ส่วนประกอบใน Whitening ทำงานอย่างไรจากหมอผู้เชียวชาญค่ะ
ส่วนประกอบใน Whitening ทำงานอย่างไรจากหมอผู้เชียวชาญค่ะ สำหรับคนที่ผิวขาวอยู่แล้วปล่อยไว้เฉยๆผิวก็จะขาวขึ้นเป็นปกติครับไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ผิวคนไทยสิครับที่ออกเหลืองไปทางคล้ำนั้นเกิดจากการสร้างเม้ดสีเมลานินขึ้นมากกว่าคนฝังตะวันตก ดังนั้นแม้จะมีครีมไวท์เทนนิ่งที่ดีที่สุดยังไงก็ไม่มีทางขาวเหมือนคนชาติตะวันตกได้หรอกครับเพราะฝังนั้นเค้าสร้างเม็ดสีเมลานินน้อยแต่ไปสร้างเม็ดสีที่ออกสีชมพูมากกว่าครับเลยดูขาว ดังนั้นครีมไวท์เทนนิ่งจึงช่วยให้ดูขาวขึ้นจากเดิมเท่านั้นและเมื่อใช้ไปถึงจุดๆหนึ่งและหากหยุดใช้ก็จะกลับมาเป็นผิวเช่นเดิมจะเร็วช้าขึ้นกับการดูแลตัวเองครับ
2. กลุ่มที่ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดหลุดลอก(exfoliation) ได้แก่ ................................................................................................................................................................... มีกลไกการออกฤทธิ์โดยเป็น chelatingagent ที่สามารถไปดึงแคลเซียมอิออนออกจากเซลล์ผิวหนัง เนื่องจากโครงสร้างของผิวหนังเป็นลักษณะเซลล์บุผิว (epithelium cell) ที่ยึดติดกันแน่น โดยจะมีการยึดเกาะระหว่างเซลล์โดยโมเลกุลที่เรียกว่า cadherin (เป็น trans-membrane glycoprotien) ซึ่งการทำหน้าที่ของ cadherinขึ้นกับแคลเซียมอิออน ังนั้นเมื่อระดับแคลเซียมอิออนลดลงจะทำให้เร่งการหลุดลอกของเซลล์ที่ผิวชั้นนอกออกได้เร็วขึ้น ผิวที่สร้างขึ้นใหม่มีความแตกต่างกันน้อยลงมองดูผิวมีความอ่อนเยาว์และขาวขึ้น (Wang, 1999) แต่ว่าการใช้ 4% ถึง15% ไม่สามารถทำให้ผิวขาวได้แต่จะมีหน้าที่ exfoliationผิวแทนดังนั้นการใช้เพื่อผิวขาวนั้นต้องใช้ปริมาณสูงกว่านี้ และการใช้ AHA จะพบเทียบเท่ากับเลเซอร์ได้นั้นต้องมีความเข้มข้น > 50% เป็น whitening agent ที่ได้รับความนิยมใช้อย่างแพร่หลายในเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวขึ้นกลไกการออกฤทธิ์ของวิตามินซี นอกจากมันมีผลยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีเนสแล้ว ยังมีฤทธิ์ฟอกสีผิว (bleachingeffect) อีกด้วย ทำให้สีของเมลานินจางลง ผิวจึงแลดูขาวขึ้นคุณสมบัติที่สำคัญของวิตามินซี คือเป็นantioxidant ที่ดี แต่ตัวมันเองก็สามารถถูก oxidizedได้ง่ายเมื่อถูกแสง (Zhai and Maibach, 2001) หากวิตามินซีถูก oxidized ก็จะส่งผลให้ความสามารถในการยับยั้งการสร้างเมลานิน (melanin) ลดลงไปด้วย เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงมีการพัฒนาอนุพันธ์ของวิตามินซีให้มีฤทธิ์เทียบเท่ากับมัน คือมีความสามารถในการทำให้ผิวขาวขึ้น สามารถแพร่ผ่านผิวหนังได้ แต่มีความคงตัวที่ดีขึ้น ซึ่งอนุพันธ์ที่ได้รับความนิยมในท้องตลาดคือmagnesium L-ascorbyl phosphate (MAP), mag-nesium ascorbate PCA (MAPCA), ascorbyl oleate,vitamin C glycoside และ disodium ascorbyl sulfateเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของสารสำคัญทำให้ผิวขาวขึ้นชนิดต่างๆดังนี้ 1% magnesium ascorbylphosphate (MAP), 1% ascorbic acid, 3% lactic acidและ 1% kojic acid ในขณะที่ลำดับความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีเนส (tyrosinase inhibition) เป็นดังนี้3% lactic acid สามารถลดเอนไซม์ไทโรซีเนส (tyrosinase)ได้ผลใกล้เคียงเมื่อเทียบกับ kojic acid (มากกว่า lacticacid เล็กน้อย) รองลงมาได้แก่ MAP และ ascorbic acidตามลำดับ (Zuidhoff and Rijishergen, 2001) Vitamin C สามารถให้เกิดการสร้างใหม่ของ vitamin E ในผิว วิตามินซีเป็นสาร antioxidant เหมือน vitamin E ที่สาามารถกดและจำกัดอนุมูลอิสระก่อนที่อนุมูลอิสระจะวิ่งออกไปปล่อย electrons Vitamin C ที่ก่อให้เกิการสร้างใหม่ของ vitamin E ทำให้เกิดการรักษาสภาพของเส้นใยิีลาสตินเพื่อให้เกิดความยืดหยุน การใช้วิตามินซีให้เห็นฤทธ์ช่วยให้ขาวนั้นต้องใช้มากกว่า 5% (พูดโดยรวมนะครับ ไม่ได้อยกแต่ละอนุพันธ์ )ซึ่งหายากในผลิตภัณฑ์ทั่วๆๆไปครับ %ที่แนะนำที่ออกฤทธืเรื่องความขาวได้อย่างเหมาะสม L-Ascorbic Acid (Vitamin C) 10% ถึง 15% Ascorbyl Tetraisopalmitate / Tetrahexyldecyl Ascorbate 5% ถึง 7% Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) 3 ถึง 5% pH : 7.0-8.5 Azaleic acid (AZA) เป็น dicarboxylic acid สร้างจากยีสชื่อ Plasmodium ovale กลไกการออกฤทธิ์ 1.ยับยั้งเอนไซม์ lyrosinase ในเซลล์ melanocytes :เอนไซม์นี้ทำหน้าที่เปลี่ยน tyrosino เป็น dihydroxyphenylalanine (DOPA) และdopaquinone ตามลำดับ ซึ่งต่อมา dopaquinone จะเข้าสู่กระบวนการ auto-oxidation กลายเป็น dopachrome และ dihydroxyindole-2-carboxylic acid (DHICA) เพื่อ form เป็น eumelanin การยับยั้งเอนไซม์tyrosinase จึงทำให้ผิวขาวขึ้น 2.ยับยั้งเอนไซม์ thioredoxin reductase : เอนไซม์นี้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ DNA และmitochondrial oxidoreductase activation ทำให้มีฤทธิ์ antiproliferative และ cytotoxic ต่อเซลล์ melanocytes จึงทำให้ผิวขาวขึ้น และยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระใน neutrophils ทำให้การอักเสบลดลง 3.ทำให้กระบวนการ koratinization เป็นไปอย่างปกติ ช่วยลดการเกิด microcomedonos 4.ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ P. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุของสิว ต้องใช้ความเข้มข้น 15- 20%ถึงจะเห็นผลเรื่องขาวครับ แต่ก็เสียงต่อการระคายเคืองครับ(5%นี้จากงานวิจัย มศว ทดสอบพบว่ากลุ่มที่ได้ความเข้มข้นเท่านี้กับไม่ได้เลย พบว่ากลุ่มที่ได้มีความขาวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้อะไรเลย โดยมีค่า p = 0.026) paper mulberry สามารถยับยัง tyrosinase inhibition จากการทดสอบเปรียบเทียบ paper mulberry กับ kojic และ HQ ซึ่งใช้ IC50 (เป็นค่าความเข้มข้นที่เป็นเหตุให้เกิดการยับยัง tyrosinase ได้ 50% ) ค่าที่ได้คือ 0.396%, เมื่อเปรียบเทียบกับ 5.5% สำหรับ HQ และ 10.0% สำหรับ kojic acid และจากการทด patch test โดยการใช้ 1% paper mulberry extract พบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองอย่างมีนัยสัมคัญ เป็นผลผลิตที่ได้จากขบวนการเมแทโบลิซึมของเชื้อรา ในประเทศญี่ปุ่นได้มีการสังเคราะห์kojic acid าก Aspergillus ในปี ค.