คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^

เมื่อวาน.....เกือบตายเพราะขับรถเปิดกระจก

"เฮ้อ....ฝนตกอีกแล้ว เบื่อจัง"
เราคิด ขณะที่สายฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 20.00 น.
เราทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว และกำลังจะขับรถกลับบ้าน
เมื่อขึ้นรถไปก็รู้สึกว่าแอร์หนาวมากกกกก
ขนาดหรี่แอร์สุดๆ แล้วก็ยังหนาวจนจับใจ
โอย...หนาวชิบเป๋ง ทรมานเป็นบ้า
แต่ก็ต้องปิดหน้าต่าง ปิดแอร์ เพราะฝนยังไม่หยุด

ทันใดนั้น...เหมือนสวรรค์โปรด
ยังมิทันที่เราจะเคลื่อนรถออก ฝนก็หยุดตกซะอย่างนั้น
จริงๆแน่ เราไม่ได้ตาฝาด
เอามือรองออกไปข้างนอก ก็ปรากฎว่าไม่มีฝนตกแล้ว

"ดีใจจัง อย่างนี้เปิดหน้าต่างได้แล้ว เย้"
เวลาที่รู้สึกว่าแอร์ในรถเย็นเกินไป เราชอบเปิดหน้าต่างขับรถนะ
เพราะทั้งประหยัดน้ำมัน และอากาศก็กำลังสบาย ไม่หนาวเกินไปด้วย

หลังจากที่เปิดแอร์ไล่ฝ้าทั้งกระจกด้านหน้าและด้านหลังเรียบร้อยแล้ว
เราก็ปิดสวิทซ์แอร์ และเปิดกระจกฝั่งคนนั่งแง้มๆไว้ราว 10 เซ็นติเมตร
และขับรถไปเรื่อยๆ
ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็จะถึงบ้านเรา


*********************************

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงสี่แยกไฟแดงที่เราก็จอดรอสัญญาณไฟ
เราก็จะปิดกระจกที่เปิดแง้มให้หมด
เพราะเคยได้ยินเรื่องที่เค้าเล่าว่ามีคนจอดรถติดไฟแดง
แต่ไม่ได้ล็อครถ และมีคนขึ้นมาจี้เค้าในรถ
เราฟังแล้วฝังใจ......กลัวมาก
เมื่อขับรถเป็น จึงเป็นนิสัยว่าเวลาติดไฟแดงจะต้องล็อครถ
ซึ่งรถสมัยนี้ก็เป็นออโตล็อคอยู่แล้ว จึงไม่น่าห่วงอะไร
แต่การเปิดกระจกแง้มไว้ ก็เสี่ยงต่อการที่ใครต่อใครจะล้วงมือเข้ามาได้
เราจึงต้องปลอดภัยไว้ก่อน....โดยการปิดกระจกให้สนิท
แล้วค่อยมาแง้มต่อ เมื่อรถออกตัวแล้ว

ขับรถได้พักใหญ่ อีกประมาณห้านาทีจะถึงบ้านแล้ว
เราเริ่มรู้สึกว่ากระจกหน้ามันมัวขึ้นๆเรื่อยๆ
ที่ผ่านมาไม่ทันได้สังเกตเพราะว่าขับบนถนนมันมีแสงไฟอยู่
แต่เมื่อเลี้ยวเข้าถนนเล็กๆก่อนถึงซอยเข้าบ้าน
ก็พลันตกใจแทบสิ้นสติ
เพราะกระจกหน้ารถเรากลายสภาพเป็นฝ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ซึ่งตอนนี้เรามองอะไรไม่เห็นเลย แม้แต่เส้นถนน!

"ชิกหายแล้วตรู "
เรามองทางไม่เห็นเลยสักนิดเดียว
แล้วถนนนี่ไม่มีไฟทาง
แถมยังเป็นถนนสองเลนแคบๆ
ที่ข้างทางก็ทำไม่เสร็จดีด้วย
กล่าวคือพื้นถนนยกสูงจากข้างทางประมาณหนึ่งฟุตกว่าๆ
ถ้าขับไม่ดี รถเก๋งคันน้อยๆอย่างเราต้องตกไหล่ทางแน่ๆ

