สองคนที่เดินทาง (วันที่ 3)
ช่างไม่รู้อะไรบ้าง เลย...

วันนี้ ชั้นตื่นตั้งแต่ยังไม่ ตีห้า เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับ อาจจะด้วยแปลกที่ด้วย แล้วก็อากาศเย็น หมอนก็ไม่มี นอนลำบากอยู่เหมือนกัน ... แต่น่าแปลกเพื่อนของฉันกลับหลับเป็นตาย ...

ตื่นมายังมืดอยู่เลย เดินลงมาข้างล่างของเกสท์เฮ้าส์ก็เงียบสนิท

เช้านี้ตอน 6 โมงเช้าจะมีการตักบาตรข้าวเหนียว ซึ่งเหมือนเป็นสัญลักษณ์ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเชียงคาน ว่าจะต้องตักบาตรข้าวเหนียวแบบนี้ โดยทุกเกสท์เฮ้าส์ก็จะมีบริการเตรียม ของตักบาตรไว้ให้

แต่ตอนนี้ ตีห้า เจ้าของเกสท์เฮาส์ก้คงยังไม่ตื่น ฉันลงมาก็ออกไปไหนไม่ได้ เพราะ ประตูถูกล็อกไว้อยู่ จะเปิดทีวีดู ก็ใช่เรื่อง เกสท์เฮ้าส์เล็กๆเสียงคงดังลั่นบ้าน ...

ไม่มีไรทำก็เดินกลับไปบนห้อง และปลุกเพื่อนชายที่นอนที่พื้นให้ขึ้นมานอนบนเตียงซะ เพราะ น่าสงสารมากนอน คด เป็น งูเชียว แต่ที่สำคัญคือฉันจะไม่มีที่เดินด้วย

เมื่อเพื่อนชายสลึมสลือ ขึ้นไปนอนได้ ฉันก็จัดการ เปิดโน้ตบุคของเพื่อน เพื่อที่จะเข้าอินเตอร์เนท หาอะไรทำ ฆ่าเวลา ....แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไร

นั่งเปิดโน่นดูนี่ไปเรื่อย ก็เริ่มเบื่อ มองนาฬิกาอีกที ตีห้าครึ่ง ก็ตัดสินใจ ลงมาอีกรอบนึง เห็น เจ้าของเกสท์เฮ้าส์ สลึมสะลือ มาเข้าห้องน้ำพอดี

เจ้าของเกสท์เฮ้าส์ยังตกใจ และร้องทักว่าตื่นเช้ามากๆๆ ฉันเลยบอกว่านอนไม่หลับต่างหากค่ะ เจ้าของจึงถามว่าจะตักบาตรข้าวเหนียวมั้ยจะได้เตรียมเผื่อ ฉันก็ตกลงไป ที่ 1 ชุด เพราะ รู้ว่า เพื่อนฉันคงไม่ตื่นมาตักบาตรหรอกด้วย สภาพแบบนั้น หลังจากเจ้าของเปิดประตูเกสท์เฮ้าส์ให้ ฉันก็ยืมจักรยาน ออกมาปั่นทันที

ด้านนอกอากาศเย็นสบาย ลมเย็นๆ หมอก หนาๆมาปะทะหน้าอีกครั้ง ร้านรวง เริ่มจะเปิดทีละนิด ทีละหน่อย ชาวบ้าน แถวนั้น คงตกใจว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้มันฟิตนัก ออกมาปั่นจักรยานตอนตีห้า ยังมืดอยู่เลย

ฉันพันผ้าพันคอไว้ 1 ผืน ก็พอประทังความหนาวได้อยู่

ขี่ไปเรื่อยๆๆ ขึ้นซอยโน้น ออกซอยนี้ ก็กลับมาเตรียมตัวตักบาตร ตอนประมาณ หกโมง ครึ่ง ตอนแรก กลัวว่า พระ จะเดินผ่านไปแล้ว ปรากฎว่า มีพระเยอะมาก พี่เจ้าของบอกว่า ตักไปเรื่อยๆเลย ไม่ต้องใส่หมดในองค์เดียว เพราะ เดียวก้มามาอีกเยอะ

พระเดินกันมาเป็นแถว รับของใส่บาตร อย่างที่เราเห้นในโปสการ์ดนั่นแล่ะค่ะ

ฉันไม่ได้พกกล้องมา สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เพราะ คิดว่าจะไม่ได้ไปไหนมาก คงจะอพยพมานอนเล่นอยู่ที่บ้านเฉยๆ จึงรู้สึกเสียดายฉะมัด - -

หลังจากตักบาตรเสร็จ ประมาณเกือบเจ็ดโมง ฉันขึ้นไปปลุกเพื่อน เพื่อที่เราจะได้ไปดู ทะเลหมอกยามเช้าที่ ภูทอก ซึ่งจากการสอบถามพี่เจ้าของเกสท์เฮ้าส์ บอกว่า ขี่จักรยานไปได้ แต่เหนื่อยหน่อย มัน 8 กม.

ฉันเข้าใจแล้วว่า ทำไมถึงเหนื่อยเพราะที่นี่มีลักษณะเป็นเขา มีเนินเยอะมาก แค่ฉันไปขี่มาตอนเช้า ยังหอบเลย

แล้วก็เป็นไปตามคาด เพื่อนของฉันไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ยามเช้า - - ' ฉันนั่งคะยั้น คะยอ จนเวลาล่วงเลยจะแปดโมงเช้าแล้ว เพื่อนฉันจึงตื่นขึ้น

ตอนนั้นฉันนั่งอ่านหนั้งสือ อยู่ตรงระเบียงของฉันสอง เพื่อนฉันเดินมาบอกว่า ไปขี่จักรยานกัน ฉันตอบว่าไม่ ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว น่าโมโห ชะมัด

เพื่อนฉันก็ขอโทษ ขอโพย ว่ามันไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน พื้นเย็นมาก เพิ่งได้นอนตอนมานอนบนเตียง ฉันก็บอกแล้วว่าให้นอนด้วยกัน เชอะ สมน้ำหน้า !!!

เช้านี้เราเลยทำอะไรไม่ได้มาก นอกจาก ขี่จักรยานไปเรื่อยๆๆๆๆ ตามสถานที่ต่างๆ เช่นไปดูน้ำโขงที่แก่งคุดคู้ ...เมื่อไปถึงปรากฎว่าน้ำขึ้น ไม่มีหาดหินสวยงาม อย่างในหนังสือนำเที่ยว ก็แห้วไปอีก รอบขี่มาตั้งไกล อย่างหอบ...

ขากลับเลยแวะจิบการแฟที่ ร้านน่ารักๆข้างทาง เพื่อชดเชยความเหนื่อยอ่อน

ที่นี่เอง เราเลยตกลงกันว่าไหนๆ เชียงคานก็ไม่ได้ ตอบสนองอะไรเราได้มากกว่านี้แล้ว เราควรไปที่อื่นกันต่อ ฉันจึงแนะนำว่าไปนอนที่ภูเรือกัน เถอะ

การเดินทางของเราจึงเริ่มอีกครั้ง

เราขี่จักรยาน กลับมาที่เกสท์เฮ้าส์ เพื่อจะเช็คเอ้าท์ และ สอบถามข้อมูลการเดินทาง

ได้รายละเอียดว่า ถ้าจะไปภูเรือต้องไปต่อรถ ที่ตัวเมืองเลยเท่านั้น เพราะ ว่าไม่มีรถจากเชียงคานไป แล้วพี่เจ้าของ ก็จัดแจง ตามรถสามล้อมารับเราเพื่อไปส่งขึ้นรถทัวร์ที่จะกลับ ไปตัวอ.เมือง ที่จริงสามารถนั่งรถสองแถว ที่จะวิ่งผ่านเพื่อกลับไปตัวอ.เมือง ด้วยก็ได้แต่ฉันไม่อยากนั่งรถให้ลมโกรกหน้า เพราะ รู้สึกง่วงด้วยอยากนั่งรถบัสมากกว่า แต่เพื่อนฉันก็คัดค้านว่าเราควรจะนั่งรถกินบรรยากาศกันนะ.....แต่ในที่สุดเค้าก็ต้องเถียงแพ้ฉันเสมอ เสมอ ^ ^

พี่เจ้าของบอกว่า จะมีรถตอนเที่ยว สิบโมง ครึ่งพอดี ซึ่งตอนนี้เป็นเวลา สิบโมงแล้วถ้าเราออกไปตอนนี้ก็จะขึ้นรถบัส ทัน ฉันตกลงทันทีตามนั้น ...

รอประมานสามนาที เหมือน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คุณลงรถสามล้อ ก็ขับมาจอกรับเราหน้าเกสท์เฮ้าส์เพื่อไปส่งยังที่ขึ้นรถบัสไป ตัวอ.เมือง

เมื่อมาถึงสถานีรถบัส เสียค่าเหงารถคุณลุงไปสี่สิบบาท หลังจากนั้นเราก็เดินไปสอบถามหาตั๋วขึ้นรถบัส ทันที

พนักงานสาวในตู้ยิ้ม และตอบกลับมาว่ามีเที่ยวเดียว คือเที่ยวครึ่งค่ะ - -

แล้วที่เราออกมานี่มีความหมายอะไร เพื่อนฉันปลอบใจว่ามันคงเป็นการช่วยเหลือชุมชนสามล้อ ของพี่เจ้าของเกสท์เฮ้าส์ เค้าน่ะ ทำใจเถอะ

แล้วฉันก็ต้องเดินออกมาที่ถนนใหญ่เพื่อรอ โบก สองแถวไป ตัวเมือง อย่างที่เพื่อนชายของฉันนั้นคาดหวังไว้

แล้วเมื่อได้ยืนรอเกือบ ครึ่งชม. สองแถวก็วิ่งมาด้วยความเร็ว ขนาดเด็ก สามขวบวิ่งได้ เนิ่บๆ เนิ่บๆ เข้ามาใกล้ๆ จนเรารุ้สึกว่าเดินไปตัดหน้าให้จอด คงจะดีกว่า

ขึ้นไปนั่งบนรถ ก้มีคนนั่งอยู่ สี่ห้าคน มีเด็นสองคน มองเราแบบสายตาแปลกตาว่า จะมาแบกกระเป๋าอะไรเยอะแยะ แถมมายืนโบกอยู่หน้าสถานีขนส่งอีก - -

ฉันวางกระเป๋าไว้ข้างๆลำตัวเพราะว่า เดี๊ยวต้องทำการใช้กระเป๋าเป็นที่พักพิงซะหน่อย เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็จัดท่าทางให้เรียบร้อยและ ฟุบหมอบกลับ ทันที

ด้วยฝุ่นที่พื้น และการเบรคจอดแทบทุก สิบนาที ฉันก็ไม่ได้นอนแม้แต่นาทีเดียว

หันมาเพื่อนฉันก็ดื่มด่ำกับ ธรรมชาติ หยิบมือถือมาถ่ายรูปโน่นนี่นั่น ... ร่าเริงดีแท้

และด้วยระดับความเร็วเท่าเด็กสามขวบ วิ่งตามรถไอติมนั้น ทำให้ฉันหมดอารมณ์ที่จะโต้แย้ง หรือ กร่นด่า บั่นทอนชีวิต จึงทำใจปล่อยมันเป็นไป

ฉันนั่งได้สักพักใหญ่ๆก็เอาอีกแล้ว กระเพาะปัสสาวะเริ่มบีบตัว ปวดฉีี่ง่ะ

ฉันพยายามลืมข่มตาหลับ ก้ไม่หาย จึงบอกเพื่อนไปว่าถ้ามีปั๊มหน้าฉันจะลงทะนที เพราะ รถเต่าควานแบบนี้กว่าจะถึง คงไม่ไหว เพื่อนฉันก็ห้ามไว้ต่างๆนา ๆ บอกทนไว้เถอะกว่าจะได้รถคันใหม่คง จะอีกนาน .....เอาก็เอาวะ ทนก็ทน

ผ่านไปอีกเกือบชม.เราก็มาถึง ตัวเมือง สวรรค์ทรงโปรด ฉันวิ่งเข้ารพ. ที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์ทันที ไม่สนแล้วว่า ที่นี่ที่ไหน ฉันฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้กับเพื่อน แต่ก็ได้รับคำตอบมาว่า กูก็ปวดเหมือนกัน ... แหมม แล้วทำเป็นปากดี มมาว่าแต่ฉัน

-------------------------------

เดินทางกันต่อไป

เรามารอรถที่จะไป ภูเรือ สอบถามมาได้ว่าจะมีรถออกตอน บ่ายสอง ตอนนี้ก็เป็นเวลา เกือบจะบ่ายโมงแล้ว เอาวะ รอแค่ ชม.เดียวได้อยู่แล้ว

เราเอากระเป๋าขึ้นไปวางจองที่ รถบัสที่จะไป มีขนาดเล็กมาก เหมือนรถรร.อนุบาลสีเหลือง รถคันนี้จะสุดทางที่หล่มสัก ซึ่งไกลกว่าภูเรือ แสดงว่าเราต้องลงกลางทาง สอบถามคนขายตั๋วบอกว่า ใช้เวลาประมา 1 ชม. แต่โชคดีที่ยังเป้นรถแอร์

รถที่ต้องขึ้นเขาทางลาดชัน คดเคี้ยวแบบนี้ ไม่ค่อยถูกกับฉันเท่าไร ฉันจึงไปซื้อยาดมติดตัวทันที

เราเดินๆๆ ดูๆๆ โน่นนี่นั่น ไปสักพักก็ใกล้เวลารถออก ตอนนี้คนเต็มทุกที่นั่งแล้ว แต่ก็ยังมีคนเกินมาอรีก เอาล่ะสิ ต้องมีเก้าอี้เสริมกันแล้ว ตามทางเดินเล็กๆในรถนั้น ก็มีมาวาง 2 ตัว แถมคนที่มานั่งเก้าอีเสิรมก็เป็นแม่ลูกคุ่นึงเด็กน้อยประมาณ สองขวบได้ ฉันอยากจะลุกให้เค้านั่งแต่ก้ กลัวสังขารตัวเองจะไม่ไหว แค่นั่งเบียดๆแบบนี้ยังจะตายแล้ว จึงได้แต่บอกคนนั้นว่าจะอุ้มลูกให้เค้ามั้ย

เมื่อรับเด็กน้อย หน้าตาบ้องแบ๊วมาไว้ในมือ ทันใดนั้น เด็กก็ร้องไห้โฮทันที และไม่ยอมหยุด ....เอิ่บส์ ไม่นะ ฉันไม่ได้น่ากลัว หรือ ทำร้ายเด้กนะ หรือ เค้าจะกลัวเพื่อนชายที่นั่งข้างฉัน ต่างฝ่ายต่างเถียงกันว่าเด็กกลัวใคร แม่ของเด็กน้อยจึงขอบคุณและขอรับไปอุ้มไว้ให้เมื่อย เองดีกว่า