ศ. 1907Lim (1999)ได้ทำการรักษาผู้ป่วยที่เป็น melasma โดยการใช้ kojicacid ในรูปแบบเจล (gel) ครึ่งหนึ่งของใบหน้าให้ทาสารตัวอย่างที่ประกอบด้วย 2% kojic acid, 10% glycolicacid และ 2% hydroquinone ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของใบหน้าให้การรักษาเช่นเดียวกัน แต่สารตัวอย่างไม่มีส่วนประกอบของ 2% kojic acid ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองทั้งหม1สัปดาห์ ผลการรักษาพบว่าผู้ป่วยทุกคนมีอาการดีขึ้นทั้ง 2 ซีกของใบหน้า แต่ซีกที่ทำการรักษาโดยมีส่วนประกอบของ kojic acid ะให้ผลในการรักษาที่ดีกว่านอกจากนี้พบว่า kojic acid มีความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระ และเป็น Iron chelator ได้ ความสำคัญของ Iron ในผิวหนัง คือมันมีส่วนร่วมในการก่อเกิดอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบาดเจ็บของผิวหนังเมื่อถูกแสง (photodamage)เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่น ความเข้มข้นที่เหมาะสมและเห็นผลคือ 1-4% สารสกัดจาก rumex (rumex extract) เป็นสารสกัดจากพืช 4 ชนิด ได้แก่ Rumex occidentalis,Rumex maritimus, Rumex pseudonatronatus และRumex stenophyllus กลไกในการทำให้ผิวขาวขึ้นเกิดจากการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีเนส การศึกษาผลของสารสกัดจากRumex โดยเปรียบเทียบกับ kojic acid, hydroquinoneและ arbutin พบว่าความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีเนสของสารสกัดจาก rumex มีค่าใกล้เคียงกับ kojicacid แต่มีค่าสูงกว่า hydroquinone และ arbutin ในทุกความเข้มข้น (Simonat et.al., 2002) สารกลุ่มนี้ทำหน้าที่เคลือบคลุมผิวจึงกลบเกลื่อนสีผิวเดิมเอาไว้ เนื่องจากคุณสมบัติเดิมของมันเป็นสารที่ทำให้ทึบแสง มีสีขาวหรือขาวหม่น (white or palepigments)จึงทำให้ใบหน้าและผิวหนังแลดูขาวขึ้น โดยทั่วไปนิยมใช้สารนี้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางรองพื้นและแป้งฝุ่นแป้งโรยตัว ในระยะหลังนิยมใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางทำให้ผิวขาว และเครื่องสำอางกันแดด เป็นต้นตัวอย่างของสารเคลือบคลุมผิว เช่น titaniumdioxide, zinc oxide, talcum, kaolin และ bismuthpigments สารทำให้ผิวขาวที่ห้ามใช้สารที่ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อผิวขาว ได้แก่ พวกสารประกอบปรอท และไฮโดรควิโนนสารประกอบปรอท (mercury compounds) เคยเป็นสารชนิดแรกสุดที่นำมาใช้ในเครื่องสำอางทำให้ผิวขาว แต่ปัจจุบันห้ามใช้ในเครื่องสำอางเนื่องจากสารกลุ่มนี้สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ และมีผลต่อไตทำให้เกิดไตอักเสบตัวอย่างสารประกอบปรอท ได้แก่ mercuric chlorideและ ammoniated mercury กลไกที่ทำให้ผิวขาวของสารกลุ่มนี้ โดยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซีเนส (tyrosinase in-hibitor) ทำให้มีผลยับยั้งการสร้างเมลานินไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) กลไกการออกฤทธิ์ที่ทำให้ผิวขาวของสารกลุ่มนี้ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีเนส (tyrosinase inhibitor) ไฮโดรควิโนนเคยเป็น whitening agent ตัวเลือกแรกๆที่ถูกเลือกใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อผิวที่ขาวขึ้นและเคยได้รับความนิยมใช้มากที่สุด แต่ปัจจุบันกลับเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง เนื่องจากมีการค้นพบว่าไฮโดรควิโนนก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ใน Salmonella และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพิษต่อเซลล์ (Curto et.al., 1999) นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวของผู้ใช้ ะทำให้ผิวหน้าเเดงและหน้าดำในที่สุด(and burning) อนึ่งการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนนั้นต้องมีความระวังอย่างมากและควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนัง เนื่องจากสารนี้ทำให้ผิวไวต่อแสงได้ แตาในปัจจุบัยพบว่าสามารถใช้ Hydroquinone ในบางประเทศ แต่ทาง อ.