Group Blog
 
All Blogs
 

Season Changes

หนึ่งในการใช้ชีวิตต่างแดนคือ
การอยู่ไกลจากคนที่เรารัก
คิดว่าหลาย ๆ คนก็คงเคยเกิดความรู้สึกนี้
แต่ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลงไป
เพียงแค่ให้ใจเราเชื่อมั่นและมั่นใจ
เพียงแค่นี้กาลเวลาหรือความห่างไกล
ก็คงไม่อาจสั่นคลอนความรู้สึกที่มีให้กันได้





 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2549 3:10:18 น.
Counter : 337 Pageviews.  

Sexy Naughty Itchy!!!

โอวว แมน..
ตั้งชื่อจะน่าสนใจ มองผิวเผินอาจจะเหมือนเพลง สุดเซ็กซี่หวาบหวิว ของ ทาทา ยัง แต่เปล่าเลย มันเป็นเพียงคำรำพึงรำพัน เพื่อปลอบประโลมจิตใจ ยามที่ผื่นทั้งหลายพาเหรดขึ้นมาราวกับ คนที่มารอซื้อของถูกช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เรื่องราวต่อไปนี้ ขอยืนยันว่าไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับนักร้องสาวเจ้าของเพลง ปรากฏการณ์น้ำร้อน น้ำเย็น เอลนินโญ - ลานินญ่า จะคล้าย ๆ ก็เป็นเพียงประโยค บางประโยค ที่บ่นพึมพำกับตัวเอง อนิจจา ทายา หรือยัง เวลาเกิดผื่นคันลมพิษขึ้น ที่ไปพ้องกับชื่อ นักร้องสาวโดยบังเอิญ

Poor Bo !!!

เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อสี่อาทิตย์ก่อน หรือหกเดือนก่อนตอนมาเอเธนส์ใหม่ๆ หรือสองปีก่อนตอนอพยพ มาอยู่ กทม ใหม่ ๆ ก็ไม่แน่ใจ เพราะไอ้อาการแพ้ นี่ มันก็แพ้มาตั้งแต่สมัยอนุบาล ก.ไก่ ตอนแข่งกินวิบาก เอาเป็นว่าเพื่อความกระชับ ของเนื้อเรื่องเรามาเริ่มต้นเมื่อเดือนที่แล้ว
เรื่องก็คือจะต้องออกไปทำธุระแต่เช้ามืด ประมาณตีห้ากว่า ๆ แล้วก็ต้องอาบน้ำ สระผม แต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนที่ที่ปรึกษาจะมารับ ด้วยความที่เกิดและเติบโตในเขตร้อนชื้นมาโดยตลอด และเป็นคนขี้หนาวระดับมากถึงมากที่สุด เลยระดมเปิดน้ำร้อนซะเต็มสตรีม ผลก็คือ ถ้าเอา ข่า ตะไคร้ พริกแดงสด ใส่ลงไปด้วย คงได้ต้มยำมาหนึ่งอ่างใหญ่ ๆ ..... เหวย แค่คิดก็สยองแล้ว เอาเป็นว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการจัดอยู่ในบล็อก เรื่องสยองขวัญ ขอเซ็นเซ่อร์ไว้แต่เพียงเท่านี้

