พามาเที่ยวพิพิทธภัณฑ์พระปกเกล้า part 1
การมาเที่ยวที่นี่ในวันนี้ อิชั้นขอสารภาพตามตรงค่ะ ว่าไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าเลย
พอดีว่า วันอาทิตย์ที่ผ่านมา มาเที่ยววัดราชนัดดารามกับวัดเทพธิดาราม บังเอิญระหว่างนั่งแท๊กซี่ได้เห็นพิพิทธภัณฑ์พอดี ก็เลยเกิดความสนใจ อยากจะลองมาเยี่ยมชมบ้าง
เนื่องจากระยะทางไม่ได้ไกลจากวัดทั้งสอง หลังจากเที่ยวเสร็จแล้วอิชั้นจึงแวะมาที่นี่ เดินผ่านป้อมมหากาฬทางสะพานผ่านฟ้า ข้ามถนนนิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ
อาคารสีเขียวอ่อน สบายตา รูปทรงสวยงามดึงดูดใจอิชั้นตั้งแต่แรกเห็น
มาตอนหลังจึงรู้ว่า อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เป็นอาคารเก่าของกรมโยธาธิการ ที่ถวายให้แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อใช้จัดแสดงสิ่งของและพระราชประวัติ รวมถึงพระราชกรณีกิจต่าง ๆ ของสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่นี่ติดเแอร์เย็นฉ่ำเลยค่ะ สบายสุดๆ ค่าเข้าก็ฟรี...เวิร์คกว่านี้มีอีกไหม
การจัดแสดงสิ่งของและข้อมลทางประวัติศาสตร์ถูกจัดแบ่งไว้บนอาคาร ๓ ชั้น ดังนี้
ชั้นที่ ๑ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ชั้นที่ ๒ จัดแสดงพระราชประวัติก่อนการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ชั้นที่ ๓ จัดแสดงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฉลองพระองค์ พระมาลา และฉลองพระบาทในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชกรณียกิจสำคัญด้านต่าง
เจ้าหน้าที่บอกว่า ให้เราไปที่ชั้น ๒ ก่อนนะคะ
เมื่อมาที่บันไดก็จะพบกับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประวัติของท่านค่ะ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 กับ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ( พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ) ประสูติเมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าชายาประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสโขทัยธรรมราชา ทรงเป็นพระอนุชาร่วมพระราชบิดาและพระมารดาเดียวกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
มารูปเก่าๆที่หาดูได้ยากกันนะคะ
ครั้นสมัยยังทรงพระเยาว์ ในอ้อมกอดของเสด็จแม่ (สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชนนี)
ครั้งยังเป็นเจ้าฟ้าชายาประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสโขทัยธรรมราชา
หลังจากที่ทรงศึกษาวิชาเบื้องต้นในประเทศไทยแล้ว เมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษาได้เสด็จไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ โดยเข้าเรียนระดับมัธยม ที่โรงเรียนอีตัน และศึกษาวิชาการทหารจนจบจากวิทยาลัยการทหารบก กลับมารับราชการประจำกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ ได้เลื่อนยศตามลำดับ จากร้อยตรี เป็นนายพันเอก ทรงมีตำแหน่งเป็นปลัดกรมเสนาธิการทหารบก จนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ 2
พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงแรกจะแสดงสิ่งของและภาพถ่ายสำคัญต่าง ๆ ในรัชกาลของพระองค์แล้ว
อันนี้เป็นพระมาลาส่วนพระองค์ค่ะ
ฉลองพระองค์ในวาระต่างๆ
ซอสามสาย
และเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์
(ภาพนี้มองใกล้ๆ จะเห็นแววพระเนตรของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชนนนี ทรงทุกข์ตรมโทมนัสเหลือเกินค่ะ )
ร.6 ทรงยืนลำดับที่สอง ส่วน ร.7 ประทับพับเพียบอยู่ขวาสุดของรูป ( ถ้าราชาศัพท์ไม่ถูกต้องขออภัยด้วยนะคะ)
เพิ่งสังเกตชัดๆ ว่าร.6 ท่านจะทรงคล้ายกับพระราชมารดา (สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชนนนี) ในขณะที่ ร.7 จะละม้ายคล้ายกับพระราชบิดา (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มากกว่า
สาสน์ที่แจ้งข่าวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์ภายในพระราชวัง
ทรงออกผนวช
ในปี พ.ศ. 2461 ได้อภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระธิดาในสมเด็จกรมพระสวัสดิวัฒนวิสิษฎ์
ใน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระปฐมบรมราชโองการความว่า ...ดูกรพราหมณ์ บัดนี้เราทรงราชภาระ ครองแผ่นดินโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและสุขแห่งมหาชน เราแผ่ราชอาณาเหนือท่านทั้งหลายกับโภคสมบัติ เป็นที่พึ่งจัดการปกครองรักษาป้องกันอันเป็นธรรมสืบไป ท่านทั้งหลายจงวางใจอยู่ตามสบาย เทอญ
ทรงรับการน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องราชเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมราชาภรณ์ และเครื่องประดับพระอิสริยยศในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เมื่อทรงอภิเษกสมรสแล้ว ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปประทับที่ วังศุโขทัย ซึ่งสร้างขึ้นใหม่บนที่ดินพระราชทานริมคลองสามเสน หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีฯ ทรงรับพระราชภาระดูแลการภายในพระตำหนัก
ชุดดินเนอร์พระราชทานซึ่งสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชชนนีพระราชทานเป็นที่ระลึกในวาระพระราชพิธีอภิเษกสมรส
ในช่วงระยะเวลา ๙ ปีแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกรณียกิจสำคัญด้านต่างๆ อาทิ
การแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยที่สมบูรณ์ การประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก การพระราชทานปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเป็นครั้งแรก พระราชกรณียกิจด้านการสื่อสาร การเสด็จประพาสในประเทศและต่างประเทศ การทบทวนและจัดทำสนธิสัญญาไมตรี การสร้างระบบราชการให้เป็นคุณธรรม ฯลฯ
สมัยรัชกาลที่ ๗ ซึ่งกำหนดจะมีงานเฉลิมฉลองกรุงเทพมหานคร ๑๕๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๔๗๕
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคำนึงถึงพระราชดำริในรัชกาลที่ ๔ ที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อม ๒ ฝั่ง อีกทั้งยังทรงเห็นว่ากรุงเทพมหานครได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมากและขยายไปทางด้านตะวันออกมากกว่าด้านอื่น
แต่ทางด้านฝั่งธนบุรีมีพื้นที่ติดกันเป็นเรือกสวนและมีผู้คนอาศัยอยู่มาก การไปมากับฝั่งพระนครยังยากลำบากต้องใช้แต่ทางเรือ ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องสร้างสะพานเชื่อมถึงกัน ถ้าสร้างเสียแต่วันนี้จะได้ประโยชน์เร็วขึ้น ทั้งในโอกาสฉลองกรุงเทพฯ ๑๕๐ ปีก็ควรจะมีสิ่งที่เป็นอนุสรณ์สถานสร้างไว้ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดจุฬาโลกที่สร้างกรุงเทพมหานครขึ้น
พระราชจริยวัตรด้านภาพยนตร์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดการถ่ายภาพยนตร์ ทรงเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ขนาดเล็ก ๑๖ ม.ม. เรียกว่า ภาพยนตร์ทรงถ่าย ต่อมาเมื่อเสด็จประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ภาพยนตร์อัมพร เนื้อหาในภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นบันทึกพระราชพิธีสำคัญ สภาพสังคม และสภาพชีวิตชาวบ้าน ส่วนเรื่องที่มุ่งเพื่อความบันเทิงได้แก่เรื่องแหวนวิเศษ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สนับสนุนให้สร้างโรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยสำหรับฉายภาพยนตร์เสียงแห่งแรกของประเทศในวโรกาสเฉลิมฉลองพระนครครบรอบ ๑๕๐ ปี พระราชทานนามว่า ศาลาเฉลิมกรุง
ทรงไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา จึงทรงรับพระวงวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาตน พระโอรสองค์เล็กในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดชเป็นพระราชโอรสบุญธรรม
พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากจะแสดงสิ่งของและภาพถ่ายสำคัญต่าง ๆ ในรัชการของพระองค์แล้ว ยังแสดงถึงประวัติศาตร์การเมือง การปกครองในสมัยนั้น รวมถึงเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคเปลียนแปลงการปกครอง
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
เช้าตรู่วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎร ได้ทำการยึดอำนาจด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้ากรุงเทพฯ พระราชทานความร่วมมือแก่คณะราษฎร เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้เข้าสู่ความสงบเรียบร้อย และหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียในบ้านเมือง
วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎรได้ทูลเกล้าฯถวายร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ พร้อมด้วยการร่างพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน เพื่อลงพระปรมาภิไธย โดยทรงเติมคำว่า ชั่วคราว ลงไป รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยจึงมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕
คณะราษฎร์