ตายแล้ว!!!! ถึงไงดีวะ
ตอนนี้ปัญหาคือขับต่อไปไม่ได้แล้ว
แต่ถนนที่ขับอยู่บีบให้ไม่สามารถจอดข้างทางได้
เพราะความที่พื้นถนนสูงกว่าข้างทางมากนั่นเอง

เราตัดสินใจ ชะโงกหน้าลงไปมองเส้นถนนพร้อมกับขับรถ
ตอนมองครั้งแรกสะดุ้งโหยงเลย เพราะกำลังขับคร่อมเส้นถนนอยู่
แถมมีแสงไฟส่องมาจากฝั่งตรงข้าม
แสดงว่ารถกำลังจะสวนมา !
ซึ่งเรากำลังกีดขวางทางจราจรเค้าอย่างหนัก
รีบหลบมาเดี๋ยวนี้ !

เราจึงรีบหักพวงมาลัยโดยกะให้รถอยู่ในเลนตัวเอง
กะว่ารอให้รถที่สวนมาผ่านไป
ก็ต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อพบว่ามีรถคันหลังจี้ท้ายรถอยู่
(ทีไอ้กระจกหลังดันเห็นชัดเชียวนะ)
เค้าก็จี้แบบหงุดหงิดมากๆนะว่าอีนี่จอดทำไม
เพราะรถส่วนใหญ่เค้าก็ขับสวนกันได้
ทำไมไอ้คันนี้มันไม่ไปวะ

เราก็เลยสองจิดสองใจ
เอาไงดีวะ บอกให้เค้าแซงไปก่อนได้มั้ย เพราะเราไปไม่ได้อยู่แล้ว
รถที่สวนมาก็ผ่านมาถึงที่พอดี ทำให้เราไม่อาจลงไปบอกเค้าได้......

เอาเป็นว่าตอนนี้รถที่สวนมาจากไปแล้ว
เหลือแต่รถคันหลังที่รอให้เราออกตัวได้แล้ว
เพราะเสียเวลารอรถสวนมานาน

เราทำอะไรไม่ถูกอ่ะ แต่พอเค้ายิงไฟใส่ เราก็ขับต่อ
เพราะไม่กล้าลงไปด้วยอ่ะ จริงๆแล้วตรงนั้นมันมืดมากนะ
เราจึงเปลี่ยนใจค่อยๆขับต่อ โดยกะให้ตรงเส้น

ปรากฏว่ารถเราส่ายเป็นงูเลย
เพราะเราขับไปมองพื้นถนนจากกระจกข้างไป
ส่ายไปทางซ้ายที....ส่ายไปทางขวาที
จนรถคันหลังทนไม่ไหว
แล้วเค้าก็รีบเร่งเครื่องแซงเราเลย
คาดว่าคงด่าบรรพบุรุษเราในใจแน่...ขับรถภาษาอะไรวะ

เราปวดหัวมาก โอ๊ยยย ทำยังไงดี
ขับแบบดูเส้นถนนอย่างนี้เดี๋ยวต้องโดนรถข้างหลังสอยแน่
ปรากฎว่าเหลือบไปเห็นกระจกหน้าที่มัว....ยังพอเห็นแสงไฟจากรถคันที่แซงเราไป

เราดีใจมากกกก รีบขับรถตามตูดเค้าใหญ่
กะๆให้อยู่ในเลนเดียวกับเค้า ไปช้าๆ
สักพักก็มาถึงซอยเข้าบ้านตัวเองแล้ว

เฮ้อ....ดีใจมาก รอดตายไปหนึ่งวาระ
เรานึก เอ...แล้วทำไมกระจกมันเป็นฝ้าขนาดนี้หว่า
หรือว่าเกี่ยวกับเราเปิดหน้าต่างหรือเปล่านะ
มือก็ลองไปเปิดสวิทซ์แอร์ เพราะความที่ต้องการพิสูจน์
ฉับพลัน....ลมก็ออกมาและไล่ฝ้าทั้งหมดหายไปในเวลา 2 วินาที......


