คุณแม่น้องแฝด ฮานากะฮารุ ^^
ชวนมาเที่ยวชมทีนี่...วังพญาไท


วันอาทิตย์ที่ผ่านมา  อิชั้นมีฤกษ์ดาวโคจร ไปเที่ยวกทม.อีกแว้วค่า (ชอบจริงๆ อิอิ) Smiley

หนนี้ก้อเลยว่าจะไปวังพญาไท เพราะเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้ง่ายดาย ไหนๆก็จะใช้รถไฟฟ้าทั้งวันแล้ว  อิชั้นว่าซื้อตั๋วรายวันเลยคุ้มกว่านะ

ตั๋วรายวัน ราคา 130 บาทค่ะ  เราว่าคุ้มมากเลยนะ เพราะวันนี้เราใช้เยอะจริง และอีกอย่างเราไม่ต้องเสียเวลาทั้งไปหยอดเหรียญเพื่อซื้อตั๋ว ( และหากไม่มีเหรียญก็ต้องไปแลกอีกตะหาก) 



ขณะนี้เวลาเก้าโมงเช้าค่า แล้วเราก็มาถึงวังพญาไทแล้ว  ลงจากสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเดินมาทางรพ.พระมงกุฎเกล้า  ไม่นานก็มาถึงที่นี่แล้วค่ะ


ว่าแล้วก็มารู้จักที่นี่กันหน่อย

ประวัติ

วังพญาไท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เสด็จทอดพระเนตรการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์ วังนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักเป็นที่ประทับ รวมถึงส่วนพื้นที่ด้านตรงข้ามกับพระตำหนัก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ทำนา รวมทั้ง โรงนา ขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญหลายครั้ง ณ วังพญาไท

วังพญาไทใช้เป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเมื่อหลังจากมีการขึ้นเรือนใหม่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็สวรรคต

พระราชวังพญาไทเมื่อครั้งยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง

และในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทูลเชิญสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง พระราชมารดา มาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ด้วย จนกระทั่งสวรรคตเมื่อปี 2463 หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงรื้อพระตำหนักพญาไท เหลือไว้เพียง พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ซึ่งเป็นท้องพระโรง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งใหม่หลายพระองค์ด้วยกัน รวมทั้งได้รับการสถาปนาวังเป็นพระราชวังพญาไท[1]

รัชกาลที่ 6 เสด็จฯ มาประทับที่พระราชวังนี้เป็นประจำ และเริ่มมีพระอาการประชวรในปี 2468 จนเดือนสุดท้ายแห่งรัชกาลจึงเสด็จฯ จากพระราชวังพญาไทไปประทับในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งสวรรคต

พระราชวังพญาไท ยังเคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา, พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี และเป็นที่พำนักของ พระสุจริตสุดา พระสนมเอก อีกด้วย

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของพระราชวังพญาไทในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้แก่ ดุสิตธานี หรือเมืองประชาธิปไตยย่อส่วน ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นเมืองจำลองขึ้นเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งปัจจุบันไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว

ต่อมา สมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงปรับปรุงวังพญาไทเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งสำหรับให้ชาวต่างประเทศพัก เปิดเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2468 ตามพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 6 ที่จะพระราชทานพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นโฮเต็ลชั้นหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่มีพระราชดำริจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ เพื่อพัฒนาการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ระหว่างนั้น ได้มีการใช้ พระราชวังพญาไทได้เป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุกระจายเสียง วิทยุแห่งแรกของไทย ออกอากาศเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2473 กรมรถไฟดำเนินการโรงแรมวังพญาไทได้ 6-7 ปีก็เลิกกิจการเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2475 เนื่องจากคณะราษฎรต้องการนำวังพญาไทสร้างโรงพยาบาลทหาร จึงพระราชทานวังนี้ให้เป็นสถานพยาบาล ของกองทัพบก และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาจนปัจจุบัน

........................................................................



ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ  เพียงแค่ลงในสมุดเยี่ยม เท่านี้ก็จะได้ชมความงามของวังพญาไทแล้ว
แต่ถ้าจะให้ดี  ควรจะมาให้ทันรอบนำเที่ยวชมของเค้าด้วยนะคะ  มีวันละ 2 รอบ และมีไกด์คอยอธิบายความเป็นมา ให้เราได้อินมากกว่าดูคนเดียวเยอะ....

ตอนนี้รออีกครึ่งชม. ก็จะได้เวลาแล้ว เรามาเดินเที่ยวรอบๆวังกันก่อนนะคะ








พระที่นั่งพิมานจักรี 


เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระที่นั่งภายในพระราชวังพญาไท สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระที่นั่งก่ออิฐฉาบปูน 2 ชั้น โดยมีสถาปัตยกรรมทรงโรมันเนสก์ผสมกับทรงกอธิคโดยจุดเด่นของ พระที่นั่งองค์นี้อยู่ที่ยอดโดมสีแดงซึ่งในอดีตใช้สำหรับ ชักธงมหาราชขึ้นเหนือพระที่นั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวเสด็จมา ประทับรวมทั้ง บริเวณฝาผนังใกล้กับเพดานและเพดานของพระที่นั่งมีภาพเขียนลายดอกไม้แบบปูน เปียกซึ่งมีความงดงามมากและ บาน ประตูเป็นไม้จำหลักปิดทอง มีจารึกพระปรมาภิไธยย่อเหนือบานประตูว่า "ร.ร.๖"ซึ่งหมายถึง สมเด็จพระรามราชาธิบดี รัชกาลที่ ๖ พระที่นั่งพิมานจักรีใช้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระมเหสี










การถ่ายภาพของอิชั้นวันนี้สะเปะสะปะนิดนึงนะคะ  ยังไม่ได้ทำการบ้านมาเท่าไหร่ เห็นว่าที่ไหนสวยก็ถ่ายแหลก  แต่เดี๋ยวก็จะได้รับความรู้จากไกด์แล้วล่ะ  อดใจรอนิดนึง อิอิ





ตรงนี้คือร้านกาแฟนรสิงห์ค่ะ เค้าว่าข้างในตกแต่งสวยมากก
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลานั่งจิบกาแฟค่า รอก่อนนะSmiley












ตอนนี้ได้เวลา 9.30 น. ค่ะ  เรามารวมตัวตรงจุดนัดหมาย ไกด์ของเราวันนี้คือพี่แดง จะบอกว่าทั้งพูดดังฟังชัด และมีเกร็ดความรู้สนุกๆให้เราเยอะเลย 

ไกด์พี่แดงพาเรามาที่นี่ก่อนคะ  "พระตำหนักเมขลารูจี" อยู้ทางท้ายวัง




ประวัติความเป็นมา

พระตำหนักเมขลารูจี อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักองค์น้อยขึ้นหนึ่งองค์ที่ริมคลองพญาไทตอนกลาง
พระราชทานนามว่า พระตำหนักอุดมวนาภรณ์ เป็นเรือนไม้สัก 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ภายในมีภาพเขียนสีลายนก สวยงาม และมีสระสรง ใช้เป็นที่สรงน้ำหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) แล้ว และได้เสด็จมาประทับอยู่ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2463 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งแรกในพระราชวังแห่งนี้ โดยได้ใช้เป็นที่ทรงงานวางโครงการสร้างพระราชมณเฑียรสถานสำหรับประทับถาวรอีกด้วย

ต่อมา เมื่อการก่อสร้างพระราชมณเฑียรสถานอื่นๆ ในพระราชวังแห่งนี้แล้วเสร็จ และมีพระราชประสงค์ให้พระที่นั่งด้านตะวันออกซึ่งเชื่อมต่อกับพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานใช้นามว่า พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระตำหนักแห่งนี้ใหม่เป็นพระตำหนักเมขลารูจี