วันเดียวก็คงไม่ส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญเท่าไหร่ แต่นี่ประมาณหลาย ๆ วันติด ๆ กัน ผลก็คือ ผิวที่ขาวเนียน (ตรงไหนหว่า) บริเวณคอ เริ่มมีรอยแดง ๆ เป็นบริเวณรอบ ๆ ดูเผิน ๆ คล้าย ๆ กับผิวที่ผ่านการขัดถูอย่างรุนแรง อะฮ้า...
แล้วมันก็เริ่มคันมานิด ๆ เลยเกานิด ๆ และเวลาคันมาก ๆ เราก็เกามากๆ ยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันยิ่งเกา ขอเตือนเพื่อน ๆ ณ ตรงนี้เลยว่า ห้ามเกาเด็ดขาด ไม่ว่าจะทรมานแค่ไหน เพราะการเกาเป็นจุดเริ่มต้นของอาการคันและการลุกลาม ที่เราเรียกกันว่า "itch-scratch-itch cycle".
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับ Skin Allergy ที่พัฒนาอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน ซึ่งมันก็ลามมาที่หน้าขา ต้นขา ต้นแขน อย่างรวดเร็ว ลักษณะจะเป็นจุด แดง ๆ เป็นวงรีบ้าง วงกลมบ้าง พาราโบลา ถ้าเป็นสมัยเรียนภาคตัดกรวย อาจจะเรียนเข้าใจมากขึ้น หรือแม้กระทั่งไฮเพอร์โบล่า ก็ยังมี ถ้าแผลอักเสบจากอาการคันมันดันอยู่ตรงข้อพับ เช่น ข้อแขน ข้อขา ขาหนีบ ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็น “Kissing Effect” ส่วนอื่น ๆ ก็กระจายกันอย่างไม่น้อยหน้า เป็นกระจุก กระจาย เป็นหย่อม ๆ เหมือนแผนที่ภูมิศาสตร์ หรือนี่จะ imply ถึง ทฤษฎี Plate Tectonics อยากจะเรียกเพื่อนๆ มาดูเหลือเกิน ถ้ามันไม่ติดเรทขนาดนี้
ความคันมันทรมานจริง ๆ พี่น้องทั้งหลาย ไม่เจอเอง คงไม่รู้ ไม่สามารถทำอะไรได้ มันหงุดหงิด เสียสมาธิ รำคาญ และแสบตรงแผลที่แตกเสียจริง ๆ โธ่ Poor Bo โบ ผู้น่าสงสาร ดูตัวสิ ลายพร้อย เป็นจุด ๆ คัน ๆ เกา ๆ ในที่สุดเราก็มาถึงจุดวิกฤติ ที่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เพราะโลชั่นผิวแห้งที่ระดมทาไป ไม่สามารถช่วยอะไรได้ และแล้ว ในความสิ้นหวังที่มืดมิดนั้น....แสงสว่างก็โฟกัส ไปที่จุด ๆ หนึ่ง..ใช่แล้ว.. ถุงก๊อบแก๊บสีขาวในห้องน้ำ ที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทย โอวใช่ ยาแก้แพ้ Anti Histamine จากสี่แยก (ปัจจุบันกึ่งสี่กึ่งห้า เพราะกำลังทำถนน) เกษตรนั่นเอง คือคำตอบสุดท้าย ( ณ ตอนนั้น)

จะเป็นอย่างไรเมื่อเหลือสติสัมปชัญญะเพียงน้อยนิด?

เพื่อน ๆ อาจจะสวนถามมาก่อนว่า แล้วปกตินี่ สติครบถ้วนแล้วเหรอ.. ฮา การกินยาแก้แพ้ ไม่ได้เพียงแต่ไปกดระบบ Immune ของร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีผลข้างเคียงอีกหลายอย่าง ที่คำเตือนในฉลากยาเตือนไว้ เช่น ง่วงนอน มึนงง ปากแห้ง ใจสั่น หงุดหงิด และห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์ในระยะสามเดือน โอย อ่านตอนแรก ชิวชิว สบายมาก อย่างมากก็แค่ง่วง.. เรื่องมีคงมีครรภ์ ก็คงไม่มีหรอกน่า จะมีก็แต่คันเฉยๆ นะ....แต่.... ที่ไหนได้ ไอ้อาการที่เตือนมา ปรากฏว่าได้ครบเลย มาหมดทั้งเซต ทั้งมึน ทั้งงง จากที่งงอยู่แล้ว งงหนักเข้าไปอีก ตัวอย่างเช่น
ในคาบสัมมนามีการแบ่งกลุ่ม Discuss กัน
มอลลี่ : โอเค โบ มีความคิดเห็นอะไรไหม
โบ : อือฮึ (ทำหน้ามึน)
โบ : เอ่อ ข้ามเรื่อง ความหนาแน่น กะ น้ำหนักไปยัง ..(ก่งก๊ง)
อลิเชีย : บ้า เค้าอยู่หน้านี้กันอยู่ ไปไหนแล้วพี่โบ
......
ไคร่า : ไอเขียนให้แล้วนะ โบ รายงานละกัน
โบ : อะฮะ (ตีหน้ามึนหนักเข้าไปอีก)
ดร. ทิปปิ้น : โอเค กลุ่มยู ใครพรีเซนต์
มอลลี่ : โบ คุณจะพรีเซนต์ไหม
โบ : โน (ทำหน้ามึนบวกงง)
มอลลี่,ไคร่า,อลิเชีย : What !!!
โบ : โน (ตีหน้ามึนต่อไป )