ย ของไทย ห้ามผสมในเครื่องสำอาง แต่ในคลินิก ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์ ยังสามารถใช้ได้ Arbutin ปกป้องผิวด้วยการต่อต้านการทำลายผิวจากอนุมูลอิสระ Arbutin เปฌนสารกลุ่ม whitening ที่เป็นที่นิยมใน Japan และ Asian สำหรับการลดเลืแนความหมองคล้ำจากเม็ดสี โดยมันจะไปยับยังการฟอร์มเป็นเม็ดสีโดยไปบล็อคการทะงานของ Tyrosinaseนอกจากนี้ยังสามารถลดความรุ่นแรงของการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการปนเปือนจากแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังใช้รักษาผิวหนังอีกเสบจากภูมิแพ้ Arbutin เป็นสารที่ปลอดภัยสำหรับการใช้ทาภายนอกซึ่งไม่ก่อให้เกิดพิษเหมือน Hydroqinone สรุปหน้าที่เกี่ยวกับผิวเมื่อใช้ Arbutin คือ Whitening effects, anti- age effect และ UVB/ UVC filter ได้นำมาใช้ในวงการcosmetic industryอย่างกว้างขวาง Licorice จะไปยับยังการทำงานของ tyrosinase ของ melanocytes โดยไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ นอกจากนี้หากใช้ 0.5% Licorice สามารถฟื้นฟูปัญหาเรื่องแสงแดดไหมจาก UV-B ที่ก่อให้เกิดผิสคล้ำและแดงขึ้น ที่สามารถลดรอยแดงได้เนื่องจากมันไปยับยัง superoxide anion production และcyclooxygenase ที่ทำลายผิวทำให้เกิดรอยแดงๆ(รอบจมูก หรือ ใบหน้า) อย่าลืมนะครับไม่ว่าจะใช้ตัวสารกลุ่มใดต้องทาครีมกันแดดเสมอนะครับเพื่อลดการกระตุ้นการสั้างเมลานิน จะลงทุนกับครีมไวท์เทนนิ่งต้องมีส่วนผสมที่มีความเข้มข้นถึงที่จะออกฤทธ์ได้(ตรงนี้เป็นปัญหาหลักว่าทำไมใช้เเล้วยังเหมือนเดิมเพราะส่วนใหญ่จะใส่มาเข้มข้นไม่พอ)และต้องเลือกครีมที่มีส่วนผสมไวท์เทนนิ่งหลายๆตัวและออกฤทธ์หลายตำแหน่งเพื่อเพิมประสิทธ์ภาพในการลดเม็ดเมลานินครับ ดังนั้นถ้าจะซื้อครีมไวท์เทนนิ่งที่แพง(ไหนๆก็จะเสียเงินเอาที่ดีไปเลยจะดีกว่าครับ)ต้องมีความรู้นิดหน่อยเพื่อที่จะซื้อตัวเหมาะสมและความเข้มข้นถึงครับ เพราะไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ก็อาจจะไม่เป็นที่พอใจ ทั้งนี้ก็อย่าลืมการตอบสนองของผิวแต่ละคนเดียวครับดังนั้นการที่ผิวขาวขึ้นในการใช้ครีมเดียวกันจึงไม่เท่ากัน แทบจะทุกคนย่อมมีปัญหาเรื่องผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้าและกระ ซึ่งปัญหาเหล่านี้แก้ได้ง่ายๆเดียงการหลีกเลี่ยงแสงแดดโดวยทาครีมกันแดด ที่เห็นเป็นกังวลและพบบ่อยๆคงไม่พ้นปัญหาจุดด่างดำซึ่งอาจมาจากรอยสิว หรือแสงแดด(UVA) เมื่อเห็นจุดด่างดำหรือรอยกระ นั้นกำลังเป็นการบอกคุณว่าผิวหนังกำลังถูกทำลายโดยแสงแดด แม้ว่าจุดด่างดำหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอดูไม่อันตรายมากนักแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดจุดบกพร่องนี้สร้างอันตรายต่อเซลล์ได้ไม่น้อยเลย เนื่องจากรังสีUVA+UVBที่ผ่านเข้ามานั้นจะทำลายDNAระดับเซลล์ ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมการทำงานหลักของผิวครับ จึงทำให้เกิดการสิ่สารระหว่างเซลล์ขัดข้อง