บรรยากาศภายในค่ะ  หลับตาแล้วนึกถึงสมัยรัชกาลที่ 6 จะได้บรรยากาศขึ้นเยอะเลย




ห้องสรงน้ำของท่านค่ะ  พี่แดงเล่าว่า สมัยก่อนเค้าจะต่อท่อกับคลองข้างนอก แล้วก็เปิดท่อให้น้ำจากภายในไหลเข้ามาในอ่าง เพื่อให้ในหลวงท่านสรงน้ำภายหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่  ได้เลยค่ะ

อ้อ..เสริมนิดนึง  รัชกาลที่ 6  ท่านสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ  จะสังเกตุได้ว่าสถาปัตยกรรมสมัยท่านได้รับอิทธิพลจากฝั่งยุโรปตะวันตกมาพอสมควรเลยค่ะ




ข้างหลังเป็นสวนแบบโรมันค่ะ เขาว่าเป็นลานการแสดงสมัยก่อน
(รัชกาลที่ 6 ท่านโปรดการละครมาก  ทั้งประพันธ์เอง ทั้งแสดงเองก็มี)


ตรงนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเลยค่ะ เป็นสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี


แล้วก็มาที่ห้องที่ให้ข้าราชบรพารรับเสด็จ
ห้องนี้สวยงามมากกSmiley




พี่แดงพามาดูร้านนรสิงห์  ไหนมาดูก่อนซิว่าข้างในเป็นยังไง



ทางเข้าร้านค่ะ





ประวัติของร้านค่ะ

ร้านกาแฟนรสิงห์เดิม ตั้งอยู่ที่มุมสโมสรเสือป่า ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นร้านที่บรรดาพ่อค้า ชาวต่างชาติ และผู้มีบรรดาศักดิ์ในสมัยนั้นนิยมใช้เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ นับเป็นร้านกาแฟแห่งแรกของเมืองไทยที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6  แต่แล้วร้านกาแฟนรสิงห์ก็เลิกกิจการไปในสมัยรัชกาลที่ 7

ส่วนร้านกาแฟนรสิงห์ในปัจจุบันนั้น เกิดจากการที่ทางคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท อยากให้คอกาแฟชาวกรุง ได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศของร้านกาแฟแห่งแรกของเมืองไทยดูบ้าง จึงได้เปิดร้านกาแฟนรสิงห์ขึ้นอีกครั้ง โดยใช้อาคารเทียบรถพระที่นั่งเป็นที่ตั้งร้าน และทำการตกแต่ง สร้างเฟอร์นิเจอร์ภายในร้านขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยเลียนแบบลักษณะของเฟอร์นิเจอร์เก่าในสมัยรัชกาลที่ 6 และใช้ชื่อร้านว่า ร้านกาแฟ เดอ นรสิงห์ ณ วังพญาไท 



บรรยากาศแบบย้อนยุคค่ะ  เคาท์เตอร์นี่เค้าก็ว่าเป็นสมัยดั้งเดิม




บรรยากาศตกแต่งออกสไตล์หรูหรา คลาสสิค  
เหมือนย้อนไปในยุคอดีตเลยค่ะ SmileySmileySmiley





พอพี่แดงนำพวกเราเข้าไปในร้าน พร้อมทั้งเอ่ยทักทายเจ้าของ และขออภัยแขกผู้มาใช้บริการที่อาจจะมีเสียงดังบ้าง เพราะต้องอธิบายประวัติให้พวกเราฟัง   พวกเราก็กลายเป็นจุดสนใจในทันทีค่ะ แขกในร้านก็มองๆแบบงงๆค่ะ....เด่นจุงเบย  Smiley

แต่พอพี่แดงเริ่มอธิบายประวัติของของแต่ละชิ้นในร้าน  สายตาทุกคนก็จับจ้องมาที่จุดเดียวกันทันที