ในที่สุด ก็ค้นพบว่า ยาที่กิน ๆ ไปไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย และอาการก็หนักขึ้น ๆ ในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา มีอาการลมพิษและผื่น ขึ้นเป็นระยะ บางทีก็บวมแดง จากนั้นจะแสบร้อน และแผลที่บวมแดงเริ่มตกสะเก็ด ซึ่งหากอาการลมพิษขึ้นมาตอนกลางคืน ถ้าไม่ตื่น จะมีการละเมอเกา หรือที่เรียกว่า "Sleep scratching."
ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายอย่างไม่น่าเชื่อคือ บริเวณแผล จะถลอกและอักเสบ มีน้ำใส ๆ เยิ้มออกมา ซึ่งจะทำให้แสบและทรมานมากกว่าอาการอื่น ๆ ที่เคยเป็นข้างต้น และหากตื่นมากลางคืน อาการคันจะทำให้นอนไม่หลับไปทั้งคืน บวกกับผลข้างเคียงของยาที่กินไป ทำให้รู้เลยว่าอาการ เหลือสติสัมปชัญญะเพียงน้อยนิดเป็นอย่างไร และตอนนี้ก็มาถึงจุดที่ไม่สามารถเยียวยาด้วยตัวเองได้อีกต่อไป

ประสบการณ์เปลือยกายในต่างแดน

ไม่อยากจะ Complain ระบบประกันสุขภาพ เพราะเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่รู้แค่เพียงว่าเราต้องสำรองออกไปก่อน แล้วค่อยไปเบิกเงินทีหลัง แต่นี่ปี 2006 แล้วนะ ทำไมไมมีระบบที่ติดต่อโดยตรงระหว่างบริษัทประกัน กับ ทางสถานพยาบาล โอเค...ขอบ่นแค่นี้ เพราะหัวข้อนี้ตั้งไว้สุดแสนจะระทึกใจ ไม่อยากให้เสียธีมน่ะ

ต้องขอขอบคุณ คุณจูลี่ เรนจ์ มา ณ โอกาส นี้ ที่เป็นธุระพาไป หาคุณหมอ
Thank you very much Julie. I’m very very appreciate that.


เรานัดหมอไว้ เจ็ดโมงสี่สิบห้า จริง ๆ มันก็คือ แปดโมงสี่สิบห้า แต่เนื่องจาก Time saving เลยลดไป 1 ชั่วโมง ปลุกไว้ตั้งแต่ หกโมงกว่า ๆ แต่จริง ๆ แล้ว ตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพราะคันมาก ๆ ผื่นขึ้นที่แขนทั้งสองข้างบวม ๆ ย่น ๆ เหมือนผิวมะกรูด เลยนอนคันอย่างนั้นจนเช้า
จูลี่มาถึงก็บอกว่า เมื่อกี้ไปเคาะห้องผิดมา เจ้าของห้องคงงง ว่า ใครมาเคาะแต่เช้าหว่า ดีที่จูลี่ไหวตัวทันชิ่งมาก่อน ปล่อยให้เจ้าของห้องเคราะห์ร้าย ก่งก๊ง ต่อไป
โอเค ถนนในเอเธนส์ ตอนเช้า ๆ รถไม่ติดมาก เราผ่าน Five point มาได้ ซึ่งแอบตั้งชื่อไว้ว่า ห้าแยกโคกมะตูม มีร้านพิซซ่าที่ถูกปากมาก ชื่อ Mellow Mushroom และก็ร้านขายยาที่ขายไอติมอร่อยสุด ๆ (งงมะ) คือประมาณว่ายาน่ะ ขายได้ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอติมนะ ขายดีมาก ๆ เพราะอร่อย และราคาถูก ก้อนละ เหรียญเอง
อ่ะนะ มีคนกระซิบมาว่า เมื่อไหร่จะถึงตอนเปลือยหล่ะ พี่โบ โธ่.. ของดีมันต้องรอนิดนึงใช่ไหม
จะถึงไคลแมกซ์ง่าย ๆ ได้อย่างไร
ต่อนะ..
ในที่สุดก็มาถึง คลินิก คุณหมอ เป็นหมอผิวหนัง ชื่อ Doctor Maffei อ่านเผินๆ นึกว่า Mafia เหวยน่ากลัวพิลึก แต่พอเข้าไปข้างใน บรรยากาศดีมาก สะอาดเรียบร้อย มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นออฟฟิซ ชั้นบนเป็นห้องตรวจ ห้อง treatment มีพนักงานหญิงสามสี่คน นั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์ แฟ้มคนไข้จำนวนมหาศาลเสียบอยู่ในชั้น คงมีชื่อเสียงพอสมควร พนักงานใส่ชุดเหมือนเรื่อง ER เพียงแต่มีลวดลาย สีสัน เออนะ ก็ดีนะ ทำให้เกิดความสบายใจและรู้สึกเหมือนไม่ใช่คลินิก เค้าก็บอกให้เราเซ็นชื่อ มีประมาณหกเจ็ดแผ่นได้ โอ ตายหล่ะ จะรู้เรื่องไหมนี่ นี่ถ้าหลอกให้เซ็นใบรับสารภาพ หรือ มอบมรดก นะ แย่เลย อย่ากระนั้น อ่านซะหน่อยดีกว่าเรา
แผ่นแรกเกี่ยวกับการประกันชีวิต และใครป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย จะใครหล่ะ เราเองน่ะสิ เขียนลงไปว่า self แล้วก็กรอกข้อมูล เซ็นชื่อ (โอย คัน)
แผ่นที่สอง เคมีประวัติแพ้อะไรไหม.. วิ่งเปี้ยว วิ่งผลัด บาส วอลเลย์ ปิงปอง แพ้หมด บ้า ตลกไปถึงไหน
ไม่เคยมีประวัติแพ้ยานะ แต่ก็ไม่รู้หล่ะ อาจจะยังไม่พบก็ได้ใช่ไหม ติ๊กตรงช่อง เท่าที่รู้คือไม่มีนะ แล้วก็เซ็น (คันอยู่ดี เมื่อไหร่จะได้ตรวจหล่ะเนี่ย)
แผ่นที่สาม ประวัติส่วนตัวที่อยู่ โอเค เขียนไป เซ็น (คันเว้ย)
แผ่นที่สี่ เกี่ยวกับการแถลงสิทธิผู้ป่วยและการรักษาความลับ โอเค รับรู้นะ...ก็เซ็นไป (เกาซะเลย ฮ่าๆ คันดีนัก)
แผ่นที่ห้า หก เจ็ด ขี้เกียจอ่านละ ดูผ่าน ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่เซ็นละกัน ถ้าสำคัญเดี๋ยวเค้ามาทวงเอง
(ใช่ไหมจูลี่ จูลี่เออออห่อหมก)
ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง เจ้าหน้าที่ขานชื่อแล้ว จูลี่ถามว่าต้องเข้าไปไหม แน่นอนสิ..ไอ จะคุยกะเค้ารู้เรื่องเหรอ โอเคเข้า ก็เข้า
เราก็เดินขึ้นไปชั้นบน พนักงานชี้ไปห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องที่ใช้ตรวจทั้งตัว พอไปถึง ผู้ช่วยพยาบาลในชุดลายสีสันซะ.... ก็เข้ามาถามประวัติและอาการ ก็เล่าไปเหมือนข้างบน
ซักพักคุณหมอก็เข้ามา เออนะ คุณหมอผู้หญิงท่าทางใจดี อายุยังไม่มากด้วย น่าจะประมาณสี่สิบต้น ๆ
“Do you éÇÂÅÑv ¡É³Ð¢Í§¡Òù ͹.ÃÐËÇ Ò§¤Ùè ÃÑ¡ËÃ???”
“what !!! Pardon” ก็คุณหมอเล่นรัวซะ
“I mean à»ç¹Ëèǧ ´éǤРഠÕëÂǵ͹àªéÒ æä»ËÒË ÁÍ¡çºÍ”
เหวย...
ตายละหว่า ศัพท์เสิบ ที่เตรียมมาก็อนุบาลก.กา เสียเหลือเกิน
จูลี่..ช่วยด่วน จูลี่ก็จัดการแปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกที อ๋อ คุณหมอใช้ศัพท์ทางการแพทย์นี่นา
ซักพักนึงเค้าก็บอกให้จูลี่ออกไป แล้วให้ถอดเสื้อ กับ กางเกงออกให้หมด
“ถอดหมดเลยเหรอ” ถามไป ก็ทำท่าเหมือนจะเปลืองผ้า ทั้งหมดทุกชิ้นได้โอกาสละ..
“โอ้โน้ววว แค่เสื้อกับกางเกงเว้ย (อย่าเชียวนะ ไอไม่อยากดู)” ผู้ช่วยพยาบาล ห้ามพัลวัน
แล้วเค้าก็ให้กระดาษแผ่นใหญ่ ๆ มาสองแผ่น แผ่นแรกแหมือนกระดาษห่อข้าวหมูแดง ที่บาง ๆ มัน ๆ แต่ท่าทางกันน้ำไม่ได้ คล้าย ๆ กระดาษโปร่งแสง แต่หนากว่านิดหน่อย อันนี้เอาไว้รองเก้าอี้ ที่คล้ายๆ เหมือนเวลาไปหาหมอฟัน
อีกชิ้นหนึ่งเหมือนกระดาษทิซซู่ แต่ต่างกันที่ขนาด ...แผ่นเท่าตัวแบบนี้น่าจะ A14 (เอา A4 มาต่อกันสิบสี่แผ่น- คำนวณเอง) ห่อ ๆ ไว้ หนาวเว้ย สยิวกิ้ว
ผู้ช่วยพยาบาลเหมือนจะรู้ทัน เลยเคาะห้องบอกว่า ถ้าหนาวก็เปิด Heater เครื่องน้อยที่พื้นได้นะ (อย่าซื่อบื้อ ทนหนาวนะ เข้าใจ๋?)
ทีนี้หล่ะ เปลื้องผ้า หมดเลย อืมมม เอาทิซชู่ A14 มาห่อ ๆ ไว้
ซักพักคุณหมอก็เข้ามา เราก็อุตส่าห์ ห่ออย่างดี เหมือน โรตี (เหมือนมาก ขอบอก)
แต่คุณหมอมาถึงก็

