ตั๋วรายวัน ราคา 130 บาทค่ะ เราว่าคุ้มมากเลยนะ เพราะวันนี้เราใช้เยอะจริง และอีกอย่างเราไม่ต้องเสียเวลาทั้งไปหยอดเหรียญเพื่อซื้อตั๋ว ( และหากไม่มีเหรียญก็ต้องไปแลกอีกตะหาก)
ขณะนี้เวลาเก้าโมงเช้าค่า แล้วเราก็มาถึงวังพญาไทแล้ว ลงจากสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเดินมาทางรพ.พระมงกุฎเกล้า ไม่นานก็มาถึงที่นี่แล้วค่ะ
ว่าแล้วก็มารู้จักที่นี่กันหน่อย
ประวัติ
วังพญาไท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เสด็จทอดพระเนตรการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์ วังนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักเป็นที่ประทับ รวมถึงส่วนพื้นที่ด้านตรงข้ามกับพระตำหนัก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ทำนา รวมทั้ง โรงนา ขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญหลายครั้ง ณ วังพญาไท
วังพญาไทใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเมื่อหลังจากมีการขึ้นเรือนใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็สวรรคต
และในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทูลเชิญสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง พระราชมารดา มาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ด้วย จนกระทั่งสวรรคตเมื่อปี 2463 หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงรื้อพระตำหนักพญาไท เหลือไว้เพียง พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ซึ่งเป็นท้องพระโรง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งใหม่หลายพระองค์ด้วยกัน รวมทั้งได้รับการสถาปนาวังเป็นพระราชวังพญาไท[1]
รัชกาลที่ 6 เสด็จฯ มาประทับที่พระราชวังนี้เป็นประจำ และเริ่มมีพระอาการประชวรในปี 2468 จนเดือนสุดท้ายแห่งรัชกาลจึงเสด็จฯ จากพระราชวังพญาไทไปประทับในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งสวรรคต
พระราชวังพญาไท ยังเคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา, พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และเป็นที่พำนักของ พระสุจริตสุดา พระสนมเอก อีกด้วย
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของพระราชวังพญาไทในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้แก่ ดุสิตธานี หรือเมืองประชาธิปไตยย่อส่วน ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นเมืองจำลองขึ้นเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งปัจจุบันไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว
ต่อมา สมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงปรับปรุงวังพญาไทเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างประเทศพัก เปิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2468 ตามพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 6 ที่จะพระราชทานพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นโฮเต็ลชั้นหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่มีพระราชดำริจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ เพื่อพัฒนาการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ระหว่างนั้น ได้มีการใช้ พระราชวังพญาไทได้เป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกระจายเสียง วิทยุแห่งแรกของไทย ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2473 กรมรถไฟดำเนินการโรงแรมวังพญาไทได้ 6-7 ปีก็เลิกกิจการเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2475 เนื่องจากคณะราษฎรต้องการนำวังพญาไทสร้างโรงพยาบาลทหาร จึงพระราชทานวังนี้ให้เป็นสถานพยาบาล ของกองทัพบก และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาจนปัจจุบัน
........................................................................
ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ เพียงแค่ลงในสมุดเยี่ยม เท่านี้ก็จะได้ชมความงามของวังพญาไทแล้ว
แต่ถ้าจะให้ดี ควรจะมาให้ทันรอบนำเที่ยวชมของเค้าด้วยนะคะ มีวันละ 2 รอบ และมีไกด์คอยอธิบายความเป็นมา ให้เราได้อินมากกว่าดูคนเดียวเยอะ....