ก็แหม  ไม่ใช้ว่าจะมีใครมาอธิบายประวัติศาสตร์ความเป็นมาของร้านบ่อยๆนะ ถือว่าวันนี้พวกเรามีโชคร่วมกัน  มารับฟังประวัติศาสตร์ด้วยกันนะคะ


V
V
V


อย่างรูปนี้   จำกันได้ไหม ว่าตรงไหน

ก็คือ "พระตำหนักเมขลารูจี" ไงคะ โอ้ เก่าแก่มากก




หนังสือพิมพ์ที่รัชกาลที่ 6 โปรดให้จัดทำในดุสิตธานี  อันนี้ของจริงนะคะ  หาชมที่ไหนไม่ได้แล้ว




พี่แดงพามาข้างนอก ตอนนี้แดดกำลังแจ่มเลย  เลยแชะรูปอีกหน่อย




รูปแบบพระที่นั่งพิมานจักรีของรัชกาลที่ 6 นี่ทำให้อิชั้นนึกถึงปราสาททางยุโรปมากกว่า   เพราะเป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างโรมาเนสกับโกธิค 




มาดูตรงนี้



อันนี้เค้าว่าเป็นรังนกค่ะ  ท่านโปรดให้สร้างในรูปแบบนี้  แปลกดีค่ะ  



พระที่นังไวกูณฐเทพยสถาน
พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งพิมานจักรี อาคารมีลักษณะแบบโรมาเนสก์ เดิมเป็นพระที่นั่งสูง 2 ชั้น ก่ออิฐ ฉาบปูน ได้มีการต่อเติมชั้น 3 ขึ้นภายหลัง เพื่อจัดเป็นห้องพระบรรทม 






มาที่พระที่นั่งเทวราชสถารมย์
  ลักษณะท้องพระโรงได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทม์ โครงสร้างไม้ มีโดมอยู่ตรงกลาง รับด้วยหลังคาโค้งประทุนทั้ง 4 ด้าน  บนฝาผนังมีจิตกรรมรูปคนและลายพฤกษา

ภายในท้องพระโรงทาสีฉูดฉาดหลายสี และมี พระปรมาภิไธยย่อ "สผ" (เสาวภาผ่องศรี พระนามเดิมของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง) อยู่ตอนบนใกล้หลังคาภายในพระที่นั่ง พระที่นั่งแห่งนี้ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับงานต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีทาง ศาสนาในโอกาสต่าง ๆ ใช้รับรองแขกส่วนพระองค์ ใช้เป็นโรงละคร เป็นต้น





ที่นี่เค้ารับจัดเลี้ยงด้วย เงินที่ได้มูลนิธิก็จะเอามาบูรณะวังค่ะ




กลับมาในวังค่ะ




ห้องจำลองห้องบรรทมรัชกาลที่ 6



เพดานสวยงามมาก




ห้องน้ำค่ะ
ก๊อกน้ำยังเป็นแบบเดิมอยู่เลย




อ่างทรงน้ำ




ห้องทรงพระอักษร รัชกาลที่ 6 ค่ะ




ห้องโถงใหญ่  รัชกาลที่ 6 โปรดให้สร้างเตาผิงด้วย
แต่เอาเข้าจริงรู้สึกว่าจะไม่ได้ใช้เลยค่ะ เพราะอากาศบ้านเราไม่หนาวเท่าเมืองนอก




มาเยี่ยมชมวังพญาไทนี่ต้องแหงนหน้ามองข้างบนตลอดเลยค่ะ  สวยจริงๆ





มาที่พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานค่ะ  มาที่ห้องของท่านวรชายานะคะ ตอนนี้เก็บดุสิตธานีไว้อยู่ 

ซึ่งดุสิตธานีก็คือเมืองจำลองที่ล้นเหล้ารัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้มีการสร้างขึ้นเพื่อศึกษาแนวทางสร้างเสริมประชาธิปไตยที่ท่านได้ไปศึกษาเล่าเรียนมาจากทางตะวันตก

น่าเสียดายที่ท่านสวรรคตค่อนข้างเร็ว ทำให้แนวคิดทันสมัยต่างๆที่พระองค์อุตส่าห์ริเริ่มขึ้นแล้ว ไม่ได้รับการสานต่อ...