เรานั่งกันมาสักพัก ฉันก็ทนความง่วงไม่ไหว ม่อยหลับไปทันที เพื่อนฉันจากนั่งชมวิว ลั้ลลา อยู่ฉันก็ไม่รู้ว่าเค้าหลับไปตอนไหนเหมือนกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราไม่ทะเลาะกันระหว่างทาง แถมยังนอนหัวชนกัน แบบไม่มีใครด่าใครด้วย

เมื่อฉันตื่นมา ฉันรุ้สึกว่าโดนล่วงล้ำอาณาเขตมากไปแล้ว เนื่องจากเพื่อนฉันตัวสูง และพอหลับก็จะเอียงตัวมามากไป ทำให้ฉันต้องหัวโขก หัวตกเบาะ ตลอด ฉันจึงตัดสินใจทำเป็นหยิบของ เพื่อให้ของหล่นใส่ หัวเพื่อนและเมื่อเค้าตื่นมา ฉันก้ทำเป็นหลับ และ กินที่เค้าบ้างทันที .... เร็วกว่ามีสิทธิ์ ^ ^

ฉันหลับไปได้แป๊บเดียวก็มีเสียง บอกว่าถึงภูเรือแล้ว เราลงจากรถอย่างทุลักทุเล
เมื่อลงมา ก้พบว่าอากาศที่นี่ เหมือนดมดอกไม้ ที่มีสีม่วงอยู่เลย (ไม่รุ้ทำไมต้องเป็นสีม่วงแต่มันรุ้สึกอย่างนั้นน่ะ ) ฉันชอบจัง สดชื่นดีจริงๆ


--------------------------------------

ยิ่ง สูง ยิ่ง หนาว

เราหาวิธีการขึ้นไปยังอุทธยานแห่งชาติภูเรือกันอยู่ เราเดินไปที่จุดประชาสัมพันนักท่องเที่ยวก็พบเพียงโต๊ะ และ ใบประกาศหมายเลขบริการนักท่องเที่ยวต่างๆอยู่เต็มไปหมด ไม่มีมนุษย์ที่จะให้ข้อมูลได้เลย

.... ถึงแม้มีเก้าอี้ ก็ไม่ได้มีคนนั้งเสมอไป ....

เราออกมาหาวิธีกันเอาเอง ฉันโทรถามทางบ้านไม่มีใครสามารถบอก ได้ว่าต้องทำไงเพราะเคยแต่เอารถขึ้นไปกันเองไม่เคยใช้รถสาธารณะ

เราจึงเดินไปถามร้านค้าแถวนั้น เค้าบอกว่ามีแต่ต้องเหมารถขึ้นไปเท่านั้น ...

ค่าเช่าเหมารถไปส่ง และ รับกลับในวันต่อไปอยู่ที่ 800 บาท โอ้วแม่เจ้ากับ Backpacker หนีน้ำท่วมอย่างเรา ไม่มีปัญญาหรอกนะ เราจึงอ้อนวอนขอคุณลงในราคา 600 บาทมาได้แต่ข้อแม้คือ ต้องซื้อของกินที่ร้าน เมียของลุงด้วย - -

ไหนๆเราก้อต้องซื้อของอยู่แล้วเอาก็เอา เราตุนน้ำขวด และมาม่า คัพกับขนมอีกนิดหน่อยขึ้นไป เพราะ ได้ข่าวว่าอาหารแพงมาก

นั่งรถกระบะ คุณลุงขึ้นไป ลุงก็อธิบายต่างๆนานาว่าเราควรทำไรบ้าง แต่สรุปสุดท้าย ถ้าเราถามอะไร แกก็จะให้ไปถามเจ้าหน้าที่ดู ... (ประมาณว่าเป้นคนขับรถนะไม่ใช่ไกด์นำเที่ยว - - )

เมื่อมาถึงยอดเราจ่ายส่วนแรกให้ก่อนในราคา 300 บาท แล้วลุงก็ฝากเบอร์ไว้ว่าเราจะลงเมื่อไรก็ค่อยโทรเรียก

เต่เราคิดกันแล้วล่ะว่า มีคนเอารถขึ้นมากาเต้นท์นอนเยอะแยะ เราติดรถใครสักคนลงไปก็คงได้คนไทยไม่แล้วน้ำใจหรอก โฮะ โฮะ

เราติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องการเช่าเต้นท์ และเครื่องนอน ต่างๆ เจ้าหน้าที่ให้เราเดินเลือกได้เลย แล้วจะนำเครื่องนอนไปให้

เราเลือกเต้นท์ที่ พยายามอยู่ไกลคนหน่อย และรับลมได้ดี แต่อยู่ในร่ม ก็ได้เต้นริมสุด มาครอง

วันนี้คนมากางเต้น ประมาณ สี่ ห้า กลุ่ม บางกลุ่มก็เซ็ทใหญ่ตั้งใจมามากจริงๆ มีเต้นท์สำหรับทำครัวและกินข้าวแยกออกมาต้างหาจากเต้นที่นอน

บางกลุ่มก็เป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่มาเฮฮา มีกญิงสาวมาด้วย แระมาณข้าวใหม่ปลามัน

เมื่อเราจัดการเรื่องที่พักเก็บของกันเรียบร้อย ตอนนั้นก็เป้นเวลา สี่โมงกว่าๆ

เพื่นฉันทำท่าจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ฉันรีบลากตัวขึ้นมาแล้วยื่น โบชัวร์จุดท่องเที่ยว แล้วชี้บอกตำแหน่งว่าเราควรไปเดินเที่ยวกันนะ อากาศก็เย็นกำลังดีด้วย ....

จุดแรกที่เราไปคือน้ำตก ชื่ออะไรฉันจำไม่ได้แล้ว แต่น้ำก็ไม่ได้เยอะเท่าไร แต่น้ำเย็นมาก แต่ดุท่าคงไม่ใช่ที่ที่ควรลงไปเล่น เพราะ มันมีหลุมเยอะมาก อย่างมากก็แค่เดินๆเหยียบๆตามโคดหินที่มีน้ำหลากก็ เย็นสบายแล้ว

เราเดินดูจุดน้ำตกจุดอื่นๆต่อไป พอเหนื่อยสักพักก็กลับมาที่เต้นท์ ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงกว่าๆแล้ว

สถานที่ห้ามพลาดต่อไปคือ จุดชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งในโบชัวร์บอกว่า แค่ หก กม. จึงคิดว่าไม่ไกล เพราะเมื่อกี้เดินไปน้ำตกก็เหยียบๆ แปด กม.แล้วนะ

เราจึงตัดสินใจเดินไปดู พระอาทิตย์ตกกัน ระหว่างทางเดินไปก็ถามกันว่า เอ๊ะ ..แล้วถ้าพระอาทิตย์ตก ตอนขากลับ แสดงว่ามันมืดแล้วสินะ แล้วเราจะกลับกันยังไงหว่า - - ...ก็ไม่มีคำตอบ ใดใด ที่แสดงถึงสาระจากคำถามนี้หลุดออกมาจากปากเพื่อนฉัน ฉันจึงได้แต่ช่างมัน แล้วเดินต่อไป .....

เราเดินมาสักพักก็เริ่มรุ้สึกว่า เค้าวัดระยะทางผิดรึเปล่ามันดูไกลกว่าที่เราไปดูน้ำตกนะ แต่ เดินมาถึงจุดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องเดินต่อ อีกไม่นาน พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้วด้วย ต้องดูให้ได้ ....



