All Blog
|
Langkawi Trip Day 1 (17 oct 09)
ตารางงานทำให้เหนื่อยและไม่ค่อยมีจิตใจอยากจะทำอย่างอื่น นอกจากนอนกับนอน การทำงานเป็นกะไม่ใช่ง่ายๆต้องคอยปรับตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะตารางงานของเรามันทำให้คนที่แข็งแรงมาตลอด เกิดอาการอ่อนแอติดหวัด...ดีนะที่ไม่ใช่ H1N1 ตอนนี้หายแล้วจ้า กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว...อิอิ วันนี้จะมาเล่าเรื่องการเดินทางไปเที่ยวที่เกาะลังกาวีประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-19 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเดินทางไปกับเพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งรู้จักกันมานานมากแล้ว จริงๆสามีเขาจะเดินทางไปด้วย แต่ติดงาน ในที่สุดจึงไปเที่ยวกันแค่ 2 คน Langkawi Trip Day1 ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิไปหาดใหญ่โดยสายการบิน Air Asia ใช้เวลาประมาณ 1.20 นาที ถึงหาดใหญ่เกือบเที่ยง นั่งรถสองแถวไปต่อรถตู้เข้าเมืองสตูลไปที่ท่าเรือตำมะรัง ค่ารถ 100 บาท ไปส่งถึงท่าเรือเลย เรือเที่ยวสุดท้ายออกเวลาสี่โมงเย็น ตั๋วขายครึ่งชั่วโมงก่อนเรือออก ราคาตั๋วเที่ยวละ 300 บาท ซื้อไป-กลับก็ไม่ลดราคานะ แลกเงินที่ท่าเรือ 10 บาท ได้ 1 เหรียญ และเก็บใบเสร็จไว้ เอามาแลกคืนก็ได้อัตราเดิมถือว่าคุ้มกว่าไปแลกที่อื่น และสะดวกด้วย ได้ตั๋วแล้วไปตรวจ Passport กับตม. เหมือนที่สุวรรณภูมิ ต้องถ่ายรูปเหมือนกัน ตม.ใจดีบอกว่ายิ้มได้นะ รูปจะออกมาสวย จากด่านนี้ก็ผ่านไปรับบัตร Boarding pass เพื่อใช้ขึ้นเรือ เรือเข้ามาจอดก็มีผู้โดยสารมากมายทยอยออกมาจากเรือ พอคนลงหมดก็มีการขนของลงเรือ แล้วก็ให้พวกเราที่รออยู่ เดินไปขึ้นเรือได้ โดยจะมีคนยืนเก็บ Boarding pass กลับไป ผู้โดยสารมีทั้งฝรั่งและคนไทย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.45 นาที ก็มาถึงเกาะลังกาวี สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของที่นี่คือรูปปั้นนกอินทรีย์ เมื่อเรือจอดแล้วก็ต้องไปตรวจ Passport กับตม.ของมาเลเซีย แล้วก็เข้าไปเที่ยวได้จ้า ถือว่ามาถึงที่สมบูรณ์แล้ว เช่ารถมอเตอร์ไซด์แล้วไปที่พักเพื่อพักผ่อน ก็เป็นวันที่เดินทางยาวไกลมากทั้งเครื่องบิน รถ และเรือ Coming soon Langkawi Trip Day 2 โปรดติดตามกันต่อไปจ้า...รักนะทุกคน Health Check Up ถึงวันนัดแล้วจ้า
และเป็นวันที่มีนัดต้องไปตรวจร่างกายด้วย ฝนตกแต่เช้า และไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆ ทำให้รถติด กว่าจะมาถึงสถานีรถไฟฟ้าก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าทำให้ไปถึงโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ลงสถานีสุรศักดิ์ โรงพยาบาลเซนต์หลุยซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ และก็ไปที่แผนกตรวจร่างกายชั้นสอง สิ่งแรกคือตรวจเอกสาร รับบัตรคิว เข้าห้องเจาะเลือด วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดไข้ พยาบาลจะให้กระป๋องมา 2 อัน สำหรับเก็บปัจสาวะ กับอุจจาระ สิ่งที่ทำพลาดคือเมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้วไปเข้าห้องน้ำ ใครกำลังไปตรวจขอให้อั้นเอาไว้ก่อน จะดีกว่าเยอะเลย จะรวดเร็ว และไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆมากมาย ต่อมาต้องเข้าไปพบหมอ ซึ่งหมอจะมีคำถามมากมาย ให้เราตอบ เกี่ยวกับสุขภาพโดยทั่วๆไป หลังจากนั้นสำหรับผู้หญิง หมอจะตรวจเต้านม ซึ่งคุณหมอเป็นผู้หญิงและมีอายุ จึงไม่ต้องอาย และตรวจร่างกายส่วนต่างๆทั้งเคาะ ทั้งส่องดู ตา หู เสร็จแล้วจะเป็นการฉีดวัคซีนกันหัดเยอรมัน แล้วไปเอกซเรย์ปอด ตรวจสายตา เป็นขั้นตอนสุดท้ายซึ่งหมอก็บอกให้กลับไปได้ เราใส่คอนแทกเลนส์ก็ไม่จำเป็นต้องถอดออก สามารถตรวจได้เลย ต่อมาต้องไปตรวจสารเสพติดที่สถาบันธัณญรักษ์ ต้องไปที่อนุสาวรีย์ ขึ้นรถตู้ ไปลงฝั่งตรงข้ามแมคโคร ไปยื่นเอกสารที่ห้องเบอร์ 10 ไปจ่ายเงินค่าตรวจ 613 บาท เก็บปัจสาวะอีกแล้วจ้า ส่งให้เจ้าหน้าที่ ถ่ายรูป เสร็จก็กลับได้ ผลจะส่งกลับไปให้ CTI ภายใน 7 วัน เรายังไม่เสร็จธุระ ต้องแวะไปที่ CTI เพื่อไปเอา Passport เพราะอาทิตย์หน้าจะไปเที่ยวลังกาวี เสร็จแล้วก็ไปตัดผม ซึ่งเส้นทางที่ไปน้ำท่วม รถติด แต่ก็ได้ตัดผมสมใจ และได้กลับบ้านมาพักผ่อน เตรียมตัวทำงานวันพรุ่งนี้ ......................................... พิเศษคือการได้เห็นวีซ่าของตัวเอง ซึ่งมีอายุ 5 ปี ........................................ ช่วงนี้เราค่อนข้างเหนื่อยกับงาน กับการ Handling สายการบิน Kenya Airways หลังจากทำมาได้เกือบสองอาทิตย์ ก็รู้สึกแย่ งานไม่เหนื่อยนะ แต่เดินเหนื่อยมาก เพราะ office ของสายการบินอยู่ไกลมากจริงๆ ยอมรับว่ายังปรับตัวไม่ได้กับการเดินเป็นเวลานานๆ และมากๆ และบางวันต้องทำสายการบิน Qatar ควบด้วยจ้า ไม่ได้อยู่ว่างๆ วันหยุดเลยอยากนอนกับนอน รู้สึกเวลานอนมีค่ามากๆ แล้วคุยกันใหม่นะ ขอตัวไปนอนก่อน ดึกแล้วจ้า สัมภาษณ์วีซ่า
วันนี้ไปสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตอเมริกา ก็ไปถึงประมาณ 8.15 นะ คนรอคิวประมาณ 10 กว่าคนได้ ด่านแรกเป็นการผ่านจุด X-ray ต้องฝากมือถือ หูฟัง และร่มเอาไว้ ส่วนที่เหลือในกระเป๋าก็ต้อง X-ray อีกรอบ รวมทั้งตัวเราด้วย เหมือนที่สนามบิน ตอนเราต้องผ่านเข้าไปทำงานที่ Gate เข้าไปถึงก็ต้องต่อคิวอีก คนรอข้างในเยอะกว่าข้างนอกมาก ประมาณ 30-40 กว่าคนได้ ด่านนี้จะเป็นการตรวจเอกสาร และซื้อซองจดหมายเพื่อให้ทางสถานทูตส่งวีซ่ากลับ จากนั้นจะไปรอรับบัตรคิว ก็มีการตรวจเอกสารอีกรอบ เจ้าหน้าที่เขาเห็นเสื้อก็ถามว่ามากันกี่คน เราบอกว่ามาคนเดียว เพราะมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครใส่เสื้อ CTI เลย ถ้ามากันหลายคนเจ้าหน้าที่เขาจะให้เข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกัน ได้คิวที่ 820 ตอนเวลา 9.58 แล้วก็เข้าไปรอสัมภาษณ์ด้านใน เจ้าหน้าที่ด้านนอกจะเป็นคนไทยทั้งหมด ช่วงนี้ก็รอนานอีกเหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้เรียกตามลำดับ เขาจะเรียกคิวไหนก่อนก็ได้ จึงต้องนั่งรอไปเรื่อยๆ เราถูกเรียกตอนประมาณ 10.45 