“ÓÍÐää¹à´Õ¹РÃÍáµè¾Õè⺡”

อ้าวๆๆ คุณหมอแงะ แซะกระดาษห่อโรตีใหญ่เลย

“ ÅѺÁÒàÃÒ¨Ðä´éä»ä˹´éÇ¡ѹà¹êÍД

เฮ้ยๆ ถึงตรงนั้นแล้ว

คุณหมอทำหน้าตาเซ็ง ๆ แต่ไปสะดุด ตรง ไฝ เม็ดใหญ่ ตรงบริเวณปอดพูที่สามของข้างขวา (ข้างซ้ายมีสองพู ข้างขวามีสามพู)
“ไฝมันดำมากนะ” ว่าแล้วก็เขี่ย ๆ จั๊กกะเดียมนะหมอ ไฝน่ะ โบราณว่าไว้ว่า ถ้าอยากให้จำได้ว่าเกิดใหม่เป็นใคร ก็ใช้ถ่านหมายไว้ รู้ไหมหมอ ฮ่าๆๆๆ ถ้าบอกไป หมอคงคิดว่า งมงายจัง
“ครอบครัวเคยมีใครเป็นมะเร็งผิวหนังไหม” ก็บอกไปว่าไม่มีหรอกนะ ว่าแล้วเค้าก็ซักประวัติและก็ดูรอยแผล ทั้งหลาย
“ตรงนี้แพ้อะไร”
“อ๋อ เข็มขัดไงหมอ เบลท์ เบลท์” ดีนะที่รู้ศัพท์
“ อืมม ท่าทางแพ้นิกเกิ้ล…เลิกใช้ด้วยนะ”
หมอก็วินิจฉัยไป
แล้วคุณหมอก็วกมาเรื่องเดิม
“ฉันจะขอ Biopsy ไฝ (mole) คุณนะ เซ็นใบนี้ด้วยนะ”
ว่าแล้วก็ยื่นเอกสารให้ เฮ้ย!!!! หมอ จู่ ๆ จะมาขอ Autopsy (ชันสูตรศพ) ได้ไงอ่ะ ดู CSI มากไปป่าว ยังไม่ตาย ๆ เข้าใจไหม (ดีนะที่ไม่พูดออกไป เพราะครั้งแรกได้ยินเป็นคำนี้จริง ๆ ) แต่พออ่าน ๆ อ๋อ เค้าคงเห็นมันน่าสงสัยนะ โอเค เซ็นก็เซ็น ๆ
“ยืนขึ้นนะ แล้วขอดูทั่ว ๆ หมุนรอบ ๆ ช้า ๆ” เหวอ...ทีนี้หล่ะ หวิว ของจริง รู้งี้ใส่กางเกงขาสั้นมาอีกชั้นดีกว่า ...หนาวเว้ย...อายยยย
ว่าแล้ว ก็เอาใบ Informed Consent ที่ถืออยู่ใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยเอามาปิดตรงนั้นไว้ด้วยอารมณ์หวิววว
อยากเป็นลมมมม
คุณหมอก็มองด้วยความอนาถ ปน สงสารเลยให้เข้าไปเป็นโรตีเหมือนเดิม แล้วผู้ช่วยพยาบาลก็เข้ามาพร้อมอาวุธ เอ้ย ! อุปกรณ์ครบมือ พอมาถึง หมอก็ฉีกกระชากกระดาษบริเวณไฝ ให้ขาดเป็นรู อารมณ์ประมาณ พิศาล อัครเศรณี ดี ๆ นี่เอง
ทีนี้ ใจเต้น ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ยังไงว้า...
“เจ็บนะ แต่นิดนึง” คุณหมอคงสับสน จะปลอบหรือขู่มันดีนะ
แล้วผู้ช่วยพยาบาลก็ยื่นเข็มฉีดยาเล็ก ๆ ขนาดประมาณห้าซีซี คิดในใจ ไม่ใช่น้องพลับนะเว้ย ถึงต้องขอสอง เพราะเห็นมันมีสองหลอด
แล้วคุณหมอก็ใช้มือซ้าย ดึงเนื้อบริเวณไฝขึ้นมา บรรจงฉีดยาเข้าไปช้า ๆ แต่นุ่มนวล (จริง ๆ ก็แค่ฉีดยานะ ไม่เจ็บเลย ) แล้วก็เป็นดังคาด เข็มที่สองตามมาติด ๆ
อืมม ยาชามั้ง อิอิ คงไม่เจ็บ แอบลิงโลดในใจ ที่ไหนได้ หมอ เอาใบมีดโกนขนาดเล็กประมาณหนึ่งในสี่ของใบมีดโกนหนวด ผู้ชาย แล้วก็บีบให้มันโค้ง ๆ ลง ตรงสันขาววาว ท่าทางคมกริบ กะปาดรอบเดียวผ่าน
แล้ววินาทีนั้น ก็มาถึง แล้วก็ผ่านไป ไม่รู้สึกอะไรเลย เอ.. ตอนที่ อองตวน ลาวัวซิเอร์(Antoine Lavoisier) โดนตัดหัวโดยกิลโยตินจะรู้สึกแบบเราไหมน้อ แบบว่า ตอนที่จะตัด ๆ ก็กลัว ๆ นะ แต่พอโดนจริง ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะ กิลโยติน ถูกออกแบบมาให้ทรมานน้อยที่สุดนี่นา
อืมม จากนั้นคุณหมอก็ออกไป ผู้ช่วยพยาบาลก็เข้ามาอธิบายการกินยา และผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น แต่เก็บอกว่า ไม่มาก หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ เพราะไม่ได้กินเป็นเวลานาน ๆ นะ อืมม แล้วเค้าก็ให้ใบสั่งยามา
เอ่อ แล้วจะให้ใส่เสื้อได้ยังคุณพี่
“โอเค”
เวลาที่รอคอยก็มาถึง มันหนาวนี่นา หวิวด้วย
จากนั้นก็ล่ำลากัน Have a good dong, Have a good day กันไปตามเรื่อง
เค้าก็ย้ำว่าอย่าใช้เข็มขัดหัวโลหะ และก็พวกเหรียญต่าง ๆ
เลยหันไปปล่อยมุขส่งท้ายว่า เออนะ ต่อไปชั้นไม่ใช้ Coin ละ จะใช้แต่ Bill (ธนบัตร) เท่านั้น ฮ่า ๆ
ต่อไปนี้ก็เป็นคนรวยแล้ว
ตอนเดินออกมา เค้าคงคิดในใจว่า เออ พูดไป เดี๋ยวเจอ Counter ข้างล่างเอ็งก็จนแล้ว ฮ่าๆ (หัวเราะทีหลังดังกว่ามาก ๆ ขอบอก)
ประสบการณ์การรักษาพยาบาลอันแสนตื่นเต้นก็จบลงเท่านี้
ปล. ยาที่นี่แปลกมาก กินวันละสี่เม็ด ไอ้เราก็ อืมม สบาย เช้า กลาง วัน เย็น ก่อนนอน แต่ที่ไหนได้ คุณพี่เล่นให้กินมือเช้ามื้อเดียวสี่เม็ด วันนี้เลยจัดการ กินยากับกาแฟ รวดเดียว สี่เม็ด ผลปรากฏว่าถึงขั้นสำลัก กาฟง กาแฟ ยา เยอ กระจาย




