คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^

ชวนดูวิถีชีวิต ความเป็นมาของชาวจีนในวันวาน...


"อากงจ๋า ทำไมอากงมาอยู่เมืองไทยจ๊ะ "


ละอ่อนน้อยวัยสิบขวบ ถามอากงด้วยความสงสัย


"โอ๊ยย ที่เมืองจีนมันอยู่ไม่ได้หรอก อดอยาก ไม่มีข้าวจะกิน ปลูกอะไรก็ไม่ได้ ต้องเข้าป่าเอาใบมันมาต้มกิน ลำบากขนาดไหนคิดดู"


"แล้วอากงมายังไงล่ะจ๊ะ ?  ขึ้นเครื่องบินเหรอ"


ชายชราหัวเราะร่า ลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ  " ลูกเอ๋ย อากงไม่ได้ขึ้นเครื่องหรอก สมัยนั้นไม่มีปัญญา  ข้าวจะกินยังไม่มีเลย...อากงมาทางเรือ นั่งกันโยกเยกเลย บางคนเมาเรือก็อ๊วกกันหมดท้อง"


"อากงมาไกลอย่างนี้ แม่กะป๊าอากงเค้าไม่ห่วงเหรอจ๊ะ"


อากงยิ้มๆ "ป๊าอากงตายแล้ว เหลือแม่คนเดียว พี่ชายอากงมาก่อน แต่ไม่มีใครส่งเงินมาให้ อากงกับแม่อยู่ที่นี่ก็ลำบากเหลือเกิน ไม่มีอะไรจะกินเลย อากงเลยคิดว่าต้องมาเมืองไทยเหมือนพี่ๆบ้างแล้ว......... "


อากงเงียบไปอึดใจ เมื่อเห็นหลานรักนิ่งเงียบอย่างตั้งใจฟัง จึงพูดต่อ


" สมัยก่อนไม่มีใครเอาแม่ไปด้วยหรอก เอาไว้ที่บ้านทั้งนั้น แล้วส่งเงินมาให้    แต่แม่อากงก็อยู่คนดียว อากงทิ้งไม่ได้ อากงเลยพาแม่มาด้วย แม่เป็นคนแก่แค่คนเดียวในเรือลำนั้นเลยนะ 


มีแต่คนคิดว่าอากงเพี้ยน เอาคนแก่มาทรมานขึ้นเรือด้วย แต่อากงคิดว่าถ้าไม่เอาไปแม่ก็ตาย จะอยู่คนเดียวได้ยังไง อาหารก็ไม่มีกิน"


เด็กน้อยตาโตทำท่าทึ่ง "เล่าม่าเก่งจัง นั่งเรือเป็นวันๆไม่เมาเรือมั่งเหรอ"


"ไม่เหลือนะสิ  แย่เลยทั้งคู่ ทรมานจะตาย พอเห็นแผ่นดินไทยลิบๆ  สองคนกอดกันใหญ่....ดีใจเหลือเกิน"


อากงพูดด้วยสายตาเป็นประกาย เหมือนความดีใจในวันวานย้อนมาวันนี้


"เรารอดตายแล้ว "





"ถึงแล้วพี่ วัดไตรมิตร"


เสียงห้าวๆของมอเตอร์ไซค์รับจ้างวัยกระเตาะดึงคนบางคนให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ...


อิชั้นก้าวขาลงจากยานพาหนะยอดนิยมของคนกรุงเทพ  มือขวาควักเงินออกมา 60 บาท จ่ายให้สารถีจำเป็นภายในวันนี้


"โห ยอดเจดีย์สูงจังพี่ คนเยอะด้วย"


"เราไม่เคยมาเหรอ" อิชั้นถาม


"ไม่เคยมาหรอก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ พี่มาไหว้พระเหรอ"


อิชั้นยิ้มพร้อมพยักหน้านิดๆ ก่อนเดินไปในวัด


เค้าคงไม่รู้หรอกว่าวันนี้อิชั้นไม่ได้มาไหว้พระอย่างเดียว....


SmileySmileySmileySmileySmiley


อิชั้นก้าวเข้าไปในบริเวณวัด ที่นี่มีการจัดสรรเป็นอย่างดี มีป้ายบอกทิศทางแบบไม่ต้องกลัวหลง

ป้ายประชาสัมพันธ์เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า ค่าเข้าชม 100 บาท แต่กรณีคนไทยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม


เดินขึ้นบันได มุ่งหน้าไปยังชั้น 4 ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระสุโขทัยไตรมิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก  อันเป็นที่เคารพนับถือของทุกคนที่มาเยืยนที่นี่ต้องแวะมาสักการะสักครั้ง




พระสุโขทัยไตรมิตรป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้มีหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40% พระพักตร์มีเนื้อทอง 80% ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ 99.99%


สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เข้าใจว่า เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อันเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม) 


ต่อมาบริษัทอีสต์เอเชียติ๊กได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อัญเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกระเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498



ภาพที่ถ่ายมางดงามไม่เท่าตาเห็นเลยค่ะ เหลืองอร่าม เป็นทองคำทั้งองค์เลย  

เป็นบุญตาจริงๆ


Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley


สักการะพระพุทธรูปแล้ว ก็ลงมาที่ชั้น 2  เป็นอีกที่ๆเราตั้งใจมามากๆ 

ก็คือ "พิพิทธภัณฑ์เยาวราช" ค่ะ


ที่นี่เล่าความเป็นมาของชาวจีนในเมืองไทย ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเรือมาเลยคะ

มาดูชีวิตของพวกเค้ากันนะคะ


จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศไทยกับจีนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอดค่ะ....

โดยมีการคมนาคมโดยใช้เรือกลไฟ ขนส่งสินค้าไปมาหากัน

แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ชาวจีนต้องหนีความลำบาก ความอดอยากจากเมืองจีนมาพึ่งบารมีพระบรมโพธิสมภาร....ผู้มีความเมตตาปราณีต่อชนทุกกลุ่ม   แม้ว่าจะไม่ใช่ประชาชนสยามประเทศตั้งแต่กำเนิดก็ตาม



ช่วงที่อยู่บนเรือ มีบรรยากาศจำลองใต้ท้องเรือที่ขนสินค้ามาด้วยค่ะ  (แอบนึกถึงอากงตัวเองเบาๆ )



เรือสำเภาหัวแดงพาชาวจีนจากแผ่นดินเกิดสู่แผ่นดินสยาม


เทียบท่าที่สำเพ็ง ก้าวแรกบนแผ่นดินใหม่


ทางพิพิทธภัณฑ์ได้จำลองบรรยากาศของสำเพ็ง ย่านค้าขายของชาวจีนเมื่อครั้นขึ้นฝั่งสยามมาใหม่ๆด้วยค่ะ


มีร้านขายชำ


หาบขายก๋วยเตี๋ยว

ก๋วยเตี๋ยวคืออาหารเส้นที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า กินกับน้ำแกงโดยใส่เครื่องประกอบต่างๆ คนจีนแต้จิ๋วนำมาเผยแพร่จนเป็นที่นิยมในไทย จีนใหม่หลายคนยึดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวโดยหาบอุปกรณ์เดินเร่ขายไปตามที่ต่างๆ ในยุคนั้นลูกค้าที่จะมากินก๋วยเตี๋ยวต้องนำชามมาใส่เอง


ทั้งนี้ยังมีร้านขายพวกถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ เป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนเป็นจำนวนมากในสมัยยุคต้นรัตนโกสินทร์ มีทั้งแบบที่ทำเป็นพิเศษสำหรับชนชั้นสูงและแบบที่ทำมาขายคนทั่วไป โดยในยุคนั้นไทยยังทำไม่ดีเท่า นอกจากนี้ร้านเครื่องกระเบื้องยังมีสินค้าราคาแพงอื่นๆจากเมืองจีน เช่น เครื่องแก้ว ผ้าแพร




และบางครั้งก็ขายจุ๋ยก้วยด้วย

จุ๋ยก้วยคือขนมถ้วยแบบจีน ทำจากแป้งข้าวเจ้านึ่งสุก เวลาขายตักใส่กระทงโรยหน้าด้วยกระเทียม หัวใช้โป๊วสับละเอียด และปรุงรสด้วยซีอิ้วดำ เป็นของกินเล่นที่นิยมในหมู่คนจีนเพราะอิ่มท้องและราคาถูก การหาบเร่ขายของกินแบบนี้เป็นอาชีพหนึ่งของจีนใหม่ เพราะใช้ทุนไม่มากนัก


ร้านข้าวต้ม

คนจีนนิยมกินข้าวต้มเป็นอาหารหลัก เมื่อมีคนจีนเข้ามาทำงานในเมืองไทยจำนวนมากจึงเกิดร้านขายข้าวต้มและกับข้าวง่ายๆ ราคาถูก สำหรับคนจีนรายได้น้อยซึ่งมักเน้นกินข้าวมากๆ ให้อิ่มท้อง กินกับข้าวเพียงเล็กน้อย โดยมีทั้งแบบหาบเร่และปลูกเพิงขายเป็นหลักแหล่ง ในยุคหลังคนไทยเรียกข้าวต้มแบบนี้ว่า ร้านข้าวต้มกุ๊ย ซึ่งเป็นที่นิยมทั่วไป



บางคนก็เชี่ยวชาญด้านศิลปะ  สามารถรังสรรความงามบนโคมไฟ


ภาพบรรยากาศของสำเพ็งครั้งวันเก่าๆ




และในเวลาต่อมาค่ะ...