ให้ไปรอที่ช่องเบอร์ 10 เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงเป็นคนอเมริกา ถามว่าจะไปทำงานตำแหน่งอะไร งานก่อนหน้านี้ทำอะไร เราก็ตอบ แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าจะส่งวีซ่ากลับอีก 2-3 วัน ก็แค่ไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว หลังจากที่นั่งรอคิวนานมาก ระหว่างที่นั่งรอก็พยายามจำรายละเอียดต่างๆที่อาจจะถูกถาม พอเอาเข้าจริงๆถามน้อยมาก ผิดคาดเลย แล้วก็เดินออกมาเอาของที่ฝากเอาไว้ ได้ออกมาก่อน 11 โมงนิดๆ แวะไปหาข้าวกิน แล้วก็กลับบ้านมานอนกลางวัน หลับสบายเชียว...happy happy ด่านต่อไปคือการตรวจโรคจ้า... ไปรับเอกสารที่ CTI
เพื่อใช้ในวันสัมภาษณ์วีซ่า และตรวจโรค ไปถึงบ่ายโมง มีเอกสารต้องกรอกหลายใบ เสร็จแล้วก็เข้าไปพบพี่แนน อันดับแรกก็แจกเสื้อสำหรับใส่ไปสัมภาษณ์วีซ่า แล้วก็บอกถึงสิ่งที่จะต้องทำ และเตรียมไปในวันนัด จากนั้นก็แนะนำเกี่ยวกับการไปตรวจโรค และมอบเอกสาร หนังสือจ้างงาน Passport, Seaman Book และค่าธรรมเนียม ให้กลับมา และนำไปสัมภาษณ์วีซ่าเองทั้งหมด พี่แนนจะย้ำเรื่องไม่ให้ลาออกจากงาน จนกว่าผลการตรวจโรคจะผ่านการตรวจ จากทางอเมริกาแล้วเท่านั้น จะลาออกเมื่อไหร่พี่แนนจะเป็นคนโทร.บอกเอง ก็คงต้องตามนั้นหล่ะคะ อดทนอีกนิดก็คงทำได้ วันสัมภาษณ์วีซ่าคือ วันที่ 24 ก.ย. นี้ วันตรวจโรคจะเป็นวันที่ 13 เดือนหน้าจ้า หน้าตาหนังสือจ้างงานตัวจริง เสื้อ CTI Case คนเวียตนาม ทำไมถึงถูกจับ
แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เดินทาง มันเพราะอะไร... เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่เคาร์เตอร์สายการบิน Qartar มีชาวเวียตนาม 1 ครอบครัวมา check-in แม่ ลูกสาว ลูกชาย มาในเวลาที่ใกล้จะปิดแล้ว ต้องการเดินทางไปอียิปต์ น้องที่รับผู้โดยสารก็เรียก Superviser ให้มาดูเอกสาร และดูรายละเอียดตั๋ว แล้วก็เจอสิ่งที่น่าสงสัย ผู้โดยสารพึ่งซื้อตั๋ว และไม่มีรายละเอียดโรงแรมที่จะไปพัก วีซ่าก็ของปลอม ที่รู้เพราะให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจ ตรวจกระเป๋าพบหมวกไหมพรม และเสื้อกันหนาว ซึ่งที่อียิปต์ มันร้อน มันไม่จำเป็นต้องเอาไป มันแปลกๆ และไม่สมเหตุ สมผล ทางสายการบินก็ไม่รับ ผู้โดยสารถูกตำรวจพาไปสอบสวน จึงทราบว่ามีอีกคนเป็นชาวมาเลเซียร่วมมือด้วย โดยชายคนนี้เป็นผู้ถือเอกสารปลอมซึ่งก็คือ passport มาเลเซีย เตรียมเอาไว้ให้ชาวเวียตนาม โดยมีเจตนาจะนำ ชาวเวียตนามส่งไปประเทศอิตาลี เพราะมีตั๋วเรียบร้อยแล้ว ถ้าทำสำเร็จ ก็จะซับเปลี่ยน passport เพราะคนมาเลเซีย เข้าประเทศยุโรปไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก และผิดกฎหมาย และในที่สุดก็จับได้หมดทุกคน |
ใสที่สุด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] แต่ตัดสินใจเชื่อพระเจ้า ตอนอายุ 17 ปี ผ่านมาหลายฤดูกาล หลายปี อยากขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับ ทุกเหตุการณ์ในชีวิต ทั้งสุข ทุกข์ บนเส้นทางสายนี้ที่ตัดสินใจเลือกแล้ว Thailand, Bangkok Sweden, Stockholm |