วันเดินทาง
แท่นแท๊นนนนน


ตั๋วเครื่องบินขาไป การบินไทย แล้วไปต่อ Air France เที่ยวบินนี่มีคนไทยแค่สองคน นอกนั้นหัวทองทั้งนั้น คนฝรั่งเศสมาเที่ยวไทยเยอะเหมือนกันแหะ

พรากจากแม่ น้ำตาไหลเป็นสาย เดินเข้า ตม. นี่เราต้องอยู่คนเดียวไปอีกสองปีเลยเหรอเนี่ย (ปริญญาโทที่ฝรั่งเศส เรียนสองปี)

ลันลากับ Duty Free แต่ก็ไม่เต็มที่ เพราะว่ากระเป๋าหนักมาก แบกโลกมา ฮ่าาาา



อาหารบนเครื่องบิน (ในใจติดว่าเป็นอาหารไทยมื้อสุดท้าย) อร่อยทั้งน้ำตา
 นั่งเครื่องบินทั้งหมด 11 ชั่วโมง ดีที่พี่ที่นั่งข้างๆเป้นคนไทย (มีกันอยู่สองคน) พี่เขาก็ชวนคุย จนได้เวลาลงพร้อมเปลี่ยนเครื่อง ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆที่รู้จักพี่เขา แต่ก็แอบเศร้า เพราะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว




ลง Charles de Gaulle แล้วมาต่อเครื่อง เพื่อไปที่เมือง Montpellier ที่อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ต้องนั่งรถบัสไปตึกภายในประเทศ



แอบมีเรื่องตื่นเต้นว่า มีคนฟิลิปินส์ เขามาคุยด้วย เราก็เอาว่ะ เอเซียเหมือนกัน เลยคุยไปจนลงรถ เดินไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยกัน เขาก็เดินเข้าไปตรวจก่อน เราก็ยืนรอหลังเส้นเหลือง อยู่ดีๆเขาก็ชี้มาทางเรา มีเจ้าหน้าที่เดินมาถามเราว่า มาด้วยกันเหรอ... เราบอกรู้จักกันบนรถบัส หลังจากเราตอนเสร็จ เขาโดนคุมตัวไปในห้องข้างๆเลย เราก็กลัวละสิ เกิดอะไรขึ้นฟร่ะ แถมที่นั่งรถมาก็มีกันอยู่สองคน โดนเก็บเข้าห้องไปแล้วหนึ่ง เหลือเราคนเดียว... เจ้าหน้าที่มีห้าหกคนแหนะ

เจ้าหน้าที่ที่ตรวจวีซ่าเรา หน้าต่างน่ากลัวมากคะ ตัวใหญ่ กล้ามเป็นมัด ผิวดำ เราก็ส่งยิ้มไปก่อนเลย เขาถามกลัวมาเสียดุ "หน้าเขามีอะไรให้ยิ้ม" แงะ....

เลยตอบเขาไปว่า เราเป็นคนไทย เราชอบยิ้ม คราวนี้เขาดูเป็นมิตรขึ้น

คราวนี้ก็ชวนคุย (จริงๆเราว่าเขาเชคอะแหละว่าเรามาเรียนจริงไหม)

และแล้วคำถามที่คิดว่าต้องเจอก็มาถึง "มาเรียนอะไร"

หึหึหึ คาดหวังจะได้รับคำตอบ แบบว่า มาเรียนภาษาใช่ไหมล่ะ เราตอบไปอย่างภูมิใจ

มาเรียน ประวัติศาสตร์ การทหาร ศึกษาด้านป้องกันประเทศ และการเมืองความมั่นคง (Histoire militaire, études de défense et politiques de sécurité)

เท่านั้นแหละ ก็ได้เห็นรอยยิ้มของ พี่ตำรวจ ตม. ที่นี่ พร้อมยกนิ้วให้ ประมาณว่า สู้ๆ

ผ่านด่านนี้มาได้ก็สบายละ มีตรวจร่างกายนิดหน่อยว่าไม่มีอาวุธเข้ามา ก็ถึงเวลาไปนั่งรอเที่ยวบินเที่ยว ระหว่างนั่งรอก็เจอร้าน maccaron ที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งของฝรั่งเศส ถ่ายรูปไว้ก่อน แต่ยังไม่ซื้อ แพง ฮ่าาา


และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่อง คราวนี้หนักกว่าเก่า เป็นหัวดำคนเดียวเลย... นั่งจิตตกไปตลอดทาง



Create Date : 21 มิถุนายน 2555
Last Update : 21 มิถุนายน 2555 3:29:35 น.
Counter : 1316 Pageviews.