ตอนนี้เริ่มมีการค้าขายข้าว


มีโต๊ะคัดคุณภาพข้าวด้วย


เราชอบบรรยากาศที่เค้าอุตส่าห์วาดให้มันเข้ากันจริงๆ  ได้ฟีลมากค่ะ


ต่อมาเริ่มเกิดเยาวราช


ที่นี่มีแบบจำลองย่านเยาวราชในอดีตมาให้เราชมด้วยคะ


รถราง



ตึกรามบ้านช่อง




อันนี้เป็นตึกเจ็ดชั้น ซึ่งเคยเป็นตึกสูงที่สุดในประเทศมาก่อนที่จะมีตึกเก้าชั้น ตึกนี้เป็นที่ตั้งโรงแรมเจ็ดชั้น ชั้นบนสุดเคยเป็นที่แสดงระบำวาบหวิวอันเลื่องชื่อของคณะนายหรั่ง เรืองนาม นักเที่ยวจึงเรียกกันว่า สวรรค์ชั้นเจ็ด ส่วนชั้นล่างของตึกมีร้านขายเครื่องเสียงก้วงสุ่นไท่



สี่แยกราชวงศ์ 

ตรงหัวมุมแยกมีห้างสรรพสินค้าชั้นนำตั้งประชันกัน ๒ ห้าง คือห้างแมวดำ และห้างใต้ฟ้าซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยส่วนอีกมุมเป็นที่ตั้งธนาคารศรีนครแห่งแรก ภัตตาคารชื่อดังหลายแห่งตั้งอยู่ในย่านนี้ เช่น ก๊กจี่เหลาในห้างใต้ฟ้า คี้เตียงเล้าและเยาวยิ่น ข้างโรงภาพยนตร์ศรีราชวงศ์ ในยามค่ำคืนคนทันสมัยนิยมขับรถหรูมาจอดรับประทานที่สีฟ้า ซึ่งมีบริการเสริฟอาหารถึงโต๊ะ



ที่นี่ยังมีแบบจำลองภาพกิจกรรมของชุมชนชาวจีนในอดีตให้เราดูด้วยค่ะ


มีตั้งแต่ไหว้เจ้า



โรงพยาบาลเพื่อนคนยากไร้  



หนังสือพิมพ์จีน 




เพิ่งรู้ว่าร้านทองเค้ามีคณะดนตรีบรรเลงในร้านด้วยนะ สุโค่ยมาก



ร้านจันอับ 

นึกถึงบรรยากาศตอนเด็กๆ  มีร้านอย่างนี้ขายในเมืองชล เวลาที่มีงานแต่งก็ต้องมาซื้อที่นี่เท่านั้น



โพยก๊วน  




โรงเรียนจีน 

ตอนเด็กๆอิชั้นก็เรียนโรงเรียนจีนแบบนี้แหล่ะคะ  โต๊ะปิงปองนี่ใช่ยิ่งกว่าใช่เลย หุหุ


โรงงิ้ว แหล่งความบันเทิงและการถ่ายทอดคติธรรม

อันนี้อาม่าเคยพาไปดูตอนเด็กๆค่ะ


แต่ดูท่าทางสองคนนี้ไม่สนใจงิ้วเท่าไหร่เลยนะ  เม้าท์กันเองมันส์กว่าใช่ป่ะคะ Smiley


วัดจีน ศูนย์รวมศรัทธาของชาวจีน

นึกถึงสมัยเด็กๆ อาม่าพาไปวัดบ่อยมากกก




ภัตตาคาร  สถานที่พบปะทางสังคม

**ขอเม้าท์  บรรยากาศแบบนี้แหล่ะ  งานแต่งป๊ากะแม่อิชั้น  ใช่เลยยย Smiley


จำได้ว่าตอนเด็กอาม่าพามาเดินเล่นตลาดบ่อยมากก




จากนั้นก็มาดูตำนานชีวิต Hall of Fame ประกอบวีดิทัศน์แสดงตำนานชีวิตของบุคคลชาวเยาวราชที่เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้แก่อนุชนรุ่นหลัง


ในรูปนี้มีบุคคลที่อิชั้นคุ้นตาเป็นอย่างดี นั่นคือดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ที่อิชั้นจบการศึกษามาค่ะ


เยาวราชในวันนี้


วันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมร้อยปีแล้ว


ที่เยาวราชกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย คนไทยกับคนจีนตอนนี้ดูๆไปก็แยกกันไม่ออกแล้ว 


ย้อนมาที่อากงของเรา......


ไม่น่าเชื่อนะคะ  วันเวลาที่ผ่านทำให้ชีวิตชายจีนคนนึง จากสภาพเสื่อผืนหมอนใบ เข้ามาในเมืองไทยแบบไม่รู้อนาคต หวังเพียงมีอาหารไว้ประทังชีวิตตัวเองและแม่  

จากวันที่ไม่มีอะไรตั้งแต่ศูนย์  จนถึงทุกวันนี้ซึ่งมีกิจการค้าขนสัตว์ส่งออกของตัวเอง  รวมทั้งลูก  11 คน  หลาน 24 คน  เหลน 3 คน  บ่งบอกถึงความมั่นคงของชีวิตได้อย่างดี


และเมื่อถึงวันหนึ่งที่อายุเพิ่มมากขึ้นจนไม่เหมาะกับการทำงาน.....ก็ถึงเวลาที่อากงจะปลดเกษียณตัวเอง  และยกกิจการให้ลูกหลานดูแล   ตอนนี้ในแต่ละวัน กิจวัตรที่หลานตัวเล็กๆเห็นอากงทำ  จึงเหลือแค่จิบชายามเช้าพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์จีน  ส่วนตอนเย็นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเพื่อนๆและนั่งคุยกัน 



"แล้วอากงจะกลับไปเมืองจีนอีกไหมจ๊ะ หนูเห็นตอนนี้อากงก็บินไปเมืองจีนบ่อยๆนี่ "


เด็กน้อยยังถามต่อด้วยความอยากรู้


"อากงบินไปเพื่อไปเยี่ยมญาติ และไปดูความเป็นอยู่ของเค้า อะไรที่เราช่วยเค้าได้จะได้ช่วย เค้าจะได้ไม่หาว่าเราสบายแล้วแล้งน้ำใจ


แต่อากงก็คงจะอยู่เมืองไทยตลอดไป  อยู่ที่นี่สบายกว่าอยู่เมืองจีนเยอะ   ทำมาหากินก็ได้ ลูกหลานทุกคนก็อยู่ที่นี่หมด  ที่นี่เป็นบ้านอากงแล้ว อยู่ที่นี่แล้วมีความสุขที่สุด


จะตายก็ขอตายที่นี่ก็แล้วกัน..."


.....วันนี้เป็นวันครบรอบ 10 ปีที่อากงจากอิชั้นไป  ที่สุดแล้ววาระสุดท้ายของอากงก็ได้ทิ้งลมหายใจไว้ที่นี่  ที่เมืองไทยแห่งนี้


แม้ว่าสิ่งที่ทำให้คนที่อิชั้นรักที่สุดคนนึงต้องจากไปคือโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ที่มาป้วนเปี้ยนในชีวิตของท่านในช่วง 3 ปีก่อนที่จะเสีย อาจจะทำให้ครอบครัวของอิชั้นโศกเศร้ากับการเสียเสาหลักที่เป็นที่พึ่งทางใจไป  แต่เมื่อนึกถึงปลายทางของชีวิต ก็คงไม่มีใครที่หนีความตายได้พ้น....


และก่อนที่จะตาย อากงได้มีความสุขแล้วกับแผ่นดินที่ท่านมาอาศัยพึ่งใบบุญ  และได้รับโอกาสที่ดีในชีวิต ที่จะดำรงชีวิตและเผ่าพันธ์ จนมีลูกมีหลานสืบสกุลมากมาย  เท่านี้อิชั้นก็ว่าเพียงพอที่จะทำให้คนๆนึงลาโลกได้อย่างสงบ  เหมือนอย่างที่อากงอิชั้นเป็น.....


แค่นี้ก็พอแล้วจริงๆค่ะ 


SmileySmileySmiley




 

Create Date : 19 กันยายน 2556    
Last Update : 28 กันยายน 2556 15:54:31 น.
Counter : 4809 Pageviews.  

เก็บเกี่ยวบรรยากาศของวันวาน ที่พิพิทธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สันค่ะ

วันนี้เราจะพามาสถานที่ที่นึงที่อิชั้นอยากมาเที่ยวมานาน แต่ยังไม่มีโอกาส เพิ่งมาได้เวลาประจวบเหมาะวันนี้เอง

"พิพิทธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน"

จะบอกว่า ก่อนมาอิชั้นไม่รู้จักอะไรเท่าไหร่เลย รู้แค่ว่าคุณจิมแกเป็นฝาหรั่งที่มาอยู่เมืองไทย ชอบผ้าไหมไทยมากและมีส่วนส่งเสริมให้ดังระเบิดไปถึงเมืองนอก แต่ตอนหลังไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมา แกเดินทางไปมาเลเซียและหายตัวไปแบบลึกลับ จนป่านนี้ไม่มีใครพบแม้แต่ร่องรอยของแกเลย

ซึ่งเราก็รู้มาแค่นี้จริงๆ อ้อ...ที่รู้เพิ่มคือ เค้าว่าบ้านแกสวยมากก เปิดให้ไปเที่ยวชมด้วย บรรยากาศดีทีเดียว

วันนี้ที่ผ่านมาทำธุระแถวนี้ อิชั้นก็เลยอยากจะมาเยี่ยมเยืยนเสียหน่อย 

แล้วเราก็มาถึงที่นี่ค่ะ อยู่ในซอยตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ  นั่ง bts แล้วลงสาขานี้ก็ได้ สะดวกดี

มาถึงนี่แล้ว มารู้จักเจ้าของบ้านกันหน่อยนะคะ

จิม ทอมป์สัน หรือชื่อเต็ม เจมส์ แฮร์ริสัน วิลสัน ทอมป์สัน (อังกฤษ: James Harrison Wilson Thompson

เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงจากการทำธุรกิจผ้าไหมในประเทศไทย และก่อตั้งบริษัท จิม ทอมป์สันขึ้น เขาหายตัวไปจากโรงแรมบนแคเมอรอนไฮแลนด์ รัฐอิโปห์ประเทศมาเลเซีย โดยไม่มีใครทราบเหตุการณ์ที่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา

ตอนบ่ายวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1967 จิม หรือเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน ก็หายตัวไปจากโรงแรมประเทศมาเลเซีย ขณะเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนวันหยุด และไม่มีใครทราบชะตากรรมของเขานับแต่นั้น มีเพียงพยานรู้เห็นว่า เขาเดินออกจากกระท่อมที่พักตามปกติ แล้วไม่กลับมาอีกเลย บ้างก็ว่าถูกโจรฆ่าตาย หรือเป็นแผนร้ายของคู่แข่งทางธุรกิจ ฯลฯ

จิมได้ทิ้งมรดกเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไหมไทย และเรือนไทยไม้สักที่ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยมีการรวบรวมศิลปวัตถุของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพระพุทธรูปยุคสมัยต่างๆ

พิพิธภัณฑ์บ้านจิม ทอมป์สัน อยู่ในความดูแลของมูลนิธิจิม ทอมป์สัน ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2539 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์

จิม ทอมป์สันนับว่าเป็นบุคคลสามัญคนแรกที่พัฒนากิจการทอผ้าพื้นเมืองของไทย ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในต่างประเทศ

ก่อนจะเข้าชมบ้าน เรามาซื้อตั๋วกัน ราคา 100 บาทค่ะ

ตอนที่ซื้อตั๋ว เค้าจะถามเราก่อนว่าพูดภาษาอะไร ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ  เวลาเจอคนที่หน้าเข้าเค้าน้องๆเลยจะยิงคำถามเป็น pattern ว่า "Where are you come from?" 

ซึ่งอันนี้อิชั้นเข้าใจ เพราะโดนถามทุกที่แหล่ะ ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอิชั้นเป็นคนจีน  (ก็จีนจริงๆนี่)  แต่พออิชั้นบอกว่าคนไทยจ้า น้องๆมักจะเขินและมีหัวเราะเก้อๆนิดส์นึง

อยากบอกว่าท่านไม่ใช่คนแรกที่ทักผิด อย่าได้อายไปเลยจ้า...กิ้วๆๆ  (เอ๊ะ ปลอบใจแน่นะ)

ระหว่างทางเดินมีการสาธิตวิถีชีวิตแบบไทยๆ ทั้งต้มไหม ร้อยมาลัย ฝาหรั่งต่างชาติให้ความสนใจเพียบ

ตอนที่เข้าหน้าประตูจะมีน้อง reception จัดคิวให้เราเข้าชมภายในบ้าน ตามรอบเวลาที่กำหนด อย่างวันนี้อิชั้นได้คิวตอนบ่าย 3 โมง  เค้าเลยนัดเจอตรงนี้อีกที 

ระหว่างนี้เหลือเวลา 30 นาที เราสามารถเดินชมรอบๆบ้านได้ ถ่ายรูปได้คะ

ว่าแล้วก็เดินเลย 

สวยจังเลยค่ะ   บรรยากาศบ้านเรือนไทยสวยๆกับต้นไม้เขียวๆนี่สร้างความร่มรื่นได้อย่างดีจริงๆ

ชมยุ้งข้าวเก่า ตอนนี้เปลี่ยนเป็นโชว์งานผ้าแทน

วัตถุโบราณต่างๆนานาสารพัด 

ตอนนี้อิชั้นมีความรู้เกี่ยวกับคุณจิมเพิ่มเติมแล้วว่า แกต้องเป็นคนที่รักศิลปะมากจริงๆ

เพราะจากตาที่อิชั้นเห็นนี่ไม่ได้จำกัดแค่ของไทยชาติเดียว  มีทั้งอินโดนีเซีย จีน พม่า เขมร  เยอะไปหมด

SmileySmileySmileySmiley

แต่ตอนนี้ใกล้เวลาเข้าชม เราแวะเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า

ขนาดห้องน้ำยังไท๊ย ไทยอ่ะ คิดดู๊

ตอนนี้ก็ได้เวลาบ่ายสามแล้วค่ะ เราไปพบกับไกด์ของเรากันเถอะนะคะ

(รอบนี้มีอิชั้นคนเดียวค่า วีไอพีสุดๆอ่ะ มีไกด์ส่วนตัวด้วย)

ก่อนอื่นเราต้องฝากของในล๊อคเกอร์ ถอดรองเท้า  และงดถ่ายรูปในชั้นสองนะคะ

ภายในบ้านคุณจิม  เค้าพยายามคงสภาพเดิมเหมือนที่เจ้าของบ้านยังมีชีวิตอยู่ให้ได้มากที่สุด

ซึ่งการตกแต่งข้างใน บอกได้คำเดียวว่าทั้งสวยงาม น่าอยู่มากๆเลยค่ะSmiley

แต่ที่น่าชมเชยคือทั้งดูย้อนยุค และนำสมัยในที่เดียวกัน

คือย้อนยุคคือ  ในการเอาเรือนไทยโบราณ 6 หลังมารวมกัน และตกแต่งแบบสถาปัตยกรรมโบราณแบอยุธยา  ดูมีมนต์ขลังสะกดตาผู้ที่ได้พบเห็น  ฝรั่งที่มาเที่ยวแต่ละคนนี่ชมไม่ขาดปาดเลยค่ะว่าสวยงาม และ exotic มาก

แต่นำสมัยในด้านที่การปลูกสร้าง ในส่วนของเทคนิคที่ใช้  ถ้าเทียบกับในยุค 50 ปีก่อนนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ  และที่เดิ้นมาก  มีห้องน้ำบนเรือนด้วยนะคะ ขอบอก (สมัยก่อนบ้านคนไทยไม่นิยมสร้างห้องน้ำในบ้านค่ะ นิยมทำข้างนอกมากกว่า)

แถมในส่วนการตกแต่ง วัตถุโบราณแต่ละชิ้นที่วางแสดง ไม่ธรรมดาของจริง  อายุอานามนี่ใช่น้อยเลย  ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นหลักสี่ห้าร้อยปีอย่างต่ำ ชิ้นที่มากสุดเป็นรูปปั้นเขมรอายุ 1,400 ปี !!!!

อันนี้แหล่ะค่ะ 1,400 ปี

อยากจะร้องเฮ้ยย มาได้ไงอ่ะ แถมมีไม่ใช่น้อยนะคะSmiley เยอะมากกก ทั้งของไทย ลาว พม่า จีน อินโดนีเซีย ยุโรป  น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างบน  เค้าไม่ให้ถ่ายรูป เลยเอามาให้ผู้ชมดูไม่ได้

แต่ทั้งนี้ความเป็นธรรมชาติของที่นี่คือการจัดวางวัตถุโบราณแบบไม่ได้อยู่ในตู้กระจกเหมือนพิพิทธภัณฑ์ทั่วไป  ทำให้เราได้เห็นความงามอย่างใกล้ชิดมากๆๆ (ส่วนตัวคิดมาแค่มาดูวัตถุโบราณก็คุ้มแล้ว )

บรรยากาศหมือนเราเดินเที่ยวในบ้านไม้โบราณของผู้ใหญ่ใจดีคนนึง ที่ชอบเปิดบ้านให้เรามาเที่ยวเล่นบ้านของท่าน และท่านก็อวดวัตถุโบราณแสนงามทรงคุณค่าที่ท่านชอบสะสมให้เราดูอย่างภูมิใจ

ว่าแต่ตอนนี้มีใครสงสัยเหมือนอิชั้นไหมค่ะว่า

ถ้าของเหล่านี้เป็นของโบราณจริงและประเมินค่ามิได้ขนาดนี้ มาอยู่ในบ้านคุณจิมได้ยังไงตั้งเยอะแยะ ทางการเค้าไม่ทวงเอาเหรอSmiley

ไกด์ก็อธิบายว่าจริงๆคือของทุกชิ้นได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว  แต่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของมูลนิธิ

ทุกคืนหลังจากปิดพิพิทธภัณฑ์ก็ต้องมีเวรยามเฝ้า 24 ชม.

อิชั้นถามเล่นๆว่ามูลนิธิเคยประเมินมูลค่าวัตถุโบราณทั้งหมดในบ้านไหม น้องหัวเราะพร้อมสั่นหัวเบาๆว่าเปล่าหรอกพี่ เพราะมันคงประเมินไม่ได้แล้ว

อิชั้นนึกภาพออกเลย แค่รูปปั้นเขมรอายุพันสี่ร้อยขวบมูลค่าตอนนี้จะพุ่งทะยานไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้วไม่อยากจะคิด  ไม่นับว่าเงินเฟ้อสมัยนี้อีกนะ  เหอๆ

ไม่แปลกใจเลยที่เค้าจะให้ฝากกระเป๋า  โดนกังไสเล็กๆไปสักใบก็อ๊วกแล้ว

กันไว้ดีกว่าแก้เนอะ

ในส่วนของการเยี่ยมชมบ้าน ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45 นาทีค่ะ

เมื่อน้องไกด์ปฎิบัติภารกิจเสร็จ หลังจากยกมือร่ำลากันแล้วก็เชิญชวนอิชั้นว่าข้างนอกยังถ่ายรูปต่อได้นะคะ เชิญตามสบายเลยค่ะ อิชั้นจึงใช้เวลาอยู่ต่อเก็บบรรยากาศอีกสักพักแล้วค่อยกลับ

ก่อนจะลาจากกันไป อิชั้นหันกลับไปมองเรือนไทยหลังใหญ่สีแดงที่ตั้งตระหง่านในหมู่ต้นไม้สีเขียวเข้ม

คิดในใจว่าถ้าคุณจิมจากไปไหนสักที่ ต้องเป็นด้วยความไม่สมัครใจเป็นอย่างแน่ คงจะเป็นอุปัทวเหตุหรือสิ่งไม่คาดฝันที่ร้ายแรงจริงๆที่พรากคุณจิมไปจากบ้านแสนรักหลังนี้

ถ้าบ้านมีความรู้สึกนึกคิดได้ จะเสียใจขนาดไหนนะ ที่คนที่รักเธอขนาดนี้ไม่กลับมาหาเธอตั้ง 50 ปีมาแล้ว และจะไม่กลับมาอีกตลอดไป..... Smiley

นึกๆก็เศร้าแฮ่ะ




 

Create Date : 19 กันยายน 2556    
Last Update : 22 มิถุนายน 2557 15:12:12 น.
Counter : 1182 Pageviews.  

