Constantine VS the Exorcist: หมอผีต่าง Generation
มาแล้ว หนังเรื่องแรกในรอบหลายเดือน หลังจากที่ห่างหายไปนาน ซึ่งหากวัดระดับ Movie Scale ในสายเลือดคงถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สวนทางกับระดับไขมันและโคเรสเตอรอลในเลือดที่พรุ่งปรี๊ด ๆ
มาเข้าเรื่องกันเลยละกัน
คำเตือน บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในส่วนสำคัญ ผู้อ่านควรจะดูภาพยนตร์มาก่อน
ก่อนจะดูหนังเราก็ต้องมาสำรวจหน้าหนังกันก่อนเลย โดยดูที่ดารานำชาย คีอานู รีฟ
ซึ่งก็คงไม่ต้องสาธยายอะไรกันมาก สำหรับพ่อหนุ่มคนนี้ เพราะเป็นที่รู้จัก อยู่ในชั้นแนวหน้าของฮอลลีวูดอยู่แล้ว
มาดูที่ดารานำหญิง ว่ากันว่าเมื่อไหร่ที่นักแสดงต้องแสดงเป็นฝาแฝด ต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่า เรื่องนี้ ราเชล ไวซ์ แม่สาวขวัญใจเรา จะได้ค่าตัวเท่าไหร่น้อ..
ว่าตามตรง ก็ยังคิดถึงหนังสองเรื่องที่ราเชล แสดงได้ดีจริง ๆ คือ Swept from the sea และ The constant Gardenner
เช็คดารานำสองคน โอเค ผ่าน
ทีนี้มาดูผู้กำกับกันบ้าง
Francis Lawrence
เขาเป็นใคร มาจากไหน ถ้าไม่รู้จักกันเลย แล้วดูหนังไป ก็อาจจะรู้สึกว่า คุ้นๆ แฮะ เพราะสไตล์ของเขา ละม้ายคล้ายกัย MV หลาย ตัวแน่นอน เฮีย คือ ผู้กำกับ MV ชื่อดังหลาย ๆ ตัว เมื่อผู้กำกับ MV ภาพ สวย ๆ หลายคน ผันมาเป็น ผู้ กำกับหนังก็มักจะมีกลิ่นอายของมิคสิควีดีโอ มาด้วยเสมอ เช่น ภาพยนต์เรื่อง The cell ที่ ป้า เจโล แสดงนำนั่นเอง
คอนสแตนติน สร้างมาจากการ์ตูนเรื่อง Hellblazer เป็นเรื่องราวชีวิตและการต่อสู้ของหมอผีคนหนึ่งซึ่งมีพลังพิเศษ เรื่องนี้เปิดตัวได้ถูกใจมาก ๆ คือ การค้นพบหอกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้สังหารพระเยซู และภายหลังได้ตกไปอยู่ในมือของนาซี เพราะหนังเรื่องไหนก็ตามที่มีเรื่องราวของนาซีมักจะมีเสน่ห์ ความลึกลับ และประวัติศาสตร์แฝงอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ฉากเปิดตัวของ X-men ฉากในหนังเรื่อง Hellboy Indiana Jones เป็นต้น
และเรื่องราวหลังจากนั้นก็เกี่ยวพันและร้อยรัดโดยมีศูนย์กลางคือ หอกแห่งชะตากรรม (Spear of Destiny) อันนี้นี่เอง
ในฉากที่ดำเนินไปทั้งหมด บทที่เขียนมาพยายามให้หนังมีความหนักแน่นในเชิงของปรัชญา และหลักการของศาสนา บางครั้งมีคำถามที่ยอกย้อนกับคนดูให้ได้คิด ว่าแท้ที่จริงแล้ว ในบั้นปลายชีวิตเราจะได้ไปลงเอยที่นรก หรือ สวรรค์ หรือประเด็นของการฆ่าตัวตาย โดยอาจจะมีคำถามตามมาว่า สไตล์การใช้ชีวิตที่โน้มเอียงไปทางสัญชาติญาณมุ่งตาย (death instinct) ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ก็คือการฆ่าตัวตายหรือไม่ อย่างเช่นที่พระเอกของเราสูบบุหรี่จัดมาก ๆ ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่ามันจะนำพาเขาไปสู่ความตาย
