The Berlin Wall
กำแพงเบอร์ลิน หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในปีค.ศ.1946 เยอรมันในฐานะประเทศที่พ่ายแพ้สงครามได้ถูกแบ่งเป็นสี่เขตการปกครอง ของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามทั้งสี่ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต ฝรั่งเศส และอังกฤษ ส่วนเมืองหลวงกรุงเบอร์ลินนั้นอยู่ในเขตปกครองของสหภาพโซเวียต แต่กรุงเบอร์ลินก็ถูกแบ่งเป็นสี่ส่วนด้วยเช่นกัน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ยุโรปก็ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่าสงครามเย็น (Cold war) ของสองขั้วอำนาจคือสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต โดยอเมริกาเข้ามาดูแลฟื้นฟูประเทศยุโรปทางด้านตะวันตกแทนอังกฤษและฝรั่งเศส ที่บอบช้ำจากสงคราม ส่วนโซเวียตนั้นเข้ามาดูแลยุโรปตะวันออก รวมทั้งสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกให้มีอำนาจขึ้นมาปกครองประเทศด้วย โดยเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดขัดแย้งสำคัญของสองขั้วอำนาจได้แก่ การที่โซเวียตสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในกรีซให้ขึ้นมามีอำนาจ ทำให้อเมริกาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาลกรีซ พร้อมกับประกาศหลักการทรูแมน (Truman Doctrine) การประกาศหลักการทรูแมนนี้เองที่ทำให้การขัดแย้งระหว่างอเมริกาและโซเวียตชัดเจนขึ้น ทางฝ่ายโซเวียตเองก็ต้องการขยายอุดมการณ์ของตน ส่วนอเมริกาก็พยายามป้องกันประเทศที่ถูกลัทธิคอมมิวนิสต์คุกคาม อย่างเช่น กรีซ ตุรกี เป็นต้น ต่อมาสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้แผนการมาร์แชล(The Marshall plan) ขึ้นเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของเยอรมันและยุโรป ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของอเมริกาในการช่วยเหลือประเทศที่ถูกคอมมิวนิสต์คุกคามได้เป็นอย่างดี ในขณะที่โซเวียตก็ได้จัดตั้งสำนักงานข่าวสารคอมมิวนิสต์หรือโคมินฟอร์มขึ้น (Cominform) เพื่อทำหน้าที่โฆษณาเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ออกไปให้กว้างขวางและเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ต่างๆในการรวมพลังต่อต้านโลกตะวันตก ความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอำนาจตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1947 อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ประกาศรวมเขตปกครองของตนในเยอรมันเป็นเขตเดียว โซเวียตแสดงความไม่พอใจต่อการรวมตัวกันของเขตปกครองเยอรมันตะวันตกเพราะขัดต่อสนธิสัญญาPotsdam ที่ต้องผ่านการเห็นชอบจากสภาควบคุมแห่งสัมพันธมิตร (Allied Control Council) และต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1948 กรุงเบอร์ลินก็มีเงินตราสองแบบระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตก ความไม่พอใจของโซเวียตส่งผลให้ในเดือนมิถุนายน วันที่24 สหภาพโซเวียตตัดสินใจตัดเส้นทางการขนส่งเข้ากรุงเบอร์ลิน หรือที่เรียกกันว่า การปิดกั้นเบอร์ลิน(Berlin Blockade)ขึ้น เบอร์ลินตะวันตกที่เปรียบเสมือนเกาะหนึ่งของเขตปกครองเยอรมันตะวันตกที่อยู่ท่ามกลางดินแดนที่อยู่ในการปกครองของสหภาพโซเวียตหรือเขตปกครองเยอรมันตะวันออก เมื่อสหภาพโซเวียตปิดกั้นเส้นทางการเข้าเบอร์ลินทั้งหมด ทำให้การติดต่อระหว่างเบอร์ลินตะวันตก กับเขตเยอรมันตะวันตกได้ชะงักลง ฝ่ายอเมริกาก็ทำการช่วยเหลือชาวเบอร์ลินตะวันตกด้วยการใช้การลำเลียงขนส่งทางอากาศหรือที่เรียกว่า Berlin Airlift ทำให้ชาวเบอร์ลินตะวันตกสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การปิดกั้นดำรงอยู่11เดือน สหภาพโซเวียตจึงตัดสินใจยุติการปิดกั้น หลังจากการปิดกั้น ในวันที่21 กันยายน ค.