มาทวงความทรงจำที่หล่นหายไปที่ท้องฟ้าจำลองค่ะ...

เคยจำความรู้สึกตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆได้ไหมคะ

SmileySmiley


ยามค่ำคืนที่ยืนมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ จนข่มให้ตัวที่เล็กอยู่แล้วเหลือจึ๊ดเดียว

ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมอยู่ มีแสงสว่างดวงน้อยๆกระพริบพราย เหมือนหยอกเด็กน้อยคนนี้อยู่

ยิ่งในวันที่ดาวเต็มฟ้า  มองไปทางไหนก็จะมีแสงส่างเป็นจุดน้อยๆสว่างตาเจิดจ้าไปทั่ว

เห็นแล้วยิ่งแปลกใจ ไหนใครบอกว่าดาวอยู่ไกลจากโลกเราตั้งมากมาย  ทำไมเรายังเห็นอยู่ล่ะ  ทีเพื่อนเรา บ้านก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไหร่  พอกลับบ้านกันไปต่างคนต่างก็มองหากันไม่เจอแล้ว

ยิ่งดูท้องฟ้า ก็ยิ่งจินตนาการกว้างไกล

ยิ่งทำให้รู้สึกว่าห้วงอวกาศมีความดึงดูดใจ ชวนให้ศึกษาค้นคว้ามิรู้หายจริงๆ....


** จบโหมดวัยฝันวันหวาน เข้ามาสู่โลกความเป็นจริงใน ณ บัดนาวว



เกริ่นมาซะซาบซึ้ง ประหนึ่งเป็นนักกวีจะมารำพันอะไรสักอย่าง

จริงๆไม่ใช่เลยค่า  อิชั้นมาเวิ่นเว้อวันนี้ เพราะจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวสถานที่นึง ที่เคยเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ของเพื่อน...

สังเกตใช่ไหมคะ ว่ามีแต่คำว่าเพื่อนๆ ไม่มีคำว่าของอิชั้นเลย

ใช่ค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวอ่อน จนกระทั่งแก่พอจนเพื่อนอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกันมีลูกตัวโตกันแล้ว  อิชั้นเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกในชีวิตค่ะ

"ท้องฟ้าจำลอง"

(ทำไมคะ  ชลบุรีมันห่างกรุงเทพมากหรือคะ อยากถามคุณครูสมัยประถมจริงๆ ทำไมหนูถึงไม่ได้มาที่นี่)

ตอนนั้นรู้สึกอิจฉาญาติๆที่เรียนโรงเรียนอื่นเหลือเกิน  ค่าที่เค้าพาไปเที่ยวท้องฟ้าจำลองกันโครมๆ แต่โรงเรียนเราไม่เคยพามาสักนิด

ส่วนนึงในใจ ยอมรับก็ได้ว่าตอนนั้นมันเดินทางลำบากมากๆๆ การจะหารถที่จะพานักเรียนหลักหลายร้อยมากทม.  อีกทั้งการคมนาคมเมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะดี  ถนนบางนาตราดยังไม่มีเล้ยย

จำได้ว่ามีปีนึงป๊าจะพาไปสวนสยาม  นั่งรถจากชลบุรีมาทางฉะเชิงเทราสายเก่า อ้อมโลกจนแทบตาย  ออกจากบ้านสิบโมง ถึงสวนสยามเกือบบ่ายสาม ลูกสามคนเดินเที่ยวแบบสะโหลสะเหล ตูดปัดเลย

ความที่การเดินทางไม่สะดวกเยี่ยงนี้เอง  จึงช่วยไม่ได้ที่คุณครูของโรงเรียนอิชั้นหลีกเลี่ยงที่จะส่งนักเรียนไปทัศนศึกษาไกลๆ  อย่างมากที่สุดก็ค่ายลูกเสือวชิราวุธที่ศรีราชานั่นแหล่ะ  (อันนี้ไฟลท์บังคับ ครูไม่พาไปไม่ได้จริงๆ)

อิชั้นจึงได้แต่จินตนาการถึงท้องฟ้าจำลอง ในโลกของเด็กตัวเล็กๆ  ว่าข้างในจะมีอะไรบ้าง  ดวงดาวบนท้องฟ้าจะเป็นเช่นไรหนอ...

จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่อิชั้นไม่ต้องจินตนาการแล้วค่ะ

มาถึงแว้ว...ท้องฟ้าจำลองของเรา






ที่นี่คืออาคารวิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา  มีการแสดงทั้งหมด 6 อาคารค่ะ

อาคาร 1 จัดแสดงเกี่ยวกับท้องฟ้าและดวงดาว และมีห้องฉายดาวอยู่ที่นี่ด้วยค่ะ
อาคาร 2 จัดแสดงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ มีอุปกรณ์และเครื่องเล่นให้ลองเล่นด้วยนะคะ
อาคาร 3 เป็นโลกใต้น้ำ จัดแสดงปลาและสิ่งมีชีวิตใต้น้ำต่างๆ
อาคาร 4 จัดแสดงเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อาคาร 5 กับ 6 จัดแสดงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ

เราซื้อตั๋วเข้าชมก่อนนะคะ  ผู้ใหญ่ 30 บาทเองค่ะ เข้าชมได้ทุกที่เลย Smiley

ตอนนี้เวลา 11 โมงครึ่งแล้ว  พี่ที่ขายตั๋วแนะนำให้ไปดูอย่างอื่นก่อน เพราะต้องรอรอบดูดาวตอนบ่ายโมงแน่ะ  เราเลยรับคำปรารถนาดีของพี่เค้ามาเดินที่อาคาร 2 กันก่อน

อาคาร 2 นี้ใหญ่มากก น่าจะใหม่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดเลย รูปร่างมองไปคล้ายท้องเรือลำเบิ้มเลย




วันนี้เด็กๆเพียบเพราะเป็นวันธรรมดา คุณครูพามาทัศนศึกษาเยอะเลย


ภายในนิทรรศการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจมากๆ แถมป้ายยังทำสีสันสดใส  น่าอ่าน ดึงดูดใจเด็กๆ



อันนี้เป็นการแปรรูปพลังงานอย่างหนึ่ง เมื่อตีกลองจะทำให้ฉากรูปดาวสั่นสะเทือนได้



ภาพคนที่มองตามเราไปทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ที่จริงทำมาจากภาพเว้าลึก และใช้การหักเหแสงเป็นการนำสายตา




อยากเห็นคนขี่อันนี้น่ะ


 

ในนี้มีจุดดีที่น้องๆสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ มี intervention ร่วมกัน ทำให้วิทยาศาสตร์ดูแล้วไม่น่าเบื่อ
อย่างอันนี้เค้าก็ให้ลองจับจริงๆ

 


อันนี้เค้าให้ลองนอนด้วย  จะลองนอนดูไหมคะ

แต่อิชั้นไม่เอาดีกว่า กลัวเป็นของคนนี้อ่ะ Smiley


เหมือนเคยเห็นในทีวีเลย อยากลองนั่งจังแฮะ

รถไฟจำลอง

อันนี้จะเหมือนเราอยู่บนดาวเทียม และมองมาที่โลก

เข้ามาดูในนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่าอิจฉาเด็กสมัยนี้แท้หรา ได้มีแหล่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์สนุกและน่าสนใจ ไม่น่าเบื่อ  ทั้งแสง สี เสียง สื่อต่างๆ กระตุ้นความสนใจของเด็กได้ดีเหลือเกิน ขนาดเรายังชอบเลย

(แต่อุปกรณ์ข้างในมีใช้งานไม่ได้หลายอันเหมือนกันนะคะ ถ้าเล่นได้หมดก็จะดีมากๆ)

แต่ก็ยังดีกว่านิทัศนการวิทยาศาสตร์สมัยเก่าๆ ตอนเรายังเด็กนะ  อันนั้นน่ะไม่มีอะไรเล้ยย   มีแค่บีกเกอร์กับกรวยวางบนโต๊ะ มีบอร์ดติดกระดาษ A4 สีจืดๆ ว่า

"กลไกทางวิทยาศาสตร์นี้เกิดจากหลักการทางฟิสิกส์ที่เมื่อมีความดันไอน้ำเข้าแทนที่มวลอากาศภายใน จะทำให้แก้วลอยขึ้น

บลาๆๆ "

แบบว่ามันมะตื่นเต้นเร้าใจเด็กน้อยเล้ยยย เหอๆๆ


อ้อ !  เค้ายังมีชั้นบนอีกนะคะ แต่ด้วยความที่วันนี้เรามีเวลาไม่มากเท่าไหร่ ช่วงบ่ายยังต้องไปที่อื่นอีก ก็เลยต้องรีบจรลีมาก่อน

 

มาที่อาคาร 1 ท้องฟ้าจำลองค่ะ

 