ตอนนี้รออีกครึ่งชม. ก็จะได้เวลาแล้ว เรามาเดินเที่ยวรอบๆวังกันก่อนนะคะ
พระที่นั่งพิมานจักรี
เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระที่นั่งภายในพระราชวังพญาไท สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระที่นั่งก่ออิฐฉาบปูน 2 ชั้น โดยมีสถาปัตยกรรมทรงโรมันเนสก์ผสมกับทรงกอธิคโดยจุดเด่นของ พระที่นั่งองค์นี้อยู่ที่ยอดโดมสีแดงซึ่งในอดีตใช้สำหรับ ชักธงมหาราชขึ้นเหนือพระที่นั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเสด็จมา ประทับรวมทั้ง บริเวณฝาผนังใกล้กับเพดานและเพดานของพระที่นั่งมีภาพเขียนลายดอกไม้แบบปูน เปียกซึ่งมีความงดงามมากและ บาน ประตูเป็นไม้จำหลักปิดทอง มีจารึกพระปรมาภิไธยย่อเหนือบานประตูว่า "ร.ร.๖"ซึ่งหมายถึง สมเด็จพระรามราชาธิบดี รัชกาลที่ ๖ พระที่นั่งพิมานจักรีใช้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระมเหสี
การถ่ายภาพของอิชั้นวันนี้สะเปะสะปะนิดนึงนะคะ ยังไม่ได้ทำการบ้านมาเท่าไหร่ เห็นว่าที่ไหนสวยก็ถ่ายแหลก แต่เดี๋ยวก็จะได้รับความรู้จากไกด์แล้วล่ะ อดใจรอนิดนึง อิอิ
ตรงนี้คือร้านกาแฟนรสิงห์ค่ะ เค้าว่าข้างในตกแต่งสวยมากก
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั่งจิบกาแฟค่า รอก่อนนะ
ตอนนี้ได้เวลา 9.30 น. ค่ะ เรามารวมตัวตรงจุดนัดหมาย ไกด์ของเราวันนี้คือพี่แดง จะบอกว่าทั้งพูดดังฟังชัด และมีเกร็ดความรู้สนุกๆให้เราเยอะเลย
ไกด์พี่แดงพาเรามาที่นี่ก่อนคะ "พระตำหนักเมขลารูจี" อยู้ทางท้ายวัง
ประวัติความเป็นมา
พระตำหนักเมขลารูจี อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักองค์น้อยขึ้นหนึ่งองค์ที่ริมคลองพญาไทตอนกลาง พระราชทานนามว่า พระตำหนักอุดมวนาภรณ์ เป็นเรือนไม้สัก 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ภายในมีภาพเขียนสีลายนก สวยงาม และมีสระสรง ใช้เป็นที่สรงน้ำหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) แล้ว และได้เสด็จมาประทับอยู่ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2463 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งแรกในพระราชวังแห่งนี้ โดยได้ใช้เป็นที่ทรงงานวางโครงการสร้างพระราชมณเฑียรสถานสำหรับประทับถาวรอีกด้วย ต่อมา เมื่อการก่อสร้างพระราชมณเฑียรสถานอื่นๆ ในพระราชวังแห่งนี้แล้วเสร็จ และมีพระราชประสงค์ให้พระที่นั่งด้านตะวันออกซึ่งเชื่อมต่อกับพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานใช้นามว่า พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระตำหนักแห่งนี้ใหม่เป็นพระตำหนักเมขลารูจี
บรรยากาศภายในค่ะ หลับตาแล้วนึกถึงสมัยรัชกาลที่ 6 จะได้บรรยากาศขึ้นเยอะเลย
ห้องสรงน้ำของท่านค่ะ พี่แดงเล่าว่า สมัยก่อนเค้าจะต่อท่อกับคลองข้างนอก แล้วก็เปิดท่อให้น้ำจากภายในไหลเข้ามาในอ่าง เพื่อให้ในหลวงท่านสรงน้ำภายหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ ได้เลยค่ะ
อ้อ..เสริมนิดนึง รัชกาลที่ 6 ท่านสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ จะสังเกตุได้ว่าสถาปัตยกรรมสมัยท่านได้รับอิทธิพลจากฝั่งยุโรปตะวันตกมาพอสมควรเลยค่ะ