V
V
V
V

ฝ้าที่กระจกหายไปหมดแล้ว
เหลือแต่ผู้หญิงหน้าโง่นั่งเอ๋อในรถ อ้าปากหวอ มือกำพวงมาลัยแน่น
ฮือๆ ทามมายฉันฉลาดน้อยอย่างนี้นะ
แทนที่จะเปิดแอร์ซะตั้งนานแล้ว
ไม่ใช่เปิดตอนจะถึงบ้าน เฮ้อ


เรื่องนี้สอนให้เรารู้บทเรียนว่า
ห้ามเปิดกระจกในเวลาที่อากาศข้างนอกเย็นมากๆ
เพราะอุณหภูมิที่ต่างกันระหว่างในกับนอกรถจะก่อให้เกิดฝ้าที่กระจกนั่นเอง
(เป็นเภสัช เรียนวิทยาศาสตร์เสียปล่าว เอาตัวไม่รอดจริงๆ....)
จำจนตายเลยชั้น !!!


และสุดท้าย.....
สำหรับรถที่ตามท้ายรถ TOYOTA ALTIS สีบรอนซ์เงิน
ที่ขับรถส่ายไปมาในซอยเข้าวัดศรีสงวน
ขอให้ท่านได้รู้นะคะว่าดิชั้นไม่ได้ตั้งใจจริงจริ๊ง
โปรดให้อภัยด้วยนะคร้า





 

Create Date : 23 ตุลาคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2557 15:42:50 น.
Counter : 753 Pageviews.  

My first valentine.......

เอารูปเก่าๆมาอัพ
เรื่องของเรื่องก็คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
เป็นวาเลนไทน์แรกของเราสองคน
แต่!คุณพี่ศักดิ์มิมีแผนใดเลย
พาไปไหนก็ไม่ถูก เนื่องจากคุณเธอเพิ่งย้ายมาจากระยอง
ยังไม่ค่อยชินเส้นทางในชลบุรี

สรุปว่า....เราก็ต้องฉลองกันในละแวกชลบุรีเนี้ยแหล่ะ
ก็เลยแพลนกันว่าจะไปเดินเล่นยามเย็นกันที่แหลมแท่น บางแสน




บรรยากาศในรถ



สารถีของเราในวันนี้



เราถ่ายกันด้วยกล้องมือถือนะ
ภาพอาจจะไม่ค่อยแหล่มเท่าไหร่
แบบว่าลืมเอากล้องไปอ่ะ






ถ่ายรูปกันเข้าไป.....


...................................................................

ในที่สุดก็ไปถึงซะที




บรรยากาศยามเย็นที่แหลมแท่น




ริมทะเลจริงๆ




ยิ้มหวานเชียวนะคร้า......



ถ่ายภาพคู่กันหน่อย



อ้าว....หลับตาทำไมอ่ะ พี่



เฮ้อ ถ่ายกันเองก็เงี้ย...
เบี้ยวเชียว



เก๊กหล่อเชียวนะ



คุณพี่ศักดิ์ทำท่าพระเอกมิวสิค



ลมทะเลยามเย็นสบายมากเลยค่ะ












แช๊ะๆๆๆๆๆ



.........................................................
..........................................
.............................
................
......
..


แต่สุดท้ายพอไปกินที่ร้านอาหารดั๊นถ่ายไม่ได้
เพราะมันมืดเกินไป กล้องมือถือไม่สามารถจับภาพได้เลย
สรุปว่า อดถ่ายตอนดินเนอร์ ฮือๆ....
เดี๋ยวปีหน้าจะแก้ตัวใหม่ ไม่ลืมกล้องแล้วนะ

ร้านที่ไปทานมื้อเย็นคือ ร้านอุ๊ซีฟู๊ด
เพราะอยู่ตรงข้ามจุดที่เราถ่ายรูปพอดี
จริงๆเราจะไปกินที่ร้านปะการังกัน แต่ปรากฎว่าร้านปิด...
(ไม่น่าเชื่อเลย ปิดวันวาเลนไทน์ รายได้หายมหาศาล)
ก็เลยเปลี่ยนแผน ไปทานที่ร้านอย่างที่บอก
คนเยอะมากกกกก ขายดีสุดๆ

เราทานกันสามอย่าง
มีน้ำพริกไข่ปู ผัดโหงวก๊วย และข้าวผัดปูจานเล็ก
รสชาติธรรมดาค่ะ ไม่ได้เลิศอะไรมาก
แต่กินบรรยากาศมากกว่า เค้าแต่งร้านสวยดี
(นึกแล้วก็ยังเสียดาย ที่ไม่ได้เอากล้องไป)
เรานั่งที่ชั้นสอง เห็นวิวทะเลยามมืด....แปลกตาดีค่ะ