มาถึงก็เจอน้องๆมาทัศนศึกษาค่า ชมพูกันเป็นทีมทั้งครูและนักเรียน น่ารักจัง

เมื่อเข้ามาในอาคาร  ก็จะพบกับพระบรมรูปของล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 หรือ "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" 

ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" จากพระปรีชาสามารถทรงการคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้อย่างแม่นยำในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ล่วงหน้า 2 ปี และได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมเชิญทูตฝรั่งเศสและสิงคโปร์ทอดพระเนตรสุริยุปราคาในครั้งนั้น


ภายในอาคาร แสดงความรู้เรื่องดวงดาวและกาแล๊กซี่ค่ะ


(แต่ป้ายนี่เก่าได้อีกนะ )Smiley



 


อุตกาบาตนี้อายุตั้งร้อยกว่าปีแล้วนะคะเนี่ย


 

 


ความมหัศจรรย์ของสิ่งก่อสร้างโบราณ
อันนี้สโตนเฮนจ์ ณ ประเทศอังกฤษค่ะ


อันนี้ปิรามิดของอียิปต์



อินเดียแดงจากอเมริกา


V
V
V


อันนี้เป็นข่าวสารจากโลก เริ่ศอ่ะ


อันนี้น่าจะเป็นกระสวยอวกาศสมัยแรกๆ


นักบินอวกาศข้างใน จะน่ารักไปไหมเนี่ย



ตาชั่งแสดงน้ำหนักของเราหากไปอยู่บนดาวต่างๆ


30 ล้านล้านกิโลเมตร นี่มันโค-ตะ-ระ ไกลเลยเนอะ  นึกถึงภาพจักรวาลนี่ไม่มีวันสิ้นสุดจริงๆ

อันนี้เค้าให้ลองหมุนดูค่ะ ดูข้างในจะเห็นเหมือนเราว่าเป็นโลกที่โคจรในระบบสุริยะจักรวาลอยู่


ภาพโลกสีฟ้าที่เราคุ้นเคย 


ในวัยเด็กอิชั้นเห็นโลกแบบนี้ในทีวีบ่อยมาก  

มันจะมาพร้อมกับเสียงบรรยาย

"เมื่อเหล่าอธรรมถูกปราบจนหมดสิ้น  โลกจงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง"

เจ็ตโด้แมนนนนนน......Smiley

บ่งบอกวัยมากไปป่ะเนี่ย



ทางเข้าห้องฉายดาว เหมือนเดินเข้าไปในยานอวกาศเลย กิกิ (แต่ดีไซน์เก่ามาก ประมาณมนุษย์ไฟฟ้าห้าสียังไงยังงั้นแหล่ะ)

ในนี้อุปกรณ์จะดูเก่าหน่อยนะคะ บางอย่างก็ชำรุดตามกาลเวลา คิดว่าถ้าปรับต้องปรับยกตึกแหล่ะ ก็อายุขัยซะขนาดนี้

แต่เท่าที่ดู ก็เห็นเค้ามีป้ายปรับปรุงติดเยอะเหมือนกัน  คิดว่าเค้าคงไม่นิ่งดูดายหรอก ออกจะเป็น Signature อยู่คู่เด็กไทยมาตั้งนาน

แล้วเราก็แว๊บไปโลกใต้น้ำที่อาคาร 3 สักหน่อยนะ

 



ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรนะ เล็กและเก่า เหมือนดูตู้ปลาแถวบ้านเลย


วันนี้น่าเศร้าที่เราไม่สามารถอยู่ชมดาวในโดมได้ เพราะมีธุระช่วงบ่ายต้องไปที่อื่นต่อ

ทั้งที่เคยหมายมั่นปั้นมือไว้ตั้งแต่เด็กๆแล้ว ว่าอยากจะมาที่นี่ที่สุด  อยากดูท้องฟ้า อยากดูดาว...

ตอนที่รู้ว่ารอบดูดาวคือตอนบ่าย ทั้งที่มีธุระต้องไปต่อ อิชั้นยังอดลังเลไม่ได้  อุตส่าห์มาถึงนี่ จะไม่ดูจริงๆรึ ความฝันวัยเด็กเลยนะ

แต่สุดท้าย สำนึกผิดชอบชั่วดีก็ทำงาน บอกว่าเราต้องไป เพื่อไปทำภารกิจต่อ (ฮือๆ)

ทั้งนี้ หมายมั่นปั้นมือไว้ใจแล้วว่า ท้องฟ้าจำลองคงได้ต้อนรับการมาเยืยนของอิชั้นอีกรอบในอีกไม่ช้าไม่นาน

แล้วเจอกันอีกนะ....ความทรงจำที่หายไปของฉัน

 

 

 

 





 

Create Date : 19 กันยายน 2556    
Last Update : 26 กันยายน 2556 8:37:06 น.
Counter : 2392 Pageviews.  

มารู้จักร่างกายมนุษย์กันเถอะค่ะ

วันนี้พามาเที่ยวแบบได้รับความรู้ด้วยค่ะ....
มารู้จักที่นี่กันหน่อยค่ะ




พิพิทธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์เป็นสถานที่จัดแสดงชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ที่เสียชีวิตแบบ 3 มิติ เพื่อส่งเสริมนิสิตแพทย์ และทันตแพทย์ได้ศึกษาเรียนรู้อย่างเห็นภาพชัดเจน


"พิพิธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์” แห่งนี้เป็น 1 ใน 11 พิพิธภัณฑ์ของโลก และเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จัดแสดงด้วยเทคนิค plastinated human bodies ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ในการรักษาสภาพร่างกายหรือชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ที่เสียชีวิต โดยใช้พลาสติกเหลวเข้ามาแทนที่น้ำและไขมันในเนื้อเยื่อ ทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นของน้ำยา ไม่มีการเน่าสลาย และคงสภาพอยู่ได้นาน


"การจัดแสดงร่างกายและชิ้นส่วนของมนุษย์ของพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้นิสิตแพทย์และทันตแพทย์ได้ศึกษาร่างกายมนุษย์ในแบบ 3 มิติ ซึ่งเป็นส่วนเสริมของการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ที่นิสิตได้เรียนรู้อยู่ ซึ่งจะทำให้นิสิตมีความเข้าใจร่างกายมนุษย์มากขึ้นเพราะเห็นภาพชัดเจน โดยจะจัดแสดงเป็นหมวดหมู่ คือ มนุษย์แบบเต็มร่าง 13 ชุด ชิ้นส่วนอวัยวะภายใน 50 ชิ้น ชิ้นส่วนอวัยวะอื่นๆ 27 ชิ้น ชิ้นส่วนกล้ามเนื้อ 23 ชิ้น ร่างกายมนุษย์ตัดแบ่งย่อย 6 ชุด ชิ้นหล่อแสดงระบบหลอดเลือด 5 ชิ้น ร่างกายทารกในครรภ์ 7 ชุด รวม 131 ชิ้น มูลค่า 100 กว่าล้านบาท"


โดยมีที่ตั้งที่ชั้น 9 อาคารทันตแพทยศาสตร์เฉลิมนวมราช 80 คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 






พอดีวันนี้เรามาดูงานที่กทม.ค่ะ หลังจากบ่ายสามมีเวลาว่าง เลยแวะมาแถวนี้ และมาเที่ยวที่นี่

มาถึงที่อาคารทันตแพทยศาสตร์เฉลิมนวมราช 80  เราก็แลกบัตรประชาชนกับยาม เพราะที่นี่เป็นสถานที่ราชการ และกดลิฟท์ขึ้นมาที่ชั้น 9

พอมาถึงหน้าลิฟท์  เจอเจ้าหน้าที่หน้าเคาท์เตอร์ ยืนคุยกับนักท่องเที่ยวน่าจะเป็นคนจีน 3 คน  และน้องเค้าก็หันมาถามอิชั้น  "พี่ๆ พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ไหม"

อิชั้น "พอได้นิดหน่อยค่ะ มีอะไรรึปล่าว"  

น้องก็บอกว่า " ต่างชาติเค้าเข้าใจว่าเข้าฟรี  แต่ตอนนี้เราเก็บค่าเข้าชมแล้ว  เค้าไม่เชื่อหนูอ่ะ  เอาชีทที่ปรินท์จากเน็ตมาชี้ให้หนูดูใหญ่เลยว่ามันฟรีนะ  พี่ช่วยอธิบายเค้าหน่อยนะ Smiley "

อิชั้นมองซ้ายมองขวา  ไม่เห็นป้ายที่เขียนเก็บค่าเข้าชมเหมือนกัน  เลยถามว่า  มีโบว์ชัวร์หรือเอกสารอะไรมั้ยที่เขียนว่าเก็บค่าเข้าชม  น้องก็หยิบโบว์ชัวร์มาให้  แล้วชี้ให้ดูว่าตรงนี้พี่  หนูชี้ให้เค้าดูแล้ว แต่เค้าไม่เชื่อหนู











อืมม เก็บค่าเข้าชมแล้วจริงๆอ่ะ



อิชั้นเลยถือเอกสารนี้ไปอธิบายเค้าว่า ตอนนี้เค้าเก็บค่าเข้าชมแล้ว  ตัวอิชั้นเองก็ต้องเสียค่าเข้าชมเหมือนกัน  ไม่ใช่แต่เสียเฉพาะกลุ่มเค้า   เจ้าหน้าที่ไม่ได้โกหกจริงๆ พร้อมกันนั้นก็ควักเงินออกจากกระเป๋า ยื่นซื้อตั๋วเห็นๆด้วย  เค้าเลยเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้โกหก 

