[Japan] Cloudy days in Hokkaido!.. ตอนที่ 3 Sapporo - Shakotan - Otaru - Sapporo
หายหน้าหายตาจากการเขียนบล๊อกไปนานพอสมควร.. 6 เดือนได้ นานมากกก! วันดีคืนดีก็มีรีวิวทริปฮอกไกโด ตอน 3 ออกมาซะงั้น.. แล้วตอน 1-2 หายไปไหน 55+ จขบ. ยังไม่ได้เขียนค่ะ ตอนนี้เขียนไว้นานมาก (อีกแล้ว) แต่ยังไม่มีโอกาสได้โพสต์สักที กะว่าจะรอเขียนให้ครบทุกตอน .. แล้วจะโพสต์ทีเดียว แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น เลยขอเอาตอนนี้มาลงก่อนละกัน.. บล๊อกนี้.. เราเขียนเกี่ยวกับข้อมูลการเช่ารถขับในฮอกไกโด คิดว่าน่าจะพอมีประโยชน์กับใครหลายๆ คน ^^ v v v (Day3 / 4 ส.ค. 2555) Sapporo - Shakotan - Otaru - Sapporo วันนี้.. เป็นวันแรกกับการเช่ารถขับในฮอกไกโด เราเลือกเช่ารถของ Nippon Rent a Car โดยจองผ่าน ToCoo Travel .. ซึ่งถูกกว่าจองตรงกับ Nippon Rent a Car อยู่นิดหน่อย .. ที่เลือกยี่ห้อนี้ เพราะเค้ามีสาขา Sapporo Station North อยู่ติดสถานี JR Sappro เลย.. สะดวกมากๆ สำหรับเรา.. เราเช่ารถทั้งหมด 5 วัน ค่าเสียหายทั้งหมดอยู่ที่ 47,040 เยน (≈ 18,816 บาท) .. ก็เท่ากับตกวันละ 9,408 เยน (≈ 3,763 บาท) .. เราจองรถ S-S Class + English GPS Plan.. ตกลงได้เจ้า Toyota Swift มาขับ ส่วน GPS ที่ว่า มันพูดภาษาอังกฤษได้ แต่หน้าจอเป็นภาษาญี่ปุ่น หลังจากได้รถ.. เจ้าหน้าที่ก็สอนวิธีสตาร์ทรถ การใช้ GPS การใช้บัตร ETC ฯลฯ ถ้าจำไม่ได้ก็เป็นไร เพราะเค้าจะให้คู่มือภาษาอังกฤษไว้เล่มหนึ่งด้วย ในนั้นมีหมดทุกอย่างที่คุณควรรู้ รวมทั้งเครื่องหมายจราจารต่างๆ.. ส่วนเจ้าบัตร ETC ก็จะคล้ายๆ กับ Easy Pass บ้านเรานั่นแหละ .. สุดท้ายตอนคืนรถ เราต้องมาจ่ายค่าทางด่วนกับเจ้าหน้าที่ของ Nippon Rent a Car อ้อ! อีกอย่างนึง.. ระหว่างที่รถวิ่งอยู่ GPS จะไม่ตอบสนองต่อคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น .. ถ้าอยากจะเปลี่ยน destination หรือใดๆ ต้องจอดรถก่อนค่ะ ไม่ต้องดับเครื่องก็ได้ .. ทีแรกเราก็ไม่รู้นึกว่า GPS มันแฮงค์ ก็เลยจอดรถ ดับเครื่องยนต์ แล้วสตาร์ทใหม่.. เพิ่งมาฉลาดเอาทีหลัง ปล. เจ้าหน้าที่ของ Nippon Rent a Car ที่เราติดต่อด้วย.. พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก แถมติดสำเนียงออสซี่อีก .. สอบถามได้ความว่าเธอไปเรียนภาษาที่ซิดนี่ย์มา 2 ปี ^^ การเช่ารถขับในฮอกไกโด.. ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะอยู่ที่ค่าเช่ารถ ซึ่งถือว่าแพงมากจริงๆ รองลงมาก็เป็นค่าทางด่วน.. ส่วนค่าน้ำมันที่เราคิดว่าแพง จริงๆ แล้วไม่ได้แพง (มาก) อย่างที่คิด .. 200 กม. แรกที่เราขับ เกจ์น้ำมันยังไม่ลดจาก Full เลย เรายังนึกว่าเกจ์น้ำมันเสียซะด้วยซ้ำ.. หลังจากขับไป 220 กม. เราแวะเติมน้ำมัน 12.30 ลิตร จ่ายไป 1,661 เยน (≈ 664 บาท) .. เท่ากับค่าน้ำมันกิโลเมตรละ 7.55 เยน (≈ 3 บาท) .. หรือถ้าคำนวณกลับกัน น้ำมัน 1 ลิตร จะรถจะวิ่งได้เกือบ 18 กม. ทีเดียว.. ถือว่าประหยัดน้ำมันมาก สุดท้าย.. สิ่งที่ลืมไม่ได้กับการเช่ารถขับในญี่ปุ่นก็ ใบขับขี่สากล นะค้า ^^ปล. พร่ำมาซะยาวเลยเรา 55+.. Toyoko Inn Sapporo-eki Kita-guchi -- 4 mins walks --> Nippon Rent a Car (Sapporo Station North) -- 101 km about 2 hours 29 mins drive --> 島武意海岸の青 Shimamui Coast (Cape Shakotan) -- 15.9 km about 1 hour 0 mins drive --> 神威岬 Cape Kamui (Kamui Misaki) -- 67.8 km about 1 hour 57 mins drive --> Otaru -- 37.2 km about 40 mins drive --> Toyoko Inn Sapporo-eki Kita-guchi