บรรยากาศร้านอาหารในวันวาเลนไทน์....
เป็นอะไรที่น่ารักดีค่ะ
คนมากันเป็นคู่ๆ บ้างก็มาเป็นครอบครัว
มันดูสดชื่นอ่ะ ไม่เงียบเหงา
จริงๆแล้ว ตอนเราอยู่คนเดียว
เราไม่อยากไปกินข้าวหรือเดินห้างที่ไหนเลยในวันวาเลนไทน์
ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ อิจฉา....
ปีนี้เลยแอบดีใจ ที่มีพี่ศักดิ์มาทานข้าวด้วย อิอิ


V
V
V
V


วาเลนไทน์ปีนี้เราไม่มีของขวัญอะไรให้กันค่ะ
ยังไม่รู้ว่าจะให้อะไร (นึกไม่ออกจริงๆ)
เพราะเราเพิ่งรู้จักกันไม่นานด้วย
แล้วเราก็ยังไม่รู้เสป็คของพี่ศักดิ์ว่าชอบอะไร
พี่ศักดิ์ก็เหมือนกัน...ยังซื้ออะไรให้ไม่ถูก
วาเลนไทน์แรกของเราจึงเป็นการไปดินเนอร์กันมากกว่า

แต่ก็อยากจาบอกพี่ศักดิ์ว่า....
หนูไม่อยากได้อะไรจากพี่เลย
ขอแค่พี่ยังเป็นแบบนี้เหมือนเดิมทุกวันๆ
หนูก็พอใจแล้วล่ะ 


..........................................................


ไม่ต้องรักฉันจนล้นฟ้า
ไม่ต้องหาถ้อยคำหวานๆ
อย่างที่เคยบอกกันก็ยังซึ้งอยู่
ขอแค่รักคำเดียวเท่านั้น
หมายถึงฉันคนเดียวเท่านี้
อยากจะฟังอีกทีว่าเธอรักฉัน

ไม่ต้องรักเท่าฟ้า
แต่ขอให้รักเท่าเดิม
ไม่ต้องมีเพิ่มเติม
แต่รักไม่น้อยลงไป
ไม่ต้องรักกันชั่วนิรันดร์
ตราบที่ฉันนั้นยังหายใจ....
ขอให้เหมือนเดิม....
ขอให้เหมือนเดิม








 

Create Date : 20 ตุลาคม 2552    
Last Update : 1 ตุลาคม 2557 18:36:03 น.
Counter : 803 Pageviews.  

มาดูโต๊ะทำงานของเรากันเถอะ




อันตัวเรานี้ตั้งแต่ทำงานมา..ยังไม่เคยมีโต๊ะทำงานของตัวเองเลย
เนื่องจากงานเภสัชกรจ่ายยา ก็จะจ่ายยาที่เคาท์เตอร์
ทั้งคนไข้ในและคนไข้นอก
จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องมีโต๊ะทำงาน
ซึ่งเภสัชกรส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็เป็นแบบนี้

จนวันนึงที่เราต้องขึ้นมาสวมหัวโขน เอ๊ย...ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเภสัช
เราจึงจำเป็นต้องมีโต๊ะทำงานของตัวเอง
ครั้งแรกโต๊ะทำงานเราอยู่รวมกับเจ้าหน้าที่
อาจจะแออัดไปนิด แต่ก็ยังพอทำงานได้
แต่ไอ้ที่รับไม่ได้จริงๆคือ มันอยู่ใต้คานพอดี
แขกไปใครมาเค้าก็ทักกันจัง.....มันไม่ดีนะ
นั่งใต้คานเค้าว่าจะถูกคานทับ....
(จริงๆ เราว่ามันคงเป็นเรื่องของการทำงานหนักมากกว่านะ)
แต่พอมีคนทักมากๆเราก็ไม่สบายใจ
ก็เลยลองย้ายโต๊ะไปอยู่อีกมุมนึงของห้อง
เพื่อเลี่ยงเจ้าคานที่ว่า



พอมาเปลี่ยนทำเล ปรากฎว่าที่ใหม่เรานั่งหันหลังให้ประตู
เค้าก็ทักว่าไม่ดีอีก ที่นั่งหัวหน้าต้องนั่งหลังชิดกำแพง
ไม่ใช่ปล่อยหลังโล่ง จะไม่มีใครสนับสนุน
เอ้า....ไม่ดีเหรอ เวรกรรม
ส่องหาทำเลใหม่อีก