ในที่สุดเราก็เดินมาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ลักษณะเป็นเหมือนผาที่ยื่นออกไป และลาดลงไปด้านล่าง และ มีแท่นหิน เรียงราย มากมาย คล้ายในโฆษณาที่พี่เบิร์ดปีน ขึ้นไปนอนดูดาว แต่ที่หินเล็กกว่าแต่ก็สูงเหนือหัวฉันอยู่เหมือนกัน

เราเดินมาจนถึงป้ายที่เขียนว่าจุดชมวิว พระอาทิตย์ตก น่าแปลกใตที่ไม่มีใครมาดูเลย ทั้งๆที่น่าจะเป็นไฮไลท์แท้ ๆ เราพยายามเลือกจุดที่เหมาะสม

แล้วเราก็พบว่า ตรงป้ายที่เขียน แล้วตั้งอยู่ติดกะแท่นหินก้อนหนึ่งที่สูงประมาณ หัวฉันนั่นแล่ะ จุดที่ดีที่สุด แต่ปัญหาคือ เราจะขึ้นไปยังไง ถึงมันจะดูเป้นหิน ชั้นที่พอจะปีนขึ้นไปนอน แบบพี่เบิร์ดได้ก็เถอะ

เพื่อนฉันในฐานะที่สูง เกือบร้อยเก้าสิบ ก็ต้องปีนขึ้นไปก่อนล่ะนะ เราพยายาม ยกตัว ปีน กันอยู่สักพัก เพื่อน ฉันก็ขึ้นไปสำเร็จ และ เค้าก้ส่งมือมาดึงฉันขึ้นไปตาม ....

สวยมาก .... พระอาทิตย์ที่มองจากบนนี้ ถึงแท่นหินนี้ จะไม่ใหญ่มาก แต่ฉันก็อยากจะนอนราบลงไปมองพระอาทิตย์ ดู มันคงจะเพลินดี ส่วนเพื่อนฉันนั่งอยู่อีกทางของแท่นหิน ยืนแล้วก็ตะโกน เหินฟ้า บ้างล่ะ ร้อง อ๊ากกบ้างล่ะ ฮันต้องคอยให้เค้าสงบปากสงบคำบ้าง เพราะ มันคงไม่ดีที่จะมาตะโกนในที่มีหุบเขาและเสียงสะท้อนแบบนี้ ....

พระอาทิตย์ สีส้มดวงกลมๆๆ ตอนนั้นฉันว่ามันน่ารักดีนะ ...

มันเหมือนจะบอกว่าไปและน้าาาาา...ค่อยๆดคลื่อนย้อยลงต่ำลงๆๆ

มองสักพักก็แสบตา แต่ก็อดที่จะดูการเคลื่อนไหว ของเจ้าตัวกลม สีส้มนี่ไม่ได้

ย้อยลง คล้อยลง ผ่านขอบเมฆ และ ไหล่เขา

และแล้วก็เหลือแค่ปลายเล็บสีส้ม ...



เราตัดสินใจบอกลาเจ้าตัวกลมสีส้มก่อนที่จะมิดลับไปมากกว่านี้ เพราะจะมืดแล้วเราคงจะกลับกันลำบาก ...

แต่ก่อนอื่น ....ฉันจะลงยังไงล่ะค้าาาา....

เพื่อนฉัน ค่อยๆหย่อนขาอันยาวของเค้าลงไปที่พื้นแล้วก็ ฟึ่บ กระโดดลงไป ...

แล้วฉันล่ะ เพื่อนฉันบอกว่า กระโดด ลงมาเลย ...

จะบ้ารึเปล่า ขาแข้งหักไปว่าไงไม่ใช่พื้นหญ้านะคะ ที่มันชื้นที่เป็นหินทั้งนั้น ช่วยไม่ได้ ฉันจึงต้องขอร้องให้เพื่อนหันหลังมาแล้วฉันจะ ลงไปขี่คอเค้า เพื่อจะได้ลงง่ายๆ ... เพื่อนฉันก้ต้องยอมทำ พอฉันลงมากอดคอเค้าปุ๊บ เค้าก็เซ ฉันจึงรีบกระโดด ลงพื้น เพื่อนฉันบอกว่า จะกระโดดทำไม เกือบ ล้มคล่ำแล้วนะ - -

ก็นึกว่าแกจะล้มฉันก็ลงก่อนสิ ....

เราเดินกลับกันอย่างว่องไว เพราะฟ้าเริ่มมืดแล้ว เมื่อกลับมาถึงที่เต้นท์ก็หิวทันที มาม่าคัพที่เตรียมมาจะมีประโยชน์ตอนนี้และ ^ ^

ฉันโดนใช้ให้ไปขอน้ำร้อนกับเจ้าหน้าที่อุทยาน เพราะ ความเห้นที่ว่าผู้หญิงขอเค้าจะให้ ซึ่งไม่เกี่ยวเลย ... มึงขี้เกียจมากกว่า ....

ฉันก้ต้องไปเถียงกันไปก็เท่านั้น หิวแล้ว

น้ำร้อนของพี่พี่เจ้าหน้าที่ คือน้ำอุ่น ประมาณ 28 องศาที่เครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำที่บ้านฉันทำยังร้อนกว่า พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า บนนี้ต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เพราะฉะนั้น เวลาเค้าต้มน้ำ จะต้มไว้ที่เยอะๆแล้วใส่กระติกไว้ พออากาศเริ่มหนาว น้ำมันก็เลยต้องเย็นลงเป็นธรรมกา - -

เอาน่าดีกว่าไม่มีน้ำอุ่นเลย ยังไงก็อุ่นๆ ปล่อยไว้นานๆเส้นก็อืดเอง ...

ฉันกลับมา ที่เต้นท์ ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อากาศเย็นเริ่ม คืบคลานมากมากว่าเก่า เรานั่งกิน มาม่าอยู่หน้าเต้นท์แล้วก็ บ่นกันว่า จะทำไรดีอ่ะ ....

ไม่มีคำตอบเช่นเคย .... เมื่อกีนมาม่าเสร็จ ฟ้าก็มืดพอดี ตอนนี้เป้นเวลา ทุ่มเศษๆ เรายังไม่ได้อาบน้ำแปลงฟันเลย เพื่อนฉัน บอกว่ามันจะไม่อาบน้ำเด็ดขาด
แต่ฉันไม่ไหว วันนี้ เดินทาง มากมายเหลือกเกิน ถึงอากาศจะเย็น แต่คราบฝุ่นก้ติดตัวมาไม่น้อย ฉันจึงใจกล้าไปห้องอาบน้ำ คนเดียว ...

น้ำเย็นมากกกก เหมือนเพิ่งออกมาจากช่องฟรีส ฉันคิดในใจเอาวะ เอือกเดียว

เรายังเคยเห็นในทีวี คนแก่ ว่ายน้ำใน ทะเลสาปน้ำแข็งเลย เค้าว่าทำให้อายุยืน น้ำเย็นแค่นี้ กับ ลมหนาวแบบนี้ ทำไมจะทนไม่ได้วะ ....

โคร่ม...น้ำสาดจากขันแรก ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น เย็นมาก เยือกมาก

ฉันจัดการเทสบู่ลงไปตีๆใน ขันน้ำ แล้วสาดใส่ตัว แล้วเอามือ ถูๆๆๆ ลวก และ เร็ว ที่สุด แล้ว สาดน้ำสะอาดใส่ อีก สองสามขัน ตอนนี้ นิ้วมือซีดมาก หลังจากนั้น รีบเช็ดตัวด้วยผ้าผืนน้อยที่พกมาแล้วใส่เสื้อผ้าทันที

ออกมาล้างหน้า และยืนแปรงฟัน อยู่ตรงที่ล้างมือ ด้วยเสื้อผ้าที่รัดกุม ...เสร็จ ...