นึกๆไปก็เสียดายที่พระองค์พระชนม์มายุสั้นไปหน่อย ( 45 พรรษา )  มิฉะนั้นผลงานของท่านจะเป็นที่ประจักษ์มากกว่านี้ค่ะ


กลับมาที่ห้องนี้  เพราะดุสิตธานีหลังนี้ เป็นหลังเดียวที่หลงเหลืออยู่ในวังพญาไท  

ประกอบกับอายุที่ยาวนานนับร้อยปี ห้องนี้จึงเป็นห้องเดียวที่ต้องเปิดแอร์ไว้ เพื่อไล่ความชื้นและรักษาสภาพของดุสิตธานีให้ได้นานที่สุด




ท่านวรชายาโปรดดอกกุหลาบค่ะ  สังเกตที่ผนัง เป็นลายกุหลาบเลื้อยสวยงามเลย





มองบนเพดานเหมือนเช่นเดิม  ศิลปกรรมที่เห็นเป็นแบบอิตาลีค่ะ  สังเกตได้จากเด็กน้อยบนเพดาน  เด็กฝาหรั่งทางยุโรปชัดๆ
เพราะเด็กไทยสมัยก่อนผมไม่หยิกอย่างนี้ค่ะ ทรงผมก็ไม่ใช่แบบนี้




เราใช้เวลาเยี่ยมชมประมาณ 2 ชั่วมงครึ่งค่ะ  เสร็จประมาณเที่ยง ได้เวลากล่าวลากับพี่แดงแล้ว

หลังจากจบแล้ว เราสามารถบริจาคเงินให้กับทางมูลนิธิได้นะคะ เพื่อช่วยในการบูรณะวังพญาไท ให้วังสวยๆนี้อยู่คู่กับเรานานๆ



เสร็จแล้วก็แวะร้านขายของที่ระลึก ซื้อโปสการ์ดฝากเพื่อนๆกันหน่อยค่ะ




การมาเยี่ยมชมวังพญาไทในวันนี้ ได้รับทั้งความรู้ ความเพลิดเพลินมากๆเลยค่ะ จากไกด์ที่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเล่าให้ฟังเยอะไปหมด (จนจำแทบไม่หวาดไม่ไหวเลยค่ะ แฮ่ะๆ)



ซึ่งสร้างความประทับใจให้อิชั้นมากๆ เรียกว่าไม่ผิดหวังที่ดั้นด้นมาเที่ยวถึงทีนี่

เชิญชวนมาเที่ยวด้วยกันเยอะๆนะคะ





Create Date : 28 กันยายน 2556
Last Update : 29 มกราคม 2557 13:26:00 น. 2 comments
Counter : 2346 Pageviews.

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 29 กันยายน 2556 เวลา:5:12:21 น.  

 
หนึ่งเข้ากรุงทีไร
ก็ซื้อตั๋ววันแบบนี้ล่ะ
ง่าย และสะดวกดี
แต่บางวันก็ใช้ไม่คุ้มอ่ะ

ร้านกาแฟนรสิงห์
บรรยากาศและการตกแต่งสวยดีนะคะ
แต่ราคาก็แพงเหมือนกัน
แบบนี้ต้องนั่งชิมและชมนานๆ เนอะ

ยังไม่เคยไปเที่ยวเลยค่ะ
เอาไว้วันไหนว่างๆ จะลองไปซะหน่อย



โดย: chenyuye วันที่: 4 ตุลาคม 2556 เวลา:8:52:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hi hacky
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




Life is a journey....
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add hi hacky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.