แต่ก็มีต่อว่านิดนึงว่า  เค้าปรินท์ข้อมูลนี้มาจากเว็ปของพิพิทธภัณฑ์เลยนะ  ทำไมข้อมูลไม่ตรงอย่างนี้ล่ะ  อิชั้นเลยบอกว่าน่าจะเป็นข้อมูลอันเก่า เพราะมีช่วงนึงที่เค้าปิดไป  แต่ยังไงอิชั้นจะแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ว่าข้อมูลไม่อัพเดท  จนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เข้าใจ  และยอมเดินจากไป  

น้องเจ้าหน้าที่โล่งใจมาก  ขอบคุณอิชั้นใหญ่เลย  อิชั้นก็เลยแนะนำว่าน่าจะทำป้ายเป็นภาษาจีนด้วยนะ เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เยอะขึ้นทุกวัน  น้องเจ้าหน้าที่เลยบอกว่าเดี๋ยวจะเอาไปบอกเจ้าของพิพิทธภัณฑ์ให้ปรับปรุง
V
V
V

หลังจากทำความดีเล็กน้อยๆแล้ว   เราก็เข้ามาชมในพิพิทธภัณฑ์กันเถอะค่ะ

ประตูแง้มเล็กๆ  เชิญชวนให้เข้า


เพราะวันนี้เป็นวันพุธ  คนเลยน้อยมาก
ในห้องนี้ก็มีแค่อิชั้นกะน้องคนนี้แค่ 2 คนค่ะ

จริงๆที่นี่ไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ  ตอนแรกอิชั้นก็ไม่ได้ถ่ายมา แต่นึกพิจารณาแล้ว ก็อยากให้มีรูปประกอบเพื่อความน่าสนใจของบล็อคเหมือนกัน 

และอีกอย่าง  อิชั้นมาเยี่ยมชมที่นี่  ด้วยความตั้งใจที่อยากมาศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์จริงๆ  การกระทำทุกอย่างก็เกิดจากความเคารพในอาจารย์ใหญ่  ซึ่งถือว่าท่านเป็นผู้ที่เสียสละอย่างสูงส่ง อุทิศตนเป็นวิทยาทานแก่คนรุ่นหลัง   อยากจะลงรูปเพื่อชักชวนให้ทุกท่านที่สนใจ ไปหาความรู้ร่วมกัน

จึงขออนุญาตินำมาลง ณ ที่นี้นะคะSmiley

ลักษณะกล้ามเนื้อของผิวหนัง




อวัยวะร่างกาย ตัดในแนวขวาง

อวัยวะร่างกายตัดในแนวตั้ง

มาลองยกสมองดูไหมค่ะ 

อิชั้นลองยกแล้ว อืมม หนักมากเลย




ห้องนี้แสดงกายวิภาคของอาจารย์ใหญ่  ในอิริยาบทต่างๆ

 




ทารกตั้งแต่ 1 - 10 เดือน




การทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย



ลักษณะมัดกล้ามเนื้อในการใช้งาน






การตัดขวางอวัยวะภายในของหญิง



ระบบทางเดินอาหารร่างกาย ตั้งแต่ต้นจนจบ

ลักษณะอวัยวะภายในที่ผิดปกติ  เช่นตับแข็ง  น้ำท่วมปวด 


อวัยวะสืบพันธ์

 





การมาดูพิพิทธภัณฑ์ร่างกายมนุษย์ในครั้งนี้  นอกจากความรู้ที่ได้รับจากอาจารย์ใหญ่ทุกท่านแล้ว  อิชั้นยังมีความรู้สึกอีกอย่างเพิ่มมา

นั่นคือ อิจฉาน้องๆที่เรียนด้านสาธารณสุขสมัยนี้เหลือเกิน  ที่สามารถเรียนรู้ร่างกายมนุษยได้แบบสามมิติ  ได้เห็นกลไกอย่างชัดเจน ไม่ต้องมานั่งจินตนาการเหมือนสมัยอิชั้นว่า  เส้นเลือดนี้มันวิ่งไปไหน  แล้วมันลงตรงไหน  มันไปยังไงต่อ..

นี่มาที่นี่ได้เห็นภาพสดๆ  ทำให้การเรียนกายวิภาคไม่หนักหน่วงเหมือนสมัยก่อน  นับว่าเป็นโชคดีของน้องๆสมัยนี้จริงๆ (อิจฉาวุ้ย  สมัยตรูทำไมไม่มีแบบนี้มั่ง)Smiley

และขอเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านค่า  ความรู้ไม่ได้จำกัดแค่ในกลุ่มนักศึกษา  สามารถมาดูได้ ที่ 9 อาคารทันตแพทยศาสตร์เฉลิมนวมราช 80 คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ปอลิง  จะบอกว่า ผลการทำความดีที่เล่าไว้ตอนแรกสัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็ว อิชั้นพบว่าตัวเองลืมแลกบัตรประชาชนคืนก็ตอนที่มาถึงรถตู้กลับชลบุรี ตอนนั้นปวดร้าวหัวใจมาก เพราะไม่สามารถย้อนกลับไปเอาได้  

เดชะบุญ  ยังเก็บโบชัวร์ที่น้องเค้าให้ไว้ เลยโทรไปหาเค้า บอกว่าลืมบัตรประชาชนไว้ที่นั่น  น้องเค้าเลยรับอาสาส่งคืน EMS ให้อิชั้นค่า  แถมไม่ยอมรับเงินค่าส่งและค่าเสียเวลาที่อิชั้นจะให้อีกต่างหาก  ยังไงต้องขอบคุณน้อง (เสียดายไม่ได้ถามชื่อไว้) มาณ ที่นี้ค่า  ขอบคุณมากๆเลย Smiley 



 


 


 

 


 


 

 


 


 





 

Create Date : 28 สิงหาคม 2556    
Last Update : 6 กันยายน 2556 8:10:17 น.
Counter : 2902 Pageviews.  

นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เรื่องราวความเป็นมาของพวกเราชาวสยาม...

คืนวันเสาร์ อิชั้นไปนอนที่บ้านคุณนายแม่เพราะน้องสาวกลับบ้า ช่วงก่อนนอนไปเกิดรีรันเทยเที่ยวไทยในยูทูป ปรากฏว่าเป็นตอนที่เค้าพาไปนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ แถวราชดำเนิน ก็เลยบังเกิดความสนใจ เพราะพรุ่งนี้หยุดพอดี



ตอนแรกว่าจะไปช๊อปปิ้งที่ประตูน้ำ   แต่นึกขึ้นได้...ราชดำเนินนี่ก็ไม่ได้ไกลจากประตูน้ำเท่าไหร่ เราไปเดินดูที่นี่ก่อนแล้วเย็นๆค่อยไปเดินช๊อปต่อก็ได้นี่หว่า  ก็เลยเป็นที่มาของทริป เที่ยวนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ของเราในวันนี้ค่า



เช้ามา นั่งรถมากะน้องสาว มาที่คอนโดแถวประตูน้ำประมาณสิบโมงครึ่ง น้องสาวเตรียมไปทำงาน ส่วนอิชั้นโบกแท็กซี่ไปนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ปรากฏว่าแท็กซี่ไม่รู้จัก !! (ตรูจะบ้า) ต้องเปิดกูเกิ้ลให้ดูว่าอยู่แถวไหน คุณแท็กซี่ถึงจะถึงบางอ้อ พาเรามาได้ถูก  Smiley






มาถึงก็ไปซื้อตั๋วก่อนนะคะ ราคา 100 บาท แต่ตอนนี้โชคดีว่ามีโปรโมชั่นด้วย ซื้อที่นี่สามารถไปดูที่มิวเซียมสยามได้อีกตะหาก โห....คุ้มมากเลย เท่ากับซื้อ 1 แถม 1 และยังใช้ได้ถึงสิ้นเดือนกันยายนอีกตะหาก อิชั้นยิ้มหวานเลย ได้โปรเจคต่อไปแล้วตรู อิอิSmiley

อ้อ..มาจองรอบเข้าชมก่อนนะคะ การเข้าชมที่นี่มี 2 ห้อง จะต้องจองรอบที่เคาท์เตอร์ก่อน เพราะจำกัดจำนวนผู้เข้าชม และทุกๆเส้นทางจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลอธิบายอย่างละเอียดค่ะ


เกือบลืม มารู้จักนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ กันหน่อยนะคะ


อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เป็นตึก 4 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับวัดราชนัดดาราม จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์

เส้นทางที่  1 เป็นเรื่องราวด้านต่างๆ แห่งยุครัตนโกสินทร์ ผ่านห้องจัดแสดง 7 ห้อง   ซึ่งตั้งชื่อไว้อย่างคล้องจองกัน โดยบอกเล่าเรื่องราวของกรุงรัตนโกสินทร์ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และประเพณี ตั้งแต่แรกเริ่มสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน

ส่วนเส้นทางที่ 2 จะประกอบไปด้วย 2 ห้องจัดแสดงใหม่ เป็นเรื่องราววิถีชีวิตของชนชาวสยาม และประวัติพระมหากษัตริย์ไทยของกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1- 9

ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของเรามากเลยค่ะ เพราะเส้นทางที่ 2 นี่เพิ่งเปิดมาเมื่อปีที่แล้วเอง เราเลยได้ดูถึง 2 เส้นทางในวันเดียวกัน

สำหรับระยะเวลาที่ใช้ชมนิทัศนการในวันนี้ เส้นทางละ 2 ชม. รวมเวลาทั้งสิ้น 4 ชม. ค่ะ

 

อิชั้นจองห้องแรก ได้ในรอบ 11.20 น. เหลือบดูนาฬิกาเพิ่งจะ 11 โมงเอง ไปหม่ำอะไรรองท้องก่อนดีกว่า.....กินเย็นตาโฟที่ข้างๆอาคารนั่นเอง ปรากฏว่าไปเหลือบเห็นร้านกาแฟทรู แหม....อย่างว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ขอจิบกาแฟชิลๆหน่อยนะ หุหุ


เสร็จแล้วเมื่อถึงเวลา เราก็ไปรอที่จุดทางเข้าค่ะ จนท.ก็พร้อมจะพาพวกเราไปชมความรุ่งเรืองของรัตนโกสินทร์ในอดีตค่ะ

มาเริ่มกันที่ timeline "อุโมงค์เวลา" แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่ครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เปรียบเทียบกับเหตุการณ์สำคัญๆ ของต่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน


จากนั้นมาดูรูปสวยๆที่ใช้เวลาวาดถึง  3 ปีค่ะ  เป็นบรรยากาศการเฉลิมฉลองในวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค่ะ




หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาชมห้องต่างๆดังนี้ค่ะ ...