ข้างหลังเป็นสวนแบบโรมันค่ะ เขาว่าเป็นลานการแสดงสมัยก่อน
(รัชกาลที่ 6 ท่านโปรดการละครมาก ทั้งประพันธ์เอง ทั้งแสดงเองก็มี)
ตรงนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเลยค่ะ เป็นสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี
แล้วก็มาที่ห้องที่ให้ข้าราชบรพารรับเสด็จ
ห้องนี้สวยงามมากก
พี่แดงพามาดูร้านนรสิงห์ ไหนมาดูก่อนซิว่าข้างในเป็นยังไง
ทางเข้าร้านค่ะ
ประวัติของร้านค่ะ
ร้านกาแฟนรสิงห์เดิม ตั้งอยู่ที่มุมสโมสรเสือป่า ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นร้านที่บรรดาพ่อค้า ชาวต่างชาติ และผู้มีบรรดาศักดิ์ในสมัยนั้นนิยมใช้เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ นับเป็นร้านกาแฟแห่งแรกของเมืองไทยที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่แล้วร้านกาแฟนรสิงห์ก็เลิกกิจการไปในสมัยรัชกาลที่ 7
ส่วนร้านกาแฟนรสิงห์ในปัจจุบันนั้น เกิดจากการที่ทางคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท อยากให้คอกาแฟชาวกรุง ได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศของร้านกาแฟแห่งแรกของเมืองไทยดูบ้าง จึงได้เปิดร้านกาแฟนรสิงห์ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้อาคารเทียบรถพระที่นั่งเป็นที่ตั้งร้าน และทำการตกแต่ง สร้างเฟอร์นิเจอร์ภายในร้านขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยเลียนแบบลักษณะของเฟอร์นิเจอร์เก่าในสมัยรัชกาลที่ 6 และใช้ชื่อร้านว่า ร้านกาแฟ เดอ นรสิงห์ ณ วังพญาไท
บรรยากาศแบบย้อนยุคค่ะ เคาท์เตอร์นี่เค้าก็ว่าเป็นสมัยดั้งเดิม
บรรยากาศตกแต่งออกสไตล์หรูหรา คลาสสิค
เหมือนย้อนไปในยุคอดีตเลยค่ะ
พอพี่แดงนำพวกเราเข้าไปในร้าน พร้อมทั้งเอ่ยทักทายเจ้าของ และขออภัยแขกผู้มาใช้บริการที่อาจจะมีเสียงดังบ้าง เพราะต้องอธิบายประวัติให้พวกเราฟัง พวกเราก็กลายเป็นจุดสนใจในทันทีค่ะ แขกในร้านก็มองๆแบบงงๆค่ะ....เด่นจุงเบย
แต่พอพี่แดงเริ่มอธิบายประวัติของของแต่ละชิ้นในร้าน สายตาทุกคนก็จับจ้องมาที่จุดเดียวกันทันที
ก็แหม ไม่ใช้ว่าจะมีใครมาอธิบายประวัติศาสตร์ความเป็นมาของร้านบ่อยๆนะ ถือว่าวันนี้พวกเรามีโชคร่วมกัน มารับฟังประวัติศาสตร์ด้วยกันนะคะ
V
V
V
อย่างรูปนี้ จำกันได้ไหม ว่าตรงไหน
ก็คือ "พระตำหนักเมขลารูจี" ไงคะ โอ้ เก่าแก่มากก
หนังสือพิมพ์ที่รัชกาลที่ 6 โปรดให้จัดทำในดุสิตธานี อันนี้ของจริงนะคะ หาชมที่ไหนไม่ได้แล้ว
พี่แดงพามาข้างนอก ตอนนี้แดดกำลังแจ่มเลย เลยแชะรูปอีกหน่อย
รูปแบบพระที่นั่งพิมานจักรีของรัชกาลที่ 6 นี่ทำให้อิชั้นนึกถึงปราสาททางยุโรปมากกว่า เพราะเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างโรมาเนสกับโกธิค
มาดูตรงนี้
อันนี้เค้าว่าเป็นรังนกค่ะ ท่านโปรดให้สร้างในรูปแบบนี้ แปลกดีค่ะ
พระที่นังไวกูณฐเทพยสถาน
พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งพิมานจักรี อาคารมีลักษณะแบบโรมาเนสก์ เดิมเป็นพระที่นั่งสูง 2 ชั้น ก่ออิฐ ฉาบปูน ได้มีการต่อเติมชั้น 3 ขึ้นภายหลัง เพื่อจัดเป็นห้องพระบรรทม