ผิวภายในจึงมีการเปลี่ยนสภาพไปอย่างมากเลยนะครับแต่ในขณะที่เรามองภายนอกด้วยตาเปล่าอาจจะไม่น่ากลัวเท่าไหร นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมทาครีมแก้จุดด่างดำทำไมต้องใช้เวลานานครับ เพราะฉนั้นคงไม่มีครีมอะไรที่ลดรอยด่างดำได้ถายในอาทิตย์เดียวแน่ๆครับ หากเลือกส่วนผสมที่ดีและเหมาะสมรับรองว่าไม่นานจะดีขึ้นครับ เป้าหมายของการใช้ครีมกลุ่มนี้เป็น Active Ingredient ในปัจจุบันมี 2 ข้อ 1)เพื่อให้หน้าขาวขึ้นตามค่านิยมที่่ว่าผิวขาวนั้นจะดูดี 2)เพื่อลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ และให้ผิวสม่ำเสมอขึ้น ความจริงที่ต้องรู้และเข้าใจที่อาจต้องทำใจคือ ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำที่ตื้นๆเท่านั้นที่ครีมเหล่านี้สามารถช่วยได้ครับ ขนาดแค่ตื้นยังหาครีมที่ใช้แล้วได้ผลยังยากเลยละครับ ซึ่งอาจจะมาจากความเข้มข้นไม่พอ และส่วนผสมที่ใช้มีเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้น ดังนั้นการแก้ปัญหาเหล่านี้คือต้องอาศัยเวลาครับ การเลือก whitening cream ต้องมีสารเหล่านี้หลายตัวและถ้าเป็นไปได้หาส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ทั้ง 3 จุดของการยับยังเม็ดสีเพื่อช่วยกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ แต่ความจริงเพื่อความปลอดภัยเลือกที่มีกลุ่ม 2&3 ก็มากเพียงพอครับ Best whitening cream 1.ควรมีส่วนผสมที่ออกฤทธ์ก่อนการสร้างเม็ดสี เช่น Hydroquinone , Tretinoin 2.ส่วนผสมที่ยับยังเม็ดสีขณะสร้าง เช่น Ascorbic acid , Arbutin , Kojic acid , Embica , Azelaic acid 3.กลุ่มที่มีส่วนผสมออกฤทธ์หลังการสร้างเม็ดสี(ช่วยผลัดผิวนั้นแหละครับ) เช่น AHA , Soybean extract , Retinoic acid , Niacinamide Grade Score A --> Very effective whitening มีโอกาสเห็นประสิทธิภาพสูงมากเห็นผลเรื่องความขาวอย่างสังเกตุได้ครับ พิจารณาตัดเกรดระดับนี้ดังนี้ 1. มีส่วนผสมครบทั้ง 3 กลุ่มและมีความเข้มข้นมากพออย่างน้อย 3 ตัวต่างกลุ่มกันครับ และมีความเข้มข้นเพียงพอครับ 2.มีความเข้มข้นเพียงพอ 4 ตัวในกลุ่มที่ 2 + 3 และมี whitening agent อย่างน้อย4 ตัวและมีอย่างน้อย 2 กลุ่มครับ B --> Effective whitening มีประสิทธิภาพดีสามารถเห็นผลได้ พิจารณาตัดเกรดระดับนี้ดังนี้ 1.มีส่วนผสมครบทั้ง 3 กลุ่ม และมีความเข้มข้นเพียงพออย่างน้อย 2 กลุ่มครับ(ตัวไหนในกลุ่มนั้นก็ได้ครับ) 2.มีความเข้มข้นเพียงพอ 3 ตัวในกลุ่มที่ 2 + 3 และมี whitening agent อย่างน้อย4 ตัวและมีอย่างน้อย 2 กลุ่มครับ C --> Good สามาถเห็นผลได้หากใช้อย่างต่อเนื่องครับ 1.มีส่วนผสมอย่างน้อย 2 กลุ่มและมีความเข้มข้นเพียงพอทั้งสองกลุ่ม(ตัวไหนในกลุ่มนั้นก็ได้ครับ) 2.มีความเข้มข้นเพียงพอ 2 ตัวในกลุ่มที่ 2 + 3 และมี whitening agent อย่างน้อย3 ตัวและมีอย่างน้อย 2 กลุ่มครับ D --> Average เหมาะสมเรื่องความขาวผิวจะกระจ่างใสขึ้นครับมากน้อยขึ้นกับการตอบสนองครับ 1.มีส่วนผสมที่มีความเข้มข้นเพียงพออย่างน้อย 2 ตัวอยู่ในกลุ่มไหนก็ได้ครับ 2.มีส่วนผสมเรื่องความขาว 3ตัวและมีอย่างน้อย หนึ่งตัวที่มีความเข้มข้นเพียงพอ
ขอบคุณข้อมูลดีดีจากหมออาทนะค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆที่แวะเข้ามาเยี่ยมนะค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะค่ะ ขอให้สวยหล่อกันทุกคนสำหรับทุกๆคอมเม้นท์ค่ะ