ปรากฏว่าพื้นที่ในห้องหมดแล้ว
เราจึงจำเป็นต้องเข้าไปดูบริเวณหน้าล็อคเกอร์ ซึ่งน่าจะเป็นสัดส่วนมากกว่าที่เป็นอยู่

v
v
v
v




เจอแล้ววววว ทำเลใช้ได้นะ
ว่าแต่ทำไมเอกสารมันเยอะอย่างนี้.....
ถ้าไม่ขนออกไม่มีทางจัดโต๊ะทำงานได้แน่








รกจริงๆ


...............................................
..................................
...........................
...............
......

ปรากฏว่าจู่ๆก็มีจดหมายเวียนมาจากผู้ใหญ่
ให้ทางแผนกทำเรื่องขอขนย้ายเอกสารที่ไม่ใช้ไปไว้ที่เอกชล 2
เนื่องจากที่โน่นมีพื้นที่ว่างเปล่า สามารถเก็บเอกสารได้เยอะ
เราก็เอาเลยยยยย เข้าทางมั่กมาก
พอขนเอกสารออกไป พื้นที่หน้าล็อคเกอร์ก็ว่างลงแล้ว
เราก็มีพื้นที่ทำเป็นที่ทำงานแล้ว....เย้


ในเบื้องต้น....เราต้องหาที่กั้นมากั้นระหว่างที่ทำงานกับคนที่ใช้ล็อคเกอร์
คิดตั้งนาน จะเอาอะไรมากั้นดีวะ
สุดท้ายก็นึกได้ ไปซื้อม่านกั้นในร้านขายอุปกรณ์เสริมสวย
ราคาน่าจะไม่แพงมาก
แล้วก็วัดความกว้างของพื้นที่ไปด้วย
ปรากฎว่าราคาม่านที่ว่า พับละ 600 บาท
ใช้ทั้งหมด 4 พับ ปาเข้าไป 2,400 เอิ๊ก
แต่สุดท้ายก็ซื้อนะ
เพื่อความสบายใจ





แต่ม่านมีสีเดียวเท่านั้น....
ก็คือสีชมพูช๊อกกิ้งงพิงค์บาดตาอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ
โอ....แสบตาเหลือเกิน
แถมใครๆมาเห็นก็แซว สีสดมากกกก
เราก็เลยไปจ้างช่างตัดเสื้อให้เค้ามาตัดม่านให้เราหน่อย
ทีนี้เราเลือกสีเขียวตองอ่อน จะได้สบายตา

.........................

สองอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก
เราก็ได้ม่านสีเขียวเย็นตามาประดับห้องแล้ววววว



อาฮ้า ได้ผ้าม่านสีเขียวสบายตามาอย่างนี้แล้ว
รู้สึกน่าแต่งห้องต่อเหลือเกิน
ว่าแล้วอะไรต่อมิอะไรก็ตามมาเป็นขบวน....






บรรดาต้นไม้มากมี






เจ้าตุ๊กตาตัวน้อย

















บรรยากาศโต๊ะทำงานด้านหน้า





บรรยากาศโต๊ะทำงานจากด้านหลัง






นี่แหล่ะ...ห้องทำงานของเรา
หน้าตาอาจจะไม่เฟอร์เฟ็ตเหมือนห้องทำงานทั่วไป
เพราะห้องทำงานเราจะดูดีเมื่อมองไม่เกินระดับม่านบังเท่านั้น
แต่เราก็มีความสุขกับการทำงานในห้องน้อยๆนี้มาก
เพราะมีสมาธิ และได้อยู่ในบรรยากาศเขียวๆสบายตาที่เราชอบ


.............................................

ในเมื่อคนเราเลือกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
ก็ควรต้องทำใจยอมรับมัน
และปรับตัวเข้ากับสภาพนั้นๆ
คงจะทำให้มีความสุขมากกว่านะ






บายจร้า







 

Create Date : 20 ตุลาคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2557 15:48:14 น.
Counter : 3622 Pageviews.  

เอารูปนิ้วที่ถูกถอดเล็บมาให้ดูกันค่ะ..........(ใครใจไม่ถึงห้ามเข้ามานะ !)