1. ห้องรัตนโกสินทร์เรืองโรจน์ (Grandeur Rattanakosin) ย้อนกลับไปสู่เมื่อครั้งแรกเริ่มสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยภาพยนตร์สื่อผสม ๔ มิติ  นำเสนอประวัติความเป็นมาของการกำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกรุงศรีอยุธยา ด้วยพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรี


2.ห้องเกียรติยศแผ่นดินสยาม (The Prestige of the Kingdom) นำเสนอ ความวิจิตรอลังการของพระบรมมหาราชวัง ตามคติความเชื่อในความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์ ที่สะท้อนผ่านงานด้านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ตลอดจนประวัติของพระแก้วมรกต เรื่องราวของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเกร็ดน่ารู้ น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตในวัง

นี่คือ “พระบรมมหาราชวังจำลอง” ค่ะ  เหมือนจริงและงดงามมาก





เราสามารถชมพระแก้วมรกตจำลอง ในเครื่องทรงครบทั้ง ๓ ฤดูในคราวเดียว เป็นครั้งแรก



เขตพระราชฐานชั้นในเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับหญิงนางใน ถือเป็นสถานที่รังสรรค์ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นกุลสตรีเลยค่ะ

ซึ่งปกติพระบรมมหาราชวังของจริง ส่วนพระราชฐานชั้นในเป็นเขตหวงห้ามของผู้ชาย ยกเว้นแต่พระมหากษัตริย์ และเจ้าฟ้าที่ยังไม่ได้ทำพิธีโสกันต์(โกนจุก)  จึงจะเข้าออกได้เท่านั้น



เข้าไปยลบรรยากาศภายในวังสมัยรัตนโกสิทร์กันเถอะค่ะ Smiley




เวลาเข้า ต้องเข้าประตูเล็กเท่านั้นนะคะ  และเพราะสมัยก่อนมีความเชื่อว่าที่ธรณีประตูมีพระภูมิสิงสถิตย์อยู่  เพราะฉะนั้นห้ามเหยียบนะคะ  ให้เดินข้ามไปดีๆ  มิฉะนั้นจะโดนเฆี่ยนด้วยหวายนะจ๊ะ


V
V
V

ถ้าโดนหวายกำนี้ล่ะตายเรย  มัดใหญ่มากก Smiley


นี่คือโขลน หรือตำรวจหญิงสมัยก่อน ทำหน้าที่เฝ้าเขตพระราชวัง มิให้บุคคลแปลกปลอมเล็ดรอดเข้าไปจ๊ะ (เทยเที่ยวไทยเรียกกองร้อยน้ำหวาน 555)


มาดูกิจกรรมหญิงไทยในรั้ววัง  พวกเธอช่างเก่งงานฝีมือรอบด้านจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น อบร่ำจีบผ้า ทำอาหาร แกะสลัก ร้อยมาลัย แม้กระทั่งการร่ายรำ


จะว่าไป ในวังนี่ก็เหมือนโรงเรียนสำหรับผู้หญิงดีๆนี่เอง  







สาวๆกำลังหัดรำกันใหญ่เลย


3. ห้อง เรืองนามมหรสพศิลป์ (Remarkable Entertainments) ห้องนี้นำเสนอความเป็นมา และรูปแบบของมหรสพสำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์หลากหลายประเภท ตลอดจนวิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของมหรสพและการแสดงประเภทต่างๆ ในแต่ละยุคสมัย ซึ่งบูรณาการและแตกสายจนมีความงาม และลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป

มาชมมหรสพสมโภชในมุมมอง 360 องศาในห้องนี้นะคะ  ดูได้จากทุกมุมห้องเลย เริ่ศจริงๆ



แวะมาชมวิวของภูเขาทอง และโลหะปราสาทจากหน้าต่าง เสียดายที่โลหะปราสาทกำลังซ่อมแซมอยู่ ถ้าเสร็จแล้วคงสวยกว่านี้เยอะเลยค่ะ




4. ห้อง ลือระบิลพระราชพิธี (Renowned Ceremonies) นำเสนอ ที่มาและความสำคัญของพระราชพิธี รวมทั้งเกร็ดความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีสำคัญๆของกรุงรัตนโกสินทร์


5. สง่าศรีสถาปัตยกรรม (Graceful Architectures) นำเสนอ รูปแบบสถาปัตยกรรมในยุครัตนโกสินทร์ อันเป็นเอกลักษณ์ของสยามประเทศ ผ่าน วัง วัด บ้าน แห่งยุคสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงสอดรับกับปัจจัยแวดล้อม ความเจริญทางด้านเทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจากต่างประเทศ จนทำให้วัง วัด บ้าน ในกรุงรัตนโกสินทร์ มีลักษณะหลากหลายดังที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน


6. ดื่มด่ำย่านชุมชน (Impressive Communities) นำเสนอ ความเป็นมาและเอกลักษณ์ของชุมชนบนเกาะรัตนโกสินทร์ เพียงแค่ก้าวเท้า ไปยังจุดที่ตั้งของชุมชน จะปรากฏลวดลายสวยงาม นำผู้ชมไปทำความรู้จักชุมชนนั้น พร้อมชื่นชมผลงานการรังสรรค์จากชุมชนต่างๆ ซึ่งบางชิ้นหาชมได้ยากในปัจจุบัน


7. เยี่ยมยลถิ่นกรุง (Sight-Seeing Highlights) รวบรวมและนำเสนอ สถานที่น่าสนใจบนเกาะรัตนโกสินทร์ หลายรูปแบบ ทั้งสถานที่ที่น่าสนใจในเชิงสถาปัตยกรรมอันสวยงาน สวนสาธารณะยอดนิยม พิพิธภัณฑ์ที่ควรเยี่ยมชม แหล่งรวมอาหารการกินและจับจ่ายสินค้า ตลอดจนย่านที่เป็นสีสันในยามค่ำคืน

ตรงนี้จ๊าบตรงที่เค้าให้เราถ่ายรูปเอาไว้ และเอาหน้าเราไปเป็นอนิเมชั่นตะลุยเที่ยวกรุงด้วยค่ะ น่ารักดี




สายที่ 1 ก็จบที่ตรงนี้นะคะ เราไปต่อที่สายที่ 2 ค่ะ

1. เรืองรุ่งวิถีไทย (The Colorful Thai Way of Living) รวบรวมและนำเสนอวิถีชีวิตของคนไทย นับตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์จวบจนถึงปัจจุบัน การเรียนรู้ ภูมิปัญญา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ปัจจัยและอิทธิพลต่างๆ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนไทยในแต่ละยุคสมัย




นึกถึงบ้านเมืองเราสมัยก่อน  เรียบง่าย ร่มเย็นจริงๆ 



วิถีชนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1 – 3) เป็นช่วงชีวิตของคนไทยในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์   เค้าจำลองเรือให้เราล่อง เพื่อชมวิถีชีวิตริมสายน้ำ



เรืออันนี้ทำเหมือนม๊ากค่ะ มีการโคลงไปโคลงมา และแล่นไปข้างหน้าได้ด้วย นั่งโยกไปสักพักอิชั้นก็ชักจะเริ่มเวียนหัวแระ ชักจะเมาเรือจริงๆเข้าแล้วซิ   Smiley

(ได้ข่าวว่าเด็กข้างหลังน๊อคไปแล้ว จะบอกว่าไม่แปลกใจสักกะนิด ก็ขนาดผู้ใหญ่ยังไม่รอดเลยอ่่ะ เอิ๊กก)

แล่นมาสักพัก หัวเรือก็มาเสียบตรงหัวรถรางพอดี กลายเป็นเรากำลังนั่งรถรางอยู่ค่ะ เข้าใจทำดีจัง



เค้าจะฉายภาพวิวสองข้างทางจากรถรางค่ะ เป็นยุคสมัยรัชกาลที่ 5  ที่ความเจริญทางการคมนาคมเริ่มจะเข้ามาในสยามบ้านเราแล้ว นอกจากนี้ยังมีการเข้ามาของไฟฟ้า  โทรเลข  น้ำประปา  นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เปลี่ยนหน้าตาของสยามประเทศไปโดยสิ้นเชิงจริงๆค่ะ





เและไหนๆก็มาแล้ว  เราก็มาเดินเที่ยวชมเมืองไทยยุคนี้กันเถอะค่ะ

V
V
V


ร้านตัดผมชื่อจ๊าบเนอะ Smiley


ร้านขายของฝรั่ง หรือห้างสรรพสินค้าสมัยนี้  เห็นเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบว่าความใหญ่โตเหมือนพารากอนเลยค่ะ และเนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้ราคาสูงลิ่วๆๆๆเลย


บรรยากาศร้านยาสมัยโบราณ กลิ่นยาหอมจังเลยค่ะ


ธนาคารยุคแรกเริ่ม


ต่อมาจะเริ่มทันสมัยขึ้นมา  น่าจะเป็นยุคโก๋หลังวัง ปี 2499 เพราะเริ่มคุ้นหูคุ้นตาแล้ว  (หน้าพี่ติ๊ก แดงไบเล่ย์ลอยเข้ามาเลยแฮ่ะ)