นอกเหนือจากฉากการต่อสู้มันส์ ๆ และเอฟเฟคสวย ๆ เหมือนอย่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สิ่งที่ตรึงใจมากที่สุดของหนังเรื่องนี้มีสองส่วน คือ ฉากนรก และ ฉากพิธีกรรมไล่ผีของ จอห์น คอนสแตนติน
ฉากในนรกนั้นให้ความรู้สึกร้อน และทุกข์ ทรมาน ยิ่งได้อยู่ตลอดไป ชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่รู้เป็นไง รู้สึกดีทุกครั้งที่หนังพาไปสู่ฉากนรก
แต่ฉากนรกที่เห็นเป็นนรกของชาวลอส แองเจิลลิส ซึ่งคงจะแตกต่างจากนรกกรุงเทพ เนื่องจากหนังได้อธิบายไว้ว่า นรกก็คือโลกอีกโลกหนึ่งที่ซ้อนทับกันอยู่ เลยเข้าใจเอาเองว่า location ในนรกก็คงเหมือนกับโลกของเรา จะต่างก็แค่บรรยากาศ
อีกส่วนหนึ่งที่ติดตาเหลือเกินคือปีศาจ ซึ่งทำได้เป็นปีศาจมาก ๆ น่าเกลียด น่ากลัว และดูแข็งแรงจริง ๆ
เข้าไปแล้วต้องรีบแผ่นออกมา ไม่งั้นโดนแน่ๆ
ทีนี้มาเข้าเรื่องกันจริง ๆ ซะที
ฉากพิธีกรรมไล่ผี หรือ Exorcism ที่ถือว่าเป็นระดับตำนานคือ The Exorcist (1973) ซึ่งเป็นเรื่องของหมอผี (ไม่อยากใช้คำนี้เลยจริง ๆ เพราะคนหนึ่งเป็นถึงบาทหลวง อีกคนเป็นทั้งบาทหลวง นักจิตวิทยา แถมจบจาก John Hopskin) เด็กสาวชาวฟิลิปปินส์เป็นรายแรกในหนังที่พระเอกของเราทำการไล่ผี โดยฉากที่แม่เปิดประตูเข้าไปเจอลูกสาวไต่กำแพงนั้น คาดว่าน่าจะเป็นการอ้างอิงถึงฉากสุดคลาสสิค Spider Walk ที่น้องเรแกน ต้นตำหรับเด็กถูกผีเข้าในเรื่องนั่นเอง
Spider Walk
ทีนี้เรามาดู Spider Walk เวอร์ชั่น Constantine
จะเห็นได้ว่า หนังหลายเรื่องสร้างฉากใดฉากหนึ่งขึ้นมาเพื่อเคารพหนังต้นฉบับ ซึ่งบางทีเราจะเรียกลักษณะนี้ว่า หนังอิงหนัง อันเป็นหนังที่จัดอยู่ในแนว Post Modern เพราะหากจะวัดกันจริง ๆ แล้ว The Exorcist ภาคแรกนั้นคือ ต้นกำเนิดของหนังสไตล์ไล่ผีทั้งหลายนั่นเอง
และยังเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมของฉากไล่ผี ซึ่งต้องมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1. เด็กสาวที่ถูกสิง ใส่ชุดนอน โดนมัดอยู่กับเตียงพร้อมกับ อาการของการโดนสิง เช่น เสียงเปลี่ยนเป็นเสียงชายแก่ แหบ หน้าตาเริ่มทุเรศ ขออภัยที่ใช้ศัพท์นี้เพราะเป็นการเรียกลักษณะโดยรวม ของอาการหน้าตกสะเก็ด ปากแห้ง แตกเป็นขุย ฟันมีคราบหินปูนอย่างหนาแน่นราวกับไม่เคยขูดมาตลอดชีวิต ตาแดง ๆ สลับ เขียว มีอ้วกด้วยในบางที มีพละกำลังมหาศาล บางทีก็อาจจะทำอะไรน่ากลัว เช่น หมุนหัวได้รอบ 360 องศา กินฉี่ กินแมลง อย่างรายน้องเรแกนนี่ถึงขั้นใช้ไม้กางเขน masterbate เลยทีเดียว