 

อันเนื่องจากลงบล็อคเรื่องการถอดเล็บ ไม่ได้ลงรูปไว้
จึงมีเสียงเรียกร้อง อยากเห็นรูปนิ้วที่ถูกถอดเล็บ
ตอนแรกเราไม่อยากเอามาลง เพราะมันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่....
แต่ถ้ามีคนอยากดูล่ะก็ได้เลย.....จัดให้จ้า


v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v





เนื้อแดงแจ๋



โคลสกันให้เห็นๆ




น่าเกลียดจังเลยเนอะ

.....................................


แผลแบบนี้ถือว่ายังแฉะอยู่
แต่ต้องล้างแผลทุกวันจนกว่าจะแห้ง
คงจะไม่กว่าอาทิตย์น่ะแหล่ะ กว่าจะถือว่าโอเค
และไม่ต้องมาล้างแผลอีก
(แต่เราเฉยๆนะ ทำงานที่รพ.อยู่แล้ว
มาล้างแผลก็ไม่ลำบากอะไร อิอิ)

เฮ้อ.....ชีวิตคงไม่มีอะไรลำบากเท่านี้แล้วหล่ะ
ตอนอาบน้ำ เราต้องใส่ถุงพลาสติกหุ้มเท้าสองข้าง
แล้วก็นั่งบนเก้าอี้ แต่เอาขาพาดอ่างไว้(ให้ขายกสูงๆ)
จะได้ไม่โดนน้ำ เพราะกลัวแผลติดเชื้อขนาดหนัก
คงจะลำบากอย่างนี้ไปสักอาทิตย์แหล่ะ.....

อ้อ แผลที่ตัดไฝสองวันก็โดนน้ำได้...ดีจัง
เพราะไม่งั้นฟอกหลังก็ไม่ได้
เหม็นตัวเองแย่เลย อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามชมนะคร้า





 

Create Date : 20 ตุลาคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2557 15:38:18 น.
Counter : 5756 Pageviews.  

ย้อนอดีต......เมื่อครั้นถูกถ่ายรูปเพื่อโปรโมทโรงพยาบาล....




เมื่อห้าปีก่อน สมัยเรายังเป็นเภสัชวัยละอ่อนกว่านี้
กำลังจ่ายยาที่เคาท์เตอร์เพลินๆ
จู่ๆก็มีตากล้อง ทีมงานและรีเฟล็กมากมายเข้ามาในรพ.
ผู้คนต่างพากันงงๆกัน เค้าก็สงสัยกันว่าใครยกทีมมาถ่ายภาพในรพ.เนี่ย
แต่เราไม่งง....เพราะรู้จากหัวหน้าแล้ว
ว่าวันนี้จะมีทีมงานเข้ามาถ่ายทำตัวอย่างเพื่อโฆษณารพ.
โดยดาราก็คือพยาบาลและหมอที่ทำท่าตรวจกะดูแลคนไข้นั่นเอง
เราจึงทำงานต่อ....ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างใดๆ
เพราะช่วงบ่ายเหลือเภสัชจ่ายยาคนเดียวเท่านั้น


ปรากฎว่าทำงานสักพัก ตากล้องคนเดิมเดินมาหาเรา
พร้อมกะทีมงาน....ถือรีเฟล็กมาเป็นขบวน
แล้วก็แจ้งความประสงค์กะเราว่า
"คุณเภสัชครับ ผมขอถ่ายรูปตอนจ่ายยาหน่อยนะครับ"

เราก็งงๆ อ้าว....จะถ่ายแผนกชั้นด้วยเหรอ
แหม แต่ไม่บอกล่วงหน้าแบบนี้มีเคืองนะ
ยังไม่ได้ตบแป้งแต่งหน้า.....หน้าโทรมจะตาย
เลยรีบขอตัว วิ่งไปซับมัน กะเติมปากนิดนึง
(ขอหน่อยเถอะ เดี๋ยวคนดูจะรับสภาพไม่ได้)

เสร็จแล้วก็ออกมาหน้าเคาท์เตอร์เช่นเดิม
โดยทีมงานได้เตรียมคนไข้ชายหญิงให้เราหนึ่งคู่
ซึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ในรพ.ของเรานั่นเอง...555

ทีมงานให้เราทำท่าจ่ายยา และยื่นถุงยาให้คนไข้
ตอนถ่ายเค้าก็ไม่ได้แนะนำอะไรเพิ่มเติมนะ
เพียงแต่ให้ทำแบบธรรมชาติที่ทำประจำ
เราก็ทำท่าจ่ายยาเหมือนที่เคยจ่าย
และเมื่อตอนยื่นถุงยา เราก็ยิ้มให้คนไข้เหมือนที่เคยปฎิบัติ....
(แต่คราวนี้แอบยิ้มหวานและค้างนานกว่าปกติ)
เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเต็มใจให้บริการ
โดยหวังว่าตากล้องจะเห็นถึงความตั้งใจที่เราช่วยพรีเซ้นส์ให้นะ....