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2549 6:26:50 น.
Counter : 429 Pageviews.  

How to deal with the chaos in my life

เมื่อวานเป็นวันที่ทำงานเยอะมาก เลยรู้สึกว่า เวลาที่เท่ากันในแต่ละวันทำไมเราทำงานได้ไม่เท่ากัน หรือบางคนทำงานได้มากกว่าเรา นั่งคิดอยู่พักนึงเลยคิดขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ทำให้เวลาในการทำงานของเรามากหรือน้อยคือวิธีการจัดการเวลาเหล่านั้น หรือพูดง่าย ๆ คือการจัดการการทำงานอย่างเป็นระบบ แต่เวลาพูดนั้นมันง่าย ทำมันยาก
เพราะเท่าที่ผ่าน ๆ มามีน้อยมากที่คนเราจะจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า..

หากเราต้องเจอกับช่วงเวลาที่ช่างวุ่นวายและสับสน เป็นช่วงที่เรียกว่า Out of Control คือ พอเราไม่สามารถควบคุมเวลาวันนี้ได้ มันก็จะส่งผลกระทบต่อวันอื่น ๆ เป็นลูกโซ่ เราเลยมาลองเริ่มต้นใหม่ นึกถึงวันคืนเหล่านั้นในช่วงสอบของเทอมที่ผ่านมา ทั้ง Present ทั้งฟังสัมมนา ทั้งสอบและงานอื่น ๆ ที่ต้องส่งก่อนปิดเทอม ตอนเย็นไปออกกำลังกาย และช่วยงานวิจัยอาจารย์ เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานอีก... เราผ่านช่วงนั้นมาได้อย่างไร โดยไม่เสียชีวิตไปซะก่อน นึก ๆ ก็พอจะจำได้ดังนี้
1. เรามีสมุดโน้ตเล่มเล็ก ๆ ที่แยกเวลาออกเป็นชั่วโมงๆ เริ่มตั้งแต่เวลาที่สามารถทำงานได้ทันทีคือ แปดโมง ถึงเวลานอนคือ เที่ยงคืน เพราะเรานอนน้อยไม่ได้ เท่านี้เราจะมีเวลาทำงานและกิจกรรมอื่น ๆ ถึง 12 ชั่วโมง จากนั้นก็ fix เวลาที่ทำอะไรบางอย่างเป็นประจำเช่น งานที่ต้องทำประจำ เวลาเรียนในเทอมนั้นๆ เพื่อจะได้รู้เวลาว่าง