ศ. 1947 ฝ่ายอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสตัดสินใจจัดตั้งเขตเยอรมันตะวันตกเป็นสหพันธ์รัฐเยอรมัน (Federal Republic of Germany) หรือเยอรมันตะวันตกขึ้นโดยมีกรุงบอนน์(Bonn)เป็นเมืองหลวง ส่วนสหภาพโซเวียตก็ตอบโต้โดยการจัดตั้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน (The German Democratic Replublic) หรือเยอรมันตะวันออกขึ้น ในวันที่9ตุลาคม ค.ศ. 1947 ทำให้เยอรมันถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศอย่างเด็ดขาดแต่ละประเทศต่างมีวิถีการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและสังคมที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าฝ่ายตนเป็นผู้แทนที่ถูกต้องของประชาชาติเยอรมันและไม่ยอมรับสภาพความอยู่เป็นรัฐของแต่ละฝ่าย ปัญหาเยอรมันและปัญหานครเบอร์ลินจึงมีผลกระทบต่อการเมืองในยุโรป และมีส่วนทำให้ความขัดแย้งในเบอร์ลินมีความตึงเครียดมากขึ้น ในช่วงปี๑๙๔๙จนถึง๑๙๖๑ มีประชากรเยอรมันตะวันออกถึง๒.๗ล้านคน อพยพมายังดินแดนเยอรมันตะวันตก เนื่องด้วยสภาพความอยู่เป็นที่ลำบาก จึงอพยพไปยังดินแดนเยอรมันตะวันตกที่มีความมั่งคั่งกว่า ประชากรที่อพยพไปยังดินแดนเยอรมันตะวันตกนั้น ส่วนมากเป็นประชากรที่เป็นหนุ่มสาว ซึ่งเป็นกำลังแรงงานที่สำคัญของประเทศ รวมถึงปัญญาชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญของชาติก็อพยพไปด้วย ทำให้เยอรมันตะวันออกขาดแคลนทรัพยากรบุคคลที่สำคัญของประเทศ ปัญหาการอพยพจึงเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ เศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออกย่ำแย่เพราะสูญเสียแรงงานที่มีประสิทธิภาพไป แม้จะมีการปิดกั้นชายแดนระหว่างเยอรมันตะวันตกและตะวันออก คงเปิดไว้แต่เขตเยอรมันตะวันออกกับกรุงเบอร์ลินตะวันตกเท่านั้น ชาวเยอรมันตะวันออกจะเข้าไปยังดินแดนเยอรมันตะวันตกได้จะต้องได้รับการอนุญาต หากฝ่าฝืนก็จะมีโทษจำคุกถึงสามปี แต่มาตรการนี้ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการหลบหนีของประชากรได้ โซเวียตมีความหวังว่าอเมริกาจะยอมปล่อยเบอร์ลินตะวันตก แม้จะทำการขู่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ แต่อเมริกาและกลุ่มประเทศตะวันตกต่างตกลงกันเพื่อที่จะปกป้องเบอร์ลินตะวันตก ในค่ำคืนของวันที่12 สิงหาคม ค.ศ. 1961ทางเยอรมันตะวันออกได้ตัดสินใจทำรั้วกั้นพื้นที่รอบเบอร์ลินตะวันตกในขณะที่ประชากรชาวเบอร์ลินกำลังหลับไหล เพื่อสกัดกั้นการอพยพเข้าไปยังเบอร์ลินตะวันตก และเสร็จสิ้นในเช้าของวันที่13สิงหาคม ค.ศ. 1961 ท่ามกลางความประหลาดใจของชาวเบอร์ลินทั้งสองฝั่งที่ไม่คิดว่าฝ่ายเยอรมันตะวันออกจะกระทำการโดยใช้กำแพงเป็นการสกัดกั้นประชาชนของตนไม่ให้อพยพออกไป ผู้คนต่างต้องตัดขาดจากครอบครัว เพื่อน คนรักและบางคนก็ไม่สามารถไปทำงานได้เพราะการสร้างกำแพง ทางฝ่ายอเมริกาก็ได้แต่เพียงประณามการกระทำของเยอรมันตะวันออกเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามการคาดคะเนของนายนิกิต้า ครุสชอฟ ประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต ที่คาดการณ์ไว้ว่าทางฝ่ายตะวันตกคงไม่เสี่ยงทำสงครามกับโซเวียตเพียงเพราะปัญหาเบอร์ลิน