กลับมาเพื่อนฉัน ได้มุดเข้าไปในถุงนอน เรียบร้อย ..

ฉันกลัวว่าจะนอนไม่หลับจึงซัดยา แก้แพ้ไป 1 เม็ด เมื่อมุด ตัวลงถุงนอนเสร็จ ไม่ถึงสอบนาทีก็ไม่มีสติอีกเลย ...

วันนี้เหนื่อยจริงๆ
การเหนื่อยที่ มีข้อแลกเปลี่ยน เราได้แลกเปลี่ยน กับบรรยากาศที่ สนุก

ความลำบากที่แลกกับความแปลกใหม่

แล้ว ก็ความแสบตา ที่แลก กับความน่ารักของสิ่งที่เจิดจ้า เกินกว่าจะจ้องมอง ...


ราตรีสวัสด์



Create Date : 08 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 8 พฤศจิกายน 2554 17:04:27 น.
Counter : 480 Pageviews.

1 comment
สองคนที่เดินทาง (วันที่ 2)
ไปเรื่อย เรื่อย เลย ...

วันนี้ ฉันตื่นเช้ามากทั้งๆที่เมื่อวาน เพลียสุดๆ ฉันตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า
อากาศ ดีมาก ฉันออกไปขี่จักรยาน แค่แถวบ้าน หมอกก็ลงหนา ซะจนมองไปไกลๆไม่เห็น ฉันขี่ไปเรื่อยๆ สูดดมอากาศที่ไม่ได้เจอแบบนี้มานาน ใบหน้าที่ปะทะกับลมเย็นๆ หมอกบางๆ แอบมีความชื้นมาโดนที่หน้า .... สดชื่น ชะมัด ^ ^

ขี่ไปได้สักพัก เริ่มไกลจากบ้านขึ้นเรื่อยๆ หมอกเริ่มหายเรื่อยๆ แสงแดดยามเช้าเริ่มสาดส่องแรงขึ้น แรงขึ้น จากใบหน้าเย็นๆเพราะ หมอก กลายเป็นใบหน้าเปียกๆเพราะเม็ดเหงื่อ .... หอบ รีบขี่กลับบ้าน อย่างหอบ

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าที่บ้านชั้น คุณน้า คุณลุง ออกไปทำงานหมดแล้วเหลือแต่คุณป้า ที่อยู่คอยดูแลบ้าน ขากลับฉันแวะซื้อ ข้าวเปียกกลับมา เป็นอาหารเช้า

ข้าวเปียกที่จ.เลย จะคล้ายๆก๋วยจั๊บญวณ อันที่จริงก็เหมือนๆกันเลย อร่อยกินกับปาท่องโก๋ กรอบๆ อร่อยดี

เพื่อนของฉันก็ยังคงนอนอยู่ อย่างสบายอารมณ์ ฉันเปิดประตุเข้าไป และเตะเข้าไปเต็มที่ เพื่อนฉันโอดครวญว่า โอ๊ย!!ทำไมยังเช้าอยู่เลย ....

ถ้าอยากจะนอนไม่นอนที่บ้านวะ มาเที่ยวนะเฟ้ย !!!

v-v โดนปลุกด้วยความโหดระดับ สอง คือแค่เตะ และ ตะโกนใส่ ก็ทำให้เพื่อนฉันตื่นขึ้นมาได้ ภายในเวลาประมาณ 10 นาที ...เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน - - *

วันนี้เราต้องเริ่มวางแผน กันต่อแล้วว่าจะไปไหนดี เพราะ ญาติๆฉันไม่มีใครว่างพานำเที่ยวเลย แล้วมันก็จะน่าเบื่อมากถ้าจะกินๆ นอนๆ อยู่อย่างนี้

เราจึงตัดสินใจ ไปเริ่มต้นชิวๆ กันที่เชียงคาน ...

เราเริ่มเดินทางด้วยการนั่งรถ จากอ.วังสะพุง บ้านฉันไป ตัวอ.เมือง ที่ห่างไปประมาณ 20 กม.

ถึงแม้ฉันจะมีญาติที่จ.เลย และเคยมาจ.เลย คิดซะว่า ปีละครั้งได้ แต่ฉันก็ไม่เคยเดินทางในจ.เลย ด้วยรถโดยสารมาก่อน แต่ในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ฉันต้องทำเป็นว่ารู้ หุหุ ...

เอาเป็นว่า รถคันไหนไม่ว่าจะมาจากจังหวัดอะไร แต่ถ้าเขียนว่าไป จ.เลย ก็ไปเลย ละกัน...

เราขึ้นรถ อุดรธานี - เลย เพื่อจะเข้าไปที่ตัวเมือง ก่อนขึ้นก็ต้องถามเพื่อความแน่ใจว่า รถคันนี้มุ่งไปตัวอำเภอเมือง จ.เลย ไม่ใช่ อุดรธานีแน่นะ (แอบถามไม่ให้เพื่อนเห็นกลัวเสียฟอร์ม)...

นั่งรถประมาณ 20 นาที เราก็มาถึง บขส.ที่ตัวอ.เมือง ตอนกลางวันที่นี่ร้อนมาก อากาศดีๆตอนเช้า เริ่มหายไปจากความทรงจำ

ฉันโทรหาพี่ที่รู้จักกัน ว่าเค้าอยู่บ้านรึเปล่า อันที่จริงแค่อยากจะโทรหาเพื่ออยากจะเจอกันเฉยๆ เพราะไม่เจอกันมานาน แต่พี่ชายใจดี พอรู้ว่าน้องต้องระเห็จไปเชียงคานเอง อย่างไม่รู้ทิศทาง ก็อาสาจะไปส่ง ทันที .... ดีใจจัง ...

รอสักพัก พี่ชายก็มารับที่ ร้านกาแฟที่เรานั่งรอกัน เพื่อนฉันต้องคอยหาร้านกาแฟที่มี Wifi ตลอดเวลา เพราะเขาลงทุนแบกโน้ตบุคกับ external แสนหนัก มาด้วยเพราะ ว่าต้องมีการส่งงาน ตลอดเวลา ถ้าหากมีการสั่งให้ทำงาน .... น่าเห็นใจนะ แต่ถ้าคุณได้ มารู้จักกับเพื่อนฉัน หรือจะเรียกว่า มันก็ได้ จะรู้ได้ว่า สมน้ำหน้า

พี่ชาย กับชั้น ยังเฮฮา ตลอด ตลอด เราเล่นมุขเสื่อมๆ กันตลอดเวลา

พี่คนนี้ เป็นครีเอทีฟ ที่ผันตัวมาเดินตามฝันนักดนตรี ซึ่งเรารู้จักกัน ตอนที่ฉันก็ยังเป็นพนักงานบริษัทเดียวกัน บริษัทเราเป็น บริษัทออร์กาไนเซ่อ เป็นบริษัทที่เล็กๆ ทุกคนตลก สนุกสนาน เฮฮา ตั้งแต่ แม่บ้าน ยัน MD แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมพวกเราถึงอยู่กับบริษัทนี้กันได้ไม่เกิน 2 ปีเราก็ต้องออกกัน แต่เราออกไปด้วยความทรงจำดีๆ มีการกลับไปรับทำงานด้วยกันบ่อยๆ แต่ถามว่าจะกลับไปทำประจำมั้ย คงไม่มีใครกลับไป ....

