็ฟังไม่ค่อยออกอยู่แล้ว 555+

เดินเล่น Time Square ต่อค่ะ








กว่าจะเดินเล่นแถวนั้นเสร้จก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว จึงกลับที่พักไปนอนพักผ่อนเอาแรงสำหรับพรุ่งนี้ค่ะ

เครดิตรูปทั้งหมด : ninechrist ค่ะ




 

Create Date : 15 ตุลาคม 2552    
Last Update : 15 ตุลาคม 2552 23:48:23 น.
Counter : 308 Pageviews.  

1  2  
 
 

iamdiablo
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add iamdiablo's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com