1 comment
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
เรามีความฝันเล็กๆอยู่อย่าง คือการที่จะได้ไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส เนื่องจากเราชอบภาษาฝรั่งเศสมากนั้นเอง

เราพยายามทุกวิธีทางเพื่อจะได้ไปเรียนประเทศนี้ ระยะสั้นๆก็ยังดี ตั้งแต่ ม.ปลาย ก็สมัครทุน AFS สอบข้อเขียนผ่าน แต่ไม่มีโอกาสไปสอบสัมภาษณ์ เนื่องจากติดธุระ ที่โรงเรียนจะจัดไปค่ายฤดูร้อน คนก็ไม่พอ ยกเลิกซะงั้น พอเข้ามหาวิทยาลัย จะไปแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยตอนปี 3 ที่บ้านมีเรื่องต้องใช้เงินด่วน อด พอจบปีสี่ จะไปแลกเปลี่ยนเป็น Au Pair ผ่านขั้นตอนทุกอย่างหมดแล้ว เหลือแค่เซนสัญญากับครอบครัว แต่ได้งานที่เมืองไทย เลยต้องยกเลิกโครงการไป

พอมองย้อนกลับไปดู โห เราเหมือนจะมีโอกาสเยอะ แต่มันมีเหตุจำเป็นต้องพลาดไปทุกทีสิน่า

จำได้ว่าตอนเข้ามหาวิทยาลัย ที่บ้านย้ายศาลพระภูมิใหม่อยู่พอดี พรามณ์ที่มาทำพิธีเรียกเราเข้าไปคุย พร้อมบอกว่า "ไม่ต้องขนขวาย เรื่องไปเรียนต่อ เธอจะได้ทุน" เรากับแม่ยังหัวเราะกันคิกคัก เพราะแม่รู้ว่าเราเรียนแย่ขนาดไหน ใครจะมาให้ทุก สงสัยทุน "มก. : แม่กู"

แต่จนแล้วจนรอดเรียนมหาวิทยาลัยไม่ยากอย่างที่คิด จบมาได้สามพอดิบพอดี หลังจากยกเลิกโครงการจะไปแลกเปลี่ยนที่โน้น เราก็เข้าทำงาน

ขณะที่เราทำงานก็มีทุนวนเวียนมาให้เราอ่าน แต่คุณสมบัติเราไม่ครบ คือ อายุการทำงานไม่ถึง ระดับภาษาอังกฤษของเราก็เข้าขั้นเลวร้าย ผ่านไปเกือบปี ในที่สุด ก็มีกระดาษแผนหนึ่งมาว่างที่โต๊ะเรา

ใบแสดงความจำนงค์ขอทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัยประจำปี 2554 นี่แหละที่ฉันต้องการ เพราะสามารถเลือกประเทศได้เอง แต่ติดอย่างเดียว ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเลย ไม่มีเรียนภาษาก่อน

แต่ด้วยความที่ "ก็จะไปอ่ะ" เลยยื่นความประสงค์ไปว่าจะไปเรียน ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ไปล่ารายเซนต์ของหัวหน้ามาทุกระดับ ยื่นเรื่องไป แล้วไปลงเรียน เพื่อเตรียมสอบภาษา

ระดับทางภาษาฝรั่งเศสเรียกย่อๆว่า DELF กับ DALF แบ่งเป็นย่อยลงไปอีกดังนี้

DELF
ผู้เริ่มต้น A1, A2
ชั้นก้าวหน้า B1, B2
DALF
ขั้นสูง C1, C2

ซึ่งสำหรับเรียนปริญญาโท ต้องสอบได้ระดับ B2 ซึ่งเขาว่ากันว่า ยากมาก เราก็ทิ้งภาษาฝรั่งเศสมาตั้งแต่ทำงาน เลยลองสอบ B1 เล่นๆก่อน สรุปผ่านก็โล่งไปว่าเอาว่ะผ่านแล้ว

พอเขาเปิดรอบต่อไปก็ไปสมัครสอบ B2 ซึ่งอาจารย์ที่สมาคมฝรั่งเศสไม่ยอมให้เราสอบ เพราะบอกว่าระดับภาษาของเรายังไม่ถึง แต่เราก็ดื้อไปสมัครอยู่ดี พี่ที่เคาร์เตอร์รับสมัครถามเราว่า เราคุยกับอาจารย์หรือยัง เราบอกคุยแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าอาจารย์ให้สอบปีหน้า :P

วันสอบเราก็ตื่นเต้นมาก เพราะเอาจริงๆไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย วันที่ไปสอบทุกคนหน้าห้องสอบก็แบบ เธอไปอยู่ฝรั่งเศสมากี่เดือน ฉันห้าเดือน ฉันปีหนึ่ง... เราก็แบบ เออ เรายังไม่เคย... ก็โดนโดดเดี่ยวกันไป ก็ดีเราจะได้ยืนทำสมาธิของเรา เงียบๆ

