ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสยามในช่วงศตวรรษที่๑๕-๑๘
ด้านการทูต สยามและจีนมีความสัมพันธ์ด้านการทูตกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย คือในสมัยของพ่อขุนรามคำแหง และราชวงค์หยวนของจีนภายใต้การนำของกุบไลข่าน โดยเป็นความสัมพันธ์แบบการทูตระบบบรรณาการ ซึ่งหมายถึงระบบที่กำหนดขึ้นเพื่อติดต่อกับอาณาจักรต่างๆมาตั้งแต่สมัยโบราณ ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรและทรัพยากรมาก จีนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร ด้วยเหตุนี้จีนจึงมองเห็นถึงความสำคัญของตนในฐานะเป็นศูนย์กลางของโลก มีอารยธรรมเหนือกว่าชาติอื่น ชาติทั้งหลายต้องแสดงความอ่อนน้อมต่อจีนด้วยการนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่จักรพรรดิจีน๑ ดังนั้นในส่วนของสุโขทัยเองก็ตระหนักดีว่า ในช่วงสมัยของกุบไลข่าน จีนมีอำนาจที่เข้มแข็งและสามารถขยายอาณาเขตไปได้กว้างไกล จึงยอมอ่อนน้อมโดยส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายแด่จักรพรรดิจีน และมีการส่งทูตไปจีนเรื่อยมา จักรพรรดิกุบไลข่าน ต่อมาในสมัยอยุธยา ตรงกับสมัยที่ราชวงค์หมิงของจีนปกครอง ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอยุธยาและราชวงค์หมิงเป็นไปด้วยดีตลอด ๔๑๗ ปี แม้จะมีติดขัดบ้างในช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ตลอดระยะเวลา๔๑๗ปี กษัตริย์อยุธยาได้ส่งของมีค่าและเป็นสินค้าที่หายากให้แก่จักรพรรดิจีนเป็นจำนวนมาก เช่น พริกไทยดำหนึ่งหมื่นชั่ง ไม้ฝางหนึ่งหมื่นชั่ง เป็นต้น เราะพริกไทยและไม้ฝางเป็นสินค้าราคาแพงและเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ในสมัยของสมเด็จพระอินทรราชา (ค.ศ.๑๔๐๙-๑๔๒๔) เป็นช่วงเวลาที่การทูตระหว่างสยามและจีนแน่นแฟ้นมาก เนื่องจากสมัยที่พระองค์ยังดำรงตำแหน่งเป็นรัชทายาทเป็นผู้นำคณะทูตเสด็จไปยังจีนได้สร้างพระราชไมตรีอันดีต่อกัน เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์จึงได้สานต่อความสัมพันธ์นั้น มีการส่งทูตไปจีนเป็นจำนวนทั้งสิ้น๑๐ครั้ง ตลอดระยะเวลา๑๕ปีในรัชสมัยของพระองค์ โดยเฉลี่ยปีละครั้งหรือสองครั้ง ๒ และในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่แม่ทัพนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของจีนนามว่าเจิ้งเหอ เดินทางมายังอยุธยา ในสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่สยามและขยายพระราชอาณาเขตไปกว้างไกล ทรงยึดล้านนา ล้านช้าง เขมร และพม่าบางส่วน ทรงตะหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับจีน นอกจากจะส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีแล้วยังมีสัมพันธไมตรีด้านการทหารอีกด้วย เมื่อเกาหลีขอความช่วยเหลือไปยังจีนเพื่อขอความช่วยเหลือจากการถูกญี่ปุ่นรุกราน (ค.ศ.๑๕๙๒-๑๕๙๗) ทรงส่งทูตไปจีนและเสนอให้ความช่วยเหลือแก่จีน๓ แต่จีนเห็นว่าสยามอยู่ไกลและเสียเวลาในการเดินทางจึงได้ปฏิเสธไปแต่ก็แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีกับจีน แต่ต่อมาจีนก็ได้รับความช่วยเหลือทาการทหารจากสยามเมื่อจีนถูกพม่ารุกรานเขตชายแดนยูนนาน สยามได้ให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่จีนจนพม่าต้องแตกพ่ายไป นับว่าเป็นความสัมพันธ์ทางการทหาร ครั้งที่สองระหว่างสยามกับจีน ในสมัยพระเอกาทศรศจนถึงสมเด็จพระนารายณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับจีนเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น แม้จะส่งทูตไปจีนไม่บ่อยเท่าในสมัยแรกๆ แต่การเจริญสัมพันธ์ทางการทูตของสยาม ก็ได้ส่งผลต่อการค้าระหว่างสยามกับจีนมาก โดยในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรศเป็นสมัยที่ชาติตะวันตกได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยาและสินค้าจากจีนเป็นที่ต้องการของพ่อค้าชาวตะวันตกอย่างมาก ส่งผลให้ต้องเจริญความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเพื่อส่งเสริมทางด้านการค้า