มาที่พระที่นั่งเทวราชสถารมย์
ลักษณะท้องพระโรงได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทม์ โครงสร้างไม้ มีโดมอยู่ตรงกลาง รับด้วยหลังคาโค้งประทุนทั้ง 4 ด้าน บนฝาผนังมีจิตกรรมรูปคนและลายพฤกษา
ภายในท้องพระโรงทาสีฉูดฉาดหลายสี และมี พระปรมาภิไธยย่อ "สผ" (เสาวภาผ่องศรี พระนามเดิมของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง) อยู่ตอนบนใกล้หลังคาภายในพระที่นั่ง พระที่นั่งแห่งนี้ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับงานต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทาง ศาสนาในโอกาสต่าง ๆ ใช้รับรองแขกส่วนพระองค์ ใช้เป็นโรงละคร เป็นต้น
ที่นี่เค้ารับจัดเลี้ยงด้วย เงินที่ได้มูลนิธิก็จะเอามาบูรณะวังค่ะ
กลับมาในวังค่ะ
ห้องจำลองห้องบรรทมรัชกาลที่ 6
เพดานสวยงามมาก
ห้องน้ำค่ะ
ก๊อกน้ำยังเป็นแบบเดิมอยู่เลย
อ่างทรงน้ำ
ห้องทรงพระอักษร รัชกาลที่ 6 ค่ะ
ห้องโถงใหญ่ รัชกาลที่ 6 โปรดให้สร้างเตาผิงด้วย
แต่เอาเข้าจริงรู้สึกว่าจะไม่ได้ใช้เลยค่ะ เพราะอากาศบ้านเราไม่หนาวเท่าเมืองนอก
มาเยี่ยมชมวังพญาไทนี่ต้องแหงนหน้ามองข้างบนตลอดเลยค่ะ สวยจริงๆ
มาที่พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานค่ะ มาที่ห้องของท่านวรชายานะคะ ตอนนี้เก็บดุสิตธานีไว้อยู่
ซึ่งดุสิตธานีก็คือเมืองจำลองที่ล้นเหล้ารัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้มีการสร้างขึ้นเพื่อศึกษาแนวทางสร้างเสริมประชาธิปไตยที่ท่านได้ไปศึกษาเล่าเรียนมาจากทางตะวันตก
น่าเสียดายที่ท่านสวรรคตค่อนข้างเร็ว ทำให้แนวคิดทันสมัยต่างๆที่พระองค์อุตส่าห์ริเริ่มขึ้นแล้ว ไม่ได้รับการสานต่อ...
นึกๆไปก็เสียดายที่พระองค์พระชนม์มายุสั้นไปหน่อย ( 45 พรรษา ) มิฉะนั้นผลงานของท่านจะเป็นที่ประจักษ์มากกว่านี้ค่ะ
กลับมาที่ห้องนี้ เพราะดุสิตธานีหลังนี้ เป็นหลังเดียวที่หลงเหลืออยู่ในวังพญาไท
ประกอบกับอายุที่ยาวนานนับร้อยปี ห้องนี้จึงเป็นห้องเดียวที่ต้องเปิดแอร์ไว้ เพื่อไล่ความชื้นและรักษาสภาพของดุสิตธานีให้ได้นานที่สุด
ท่านวรชายาโปรดดอกกุหลาบค่ะ สังเกตที่ผนัง เป็นลายกุหลาบเลื้อยสวยงามเลย
มองบนเพดานเหมือนเช่นเดิม ศิลปกรรมที่เห็นเป็นแบบอิตาลีค่ะ สังเกตได้จากเด็กน้อยบนเพดาน เด็กฝาหรั่งทางยุโรปชัดๆ
เพราะเด็กไทยสมัยก่อนผมไม่หยิกอย่างนี้ค่ะ ทรงผมก็ไม่ใช่แบบนี้
เราใช้เวลาเยี่ยมชมประมาณ 2 ชั่วมงครึ่งค่ะ เสร็จประมาณเที่ยง ได้เวลากล่าวลากับพี่แดงแล้ว
หลังจากจบแล้ว เราสามารถบริจาคเงินให้กับทางมูลนิธิได้นะคะ เพื่อช่วยในการบูรณะวังพญาไท ให้วังสวยๆนี้อยู่คู่กับเรานานๆ
เสร็จแล้วก็แวะร้านขายของที่ระลึก ซื้อโปสการ์ดฝากเพื่อนๆกันหน่อยค่ะ
การมาเยี่ยมชมวังพญาไทในวันนี้ ได้รับทั้งความรู้ ความเพลิดเพลินมากๆเลยค่ะ จากไกด์ที่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเล่าให้ฟังเยอะไปหมด (จนจำแทบไม่หวาดไม่ไหวเลยค่ะ แฮ่ะๆ)
ซึ่งสร้างความประทับใจให้อิชั้นมากๆ เรียกว่าไม่ผิดหวังที่ดั้นด้นมาเที่ยวถึงทีนี่
เชิญชวนมาเที่ยวด้วยกันเยอะๆนะคะ