ร้านกาแฟโบราณ



อันนี้ใครรู้จักหมดต้องพิจารณาตัวเองแล้วนะ  ว่ารุ่นไหน



และห้องสุดท้ายสำหรับวันนี้ึค่ะ

2. ดวงใจปวงประชา (The Heart and Soul of the Nation) รวบรวมและนำเสนอเรื่องราว พระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทั้ง ๙ รัชกาล ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ผ่านการเล่าเรื่องราวจากคุณยายสู่หลานชายตัวน้อย โดยแบ่งเป็นยุคสมัยต่างๆ ดังนี้


สมัยฟื้นฟูความมั่นคง เรื่องราวของรัชกาลที่ 1-3 ยุคแห่งการก่อกำเนิดกรุง ความรุ่งเรืองของสยามประเทศในทุกๆ ด้าน


สมัยแห่งการฝ่ามรสุมมหาอำนาจ นำชาติสู่ศิวิไลย์ เรื่องราวของรัชกาลที่ 4-5 ยุคแห่งการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ เพื่อพาสยามให้พ้นจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก เกิดการพัฒนาประเทศในหลายรูปแบบทั้งการศึกษา การแต่งกาย การเลิกทาส การตัดถนน นำเสนอผ่านภาพและเสียงบรรยายที่เสมือนจริง ตลอดจนการจำลองการสร้างบ้านเมืองและรถไฟสายแรกของไทย


สมัยแห่งการปูทางสู่ประชาธิปไตย นำไทยให้รุ่งเรือง เรื่องราวของรัชกาลที่ 6-9 ยุคสมัยที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของประชาชนผ่านการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานอันนำไปสู่การพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านอย่างมั่นคงและเตรียมพร้อมสู่การปกครองตนเองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างเหมาะสม





สมัยแห่งพระมหากษัตริย์ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย เรื่องราวของรัชกาลที่ 8 และ 9 ความรักและความผูกพันของทั้งสองพระองค์ และความรักใคร่ในประชาชน





ทั้งสองพระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย เพื่อรอยยิ้มและความสุขของเหล่าผสกนิกรชาวไทย ทำให้เราทั้งซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ทั้งสอง


ทั้งยังรู้สึกสะเทือนลึกๆ เมื่อได้เห็นข้อความนี้.....


" อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น "


รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆจุกขึ้นในลำคอ เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย มันวูบๆอยู่ในอก   อิชั้นเงยหน้ามองเพดานห้องฉายหนัง กระพริบตาถี่ๆไล่น้ำที่กำลังจะเอ่อออกมา ไม่อยากให้ใครเห็นมันเลย....


SmileySmileySmileySmileySmiley



สรุปว่า วันนี้เราก็มาดูงานนิทรรศนรัตนโกสินทร์เสร็จเรียบร้อยแล้วค่า ใช้เวลาในนี้สิริรวม 4 ชั่วโมงพอดี เป็นการรับชมที่อิ่มเอมไปด้วยความสุข ซาบซึ้งในความเป็นมาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา รวมทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่เราเคยได้ยินสมัยที่เป็นนักเรียน แต่ยังไม่มีใครอธิบายเราได้


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัชกาลที่ 4 ของประเทศไทย มี 2 พระองค์ !

เนื่องจากตอนรัชกาลที่ 3 สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 4 ยังผนวชเป็นพระอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระนามว่า พระวชิรญาณมหาเถระ เหล่าเสนาบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ได้อัญเชิญให้เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ตรัสว่า ดวงพระชาตาของพระอนุชากำลังดี จะได้ครองแผ่นดิน   ถ้าจะให้พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ต้องไปอัญเชิญพระอนุชาด้วย


เมื่อรัชกาลที่ 4 ครองราชย์แล้ว จึงสถาปนาพระอนุชาเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ    รัชกาลที่ 4 จะอธิบายกับชาวต่างชาติที่สับสนว่า พระองค์คือ The First King ส่วนพระอนุชา คือ Second King

แม้เหตุผลที่รัชกาลที่ 4 อ้างเรื่องดวงชะตา แต่ก็มีเหตุผลด้านอื่นๆ ให้ตีความได้ เช่น พระองค์ทรงครองสมณเพศตั้งแต่ พ.ศ. 2367-2394 จึงไม่มีกำลังไพร่พล  ส่วนพระอนุชาฯ ทรงศึกษาวิชาทหาร รู้ยุทธศาสตร์การรบ ต่อเรือได้ มีไพร่พล จึงช่วยคานอำนาจอิทธิพลของเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่ โดยเฉพาะตระกูลบุนนาค (อิชั้นอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆพระองค์อาจจะไม่อยากสึกด้วยซ้ำ แต่ด้วยเห็นแก่สถานการณ์บ้านเมือง เลยจำต้องยอมสึกมา)


ภายหลังเกิดวิกฤตการณ์วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 5  ร.5 จึงยุบวังหน้า และตั้งตำแหน่งใหม่ สำหรับสืบราชสันตติวงศ์แทน คือ พระบรมโอรสาธิราช


หรือเรื่องราวยุคล่าอาณานิคมที่รัชกาลที่ 5  ทรงต้องเผชิญ ทั้งหนักหนา และสาหัส จนท่านต้องแก้ไขปัญหาด้วยการนำเงินถุงแดงซึ่งเป็นมรดกจากร.3 มาจ่ายให้ฝรั่งเศส


ยอมรับว่าปกติเราจะรู้จักร.3 น้อยมาก แต่เมื่อได้รู้ประวัติของท่านมากขึ้นก็อดทึ่งไม่ได้   ท่านทรงพระปรีชาสามารถมากค่ะ  และยังทำการค้าขายเก่งสุดๆด้วย ในรัชสมัยท่าน ประเทศเรามีเงินเหลือเยอะมาก  ประมาณค่าไม่ได้เลย และเป็นที่มาของเงินถุงแดงไถ่ประเทศนี้เองค่ะ




หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ร.5 ถึงกับประชวร เนื่องจากความกลัดกลุ้มพระทัยจากภัยจากการล่าอาณานิคมจากตะวันตก ซึ่งในตอนนั้นก็น่าเห็นใจพระองค์มากๆ


ส่วนตัวอิชั้นคิดว่ารัชสมัยของพระองค์เป็นอะไรที่ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” สุดๆ เพราะรอบข้างคือเขมรกับพม่าก็โดนตะวันตกสอยไปเรียบร้อย แถมแสนยานุภาพของชาติตะวันตกก็เกรียงไกรสุดๆ ดูแล้วสยามไม่น่าจะรอดจากภัยคุกคามนี้ได้เลย


แต่เราก็รอดมาได้ เพราะพระปรีชาสามารถ หรือวิสัยทัศน์ของท่านที่จะดำรงตัวให้พ้นจากภัยคุกคามนี้

แม้ว่าสิ่งนั้นคือการยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ (ซึ่งจะว่าไปก็เสียหลายครั้งเหมือนกันนะ  โดนตอดทีละนิดละหน่อย)    แต่อิชั้นเชื่อว่าแต่ละครั้งที่สูญเสียท่านจะต้องทุกข์ตรม โทมนัสสุดหัวใจแน่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ท่านประชวรล้มป่วยก็เป็นได้



และท่านก็ยังมุ่งมั่นที่จะยกระดับสยามประเทศ ให้ทัดเทียมอารยประเทศ เพื่อมิให้ประเทศเหล่านั้นมารุกรานเราด้วยข้อหาเราเป็นคนเถื่อน โดยทำการเลิกทาส ทั้งที่ประเทศเรามีระบบทาสมาเป็นร้อยๆปี ขนาดประเทศตะวันตกตอนที่ประกาศเลิกทาส ยังสู้รบต่อต้านกันมากมาย ล้มตายไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่



แต่ท่านสามารถทำได้ โดยไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว การดำเนินกุศโลบายด้วยความมีวิสัยทัศน์ ไม่บุ่มบ่าม ค่อยเป็นค่อยไป ( โดยส่วนตัวอิชั้นเชื่อว่าท่านเห็นตัวอย่างการต่อต้านภายในประเทศทางตะวันตกมาด้วย )    แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของท่านจริงๆ


ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ที่ตัวเองก็จำไม่ได้ ว่าเคยเรียน หรือเคยรู้หรือไม่ แต่วันนี้ก็ได้มารู้อีกเยอะเลย ทั้งยังได้รับรู้ว่า กว่าจะเป็นสยามประเทศ มีความเจริญความผาสุกอย่างที่เราเห็น บรรพบุรุษของเราต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง ทั้งการศึก การรบ สภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน หวิดๆจะเพลี่ยงพล้ำก็มี (สมัยรัชกาลที่ 5 น่าหวาดเสียวที่สุด) แต่บ้านเมืองเราก็ผ่านมาได้ เพราะพระมหากรุณาธิคุณขอองค์เหนือหัวท่านแท้ๆ


นับว่าการมานิทรรศน์รัตนโกสินทร์ครั้งนี้ให้อะไรเยอะกว่าที่เราคิดมาก  ทั้งความรู้ ความสนุก ความเพลิดเพลิน  ความอิ่มเอมใจ ความรู้สึกรักชาติ  ครบทุก feeling ในวันนี้จริงๆ


ซึ่งค่าเข้าชม 100 บาท อิชั้นว่าถูกมาก และยิ่งคุ้มค่ายิ่งกว่า เพราะเราสามารถเอาไปใช้ต่อที่มิวเซียมสยาม โปรโมชั่นนี้ยังมีถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้นะคะ ใครว่างเชิญมากันได้เลยจ้า





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2556    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2556 10:41:25 น.
Counter : 7018 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.