v v v ตอนที่เราวางแผนทริปนี้.. เราเกือบจะตัด Shakotan ออกจากแพลน เพราะการเดินทางจาก Sapporo ไป Shaktotan.. ค่อนข้างลำบากนิดนึง .. ต้องนั่งรถไฟจาก Sapporo ไปต่อรถบัสที่ Otaru หรือ Yoichi รถบัสที่วิ่งในแต่ละวันก็น้อยมาก.. เราไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงกับการตกรถสักเท่าไหร่ .. อีกทางเลือกนึงก็ซื้อ Day Tour จาก Sapporo เผอิ๊ญไปเจอ 2 คลิปนี้ใน Youtube.com เข้า.. กรี๊ดแตก "สวยมาก!" สุดท้าย.. เลยตัดสินใจเช่ารถเพิ่มอีก 1 วัน.. VIDEO VIDEO . . . นั่งรถกันพอเหมื่อยก้นเล็กน้อย.. เราก็มาถึง Shimamui Coast (Cape Shakotan) 島武意海岸の青 (GPS 43.370429,140.46772 / Map Code 932 747 229 ).. ไม่ทันจะได้จอดรถ ฝนก็เริ่มโปรย.. เซ็งเล็กน้อย คงไม่ได้เห็นฟ้าใสๆ กับน้ำทะเลสวยๆ แบบในคลิปแล้วล่ะ.. ทำใจเรียบร้อย -_- เราต้องเดินลอดอุโมงค์นี้ไป.. เพื่อไปสวรรค์ที่สุดอุโมงค์นะ อิอิ (เว่อร์อีกแล้ว!) ถ้าแดดดีๆ ก็คงได้เห็นสวรรค์จริงๆ นั่นแหละ.. ดอกไม้สวยๆ.. ก่อนเดินเข้าอุโมงค์ ในอุโมงค์มืดมากๆ.. ตอนเดินๆ ไป กลัวจะมีสัตว์เลื้อยคลานซ่อนอยู่จริงๆ -_- เย้! ออกจากอุโมงค์ด้วยความปลอดภัย .. ไม่เจอสัตว์ประหลาดใดๆ ในอุโมงค์ ^^ เห็นคนอยู่ด้านล่างลิบๆ.. ฉุกคิดบ้างอย่างขึ้นมาได้ หันไปถามเพื่อนร่วมทริป เรา: เดี๋ยวต้องเดินลงไป.. แล้วก็ต้องเดินขึ้นด้วยใช่เปล่า เพื่อนร่วมทริป: เอ้า! ก็ใช่นะสิ เรา: ก็เค้าขี้เกียจอ่ะ เพื่อนร่วมทริป: หัวเราะด้วยความซะใจ .. แล้วฮีก็พูดปลอบว่า ไม่เป็นไร เหนื่อยก็หยุดพัก อ่ะจ๊ะ.. มาเที่ยวกับฮี เดินขึ้นเขาลงเขากันเป็นว่าเล่น นี่ขนาดฟ้าหม่น.. น้ำทะเลยังสีสวยขนาดนี้ ถ้าแดดดีๆ คงสวยกว่านี้ร้อยเท่า.. เสียดายอีกแล้ว -_- ค่อยๆ เดินลงกันนะคะ.. เรือนำเที่ยว.. วิ่งผ่านแถวนี้ด้วย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเค้าไปขึ้นกันที่ไหน.. ดอกไม้ ระหว่างทาง.. เห็นสีหน้าคนที่เดินขึ้นมาแต่ละคน.. แล้วจินตนาการถึงภาพตัวเองในสถานการณ์เดียวกัน -_- เดินใกล้ถึงแล้วค่ะ.. เหมือนเคยเห็นเจ้าลูกนี้ในกระทู้ของคุณ ว่านน้ำ .. ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นผลไม้ชนิดนึง แถวนี้เป็นหาดหิน.. เดินยากนิดนึง คนญี่ปุ่น.. เวลาเค้ามาพักผ่อนชายทะเล ก็คล้ายๆ คนไทยนะ มีก่อกองไฟ เอาโน้นนี้มาปิ้งกินกัน.. น่าสนุกดี เราเตรียมตัวชุดว่ายน้ำ หน้ากากดำน้ำ กับผ้าขนหนูมาด้วย .. กะมา snorkeling เต็มที่ เลียนแบบคลิปที่แปะไว้ด้านบน แต่ดูสภาพใต้น้ำแล้ว.. ไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ คงจะมีแต่ปลาตัวเล็กๆ.. เปลี่ยนใจไม่ลงน้ำดีกว่าปล. กอสาหร่ายใต้น้ำเต็มไปหมด.. ดอกไม้แปลกๆ อีกแล้ว ^^ . . . กว่าจะเดินกลับขึ้นมาถึงด้านบน.. หยุดพักไป 3 แฮ่ก ทำเอาท้องร้องโครกคราก.. หิวสุดๆ แถบ Shakotan เค้าดังเรื่องหอยเม่น.. ใกล้ที่จอดรถ.. มีร้านอาหารอยู่ร้านนึง เสิร์ฟเมนูข้าวหน้าหอยเม่น (Uni Donburi) ด้วย .. ลูกค้าในร้านส่วนมาก็สั่งเมนูนี้.. แต่เราไม่สั่ง หุหุ เราเลือกเซ็ทนี้แหละ ถูกสุดแล้ว.. 700 เยน (≈ 280 บาท) รสชาติผิดจากที่คาดหวังไว้นิดหน่อย.. เรานึกว่าเป็นปลาสดย่าง .. แต่กลายเป็นคล้ายปลาแดดเดียว + ปลาเค็มย่าง กลิ่นออกตุๆ นิดนึง แต่ไม่ถึงกับแย่.. ต้องทานกับหัวไช้เท้าขูดที่ให้มา จะค่อยยังชั่วนิดนึง . . . อิ่มแล้ว.. ค่อยมีแรงขึ้นมาหน่อย เราเดินย้อนกลับไปทางเก่า.. เดินเลยทางเข้าอุโมงค์ไป ได้วิวมุมสูงมาอีกมุมนึง.. ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ.. เดินทางต่อไป next destination ของเราดีกว่าค่ะ Cape Kamui v v v จริงๆ ระยะทางจาก Cape Shakotan ไป 神威岬 Cape Kamui (Kamui Misaki) (GPS 43.3274,140.356856 / Map Code 932 583 071 ).. ไม่ไกลเลยค่ะ ประมาณ 16 กม. แต่ขับรถกันเป็นชั่วโมงเลย.. บางช่วง ถนนคดเคี้ยวทีเดียว จะใช้ความเร็วก็ไม่ได้ จากปกติก็ขับช้ากันอยู่แล้ว เลยต้องแปลงร่างเป็นรถหวานเย็น.. ถึง Cape Kamui แล้ว.. ก็เตรียมตัวเดินกันต่อได้ค่ะ จากป้ายที่เห็นด้านซ้าย.. บอกเราว่าบริเวณนี้มีจุดชมวิวด้วยกัน 3 จุด เราเลือกเดินอันที่ง่ายที่สุดก่อนละกันเนอะ.. "เดินตรงไปเลยค่ะ" มองกลับมาใกล้ที่จอดรถ.. อาคารที่เห็นคือห้องน้ำค่ะ ทำซะสวยเชียว ป้ายหน้าห้องน้ำก็มีแต่ภาษาญี่ปุ่น.. ก็เลยต้องให้หน่วยกล้าตาย (สามีเดี๊ยนเอง) เข้าไปสำรวจก่อน ดอกไม้งามๆ ระหว่างทาง.. จากตรงนี้.. เราไม่บรรยายอะไรมากละกัน แต่ขอแนะนำกระทู้นี้แทนค่ะ.. ไปอ่านข้อมูลของคุณ like_the_moon มาก่อนนะ .. แล้วค่อยมาดูรูปเอาเพลินในบล๊อกเรา แบบบล๊อกนี้เนื้อหาสาระไม่ค่อยมี หุหุ (เล่นกันง่ายๆ แบบนี้เลยวุ๊ย ^^) [CR] สองคนเดินช้า @Hokkaido.....ตอนที่ 2...ตามหาทะเลสีฟ้า Blue Shakotan... เดินจบครบรอบ.. ที่จอดรถอยู่แค่เนี่ยเอง จะว่าไปก็ชอบนะ.. มองไปทางไหนก็เขียวชอุ่มไปหมด ^^ ภาพนี้.. ถ่ายมาจากหน้าห้องน้ำ เห็นขั้นบันไดไหมล่ะ.. เดินขึ้นทีก็หอบเหมือนกันนะ วันนี้ยังไม่ได้หม่ำ soft cream เลย.. พลาดไม่ได้อยู่แล้ว แหะ แหะ เดินเข้าไปที่ร้าน พร้อมชูนิ้วชี้ 1.. คุณลุงถามว่า Blue.. พยักหน้าหงึกๆ = ใช่ค่ะ ได้ Shakotan Blue soft cream มาหม่ำ 1 โคน หุหุ.. รสชาติออกทางมินท์อ่อนๆ+วานิลลา.. หวานๆ หอมๆ อร่อยค่ะ ^^ (300 เยน ≈ 120 บาท) เดินทางต่อกันเลยค่ะ.. จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ Otaru v v v สำหรับที่จอดรถใน Otaru.. เราเลือกจอดที่นี่ (GPS 43.200968, 141.003727 ) ค่ะ เปิดบริการ 07:00 - 20:00 น. ทุกวัน.. ค่าจอดรถอาจจะไปแพงไปหน่อย 600 เยน (≈ 240 บาท) ต่อวัน .. ยิ่งเรามาถึงเย็นแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่าค่าจอดรถแพงมากขึ้นไปอีก -_- ที่เราเลือกจอดที่นี่ เพราะว่าใกล้ Otaru Canal มาก.. เดินยังไม่ทันเหนื่อยเลย (230 ม., 3 นาที) ที่จอดรถ.. จะมีคุณลุงเฝ้าอยู่ค่ะ จ่ายเงินให้คุณลุง แล้วเอาตั๋วที่ได้มาวางไว้หน้ารถด้านใน.. ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย++ Otaru Canal.. อันโด่งดัง ++ กว่าเราจะมาถึง Otaru.. ร้านรวงก็เริ่มปิดกันแล้ว .. ที่นี่ร้านเค้าปิดกันเร็วมาก ซัก 6 โมงก็เริ่มเงียบแล้วค่ะ .. ร้านของที่ระลึก, Otaru Music Box Museum, ร้านเบเกอรี่ (Kitakaro, Le TAO) ที่ตั้งใจไว้ทั้งหลายก็ต้องเป็นอันยกเลิก .. "เสียดายอ่า ฮือ ฮือ" T.T อยากจะมานอนค้างที่นอนซักคืนนึง.. รถลาก.. ก็ยังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวในญี่ปุ่น แต่คนลากที่นี่ แต่งตัวไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศทั้งเท่าไหร่เนอะ.. มื้อเย็นวันนี้ เราเลือกไว้ 3 ร้าน.. 1. Sushi-Zanmai (GPS 43.196718,141.003926 ) 2. UO MARU: Otaru sushi and grilled fish 3. Tempura Ishimizu .. เมื่อวานก็ทาน Sushi-Zanmai ที่ Sapporo ไปแล้ว.. UO MARU ก็กลัวจะไม่มีเมนูที่คุณสามีทานได้ หวยก็เลยมาออกที่ Tempura Ishimizu.. อยากจะบอกว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มาทานร้านนี้ .. เทมปุระร้อนๆ ทอดและเสิร์ฟกันซึ่งๆ หน้า.. สุโค่ย! ^^ปล. ร้านนี้.. เรารีวิวไปแล้วนะคะ "[Otaru, Hokkaido] Tenpura Ishimizu (てんぷら石水) " หลังจากอิ่มอร่อยกับสุดยอดเทมปุระแล้ว (เว่อร์ไปเปล่าเนีย อิอิ).. เราแวะที่ Otaru warehouse No.1 (小樽倉庫) (GPS 43.199099,141.002547 ) .. กะจะไปนั่งจิบเบียร์ ชมบรรยากาศ Otaru Canal ซักหน่อยปล. ร้านนี้ถือเป็นร้านดังอีกร้านนึงใน Otaru.. เข้าไปในร้านแล้วบรรยากาศไม่ค่อยน่านั่งเท่าไหร่ .. เลยตัดสินใจซื้อเบียร์ กลับบ้านดีกว่า แถมต้องรีบกลับไปเอารถซะก่อนคุณลุงกลับบ้าน .. เดี๋ยวงานจะเข้า v v v บล๊อกหน้าจะพยายามคลอดให้ไวกว่านี้นะคะ.. เค้าสัญญา ^^