ฉันไม่รู้เหตุผลของคนอื่น แต่เหตุผลของฉันเอง คือ ฉันอยากเก็บทุกคนไว้ในความทรงจำที่ดี ดี อย่างนี้ตลอดไป เพราะ การทำงานสายนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างกดดัน และขึ้นอยู่กับลูกค้า ซะส่วนใหญ่ บางทีที่เรามีความเห็นไม่ตรงกัน ฉันไม่อยากเอาสิ่งนั้นมาทำให้ฉันเริ่มมอง คนเหล่านั้นเปลี่ยนไป
"ฉันอยากมีรอยยิ้มมากกว่าการโต้เถียง" นี่คือเหตุผลที่ฉันบอกกับทุกคนว่าทำไมถึงออกมา

ไร้สาระดีนะ แต่มันก็ทำให้ฉัน ยิ้มได้ และดีใจทุกครั้งที่ได้เจอคนเหล่านั้นอีกครั้ง

-------------------------------

เราออกเดินทาง จากตัวอำเภอเมือง เพื่อจะมุ่งหน้าไปเชียงคาน จำระยะห่างไม่ได้แล้ว แต่รู้ว่านานสักพัก พี่ชาย พาแวะกิน ส้มตำร้านคุณป้าคนนึง ที่บ้าน นาอ้อ
อร่อยดี และพี่ชาย ฉันเองก็ ตั้งใจนำเสนอมากจัดมาให้เรา ซะชุดใหญ่ ฉันไม่อยากบอกว่า เราอิ่มกันมาแล้ว แต่ด้วยความตั้งใจน้องก็จะกินเต็มที่ ^ ^

ส่วนเพื่อนฉันไม่ต้องพูดถึง ขานั้น กินเผ็ดไม่ได้เลย แถมไม่กินปลาร้า กินเข้าไปคำแรก ก็ชะงัก และขอตัวจริงๆ ถึงมันจะเสียมารยาทก็ตาม

พอเราเริ่มกินไปได้สักพัด ความเร็วเริ่มช้าลง คือถ้า ฉันช้าลงคนเดียวก็ไม่เท่าไรแต่พี่ชายตัวดีของฉันกลับช้ากว่า ฉันเลยถามว่า ทำไมไม่กินต่อ เขาก็สารภาพว่าอิ่มมาแล้วเหมือนกัน แต่อยากพาน้องมากิน - -!!

เรานั่งสุมหัวคุยกันว่า ถ้าหาก สามจานที่เหลือ เราจะไม่กินมัน จะทำให้ป้าเกิดอาการ น้อยใจ จนถึงขั้นปิดกิจการกันไปเลยหรือไม่ เพราะ ตอนแกทำแกตั้งใจมาก บอกว่า ดีใจมากที่ พี่ชายพาเพื่อนๆมากิน แถม ตอนมาถึงฉันก็ดูตื่นเต้น และ เอ่ยปากไปว่า ป้าต้องตำอร่อยๆ ให้สมกับที่หนูมาไกลๆ ...เราคิดวิตกกันต่างๆนาๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ไหว ต้องเอ่ยปากขอโทษ คุณป้า บอกว่ามันอร่อยมากจริงๆนะ แต่กินข้าวกันมาแล้ว ไว้รอบหน้า จะมาแก้ตัว Y_Y คุณป้ายิ้มและไม่ว่าอะไร บอกว่าไม่เป็นไรแค่มาก็ดีใจแล้ว ^ ^

เราสามคน เดินทางมุ่งหน้าสู่เชียงคาน ต่อไป เส้นทางไปเชียงคาน มีลักษณะ เป็นป่าอยุ่ 2 ข้างทาง จะมีบ้านคนบ้างก็เป็นระยะๆ หรือเมื่อผ่าน ตำบลใด ตำบล หนึ่งเท่านั้น เราผ่าน ทุ่ง นา ที่ยังไม่แตกรวงแต่ก็สวย สุดลูกหูลูกตา ....แต่ท้องไส้ ของฉันที่ปั่นป่วนเพราะ ฤทธิ์ ของส้มตำ สามครก ที่รสชาติจัดจ้าน มันก็มาทิ่มแทง อยู่ที่หน้าด่าน

เอ่อ พี่คะ...เอ่อ...ขับเร็วกว่านี้ดีมั้ย จะอีกนานมั้ยกว่าเราจะถึง

พี่ฉันหันมาตอบด้วยความจริงใจว่า อีกสักพักใหญ่ๆ และถามกลับว่า มึงปวดขี้ใช่มั้ย !!! ... ก็ใช่สิวะ จะมีปั๊มมั้ยเนี่ย แล้วก็ขับให้มันเร็วๆด้วย

พี่ฉัน กับเพื่อนฉันต่างขำแล้วบอกว่าอดทนอีกนิดนะ ตรงนี้ไม่มีปั๊มหรอก แล้วที่ขับช้าเพราะ อยากให้เสพย์บรรยากาศกัน ....โถ พ่อคุณ...ช่างหวังดี - -

แต่ตอนนี้ช่วยเร่งหน่อยนะจะไม่ไหวแล้ว ....
ฮู่ว!! ในที่สุดก็เจอปั๊ม .... สวรรค์ทรงโปรด ^ ^

เรากลับมาเริ่มออกเดินทางต่อ ฉันบอกว่าขับช้าได้แล้ว ฉันอนุญาติ


ชีวิตเนิบช้า ที่เชียงคาน ....

เรามาถึงเชียงคาน สี่โมงเย็น แล้วเราจึงควรต้องรีบหาห้องพัก ที่เชียงคานเกสท์เฮาส์ เยอะมากแต่ มีหลากหลายอารมณ์ ตั้งแต่น่ารักเก๋ไก๋ ไฮโซ หรูหรา หรือ พื้นบ้าน ธรรมดา

เราเดินลากกระเป๋า แบกเป้เลือกห้องพักเก๋ๆ ริมโขงกันก่อนเลย ฉันอยากนอนที่ เก๋ๆ ที่เค้าชอบลงใน หนังสือนำเที่ยว กัน แต่ถามส่วนใหญ่ก็เต็มกันหมด ก็อย่างว่านะ คนคงหนีมาเที่ยวกันเยอะ อยู่

แต่เราเดินมาเรื่อยๆ เราก็มาเจอ บ้านพัก เล็กๆน่ารักๆ ชื่อ เพลิน เพลิน ข้างในให้บรรยากาศอบอุ่น เต็มไปด้วย สินค้าที่ระลึกเก๋ ๆ เสื้อเชิ้ต สมุดทำมือ กระเป๋า แฮนเมด แต่ทุกอย่าง ทำเป็นลายม้าหมดเลย แต่ก็น่ารักดี ฉํนถามหาห้องว่าง ตอนนี้เหลือแค่ห้องเดียว ราคา 450 บาท นอนได้ 2 คน อืม ...ราคาน่าคบหา^ ^

เราไม่มีอคติกับการนอนด้วยกันอยู่แล้วเพราะ เราเรียกได้ว่า เป็นเพื่อนที่คงไม่มีโอกาสเกินเลยได้อีกแล้ว รู้ไส้รู้พุงกันมาหมด เราเลยตัดสินใจนอนที่นี่

เมื่อตกลงดังนั้นก็ขึ้นไปเก็บของ .... อืม ห้อง..เล็กมากอ่ะ คือมีเตียง ที่นอนได้สองคน และก็มีโต๊ะเล็กๆ นอกนั้นไม่มีอะไรแล้ว เพราะไม่มีพื้นที่แล้ว - - ...
แต่การจัดห้องต้องยอมรับว่าน่ารักดี สีสัน ลวดลายเก๋ไก๋ เหมือนในหนังสือนำเที่ยวเลย.... ฉันดีใจ ^^

ตอนเย็นกิจกรรม ที่เชียงคานคือเดิน บนถนนคนเดินที่รายล้อมไปด้วย ร้านค้าของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และ เขตก่อสร้าง !!!

