|
เราแต่ละคนมีสงครามของตนเอง
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก็เกิดความรู้สึกอยากที่จะบอกต่อ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ "สุดทางทุกข์" แต่บังเอิญได้เจอบทความแนะนำที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจและเข้ากับสถานการณ์ของบ้านเมืองเราในขณะนี้จึงนำเอามาฝากครับ
คอลัมน์เหะหะพาที โดย ซูม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2551 ชื่อตอน สุดทางทุกข์ ผมมีความจำเป็นบางประการที่จะต้องส่งต้นฉบับวันนี้ล่วงหน้า จึงไม่สามารถจะรอได้ว่าเหตุการณ์ ตุลาอาถรรพณ์ ครั้งที่ 3 จะไปจบลงอย่างไร และต้องขออนุญาตเขียนเรื่องแห้งๆ ทิ้งไว้สักเรื่องนะครับ ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์ คงจะจำได้ว่าเมื่อฉบับวันเสาร์ที่ผ่านมา...ผมได้เขียนสั้นๆ แนะนำหนังสือเล่มหนึ่งไว้ว่า หนังสือเรื่อง สุดทางทุกข์ (At Hell's gate) โดย คล้อด อันชิน ธอมัส จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โอ้มายก้อด เป็นหนังสือที่ดีมาก ตั้งใจจะเขียนแนะนำเพียงเท่านี้จริงๆ เพราะปกติเวลาเขียนถึงหนังสือหนังหาก็มักจะเขียนสั้นๆ เนื่องจากหน้ากระดาษมีจำกัด แต่หนังสือที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ส่งมาให้แนะนำในแต่ละสัปดาห์มีมากเหลือเกิน พอดีได้จังหวะจะต้องส่งต้นฉบับก่อนกำหนด ก็เลยตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกครั้ง เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าเนื้อหาสาระและบทเรียนสำคัญที่หนังสือเล่มนี้ชี้แนะไว้... น่าจะเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองของเราในปัจจุบันอย่างดียิ่ง สามารถนำข้อเสนอแนะมาใช้ปฏิบัติเพื่อที่จะฝ่าฟันสถานการณ์ที่ร้อนรุ่ม ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองไปได้โดยไม่บอบช้ำมากนัก หรืออาจจะผ่านไปได้ด้วยดีเลยก็ได้ หากเราสามารถ ปฏิบัติ ตามข้อเสนอแนะที่สำคัญที่สุดของหนังสือด้วยความแน่วแน่และมั่นคง เนื้อเรื่องโดยย่อมีอยู่ว่า คุณ คล้อด อันชิน ธอมัส ชาวอเมริกัน สมัครเป็นทหารเมื่ออายุ 17 ปี เพื่อเข้าสู้รบในสงครามเวียดนาม และรอดตายกลับไปพร้อมกับภาพหฤโหดต่างๆ ที่ติดตามหลอกหลอน นับแต่วันแรกที่เขาคืนสู่สหรัฐฯ บ้านเกิด เขาต้องหาทางออกด้วยสุรา ยาเสพติด เซ็กซ์ และ ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นว่ายิ่งทุกข์มากขึ้นไปอีก ชีวิตของเขาทำท่าจะหายนะเหมือนทหารผ่านศึกเวียดนามชาวอเมริกันคนอื่นๆ ที่กลับมาบ้าน แล้วประสบความผิดหวังจนต้องฆ่าตัวตายไปกว่า 1 แสนคน
ทั้งๆ ที่ทหารสหรัฐฯเสียชีวิตจริงๆ ในสมรภูมิเพียง 5 หมื่นกว่าคนเท่านั้น... แสดงว่าสงครามชีวิตของทหารเหล่านี้เมื่อกลับบ้านโหดร้ายเสียยิ่งกว่า คล้อดยังโชคดีที่วันหนึ่งเขามีโอกาสได้พบกับพระภิกษุเวียดนาม ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยถือเป็นศัตรู...ท่าน ติช นัท ฮันท์ แห่งหมู่บ้าน พลัม ที่มหานครปารีส เขามีโอกาสได้เล่าเรียนธรรมะกับท่านฮันท์ และเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวชุมชนพลัม จนค้นพบสัจธรรมว่า ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องหนี ในทางที่ถูกต้อง เราจะต้องทำความรู้จักกับมัน ทำความเข้าใจมัน เพื่อที่จะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข เขาเขียนไว้ตอนหนึ่งว่า การพานพบพระพุทธศาสนาได้ชักนำฉันสู่การใช้ชีวิตอย่างมีสติ...การมีสติช่วยให้ฉันตื่นรู้ และถอยจากวงจรแห่งการทำลายและความทุกข์ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา และสามารถอยู่กับความทุกข์มาได้จนทุกวันนี้ คล้อดเขียนเล่าเรื่องอย่างง่ายๆ และผู้แปล (รศ.ดร.อมร แสงมณี และอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา) ก็แปลด้วยภาษาง่ายๆ ทำให้อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน แม้ในช่วงที่เกี่ยวกับธรรมะ วิถีปฏิบัติของท่านติช นัท ฮันท์ เน้นไปที่การฝึกสมาธิและการเจริญ สติโดยจะมีการตีระฆังทุกๆ 15 นาที เพื่อให้ระลึกสติด้วยการพิจารณาลมหายใจเข้าออกของตัวเอง ในภาคผนวก คล้อดนำวิธีการฝึกสมาธิขั้นต้น ทั้งวิธีนั่ง เดิน ระหว่างทำงาน และระหว่างรับประทานอาหารมาฝากด้วย ผมอ่านดูแล้วก็คล้ายๆกับวิธีเจริญสติที่สอนกันอยู่ทั่วไปในบ้านเราโดยเฉพาะการกำหนดลมหายใจเพื่อฝึกสมาธิ สรุป สติ ซึ่งเป็นหนึ่งในคำสอนว่าด้วยมรรค 8 อันเป็นหนทางดับทุกข์ของพระพุทธองค์ คือข้อเสนอแนะที่สำคัญยิ่งของหนังสือเล่มนี้ สติ ทำให้เรารู้ตัว ทำให้เรายับยั้งชั่งใจ ทำให้เราใคร่ครวญ ทำให้เราลืมความคิดในทางชั่วร้าย หันมาคิดดีคิดชอบ หากทุกๆ ท่านที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายพันธมิตรหมั่นตีระฆังสติให้แก่ตัวเอง ผมเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงด้วยดีอย่างแน่นอน
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2551 23:16:52 น. |
|
1 comments
|
Counter : 366 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
MY VIP Friend
|
|
|
|
น่าสนใจทีเดียว
ขอบคุณที่มาแนะนำกันนะคะ