ในสมัยพระนารายณ์นั้นแม้พระองค์จะทรงมีสัมพันธไมตรีแก่ชาวต่างชาติทุกๆชาติที่เข้ามาติดต่อ แต่พระองค์ก็ยังคงให้ความสำคัญกับจีนเพราะการติดต่อทางการค้ากับจีนเป็นผลประโยชน์อย่างมากกับสยาม มีการส่งทูตไปจีนเป็นจำนวนมากถึง๑๒ชุด ในอัตราเฉลี่ย๑ชุดทุกๆ๓ปี แต่ในสมัยสมเด็จพระเพทราชา การเมืองในสยามเกิดเป็นความวุ่นวายทางการเมืองขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ทางทูตระหว่างจีน หรือแม้แต่ชาติอื่นๆจะต้องชะงักลง จนกระมั่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ไปจนถึงก่อนเสียกรุงให้พม่า ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับจีนก็เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งนึง ด้านการค้า ด้วยความสัมพันธ์อันดีด้านการทูตระหว่างสยามกับจีนส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางการค้าเป็นไปด้วยดีมาตลอดตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยเฉพาะสมัยพระเจ้าหย่งเล่อ ในสมัยราชวงค์หมิงซึ่งมีการส่งเสริมการค้าทางทะเล ทำให้กิจการการค้าทางทะเลระหว่างสยามและอยุธยาเป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด แม้ในช่วงปลายจักรพรรดิหย่งเล่อพ่อค้าชาวจีนจะถูกรุกรานโดยโจรสลัดญี่ปุ่นจนทำให้ต้องเข้มงวดในนโยบายการเดินทางออกทะเล แต่ก็ไม่เป็นผลที่ทำให้การค้าระหว่างสยามกับจีนหยุดชะงัก โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่๑๘ (ค.ศ.๑๗๒๑-๑๗๙๔) เป็นช่วงที่ประชากรของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดสภาวะการขาดแคลนข้าว ทางการจีนในสมัยจักรพรรดิคังซีจึงต้องนำเข้าข้าวจากสยามซึ่งเป็นข้าวคุณภาพดี ทำให้การค้าข้าวกับจีนเฟื่องฟูมาก โดยเฉพาะในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ซึ่งอยู่ในปลายสมัยอยุธยามีความก้าวหน้ามากที่สุด เพราะพรองค์ทรงลดอัตราภาษีข้าวไทยที่ส่งไปขายยังจีนลงครึ่งหนึ่งต่อข้าวทุกๆหมื่นหาบหรือสามในสิบ ต่อปริมาณข้าวทุกๆห้าพันหาบ และเมื่อพระองค์ทรงประกาศพระราชกฤษฎีกาเมื่อค.ศ.๑๗๕๑ พระราชทานกระดุมขุนนางแก่พ่อค้าที่สั่งซื้อข้าวจากไทยมากกว่าสองพันหาบ ทำให้ปริมาณการค้าข้าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก๑ ส่วนการค้าในส่วนเอกชนนั้น พ่อค้าชาวจีนได้เข้ามาตั้งรกรานอยู่ในสยามตั้งแต่สมัยสุโขทัย พ่อค้าชาวจีนมีบทบาทสำคัญต่อการค้าของราชสำนักอย่างมาก เพราะมีการจ้างนักเดินเรือชาวจีนเพื่อคุมเรือหลวงไปทำการค้าขายกับต่างประเทศ ทำให้ปริมาณชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรานอยู่ในสยามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีนโยบายห้ามชาวจีนออกนอกประเทศก็ตาม บทบาทชาวจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในสมัยพระเจ้าปราสาททองที่มีการขับไล่ชาวญี่ปุ่นออกจากราชอาณาจักรทำให้บทบาทชาวจีนมีบทบาทกับพระราชสำนักมากขึ้นแทนในส่วนของพ่อค้าชาวญี่ปุ่น เรือสำเภาจีนที่เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา ชาวจีนที่มาค้าขายในอยุธยามักทำการค้าเกี่ยวกับเครื่องสำเภา ไหม แพ ทองเหลือง ถ้วยโถ ชาม เนื้อหมู และปลาสด อยู่ในตลาดสมัยนั้นเรียกว่าย่านนานก่าย นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวจีนที่ประกอบอาชีพตีเหล็ก ทำขวาน หัวเหล็ก หัวป้าน และขวานปลูขายในบริเวณที่เรียกว่า บ้านวัดน้ำวน ซึ่งอยู่ในตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา๑ ในสมัยปลายอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เรื่อยไปจนถึงสมัยเสียกรุงแก่พม่า พ่อค้าชาวจีนยังคงมีบทบาทต่อการค้าระหว่างประเทศของสยาม โดยเฉพาะการค้าระหว่างมณฑลฝูเจี้ยน เมืองปัตตานีและเมืองสงขลา ซึ่งมีความรุ่งเรืองอย่างมาก ในขณะที่บทบาทพ่อค้าชาวยุโรปลดลงไป ส่งผลให้การค้าระหว่างสยามกับจีนเข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวที่เป็นสินค้าสำคัญระหว่างประเทศทั้งสอง
Create Date : 18 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 16:59:27 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1144 Pageviews. |
|
|