Create Date : 08 มีนาคม 2556
Last Update : 13 มีนาคม 2556 15:59:54 น.
Counter : 14907 Pageviews.
[USA] American Southwest.. ตอนที่ 1 The Wedding
ในที่สุดรีวิวตอนแรกของทริปนี้ก็คลอดจนได้ เย้!.. หลังจาก 3 เดือนผ่านไป อิอิ.. ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนรีวิวทั้งหมด 5 ตอน จุดประสงค์หลักของทริปนี้ ก็คือพวกเราต้องไปร่วมงานแต่งงานของน้องสาวคุณสามี .. ส่วนจุดประสงค์รองก็ทริปสงกรานต์ ทริปใหญ่ประจำปีของพวกเรา ^^ ทริปนี้.. เราสองคนขับรถเที่ยวกันเอง จะเรียกว่า Road trip ก็ได้เนอะ เราไปสำรวจบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ (American Southwest) ของประเทศอเมริกามาค่ะ อยากรู้ว่าพวกเราไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ก็ต้องคอยติดตามชมกันนะคะ ^^ v v v (Day1 / 27 มี.ค. 2555) ถึงสนามบินนาริตะ.. หิวโซมาก จริงๆ อยากทานซูชิมากกว่า แต่ขอเพลย์เซฟดีกว่า ..ถ้าปวดท้องที่หลังแล้วจะยุ่ง แวะร้านขายอุด้ง.. แต่เค้ามีป้ายเล็กๆ เขียนว่าเปลี่ยนเส้นเป็นโซบะได้ เราชอบทานโซบะมากกว่า.. ก็เลยสั่งมาซะ “Tempura soba” เค้าเสิร์ฟมาชามใหญ่มากๆ นึกว่าจะทานไม่หมด แต่พยายามยัดจนหมด.. กลัวว่าจะไปหิวบนเครื่องอีก เรียกว่ากินเผื่อไว้ล่วงหน้าดีกว่า อิอิ ^^ ชามนี้ของคุณสามี.. เป็นโซบะกับเต้าหู้ จำราคาไม่ค่อยได้ น่าจะราวๆ 1000 เยน อิ่มของคาวแล้ว ต้องหาของหวานล้างคอ เดินเข้าร้านของฝาก.. เห็นหนุ่มญี่ปุ่นกำลังถือเจ้ากล่องนี้ตั้งนึง ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ เราก็เลยเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัยว่ามันอร่อยเหรอ .. เค้าบอกอร่อย เราก็เลยซื้อมาลองกล่องนึง.. กัดไปคำแรกก็เฉยๆ นะ แป้งด้านนอก.. กรอบๆ จนเกือบแข็ง ไม่ค่อยมีรสชาติ ไส้ด้านใน.. มีรสชาเขียว ครีมสด และถั่วแดง แต่รวมสองอย่างแล้ว มันเข้ากั๊นเข้ากัน สรุป เป็นอะไรที่กินแล้วหยุดไม่ได้ ^^ ปล. ขากลับเมืองไทย ก็แวะทรานสิทที่นาริตะอีกก็ไปสอยเจ้าขนมนี้มาอีก 4 กล่องใหญ่.. กินกันเบื่อไปเลย 55+ ขนมอีก 2 อย่างที่ได้มา 1. ป๊อกกี้ยักษ์ชาเขียว .. จริงๆ อยากได้ป๊อกกี้กล่องเล็กๆ แต่หาซื้อไม่ได้เลย 2. Jaga Pokkuru มันฝรั่งทอดชื่อดังจากฮอกไกโด.. เป็นโปเตโต้สติ๊กชิ้นเล็กๆ ที่กรอบมาก ได้รสชาติมันฝรั่งเต็มๆ .. เราเพิ่งเคยทานเป็นครั้งแรก ก็ไม่ได้ประทับใจรสชาติเจ้านี่สักเท่าไหร่ ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะเลยกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง .. เดินผ่านร้านนึง ขายหนังสือและอุปกรณ์ origami แถมมีผลงานตั้งโชว์ด้วย.. น่าสนใจทีเดียว โห! แต่ละชิ้นท่าทางทำยากเหมือนกัน ชิ้นนี้พับแต่ละด้านก่อน.. แล้วนำมาประกอบกันทีหลัง เราชอบชิ้นนี้ที่สุด.. ไอเดียสุดยอด! อยากรู้ว่าทำไมต้องสังเกตภาพต่อไปค่ะ.. เรียกได้ว่าเป็นภาพสามมิติของแท้ ^^ ชิ้นนี้ก็สวย ชิ้นนี้ใส่กรอบเรียบร้อย.. อยากได้ไปแปะผนังบ้านจัง ชิ้นนี้.. เล่าเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ ถ่ายมาได้แค่ครึ่งเฟรมเอง.. ชิ้นนี้.. เป็นโมบายเด็กผู้หญิง .. ดูชิ้นนี้เสร็จ ก็ขอแจ้นไปขึ้นเครื่องก่อนนะคะ ดูกันเพลินลืมเวลาไปเลย ^^ v v v (Day2 / 28 มี.