กำแพงเบอร์ลินทอดยาวไปกว่าร้อยไมล์ ซึ่งไม่ได้ปิดกั้นเฉพาะในกลางกรุงเบอร์ลินเท่านั้น แต่ปิดล้อมไปทั่วเบอร์ลินตะวันตก ซึ่งเป็นการตัดขาดเบอร์ลินตะวันตกจากเยอรมันตะวันออก กำแพงในระยะแรกเป็นเพียงรั้วลวดหนามกั้นเท่านั้น ประชาชนชาวเบอร์ลินยังสามารถพูดคุยกับคนฝ่ายตรงข้ามได้ และบางส่วนของกำแพงก็เป็นผนังของอพาร์ทเมนท์ จึงมีการหลบหนีโดยกระโดดลงจากหน้าต่างอพาร์ทเมนท์บ้าง หรือบางคนก็ขับรถพุ่งชนกำแพงที่เป็นเพียงลวดหนาม แต่ในระยะเวลาไม่กี่วันกำแพงก็ถูกแทนที่ด้วยกำแพงที่มีความแข็งแกร่งกว่า ที่ตัวกำแพงเป็นอิฐบล็อกคอนกรีต ด้านบนมีสายลวดหนามล้อมรอบ และในปี1965กำแพงก็ได้เปลี่ยนเป็นแบบที่สาม ที่มีความแข็งแกร่งมาก คือตัวกำแพงสร้างด้วยคอนกรีตที่ความแข็งแกร่ง ที่มีเหล็กกล้าเสริมความแข็งแกร่ง และในช่วงปี1975จนถึง1980 ก็เป็นช่วงที่กำแพงเบอร์ลินแบบที่สี่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก ตัวกำแพงทำด้วยวัสดุที่เป็นคอนกรีตอย่างดีมีความสูงถึง12ฟุต (3.6เมตร) และกว้างถึง4ฟุต (1.2เมตร) ด้านบนประกอบไปด้วยท่อเรียบๆ ที่ป้องกันไม่ให้คนสามารถปีนหลบหนีขึ้นกำแพงได้ แม้ว่าจะมีการปิดกั้นแต่หลังจากการปิดกั้นได้สองปี ก็มีการเปิดโอกาสให้ชาวเบอร์ลินตะวันตกสามารถเข้าไปเยี่ยมญาติพี่น้องในเขตเบอร์ลินตะวันออกได้ โดยผ่านจุดตรวจหรือที่เรียกว่าCheck Point โดยจุดตรวจที่มีชื่อเสียงได้แก่Check Point Charlie ซึ่งตั้งอยู่พรมแดนระหว่างตะวันออกและตะวันตกของเบอร์ลิน Check Point Charlie เป็นจุดหลักที่อนุญาต ให้ฝ่ายสัมพันธมิตรหรือชาวเบอร์ลินตะวันตกใช้ในการข้ามพรมแดนเพื่อไปยังเขตตะวันออก
กำแพงเบอร์ลินสร้างขึ้นเพื่อสกัดกั้นประชาชนจากเยอรมันตะวันออกไม่ให้อพยพไปยังเขตเยอรมันตะวันตก แต่การสร้างกำแพงก็ไม่สามารถยับยั้งการหลบหนีได้อย่างเต็มที่ ในช่วงที่มีกำแพงเบอร์ลินนั้น มีประชาชนกว่า5พันคน สามารถหลบหนีไปยังเขตตะวันตกได้อย่างปลอดภัย ผู้ที่สามารถหลบหนีได้สำเร็จส่วนมากจะใช้วิธีโดยการโรยเชือกข้ามกำแพงและปีนขึ้นไป และบ้างก็มุทะลุโดยการขับรถถังหรือรถบัสขับทะลุกำแพงเพื่อหลบหนี บางวิธีก็เป็นเหมือนการฆ่าตัวตายเช่น การกระโดดลงมาจากหน้าต่างของอพาร์ทเมนท์ที่ใช้เป็นกำแพงกั้นระหว่างเขตทั้งสอง และเมื่อกำแพงแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ขึ้นการหลบหนีจึงต้องมีการวางแผน และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น บางคนขุดอุโมงค์จากห้องใต้ดินในตึกในเขตเบอร์ลินตะวันออก ขุดลงไปใต้กำแพงและไปโผล่ยังเขตเบอร์ลินตะวันตก บางคนก็ทำบอลลูนลอยฟ้าเพื่อลอยข้ามไปยังเขตตะวันตก แต่ก็มีประชาชนบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการหลบหนี ตั้งแต่ทหารของเยอรมันตะวันออกได้รับอนุญาตให้ยิงผู้ที่คิดจะหลบหนีได้โดยปราศจากการเตือน ทำให้มีผู้คนประมาณ100ถึง200คนต้องเสียชีวิตจากการพยายามหลบหนี ผู้คนที่ต้องเสียชีวิตในการหลบหนีนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ
จุดสิ้นสุดของกำแพงเบอร์ลินก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับตอนสร้างกำแพงเบอร์ลิน โดยหลังจากที่คอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกอ่อนแอลง จากการใช้นโยบายกลาสต์นอสและเปเรสตรอยการ์ของประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟของโซเวียตที่เปิดกว้างเพื่อให้เกิดการปฏิรูปสังคม และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน ส่วนนโยบายต่างประเทศนั้นก็ยุติการสร้างอาวุธ ถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน และตัดความช่วยเหลือในการเคลื่อนไหวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก และประเทศที่อยู่ในเครือโซเวียต และหันกลับมาดูเศรษฐกิจในประเทศ ด้วยเหตุนี้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ ในยุโรปตะวันออกเริ่มอ่อนแอลง และก็ได้มีกลุ่มการเมืองอิสระเริ่มมีการออกมาเคลื่อนไหวมาขึ้น เช่นขบวนการโซดาริตี้ในโปแลนด์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในโปแลนด์ ในปี1988-1989 ฝ่ายคอมมิวนิสต์ในประเทศเหล่านี้ก็เริ่มประสบความล้มเหลวและสิ้นอำนาจลงในที่สุด รัฐบาลฮังการีมีการเปิดพรมแดนให้กับชาวเยอรมันตะวันออกที่ต้องการหลบหนีไปยังเขตเยอรมันตะวันตก จึงมีผู้หลบหนีออกมาทางฮังการีและเดินทางเข้าไปยังเขตเยอรมันตะวันออกทางออสเตรียเป็นจำนวนมากโดยในช่วงเดือนกันยายนมีผู้หลบหนี มากกว่า13,000คน ในวันที่9พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 ได้มีประกาศจากรัฐบาลเยอรมันตะวันออก ให้มีการยกเลิกการจำกัดการเดินทางไปยังเขตเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก และเปิดกำแพงเบอร์ลิน ผู้คนต่างพากันตกใจกับคำประกาศนี้และต่างไม่เชื่อว่ากำแพงได้ถูกเปิดแล้วจริงๆ ชาวเยอรมันตะวันออกสามารถข้ามไปยังอีกฝั่งของกำแพงได้โดยปราศจากการห้ามปรามของทหารที่เฝ้ากำแพง กำแพงเบอร์ลินท่วมท้นไปด้วยผู้คนของทั้งสองฝั่ง ผู้คนต่างช่วยกันก็ทำลายกำแพงลงด้วยสิ่วและค้อน ผู้คนต่างพากันเฉลิมฉลองกัน ทั้งกอด จูบ ร้องไห้ และร่วมร้องเพลงกันด้วยความยินดี กำแพงเบอร์ลินได้แตกสลายกลายเป็นเศษเล็กๆ ผู้คนต่างก็เก็บเศษเล็กๆนี้ไว้สะสมเพื่อเป็นที่ระลึก บ้างก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ หลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออกก็ได้รวมกันเป็นรัฐเยอรมัน ในวันที่3ตุลาคม 1990 บรรณานุกรม บอร์นสเตน, เจอรี่.ทะลายกำแพงเบอร์ลิน.กรุงเทพฯ : ธัญญา, 2534. Hanes, Sharon M. Cold war: almanac. Detroit : UXL, c2004 หน้า 55-77 Hyde Flippo. Die Maueröffnung - The Last Days of the Berlin Wall .< //german.about.com/od/geschichte/a/BerlinWall.htm> December 24,2010. Jennifer Rosenberg.The Rise and Fall of the Berlin Wall.< //history1900s.about.com/od/coldwa1/a/berlinwall.htm> December 24,2010. Robert Longley. Mr. Gorbachev, tear down this wall!.< //usgovinfo.about.com/od/historicdocuments/a/teardownwall.htm> December 24,2010. Robert Wilde.The BerlinWall.< //europeanhistory.about.com/od/coldwar/p/prberlinwall.htm> December 24,2010.
Create Date : 28 ธันวาคม 2553 | | |
Last Update : 28 ธันวาคม 2553 20:07:30 น. |
Counter : 1171 Pageviews. |
| |
|
|
|