พอเข้าห้องสอบ อาจารย์ที่เคยสอนเราเห็นหน้าเรา ส่ายหัวประมาณว่าเราดื้อไม่เชื่อเขา แต่เราก็ทำที่ดีที่สุด คิดว่าพลาดก็ไม่เป็นไร เหลือโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง ออกจากห้องสอบคนสุดท้าย เดินมึนๆออกมา

กลับไปพี่ๆที่ทำงานถามว่าทำได้ไหม... ตอบไปว่า "ได้ทำ"

ผ่านไปสองสามอาทิตย์ (จำเวลาไม่ได้แน่นอน) เราก็โทรไปถามพี่เขาว่าผลสอบออกหรือยัง พี่เขาบอก ออกแล้ว เราเลยรีบลางานไปดูเลย ผลสอบแปะเอาไว้ตรงบอร์ดทางเดิน


ผลสอบ : Admis


จะบอกว่าดีใจยิ่งกว่าเอนท์ติดอีก กริ๊ดด อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด (ในความคิดเรา) เราผ่านมาได้แล้ว ฮ่าาาาาาาาา

หลังจากนั้นแอบเลว ดูคนอื่น มีคนผ่านแค่ 28 คน จาก 50 คนเท่านั้น แสดงว่าหลายคนที่คุยๆไว้ว่าไปอยู่ฝรั่งเศสมาก็มีสอบไม่ผ่าน แอบสะใจเล็กๆ เหอเหอ

หลังจากนั้นก็ขั้นตอนการเตรียมเอกสาร จะบอกว่าเยอะมากๆ แถมต้องทำสามชุด (เพื่อ?) ส่งใบสมัครไปมหาวิทยาลัย คราวนี้ก็นั่งรอล่ะ เพราะเอกสารอื่นพร้อมหมดแล้ว

20 เมษายน 2554 ขณะนั่งอยู่บนรถไฟใต้ดิน แม่โทรมาบอกว่าจดหมายมาแล้ว แม่เปิดดูแล้ว แต่อ่านไม่ออก............. แหงละมหาวิทยาลัยตอบมาเป็นภาษาฝรั่งเศสนิน่า

เราก็รีบกลับไปดูเลย..... แปลคราวๆว่า ผลการประเมินเรา อยู่ในระดับ "น่าพอใจ"  ฮ่าาา แล้วตรูได้เข้าเรียนไหมเนี่ย........

โทรไปถามพี่ที่สถานทูตเขาบอกว่านั้นแปลว่าเขารับเราแล้ว เราเลยบีบีหาทุกคนที่ทำงานเลย  "ทุ๊กคนเขารับฉันเข้าเรียนแล้วววววววววววววววว"

แล้วก็ถึงคราวเตรียมเอกสารอีกระลอก (ใช้กระดาษไปสองรีมได้) หาคนค้ำประกัน (ที่ทำงานกลัวหนี ฮ่าาาา) และตรวจสุขภาพ

ที่ทำงานเร่งมากๆ แต่พอส่งเอกสารไปแล้ว.... 


ซิ่ง------------- 



เงียบ 




จนอีกสามอาทิตย์จะเดินทาง ตรูยังไม่มีวีซ่า เลย ถ้าไม่มีวีซ่าก็หาที่พักไม่ได้ เพราะเขาจะเอาเลขวีซ่า (ประมาณว่าแกมาได้แน่ๆไรงี้) 

สุดท้ายก็ได้จบหมายรับรองทุนไปขอวีซ่า (ก่อนวันเดินทางสองอาทิตย์) 
จองที่พัก (ก่อนหนึ่งอาทิตย์) 
เงินทุนหนึ่งวันก่อนเดินทาง (ได้มาก็เอาไปจ่ายที่พักหมดเกลี้ยง เพราะได้เป็นรายเดือน แต่ที่พักจะเอาล่วงหน้า 6 เดือน เนื่องจากเราไม่มีคนฝรั่งเศสค้ำประกัน)

มาที่ทำงานจนวันสุดท้าย ฮ่าา เที่ยวบินเที่ยงคืน บ่ายสามยังอยู่ที่ทำงานจัดการเรื่องเงินอยู่เลย ฮ่าา สุดท้ายหัวหน้าก็ไล่กลับบ้าน เพราะกลัวเราเตรียมกระเป๋าไม่ทัน ทันอยู่แล้ว แม่จัดให้นิน่า

และในที่สุด เราก็พร้อมเดินทางแล้วคะ







Create Date : 21 มิถุนายน 2555
Last Update : 21 มิถุนายน 2555 2:55:21 น.
Counter : 2300 Pageviews.

2 comment

บะหมี่ต้มยำไม่ใส่ผัก
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]