พี่ชายชั้นบอกว่าตอนนี้ของขึ้นชื่อของเชียงคานคือ สถานที่ก่อสร้าง เพราะมันเยอะจริงๆ เนื่องจากมีนายทุน เริ่มเข้ามาจับจอง พื้นที่บ้านเก่าๆ ก็ถูกรื้อ เตรียมก่อสร้างเป็น เกสท์เฮ้าส์ หรือโรงแรมเก๋ๆ แต่ฉันว่า การทำแบบนี้ ทำให้กลิ่น ของเชียงคานกำลังเปลี่ยนไป ...

เชียงคาน ในความทรงจำของฉันเมื่อก่อนคือ กลิ่นไม้เก่า บ้านเก่า ริมน้ำโขง

เชียงคานตอนนี้ ก็ยังพอมีกลิ่นไม้ กลิ่นบ้าน กลิ่นคนเก่าๆ แต่มันจะมีกลิ่นปูน กลิ่นทราย กลิ่นไม้ วีว่าบอร์ด มาผสมผสานปนเปด้วยนี่สิ

เราเรียกมันว่าการพัฒนาสินะ .....

เราเดินวนจนครบรอบ แล้วก็มานั่งกินสุกี้กัน - - คือได้ข่าวว่าเมื่อคืนก็กินที่บ้านมาแล้ว วันนี้ก็จะมากินอีก แต่เอานะ เค้าว่ามันอร่อย ....

พี่ชายด่า พวกชั้นว่า เป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ซื้อของฝากเลยหรอ ผ่านร้านเก๋ๆ เสื้อยืดเท่ๆ เขียนว่าเชียงคาน โน่น เชียงคานนี่ อะไรก็ไม่ซื้อ เป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่สนับสนุนการท่องเที่ยวเล๊ยยย

ฉันตอบกลับไปว่า ไม่รู้สิ ฉันเป็นคนไปเที่ยวแต่ไม่ค่อยชอบซื้อ เสื้อ หรือ อะไรที่มันเขียนว่า ไปไหนมา ฉันรู้สึกว่า ทำไมต้องไปบอกคนอื่นด้วยว่าไปไหนมา แล้วสมมติ ฉันซื้อเสื้อเชียงคาน แล้วกลับไปใส่ที่บ้านมันจะทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันอยู่ที่เชียงคานหรอ !!! ฉันแค่คิดว่า ฉันไม่ชอบน่ะ (เป็นความคิดส่วนบุคคลมากๆๆนะคะ คนอื่นอาจจะโต้เถียงได้ แต่ฉันคิดแบบนี้จริงๆ)





พอค่ำๆ พี่ฉันขอตัวกลับก่อน เราจึงลากันไป ฉันกับเพื่อนกลับมาเดินบนถนน ที่รายล้อมไปด้วยของฝากแสนเก๋ แต่เราก็ไม่คิดที่จะแวะเข้าไปดูเลย เราเดินกันไปคุยกันไป จึงตัดสินใจไปเดินริมโขงดีกว่า

ริมโขงถึงแม้จะมืดๆ แต่ก็ได้บรรยากาศ ของความเป้นเชียงคาน ด้านขวาเป็น บ้านเรื่อนหรือเกสท์เฮาส์ ส่วนทางซ้ายก็ติดกับแม่น้ำโขง มองไกลออกไปอีกฝั่ง ก็เป็นประเทศลาว แล้ว... ได้ยินเสียงเพลง เสกโลโซ ลอยมาไกลถึงฝั่งไทย ^ ^

คืนนั้น ฉันซื้อ Smirnof มา 2 ขวด กินเบาๆที่สวนเล็กๆหลังเกสท์เฮ้าส์ ส่วนเพื่อนฉัน นั่งดูละคร - - ....

ฉันหยิบหนังสือ ที่ซื้อมานานมากแล้วแต่ไม่ได้อ่าน ขึ้นมา เป็นหนังสือ ที่ดังมาก เพราะ มันคือเรื่อง " สองเงาในเกาหลี " ของคุณทรงกลด บางยี่ขัน จำได้ว่าซื้อมาเพราะ กระแสเรื่อง กวน มึน โฮ

ยอมรับเลยว่าตัวฉันเองไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือ อะไรที่ดูแล้วจะโรแมนติกเท่าไร ฉันจะเป็นแฟน นิยายสืบสวนคินดะอิจิ หรือ หนังสือจำพวก อ่านแล้วงงๆหน่อย ของคุณปราบดาหยุ่น ซะมากกว่า หรือ อ่านแล้วเข้าใจชีวิต อย่างของคุณวินทร์ เลียววาริน หรือไม่ก็นิยายแปล พวก ลึกลับ สอบสวน เถือกๆนั้น

แต่ที่หนังสือเล่มนี้กลายมาเป็นสมบัติของฉันเป็นเพราะ ว่าฉันได้ดู หนังเรื่องกวน มึนโฮ ซึ่งก็น่ารักดี ตามประสาหนังรักแต่อาจไม่ใช่แนวที่ชอบนัก แต่พอรู้ว่าเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนังสือ ความน่าสนใจมันเพิ่มขึ้น ฉันอยากรู้ว่า ทำไมเรื่องราวที่เหมือนบังเอิญ แบบนี้มันเกิดขึ้นได้กันนะ ตอนนั้นฉันจึงซื้อหนงสือเล่มนี้มา

แต่ก็ อ่านไม่จบสักที .... ฉันชอบความโรแมนติกในตัวหนังสือ ที่คุณทรงกลดเขียนออกมา แต่ก็อีกนั่นแล่ะ ฉันมันคนแข็งกระด้าง อ่านไปสักพักก็เริ่มพบกับคำว่า เอ๊ะ !!! จิตใจที่ดำมืดของฉันมันก็บอกให้เลิกอ่าน เรามันคนที่กลัวความโรแมนติกเข้าไส้ แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่รีบเก็บของเดินทาง ฉันจึงหยิบหนังสือ มาเพียงเล่มเดียว คือเล่มนี้ ...

ฉันนั่งอ่านต่อจากที่อ่านค้างไว้มานมนาน คิดว่าที่ยังไม่ได้อ่านน่าจะมี มากกว่า ครึ่งเล่ม อ่านไป จิบไป บรรยากาศดีๆ ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ว่าความโรแมนติก ของคุณทรงกลด ไม่ได้ทำร้ายฉันอย่างที่ฉันเคยกลัว สักนิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าฉันอ่านจบโดย ที่ละครที่เพื่อนฉันดูก็ยังไม่จบ และ Smirnof 2 ขวดที่ซื้อมาก็ยังไม่หมด

ตอนนั้นเอง ทำให้ฉันรู้สึกอยากเขียนจดหมาย ไปพูดคุยกับผู้ชายที่ ชื่อทรงกลด บางยี่ขันจัง แต่ด้วยความอายว่า ทำไมแกเพิ่งอ่าน หนังสือเล่มนี้ล่ะ มันนานโขแล้วนะ แล้วด้วยความไม่รู้จะเริ่มยังไงดีว่าไม่เคยอ่านหนังสือของเขาเลย สักเล่ม จึงได้แต่มานั่ง เขียนลงสมุดบันทึกคนเดียวว่า

เมื่ออ่านหนังสื้อ เรื่อง สองเงาในเกาหลีจบ มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ฉันที่เป็นเด็กหลังห้องไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป นั่งหลับอยู่หลังห้อง อยู่ๆ ก็มีเพื่อนที่ไม่ได้รู้จักกัน และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้คุยกัน ปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ แล้วพบว่า สายรุ้ง สวยๆที่พาดผ่านบนขอบฟ้าโผล่ออกมาแล้ว ทั้งๆที่เมื่อกี้เราเห็นว่าฟ้าเป็นสีเทาๆอึมครึมๆ ชวนง่วงนอนและพาลไม่อยากจะทำอะไรตลอดเวลา ...นั่นมันแปลว่าฝนน่ะหยุดตกแล้ว และท้องฟ้าก็กลับมาสดใสอีกครั้งแล้วนะ .....