2. ตารางที่เขียนต้องทำให้เห็นภาพรวมเพื่อจะได้แน่ใจว่าเราไม่ได้ทุ่มเวลาไปกับกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่งมากเกิน

3. ข้างล่างตารางต้องเว้นไว้เพื่อจะโน้ตข้อความพิเศษลงไป มาถึงตรงนี้เลยนึกได้ว่าการที่เราพิมพ์สมุดโน้ตเองเพราะเราจะได้ออกแบบให้เข้ากับสไตล์ของเราได้ ชอบรูปแบบไหนก็ออกแบบเองจะได้ถนัดในการเขียนและอ่าน

4.ในหน้าข้าง ๆ สร้างตารางไว้ 2 ช่อง ช่องหนึ่งคือ Plan ที่จะทำ และอีกช่องคือ Done สิ่งที่ทำไปแล้ว

5. เวลามีนัดหรือต้องทำอะไรพิเศษก็เขียนลงไป อาจใช้ปากกาไฮไลต์ขีดไปเลย

6. ทีนี้ถ้ามีอะไรนึกขึ้นมาได้ให้รีบจดลงไป เดี๋ยวลืม ลืมบอกไป เรามี Pocket Pc แต่ไม่ค่อยชอบในกรณีวางแผนการทำงาน เหตุผลคือ มันไม่ได้อารมณ์เท่าเขียนในตารางที่เราทำเอง

7. วันไหนที่ยุ่งมาก ๆ ให้เขียนเรียงไปเลยอย่างละเอียดเช่น – เติมน้ำมัน –ซื้อแฟ้ม –กินข้าว- ส่งไปรษณีย์- แวะหาอาจารย์ – โทรหาเพื่อน-...... จะได้ไม่พลาดตอนรีบๆ

8. ทีนี้วันไหนต้องทำอะไร อาจต้องเขียนเตือนล่วงหน้า เช่น กำหนดส่งงานต้องเขียนล่วงหน้า สมมติส่งวันที่ 14 ต้องเตือนวันที่ 7 มิฉะนั้นจะพบว่าต้องส่งงานเช้านี้ซึ่งจะทำก็ไม่ทันแล้ว

9. ก่อนนอนนั่งคิดซักนิดว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทำอะไรและจะทำอะไร ในวันพรุ่งนี้ แค่นี้ก็จะนอนอย่างสบายใจ

10. อันนี้สำคัญมากคือ ต้องทำตามแผนให้ได้ .. ไม่งั้นก็จะไม่มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะมานั่งเสียเวลาวางแผน

ถ้าไม่อยากมีปัญหาเรื่องของการทำงานในอนาคต คนเราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับเวลาให้เป็นระบบ ต้องมีการวางแผนในแต่ละวัน และคิดให้เท่าทันในแต่ละวันว่าเรามีจุดหมายในวันนี้อย่างไร ถ้าทำได้ตามนี้ คำว่า ไม่มีเวลา คงจะไม่หลุดออกจากปากแน่นอน..

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงวิธีจัดการกับเวลาของเรา คนอื่นอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ เพราะแต่ละคนย่อมมีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าจะประยุกต์วิธีของเรา เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็อาจจะช่วยให้เวลา 24 ชั่วโมงคุ้มค่าอย่างยิ่ง




 

Create Date : 23 สิงหาคม 2549    
Last Update : 23 สิงหาคม 2549 1:10:40 น.
Counter : 212 Pageviews.  


Atomic_bomb
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Atomic_bomb's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.