คณะราษฎรประกอบด้วยกลุ่มบุคคลผู้ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและนักเรียนทหารที่ศึกษาและทำงานอยู่ในทวีปยุโรป โดยเริ่มต้นจากปรีดี พนมยงค์ นักเรียนวิชากฎหมาย และประยูร ภมรมนตรี นักเรียนวิชารัฐศาสตร์ ก่อนที่จะหาสมาชิกที่มีความคิดแบบเดียวกันเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 7 คน ได้แก่
- ปรีดี พนมยงค์ นักเรียนวิชากฎหมาย ประเทศฝรั่งเศส
- ประยูร ภมรมนตรี นักเรียนวิชารัฐศาสตร์ ประเทศฝรั่งเศส
- ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ นักเรียนวิชาทหารปืนใหญ่ ประเทศฝรั่งเศส
- ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี นักเรียนวิชาทหารม้า ประเทศฝรั่งเศส
- ตั้ว ลพานุกรม นักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี) ผู้ช่วยราชการสถานทูตสยามในประเทศฝรั่งเศส
- แนบ พหลโยธิน นักเรียนวิชากฎหมาย ประเทศอังกฤษ
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของภาพประวัติศาสตร์ในวันนี้ค่ะ
วันที่ทรงพระราชทานรัฐธรรมมูญ มอบอำนาจให้แก่ประชาชนปกครองตนเอง
อันนี้เป็นไฮไลต์ของที่นี่นะคะ เป็นรัฐธรรมนูญ 3 มิติ
วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์บนพระราชบัลลังค์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกแห่งราชอาณาจักรสยามแก่ปวงชนชาวไทย
ของที่ระลึกครั้งงานพระราชทานรัฐธรรมนูญ
ในที่สุดวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติขณะประทับ ณ พระตำหนักโนล เมืองแครนลี มณฑลเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษ
หลังจากทรงสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ยังคงประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทรงวางพระองค์อย่างเรียบง่าย ทรงปลูกดอกไม้ด้วยพระองค์เอง ทรงกีฬากอล์ฟและเทนนิสร่วมกับพระญาติพระสหาย ข้าราชบริพารและนักเรียนไทย
นอกจากมีพระโรคทางพระเนตรแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงประชวรด้วยโรคพระหทัยด้วยโดยพระอาการได้กำเริบหนักขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งเสด็จสวรรคตอย่างสงบเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ขณะมีพระชนมายุ ๔๘ พรรษา สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเรียบง่าย ณ ฌาปนสถานโกลเดอร์สกรีน (Golders Green) ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน การอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับสู่ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ขอพระราชทานให้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับสู่ประเทศไทย เพื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ร่วมกับสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีทักษิณานุปทานอุทิศถวายตามพระราชประเพณี หลังจากนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระบรมอัฐิ ซึ่งอยู่ชั้นบนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ส่วนพระบรมสรีรางคารนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุไว้ที่พระพุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรสภายในพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
การมาที่พิพิทธภัณฑ์พระปกเกล้าในวันนี้ อิชั้นรู้สึกอิ่มเอมหัวใจมากเลยค่ะ ยอมรับว่าก่อนเข้ามา อิชั้นรู้จักท่านน้อยมากกก แต่เมื่อได้เข้ามาศึกษาข้อมูลในพิพิทธภัณฑ์ ซึงมีการจัดแสดงได้แบบละเอียด มีการนำสื่อประสมในรูปแบบต่างๆ ทำให้เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ
ตอนนี้เราก็ได้รู้จักพระองค์ท่านมากขึ้นแล้ว ได้รับทราบพระราชกรณียกิจ และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงพระชนม์ชีพของท่าน
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์จะส่งผลกระทบ ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ และจิตใจของกษัตริย์ท่านหนึ่งในระดับที่แสนจะรุนแรงเกิดกว่าที่เราจะคาดการณ์
แต่พระองค์ก็ได้ใคร่ครวญและพระราชทานสิ่งที่ดีที่สุดให้พวกเราแล้ว นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณกับมวลชาวไทยอย่างหาที่เปรียบมิได้
ทริปวันนี้ยังไม่จบนะคะ เราจะลงไปชั้นหนึ่ง เพื่อไปรู้จักกับพระมเหสีของท่าน คือพระนางเจ้ารำไพพรรณีในบล๊อคต่อไปค่ะ
Create Date : 03 พฤศจิกายน 2556 | | |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2556 10:43:12 น. |
Counter : 1185 Pageviews. |
| |
|
|
|