ฉากการไล่ผีของจอห์น
2. ห้องต้องโทนทึม ๆ แคบ ๆ เตียงต้องเก่า ๆ มีเสาทั้ง 4 มุมเอาไว้มัดเด็กผู้หญิงที่โดนผีเข้า
3. หมอผี หรือ Exorcist ซึ่งต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ มีปมในจิตใจ อย่างกรณีหลวงพ่อเมอร์ลิน ขอประทานโทษ สุขภาพทรุดโทรมมาก เดินแทบจะไม่ไหว เคลื่อนไหวช้ามาก จนไม่อยากเชื่อว่าจะมาสู้กับผีได้ ในกรณีของหลวงพ่อ คาร์ราซ รายนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติศรัทธาในพระเจ้า แถมยังมาเสียแม่ไปอีก เลยเป็นช่องให้ปีศาจเล่นสงครามจิตวิทยากับเขาได้ ในกรณีของจอห์น ก็บ้าบิ่น หยาบคาย ดื่มจัด สูบบุหรี่มวนต่อมวน แถมเคยฆ่าตัวตายมาแล้ว ซึ่งเป็นบาปที่ติดตัวเขามาตลอด
เสน่ห์ของ Constantine เริ่มหมดไปเมื่อเข้าสู่ช่วงหลัง ที่เนื้อหาค่อนข้างออกทะเล เข้าใจว่าเพื่อให้ตัวหนังได้ขายฉากแอคชั่นมันส์ ๆ และการรวบรัดเพื่อเข้าสู่การจบ หนำซ้ำการปรากฏตัวของซาตานยังไม่ค่อยจะอลังการสมฐานะจอมมาร เห็นทีแรกนึกว่าลุงที่ไหน ซึ่งมันก็ไปพ้องกับ Exorcist ในภาคหลัง ๆ ที่เอาปาซูซู มายำซะหมดความน่ากลัว ลึกลับ ที่เป็นเสน่ห์ของปีศาจทั้งหลาย หนำซ้ำยังละทิ้งตัวละครที่ชื่อว่า กับตันฮาวดี้ ไปซะยังงั้น ทั้งที่ชื่อกัปตันฮาวดี้นี่แหละ ที่เรียกให้ขนลุกได้ ดังนั้นสำหรับ Constantine สรุปก็คือ ตัวร้ายในเรื่องเมื่อเปิดตัวมา ล้วนแต่กระจอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Balthazar Mammon หรือ Satan สังเกตว่าความน่าสะพรึงกลัวจะมาความกลัวในจิตใจที่เราสร้างขึ้นมาเอง
หากจะเปรียบเทียบระหว่าง จอห์น กับ คาร์ราซ ทั้งสองอยู่คนละขั้วเลยทีเดียว ทั้งสไตล์การใช้ชีวิต ฐานะทางสังคม แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ท้ายที่สุดต่างก็ต้องเสียสละกันทั้งคู่ โดยผลลัพธ์ที่ได้อาจจะต่างกันนิดหน่อย Constantine ได้สร้างภาคต่อเพราะพระเอกรอด ส่วน The Exorcist กลายเป็นตำนาน เพราะหมอผีตายคู่
แต่บทความเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรมไล่ผีในหนังจะไม่สมบูรณ์เลยหากไม่ได้กล่าวถึง The exorcism of Emily Rose ซึ่งจะหาโอกาสเขียนถึงในคราวหน้าให้ได้
Create Date : 14 กันยายน 2550 | | |
Last Update : 30 ตุลาคม 2550 17:59:04 น. |
Counter : 991 Pageviews. |
| |
|
|
|