ค. 2555) หลังจากที่เดินทางมาเกือบ 24 ชม... เราก็มาถึง LAX โจมารับเราที่สนามบิน เพื่อไปส่งยังที่พัก “Mediterranean Village ” .. ซึ่งอย่างน้อยเราต้องเดินทางต่ออีก 45 นาที โจถามว่าหิวไหม.. เราบอกว่าหิว และอยากกิน In-N-Out Burger แหะ แหะ.. ได้เบอร์เกอร์มาหม่ำแก้หิวสมใจ แต่รู้สึกว่ามันไม่อร่อยเท่ากับที่เคยกิน . . . หลังจากแวะซื้อเบอร์เกอร์เรียบร้อย.. เราก็ตรงมาเช็คอินที่ Mediterranean Village, Orange County ที่นี่เป็น Long-term apartment for rent.. แต่มีอพาร์ทเมนท์ห้องนึง ซึ่งจัดไว้สำหรับญาติสนิทมิตรสหายของผู้เช่าระยะยาวเข้ามาพักได้ .. โดยจ่ายค่าเช่าในราคาไม่แพง ++ Mediterranean Village’s Lobby++ อพาร์ทเมนท์ที่เราพัก มี 1 ห้องนอน, 1 ห้องนั่งเล่น, 1 ห้องครัว และ 1 ห้องน้ำ ++ โต๊ะรับประทาน ที่ตั้งไว้บริเวณห้องนั่งเล่น++ .. จากตรงนี้เห็นสระว่ายน้ำด้วยค่ะ ค่าห้องที่นี่.. ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะแค่ 60-70 USD (ประมาณ 1,800-2,100 บาท) .. ซึ่งถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับราคาโรงแรมที่มี facilities & amenities แบบเดียวกันในเมืองไทย ++ ห้องนอน.. เตียงเล็กไปหน่อยนะ ++ ฟักผ่อนยังไม่ทันหายเหนื่อยเลย.. คุณสามีชวนไปเดินเล่นช้อปปิ้งที่ Trader Joe’s เราได้สตอร์เบอร์รี่มากล่องนึง.. สตอร์เบอร์รี่ลูกใหญ่ทีเดียว หวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย อร่อยดี.. จริงๆ เราชอบสตอร์เบอร์รี่หวานๆแบบสตอร์เบอร์รี่ญี่ปุ่นมากกว่า v v v (Day3 / 29 มี.ค. 2555) ไฮไลท์ของวันนี้ก็คงเป็น “Food Truck” นี่แหละ .. เป็นเทรนด์ที่อเมริกามาพักนึงแล้ว Food truck เป็นคล้ายร้านอาหารแบบไม่มีที่นั่งเคลื่อนที่ .. แต่ละคันจะเปลี่ยนที่จอดไปเรื่อยๆ ลูกค้าก็จะตามดูสเตตัสว่าตอนนี้จอดอยู่ที่ไหนได้ทาง Twitter ของร้าน .. บางทีก็จะนัดรวมตัวกันเหมือนวันนี้ บางร้านดังหน่อย ลูกค้าก็เข้าคิวรอยาวเชียว .. แต่อย่างร้านนี้ก็ค่อนข้างเงียบทีเดียว ++ Dogzilla Hot Dog ++ เราสั่ง Dogzilla Dog (ราคา 6 USD ≈ 180 บาท) มาจากร้านด้านบนอันนึง .. All beef frank, grilled onion, teki (teriyaki sauce), jayo (Japanese mayo), avocados, bacon bits และ Furikake seasoning อ่านจากส่วนผสม รู้สึกว่ามันน่ากินมาก .. รสชาติโดยรวมก็ออกหวานๆ มันๆ ขนมปังก็นุ่มดี แต่ไส้กรอกนี่สิ ไม่ไหวเลย.. ไม่สู้ฟันเอาซะเลย เราชอบกินไส้กรอกเด้งๆ แบบไส้กรอกเยอรมันมากกว่า อ้อ! ก่อนกลับได้ไอศกรีมเบียร์ดำจาก “"Waffles de Liege"” กลับบ้านมา pint นึง อร่อยดี.. ได้รสชาติเบียร์ แต่ไม่เมา 55+ ++ Dogzilla Dog ++ v v v (Day4 & 8 / 30 มี.ค.-3 เม.ย. 2555) วันนี้ก็ถึงเวลาเปลี่ยนที่นอนซะที.. เราขับลงใต้จาก Costa Mesa ประมาณ 90 กม. (1 ชม.) มายังเมือง Carlsbad .. ซึ่งถือว่าเป็นเมืองชายทะเลตากอากาศที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่งของแคลิฟอร์เนีย เราจอง Carlsbad Inn Beach Resort ไว้ 4 คืนค่ะ.. ++ วิวจากระเบียงห้องพัก ++ ห้อง "Hotel Premier King Room".. ราคา 180 USD ต่อคืน.. ไม่รวมอาหารเช้าค่ะ . . . อย่างที่เคยบอกว่า ทริปนี้ต้องมางานแต่งงานด้วย.. หลังจากเช็คอินที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว.. เราก็บึ่งรถไปบ้านที่จะจัดงาน “Levy Land ” Levy Land เป็นบ้านหลังใหญ่ใกล้ชายหาด ทั้งโลเกชั่น.. ทั้ง Exterior-interior ของบ้านสวยมาก.. ที่นี่เค้าคิดค่าเช่าเหมาค่ะ.. ต้องเช่า 6 วัน 6 คืน สนนราคาก็อยู่ 5,600 USD ≈ 168,000 บาท เราว่าคุ้มราคานะ.. 