เราก็ถ่ายกันแค่ครั้งเดียว
ไม่เห็นว่าตากล้องจะพูดอะไร
เสร็จแล้วพวกเค้าก็กล่าวขอบคุณเราแล้วจากไป
จนผ่านไปหกเดือน....เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยถ่ายรูปตอนจ่ายยา
ก็มีพี่ที่แผนกบัญชีถามว่าเห็นรูปตัวเองรึยัง
อยู่ในเว็บโรงพยาบาลน่ะ ถ่ายสวยเชียวเข้าไปดูซิ
เราจึงเข้าไปดูในเว็บดังกล่าว....




ทีมงานเค้าเลือกรูปเราเป็นโลโก้ของโรงพยาบาล
ถ้า serch ชื่อรพ.เอกชล ก็จะปรากฎชื่อพร้อมหน้าอะฮั้นกะลังจ่ายยา
แถมด้วยสโลแกน "บริการที่ดี คือหน้าที่ของเรา"
เปิดมาถึงก็เจอเลย เห็นแล้วเราอดยิ้มแก้มปริไม่ได้
ชอบๆๆๆๆๆ ก็มันปลื้มนี่นา
ทีมงานเค้าถ่ายดีจัง ถ่ายเราออกมาดูเป็นโปรเฟสชั่นแนลมาก....

ได้มารู้ตอนหลังว่าเค้าถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ไปเยอะมาก ราวร้อยกว่ารูปได้
ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล เวรเปล ผู้ช่วยพยาบาล....
โดยถ่ายตอนดูแลคนไข้ทุกอิริยาบท
แต่เค้าเลือกรูปเราที่เป็นเภสัช ซึ่งตอนแรกไม่ได้อยู่ในลิสที่จะถ่ายด้วยซ้ำ
เพราะชอบที่รอยยิ้มและสายตาของเราที่มองคนไข้
เค้าบอกว่าเป็นรูปที่ถ่ายทอด service mild ของหัวใจคนให้บริการได้ดีที่สุด
อีกทั้งองค์ประกอบของภาพค่อนข้างลงตัวด้วย
ที่ประชุมเลยเลือกรูปนี้แหล่ะขึ้นหน้าเว็บ....
โอว.....ฟังแล้วปลื้มมั่กมากเลยค่ะ


v
v
v
v


แต่ก่อนนู้นเราเคยเห็นคัตเอ้าท์รูปเภสัชที่หน้าร้านบู๊ทยืนพนมมือไหว้หน้าร้าน
(สมัยก่อนป้ายนี้จะติดทุกร้านเลย คนที่เข้าร้านทุกคนจะจำได้)
เภสัชที่ว่าจบรุ่นเดียวกะเราด้วย เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที
เรายังรู้สึกว่าเค้าน่ารักดีนะ บู๊ทถึงให้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์
....ตอนนี้เห็นรูปตัวเองในเว็บรพ.แล้วก็อดชื่นชมหน่อยๆไม่ได้
ถึงจะรู้ทั้งรู้ว่าดูดีเพราะฝีมือถ่ายภาพก็เหอะ แฮ่ะๆ


และแม้ขณะนี้ รูปในเว็บจะเปลี่ยนไปแล้ว......
แต่เราก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ
ว่าครั้งหนึ่งรูปเราเคยได้รับเลือกให้เป็นรูปโปรโมทรพ.ของเรา
เป็นความประทับใจของเราไปอีกนานเลย....

จบจ้า




รูปปัจจุบัน แก่ขึ้น 5 ปีเอง อิอิ






 

Create Date : 19 ตุลาคม 2552    
Last Update : 19 มกราคม 2557 15:48:33 น.
Counter : 716 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.