คืนนี้ เราขึ้นนอน กันประมาณ ห้าทุ่มหลังจากคิดโปรแกรมแล้วว่าพรุ่งนี้จะต้อง ขี่จักรยานไปดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ เพื่อนฉันอาสานอน ที่พื้น เพราะถึงแม้เราจะเคยไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ถ้าต้องนอนเตียงเล็กๆ ที่มีผ้าห่มผืนเดียวแบบนี้ ก็อาจจะทำให้ฉันไม่สบายใจได้ แต่ฉันก็ยืนยันว่าฉัน สามารถนอนได้จริงๆ แต่เพื่อนฉันก็ดึงดันจะนอนที่พื้น

ผ้าห่มผืนเดียว หมอน สองใบ เตียงนอนที่อุ่น นุ่ม กับพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ ...

ด้วยความรักเพื่อน ฉันจึงตัดสินใจสละหมอนให้ 55555 ก็มันหนาวนิ ถ้าฉันให้ผ้าห่มฉันจะเอาอะไรห่ม ^ ^ แอบร้ายนิดๆ เอาน่าผู้ชายทนได้อยู่แล้ว มีหมอนไปกอดแล้วคงไม่หนาวเท่าไร ....

ฉันนอนคิดว่า ในเรื่องสองเงาในเกาหลี ทั่งคู่ไม่รู้จักกัน แลัวไม่ต้องรู้อะไรกันมากมายแต่ก็รู้สึกดีต่อกัน ... ฉันกับเพื่อนเรารู้จักกันมานาน เราเป็นเพื่อนรักกัน แต่บางที ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เค้ากระทำเท่าไร และบางทีฉันก็คิดว่าเค้าก็คงไม่เข้าใจในตัวฉันเท่าไร แต่เราก็ยังมีความรู้สึกดีต่อกัน...

แต่...แบบไหนดีกว่ากันนะ ระหว่าง อยู่ใกล้ๆกับคนที่รู้จักกันแต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่รู้กัน กับ อยู่ใกล้ๆกับคนที่ไม่รู้จักกัน แต่มีบางเรื่องที่กลับรู้กัน ซะงั้น - -*
......................................................................

คิดเยอะ เพลีย นอนดีกว่า ....



Create Date : 06 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2554 21:43:08 น.
Counter : 233 Pageviews.

0 comment
สองคนที่เดินทาง (วันที่ 1)
น้ำท่วม น้ำท่วม น้ำท่วม ....ทำอะไรไม่ได้

เก็บบ้าน ปิดบ้าน ไปที่อื่น ....

เดินทาง คนเดียว เป็นเรื่อง ปกติ ....แต่ครั้งนี้ มีคนเดินทางด้วยกัน

คนที่หนีน้ำท่วมเหมือนกัน เป็นเพื่อนกัน ... แต่ไม่รู้ คิดเหมือนกันรึเปล่า

เดินทาง....

ตกลงเราจะออกเดินทางกันแต่เช้าเพราะ มันเป็นการเดินทางที่ไม่ได้จัดเตรียมล่วงหน้าเลย คุยกันตอน สี่ทุ่มของคืนก่อนหน้านี้ ผ่านข้อความในเฟสบุค คุยกันทีเล่นทีจริง คุยไปคุยมา ทั้งคืน แต่สุดท้าย ก็ไปจริง !!

และแล้วเราก็มากันเลย....

เดินทางมาถึงหมอชิต เวลา 10 โมงเช้า เขามาถึงก่อนเกือบ ครึ่งชม. ก็ต้องมีบ่นกันนิดหน่อย ตามประสา เราเพื่อนกัน ชอบทะเลาะกันเป็นปกติ

ด้วยความที่เราไม่มีแผนการ กันมาล่วงหน้า เราทั้งคู่ จึงตัดสินใจที่จะไป จ.เลย เราจะไปเที่ยวบ้านฉัน เพราะ ฉันมีญาติอยู่ที่นั่น อย่างน้อยก็ประหยัดที่พัก ที่กินไปได้ ส่วนหนึ่ง แล้วตอนนี้ก็ใกล้หน้าหนาว อากาศก็คงจะดี มีสถานที่ท่องเที่ยว หลายที่ด้วย ... น่าสนใจ

เราซื้อตั๋ว รอบที่ออกเร็วที่สุดเท่าที่ตอนนั้นจะมี เราอยากรีบไป อยากรีบไป ทำไมไม่รู้ เหมือนกัน - - *

เราจึงต้องนั่งรถ 10ชม. ในสภาพ เมื่อยๆเพราะ ได้รถแอร์ ป.1 ปกติ
แต่ก็โอเค ดีใจที่ได้ออกไปเที่ยวแล้ว

นั่งไป ดูสถานการน้ำท่วมรอบตัว คุยกัน เล่นกัน ด่ากัน ตลกดี

นั่งๆหลับๆ ต่างจังหวัด ดาวสวย สวยซะจนต้องมองตลอดทาง

ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดาว ....

เราเห็นดาวตก สาบานเลย เขาไม่เชื่อ เราเถียงกันต่อ ทั้งคืน

ถึง จ.เลยแล้ว ทางบ้านฉัน ขับรถมารอรับที่ บขส. เราไปบ้านฉัน ทุกคนดู ตกใจแต่ฉันได้อธิบายแล้วว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน และการกระทำมันก็บอกแบบนั้น

บ้านฉันมีห้องหลายห้อง เขานอนห้องรับรองแขก ฉันนอนกับคุณน้า เรากินสุกี้ที่ทางบ้านจัดเตรียมไว้ให้ อากาศไม่ได้หนาว อย่างที่คิด แต่มันก็มีกลิ่น ที่แปลกไปไม่เหมือน ที่กรุงเทพเลย

ฉันชอบมีวิธีจดจำสถานที่ต่างๆ โดยการบอกว่าที่นั่นมีกลิ่นอย่างไร

กรุงเทพ ก็มีกลิ่น เฉพาะตัว ของกรุงเทพ

นครปฐม บ้านที่ฉันอยู่ ปัจจุบัน ก็มีกลิ่่น เฉพาะตัวของ มันเอง

เลย ก็เช่นกัน มันเป็นกลิ่นเฉพาะ ตัวของเลย ที่ฉันรู้สึกได้ทุกครั้งที่ได้ไป

และแล้วเราก็มาถึงเลย ....



Create Date : 05 พฤศจิกายน 2554
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2554 21:43:45 น.
Counter : 251 Pageviews.

3 comment

~HiPpOKreA~
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ถ้าบางทีการมีชีวิตอยู่ของคน คนหนึ่ง มันไม่ได้ทำร้ายใคร ... คนคนนั้นก็ไม่สมควร ถูกทำร้ายนะ ....

แต่ชีวิตจริงมันไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป !!!!