3 ห้องนอน แถมโซฟาทั้งหมดในบ้าน สามารถดึงออกมาเป็นเตียงได้หมดเลย .. อย่างน้อยๆ ก็นอนกันได้ 10-12 คนล่ะ ตัวบ้านตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่.. ส่วนตัวบ้านเองมีพื้นที่ 560 ตร.ม. .. ในส่วนของไม้ดอก ไม้ประดับด้านนอก ก็ดูแลได้อย่างดีเยี่ยม .. ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงดอกไม้บาน ยิ่งทำให้บ้านหลังนี้มีเสน่ห์เข้าไปใหญ่ ^^ .. จากชั้น 2 จะเห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา สวยมาก (อีกแหละ) ^^ ++ ภาพจาก terrace ชั้นล่าง ++ เนื่องจากธีมงานเป็นสีม่วงพลัม.. ทุกสิ่งอย่างในงานก็เป็นสีนี้หมด .. ขนาดแขก VIP ในงานก็ยังใส่เสื้อผ้าโทนสีนี้ ++ Centerpiece ++ สำหรับวางบนโต๊ะดินเนอร์ ++ ช่อดอกไม้ของเจ้าสาว ++ เริ่มเซ็ทโต๊ะ สำหรับดินเนอร์รีเซฟชั่นแล้วค่ะ.. งานนี้เจ้าของงานและญาติๆ จัดการเองกันเกือบหมด .. ยกเว้นเรื่อง catering โคมกระดาษสีม่วงๆ ขาวๆ ก็ปีนขึ้นไปผูกกันเอง จขบ. ก็เป็นหนึ่งในลูกมืองานนี้ -_-“ ก่อนงานจะเริ่ม.. แขกทุกท่านเดินไปรวมตัวกันที่หน้าหาด ทุกคน.. ยืนรอเจ้าบ่าว-เจ้าสาวมาแลกเปลี่ยน Wedding vow และแหวนกันตรงนี้ ^^ แถบนี้ก็มีแต่บ้านแพงๆ อ่ะ.. ++ Carlsbad Beach ++ จากชายหาด.. มองย้อนกลับไปก็จะแวะ Levy Land ตั้งอยู่อย่างสันโดษ ยามเย็นจาก Levy Land.. ของชำร่วยเค้าเก๋ไหมละ?.. เบียร์หมักเอง กว่าจะได้มาเนี่ย ต้องไปเข้าคอร์สเรียนเป็นเรื่องเป็นราว ^^ . . . ดอกไม้ทั้งหมดด้านล่างนี้ ถ่ายจากหลายโลเกชั่นในเมือง Carlsbad.. ทั้งในตัวเมือง, ริมหาด, Levyland & etc. .. แต่ละชนิดเรียกว่าอะไรกันบ้าง จขบ.ก็จนปัญญาค่ะ ดอกนี้ขึ้นอยู่บนหาดเลยค่ะ.. เราโชคดีว่าช่วงที่ไปดอกมันบานพอดี ^^ อันนี้.. มั่นใจแน่นอนว่าเป็นกุหลาบ 55+ อันนี้เป็นอีกชนิดหนึ่งที่ขึ้นบนหาด.. v v v (Day9 / 4 เม.ย. 2555) Newport Beach, CA วันนี้ถือเป็น Family Day ละกัน.. หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยจากดราม่าทั้งหลาย พวกเราเปลี่ยนใจจะไปล่องเรือชมโลมาแทนการขับรถไปเที่ยว San Diego กัน .. เราว่าก็ดีเหมือนกัน ขี้เกีขจนั่งรถและขี้เกียจเดินด้วย.. เพราะใช้พลังงานในงานแต่งงานไปพอสมควร อิอิ ^^ “[USA] ล่องเรือชมโลมา @ Newport Beach, California” v v v (Day10 / 5 เม.ย. 2555) Costa Mesa, CA – Sedona, AZ ขอเกริ่นก่อนว่า.. ทริปนี้เป็นทริปที่แพลนยากที่สุดทริปนึง จับต้นชนปลายไปถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ไหนดี .. แบบว่านึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะไปเที่ยวไหนดี อเมริกาฝั่งนี้ก็เที่ยวมาหลายรอบแล้ว เมืองใหญ่ๆ ก็ไปมาหมดแล้ว ทั้งแอลเอ ซานฟราสซิสโก ฯลฯ คุณสามีออกไอเดียว่าไป Cabo San Lucas ที่ Mexico ไหม.. จากที่เช็คข้อมูลดู ที่นี่เหมือนเป็นเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล ไม่ค่อยมีอะไร unique .. เราว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เอ.. หรือจะไป Cancún + Tulum ดี แต่ก็ไกลไปอีกนั่นแหละ และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้างเรา อิอิ ว่าไปนั้น เราไปเจอบล๊อก "All American Road: Volcanic Legacy Scenic byway ขับรถเที่ยว เส้นทางภูเขาไฟที่สวยงาม " ของคุณหนึ่ง "AdrenalineRush " ธรรมชาติงามมาก อยากจะไปขึ้นมาทันที.. เราหลังไมค์ไปไปปรึกษากับคุณหนึ่ง ไปๆ มาๆ ก็ยกเลิกแผนที่อีกแหละ.. เพราะช่วงเดือนเมษายนที่เราจะไป หิมะยังหนาอยู่และหนาวมาก แค่ได้ยินคำว่าหนาวมาก เราก็ขอบายแล้ว.. แบบว่าไม่ค่อยถูกกับความหนาวสักเท่าไหร่ ^^ สุดท้าย.. คุณหนึ่งแนะนำแผนเที่ยว Utah & Arizona ทุกอย่างลงตัวพอดี.. เราเลือกแผนนี้แหละ ยังไงเราต้องขอบคุณคุณหนึ่งมากๆ สำหรับข้อมูลต่างๆ .. ถ้าไม่ได้คุณหนึ่งเราคงปวดหัวมากกว่านี้หลายเท่า ^^ . . . Road-trip ครั้งนี้ใช้เวลาทั้งสิ้น 8 วัน 7 คืน.. โดยขับรถเป็นวงกลมเริ่มต้นและจบท้ายที่ Costa Mesa, CA .. ซึ่งเราพักค้างคืนตามเมืองต่างๆ ดังนี้ Sedona, AZ - 2 คืน Grand Canyon, AZ - 2 คืน Page, AZ - 1 คืน Bryce Canyon City, Utah - 1 คืน Las Vegas, AZ - 1 คืน . . . วันนี้.. เราต้องขับรถไกลถึง 744 กม. (7 ชม. 44 นาที) จาก Costa Mesa, CA ไปยัง Sedona, AZ .. นั่งรถกันเมื่อยเลย จริงๆ ขับรถในอเมริกาก็น่าเบื่อเหมือนกัน.. เพราะเร่งสปีดตามใจฉัน เหมือนที่เมืองไทยไม่ได้ ^^ วิวทิวทัศน์ข้างทางก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปลกตาดี.. ยิ่งตอนช่วงก่อนถึง Phoenix.. เป็นทะเลทรายแห้งแล้งมาก ภาพช่วงนี้.. เพิ่งออกจาก CA ไม่นาน บนยอดเขายังมีหิมะปกคลุมอยู่นิดหน่อย Windmill (กังหันลมผลิตไฟฟ้า).. เต็มไปหมดทั้ง 2 ข้างทาง แต่ละต้นก็ใหญ่ยักษ์อลังการ ภูเขาหัวตัด.. ที่ไหนสักที่ ^^ ถนนเค้าก็จะประมาณนี้.. “3 คำ” ใหญ่ ว่าง โล่ง .. รถจะติดจริงๆ ก็ตามเมืองใหญ่ๆ ที่ถ่ายภาพนี้.. ก็เพราะชอบเมฆก้อนนั้นก็เท่านั้นเอง ^^ . . . เข้าเมือง Sedona ปุ๊ป.. Red rock ก็โผล่มาให้ยลโฉมทันทีทันใด สมกับชื่อว่า “The Red Rock of Sedona” จริงๆ Red Rock แต่ละอันก็มีรูปร่างและชื่อแตกต่างกันไป .. อย่างอันซ้ายมือเรียกว่า Bell Rock หรือหินรูประฆังนั้นเอง แสงอาทิตย์ยามเย็นที่นี่.. ส้มได้ใจจริงๆ เราก็แวะจอดถ่ายรูปกันไปเรื่อย.. ประมาณว่าตื้นเต้นกับ Red rock อีกอย่างนึงเราแพลนกันไว้ว่าจะนอนที่ Sedona แค่คืนเดียว .. และจะไปค้างที่ Flagstaff ในคืนถัดไป ดวงจันทร์.. ลอยกลมอยู่โน้นแหนะ . . . กว่าจะถึงที่พักที่จองไว้ก็มืดพอดี เราเช็คอินที่ “Orchards Inn ” ที่เลือกที่นี่ก็เพราะวิวเลย.. แบบเปิดประตูระเบียงออกมาก็เห็น Red rock เต็มๆ จองห้อง Red Rock Deluxe King Room ไว้ ราคา 161.10 USD.. ราคานี้รวมอาหารเช้า Wi-Fi และที่จอดรถ ปล. โรงแรมที่อเมริกาบางแห่ง จะคิดค่าบริการที่จอดรถเพิ่มจากค่าห้องแต่ที่สังเกตดูส่วนมากจะเป็นโรงแรมในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ห้องพักที่นี่ดีทีเดียวหละ.. ใหม่มาก มีเตาผิงด้วย ส่วนตัวเราชอบเตาผิงมากกว่าฮีทเตอร์ .. มีความรู้สึกว่าเวลาเปิดฮีทเตอร์แล้ว อากาศมันจะแห้งๆ หายใจไม่ค่อยสบาย ++ ระเบียงห้องด้านหลัง ++ ไงหละ.. วิวจากระเบียงงามไหม ^^ . . . ตอนนี้หิวมาก.. ขอไปหาอะไรหม่ำก่อน ตอนที่เช็คอินได้บัตรส่วนลดร้านอาหารมา 2-3 ร้าน.. ซึ่ง 2-3 ร้านที่ว่าก็เจ้าของเดียวกับ Orchards Inn นี่หละ เราก็แวะดูเมนูมันทุกร้านที่ว่าเลย .. สุดท้าเราตกลงจะทานดินเนอร์กันที่ “Open Range Grill & Tavern ” เป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองรสชาติ Chicken wings ที่อเมริกา .. เห็นขนาดแล้วตกใจ.. มันใหญ่กว่า Chicken wings ที่เห็นในกรุงเทพฯ ถึง 3 เท่า ยังงงๆ อยู่ว่าเค้าใช้ไก่พันธุ์ไหนกันเนี่ย ทำไมมันใหญ่จัง สารภาพว่าแค่ 4 ชิ้นเอง.. เรายังกินคนเดียวไม่หมดเลย ต้องห่อใส่กล่องกลับบ้านตามเคย ++ Chicken wings ++ เสิร์ฟมาพร้อมกับ Blue Cheese และ Horseradish Dipping Sauce จานนี้.. สลัดสักอย่าง จำไม่ได้แล้วหล่ะ แหะ แหะ ++ Jalapeño Macaroni and Cheese ++ จานนี้แปลกดี.. เนื่องจากพริก Jalapeño ดองลงไปด้วย รสชาติออกแบบเปรี้ยวๆ ปะแล่มๆ . . . ระหว่างที่ทานอาหารเย็น.. ก็อ่านข้อมูลสถานที่เที่ยวทั้งหลายที่ขอมาจากฟร้อนท์ไปด้วย .. แหล่งท่องเที่ยวที่นี่น่าสนใจกว่าที่ Flagstaff Courtyard Flagstaff ที่เราจองไว้สำหรับคืนพรุ่งนี้ ก็ยกเลิกได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ถึง 18:00 ของวันที่เช็คอิน .. พวกเราจึงตกลงใจว่าจะค้างคืนที่ Sedona เพิ่มอีกหนึ่งคืน กลับถึง Orchards Inn.. สอบถามเรื่องห้องพัก ฟร้อนท์แจ้งว่ามีห้องว่างเฉพาะที่ตึกเก่า .. พร้อมยื่นกุญแจให้เราเข้าไปเช็คสภาพห้องได้เลย .. โอเคล่ะ พักห้องนี้ก็ได้.. เสียดายอย่างเดียวที่ห้องนี้ราคาเท่ากับห้องบนตึกใหม่เลย ++ ภาพจากหน้าร้านเครื่องรางทั้งหลาย ++ จริงๆ อยากถ่ายพระจันทร์มากกว่า ^^ v v v พรุ่งนี้จะชวนไปเดินออกกำลังกายขึ้นเขา.. เพื่อไปชม.. “Devil's Bridge” กันค่ะ ไปดูกันสิว่ามันจะสูงน่ากลัวขนาดไหน!
Create Date : 27 กรกฎาคม 2555
Last Update : 27 กรกฎาคม 2555 22:10:40 น.
Counter : 4289 Pageviews.
[Japan] Cloudy days in Hokkaido!.. ตอนที่ 3 Sapporo - Shakotan - Otaru - Sapporo [USA] American Southwest.. ตอนที่ 1 The Wedding [Australia] เที่ยวหลากรส.. หลายสไตล์ @ Brisbane [USA] ล่องเรือชมโลมา @ Newport Beach, California [Italy] Italia, ti amo. ตอนสุดท้าย.. Hello Venice! [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 7 Cinque Terre.. วิมานบนผืนดิน [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 6 San Gimignano - A Small Medieval Hill Town [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 5 Pisa - UNESCO World Heritage Site [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 4 Breathtaking Florence! [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 3 Borghese Gallery and one more round in Rome [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 2 Rome (Part II).. Vatican City [Italy] Italia, ti amo. ตอนที่ 1 Rome.. ก้าวแรกสู่อิตาลี Maldives, the Last Paradise on Earth #3 Maldives, the Last Paradise on Earth #2 Maldives, the Last Paradise on Earth #1 ฮ่องกง.. ในมุมมองที่แตกต่าง - Hiking on the Dragon's Back South Korea 2010 # 3 South Korea 2010 # 2 U.S. & Canada 2010 # 5 (High Falls Gorge, Adirondack) Last Trip 2010 #5 Mossy Forest of Cameron Highlands Last Trip 2010 #4 My first foot steps on Cameron Highlands Last Trip 2010 #3 Penang - UNESCO World Heritage City Last Trip 2010 #2 The Pinang Peranakan Mansion Last Trip 2010 #1 ปีนัง.. มีอะไรมากกว่าที่คิด U.S. & Canada 2010 # 4 (Old Montreal, Canada ตอนจบ) U.S. & Canada 2010 # 3 (Old Montreal, Canada ตอนแรก) U.S. & Canada 2010 # 2 (Montréal , Canada) U.S. & Canada 2010 # 1 (Adirondack, Upstate New York) South Korea 2010 # 1 Brisbane (QLD), Australia (2010) Europe Trip 2010 # 6 (Köln อีกครั้ง & Boppard, Germany) Europe Trip 2010 # 5 (Bonn, Germany) Europe Trip 2010 # 4 (Köln, Germany & นึกกว่าจะได้กลับบ้าน) Europe Trip 2010 # 3 (Paris, France) Europe Trip 2010 # 2 (Switzerland: Jungfraujoch, Mürren and Thun) Europe Trip 2010 # 1 (Switzerland: Grindelwald, Wengen and Männlichen)