Free TextEditor ต้านริ้วรอยใช้อะไรดี (จากหมออาท)
สิ่งที่ต้องรู้ก่อนใช้ครีมกลุ่มต้านริ้วรอย ต้องรู้ว่าริ้วรอยแรกเริ่มที่ไม่ลึกมากเท่านั้นครับที่ครีมสามารถช่วยคุณได้ หากคุณมีริ้วรอยร่องลึกมากแล้วอาจจะช่วยคุณไม่ได้มาก(บางคนอาจติ้นขึ้น แล้วแต่การตอบสนองของผิวแต่ละคนครับ) เมื่ออายุมากขึ้นโครงสร้างทางชีวเคมีผิวย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวัยคือ ผิวชั้นบนเริ่มหลุดออกยาก(ต้องหาส่วนผสมที่มา exfoliate ผิวเพื่อให้หลุดได้ง่ายขึ้นครับ) และโครงสร้างที่ช่วยค้ำจุนผิวของคอลลาเจนและอีลาสตินก็น้อยลง โครงสร้างผิวเสียเป็นผลให้ผิวไม่สามารถเก็ยความชุ่มชื้นไว้ได้(จึงต้องการ moisturizer ที่เข้มข้นสูงเป็นอย่างมากครับ) ความสามารถของผิวที่จะต่อต้านการติดเชื้อ รับความรู้สึก และกลไกควบคุมอุณหภูมที่ผิวก็จะน้อยลง เมื่อปล่อยให้ผ่านไปตามวัยการสื่อสารของเซลล์ก็จะมีปัญหาขึ้นเป็นผลให้มีการทำลาย DNA ( ควรหาส่วนผสม Peptide ที่มีหน้าที่ช่วยให้เซลล์สื้อสารเพื่อยับยังการทำลายคอลลาเจนและช่วยกระตุ้นให้เซลล์สร้างคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น) ปัญหาริ้วรอยตามวัยนี้ควราส่วนผสมที่มี --> Peptide( GHK-Cu Copper Peptides , Palmitoyl Pentapeptide-3 , Acetyl Hexapeptide-3 , Palmitoyl Tetrapeptide-3 , SYN-AKE TriPeptide ) , Retinol , Vitamin C 10% , AHA 10% Photoaging (ริ้วรอยที่เป็นผลจากแสงแดด) มาเรียนรู้กลไกการทำงานของ Peptide กันทำไมมันราคาแพงและมันช่วยได้แค่ไหน ในผิวหนังของคนเรา โดยเฉพาะในชั้นหนังแท้ จะมีเส้นใยคอลลาเจน(Collagne fibers) และเส้นใยอีลาสติน(Elastin) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญโดยคอลลาเจนมีหน้าที่ให้ความแข็งแรง ในขณะที่อีลาสตินจะทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นกับผิวหนัง ในช่วงวัยเด็กหรือวัยรุ่นตอนต้นเส้นใยคอลลาเจน(Collagne fibers) และเส้นใยอีลาสติน(Elastin) จะมีความแข็งแรง และมีปริมาณมาก จึงทำให้ผิวหนังเต่งตึงกระชับ เมื่อมีรอยย่นก็จะฟื้นตัวกลับมาปกติได้เร็ว ขณะเดียวกัน แม้จะถูกทำลายด้วยสาเหตุใด ก็ตาม ก็จะมีการสร้างเส้นใยใหม่ขึ้นมาทดแทนในปริมาณที่เพียงพอ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น การสร้างเส้นใยคอลลาเจน(Collagne fibers) และเส้นใยอีลาสติน(Elastin) จะลดลงและถูกทำลายได้มากขึ้น จากภาวะหลายอย่าง เช่น ภาวะชรา แสงแดด การสูบบุหรี่ ความเครียด ฯลฯ จึงทำให้ผิวหนังไม่แข็งแรงและบางลง จึงทำให้ผิวหนังเกิดบาดแผลได้ง่ายและหายได้ช้า นอกจากนี้อีลาสตินที่ลดลง ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น จึงเกิดริ้วรอยย่นได้ง่ายและลึก จากการประชุมวิชาการของแพทย์ผิวหนังได้มีการรายงานเกี่ยวกับกลไกที่จะช่วยแก้ไขความร่วงโรยของผิวตามวัยโดยพบว่า ธรรมชาติของผิวหนังมีตัวกระตุ้นที่ส่งสัญญาณบ่งบอกให้เซลล์ผิวหนังมีการซ่อมแซมสร้างตนเองใหม่ ตัวส่งสัญญาณนี้ก็คือ " สารอะมิโน เพ็พไทด์(Amino-peptides)" ซึ่งเป็นส่วนย่อยๆ ของโปรตีนของผิวหนังที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โดยจะพบว่าสารนี้ประกอบด้วยกรดอะมิโน 5 ชนิดที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ที่จะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังได้ ขบวนการโดยมีดังนี้ เมื่อสารอะมิโน เพ็พไทด์ ส่งสัญญาณไปแล้ว เซลล์ไฟโบรบลาสต์ ( Fibroblast cells) จะรับสัญญาณนี้ และทำการสร้างเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสตินเพิ่มขึ้น จึงเกิดผลฟื้นฟูสภาพผิวหนังขึ้นมาใหม่ ให้กระชับขึ้น ดูอ่อนวัยขึ้น จากการค้นพบดังกล่าว จึงได้มีนักวิทยาศาสตร์ด้านผิวพรรณได้นำสารนี้มาผลิตและผสมในครีมบำรุงผิว ลดริ้วรอยชนิดใหม่ที่มีสารอะมิโน เพ็พไทด์ชนิดจำเพาะมาเป็นส่วนประกอบ และใช้นาโนเทคโนโลยี่ที่กำลังฮิต ช่วยนำพาสารนี้ให้ลงไปออกฤทธิ์ใน ผิวหนังแท้ได้เต็มที่มากขึ้น ดังนั้นครีมบำรุงผิวที่ช่วยป้องกันและลดริ้วรอยจึงมีการผสมสาร Antioxidants เช่น วิตามินอี เรตินเอ Q10 มากมายแล้ว ยังมีสาร Argireline ที่ออกฤทธิ์ลดรอยย่นเล็กๆ ( คล้ายBotox) การค้นพบสารอะมิโน เพ็พไทด์ชนิดจำเพาะ จึงเป็นอีกภาพลักษณ์ใหม่ของครีมบำรุงลดริ้วรอยที่ให้ประสิทธิภาพและไม่ระคายเคืองผิว เหมือนกลุ่มเก่าๆ Acetyl Hexapeptide 3 Argireline เป็นตัวที่เป็นการตลาดบอกว่าคูรสมบัติคล้าย Botox เพราะว่ามันสามารถยับยังการหดตัวของกล้ามเนื้อซึ่งอาจมาจากการแสดงออกของสีหน้า ---> เป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ? ก่อนจะตอบคำถาม หมอว่าเรามาดูกลไกของสารตัวนี้ที่เค้าศึกษาระดับเซลล์กัน เริ่มจากสารสื่อปรีะสาทที่ชื่อ Acetylcholin ซึ่งเป็นตัวสำคัญเกี่ยวกับการหดตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งจากหลักตรงนี้เองการฉีดBotoxก็คือป้องกันกล้ามเนื้อหดตัวโดยทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต(หน้าเลยตึง)แม้ว่าจะมีการส่ง acetylcholine อยุ่แต่กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเลยไม่มีการตอบสนองครับ แต่ไอ้ตัวArgireline ทำงานโดยไปยับยัง acetylcholine ก่อนจะไปถึงกล้ามเนื้อ เลยเปรียบเสมือนว่ามีการสง acetylcholine แต่ไปไม่ถึงกล้ามเนื้อจึงไม่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว จึงได้มีนักวิทยาศาสตร์ด้ารผิวพรรณได้ทำการทดลองในห้องทดลอง( Lipotec )โดยการเพราะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยการลด acetylcholine ที่ส่งไปกล้ามเนื้อ 30% และติดตามดูกล้ามเนื้อลายเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่กล้ามเนื้อลายหดตัวต่อนาทีพบว่าสามารถลดการหดตัวได้ 30% จึงได้มีการทดลองกับสิงมีชีวิตพบว่าสามารถดความลึกของริ้วรอยได้(วัดโดย Laser scanning microscopy ) กลไกหลักของมันคือลดการหดตัวของกล้ามเนื้อไม่ได้มีส่วนในการสร้างคอลลาเจนหรืออีลาสตินใดๆ ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่มีริ้วรอยจากการแสดงสีหน้ามากและอายุที่เยอะ(สัก 30 up เนื่องจากสารGABAในร่างกายเริ่มน้อยลงทำให้มีการหดตัวของกล้ามเนื้อมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นเป็นผลให้มีริ้วรอยตามวัยที่มากขึ้นครับ) ผลที่ได้จริงมากน้อยแค่ไหน ริ้วรอยตื้นๆสามารถช่วยได้ครับ แต่สำหรับริ้วรอยร่องลึกมากอาจจะไม่ได้เห็นผลมากหรือในบางคนอาจจะไม่เห็นความแตกต่างครับแต่ก็มีบางคนพบว่าตื้นขึ้นได้เช่นกันครับ หมอว่าขึ้นกับความเข้มข้น หาก Acetyl Hexapeptide 3 อยู่ ติด สาม อันดับแรก(หาแบรนที่อยู่ต้นๆขนาดนี้ได้ยากมากครับ เพราะขนาดใส่มาท้ายๆราคายังแพงเลยครับ หมอว่าได้อันดับกลางๆก็ถือว่าดีมากแล้วครับ)มีความเป็นไปได้สูงที่สามารถช่วยให้ริ้วรอยที่ลึกตื้นขึ้นได้ครับแต่คงไม่ถึงกับว่าจะกลับมาเป็นเหมือนวัยเด็กๆๆแน่นอนครับ ถ้าต้องการแบบนั้นการฉีด Botox น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ ตัวนี้ศึกษากันมาตั้งแต่ปี 1998 โดยการทำ clinical study ของ New Jersey University of Medicine และ Dentistry และ Robert Wood Johnson Medical School (Abdulghani et al.) ได้ทำการเปรียบเทียบการเพิ่มขึ้นของ collagen หลังจากการใช้ครีมที่บรรจุ copper-peptides, vitamin C และ retinoic acid (Retin-A) จากการทดสอบกับอาสาสมัคร 20 คน ทาครีมที่บรรจุส่วนผสมต่างกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน คอลลเจนใหม่ที่สร้างขึ้นที่ดูโดยการทำตัดชื้นเนื้อ พบว่า copper-peptides มีการสร้างขึ้นใหม่ของคอลลาเจนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดยพบว่ามีการสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น70%ของคนที่ใช้ครีม copper-peptide creams, 50% ของคนที่ใช้ครีม vitamin C และ 40% ที่ใช้กลุ่ม retinoic acid เรื่องนี้ได้มีการพูดถึงกันในปี 2002 ในการประชุมของ American Academy of Dermatology ได้มีการกล่าวถึงแบรนที่ชื่อ Neutrogena ซึ่งจากรายงานพบว่ามีการบรรจุใส่ GHK-CU ในรายงานกล่าวว่าใช้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของอีลาสตินและตื้นขึ้นของริ้วรอบ ในรายงานฉบับที่ สอง( รายงานการศึกษาโดย University of Pennsylvania ) กล่าวว่า Neutrogena ที่บรรจุ GHK-Cu และใช้ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผิวมีการหนาและตึงมากขึ้นโดยวัดโดย ultrasound และริ้วรอยและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอดีขึ้น รายงานฉบับที่ 3 รายงานโดยUniversity of Pennsylvania ทำการศึกษาเป็นเวลา 12 อาทิตย์ของคนที่ใช้ครีม GHK-Cu จากการศึกษาโดย ultrasound วัดความหนาแน่นของผิวหนัง และใช้ cutometerวัดความยืดหยุนของผิว(อีลาสติน) จากทั้งหมดสรุปว่าสามารถลดริ้วรอยแรกเริ่ม(ไม่ลึก)ได้อย่างมีนัยสำคัญนอกจากนี้ยังเพิ่มความหน่าแน่นให้ผิวและความยืดหยุ่นของผิว แพทย์ผิวหนังช่วงหนังๆนี้จะเน้นให้ไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า Cosmeceuticals มากกว่าเนื่องจากมีสารที่ออกฤทธ์ที่มีความเข้มข้นเพียงพอที่สามารถเห็นผลได้ครับ Cosmeceuticals คือ ผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าเครืองสำอางทั่วๆไปแต่ประสิทธิ์ภาพยังไม่เท่ายาครับ โดยรวมแล้วก็มีรายงานประโยชน์ของ Copper Peptide ใน skin care creams มีดังต่อไปนี้ ช่วยความกระชับ และ firm ให้กับผิว ลดริ้วรอยแรกเริ่มให้กับผิวและริ้วรอยร่องลึก(แต่ส่วนมหญพบว่าช่วยได้เล็กน้อย) ลดการทำลายผิวจากแสงแดดที่อาจก่อให้เกิดสีผิวไม่สม่ำเสมอและริ้วรอยก่อนวัย ปรับสภาพให้ผิวเรียบเนียน ไม่ควรใช้ร่วมกับวิตามินซี นะครับ เพราะจะทำให้วิตามิน ซี ไม่ทำงานครับ 5 amino acid ที่เรียงลำดับ Lysine, Threonine, Threonine, Lysine และ Serine หรือที่เรียกกันว่าPP-3 หรือ Pal-KTTKS( โดยที่ P = palmitoyl K = Lysine T = Threonine, Threonine S = Serine ) ในการทดลองในห้องทดลองพบว่ามีการสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1( Collagen I พบใน กระดูก เอ็น ผิวหนัง และพบในกระบวนการซ่อมแซมแผลในระยะกลังๆ ) เพิ่มขึ้น 212% แลตอลลาเจนะชนิดที่ 4 เพิ่มขึ้น 100 ถึง 327% ( Collagen IV พบใน Basement membrance , Basal lamina ) และมีการเพิ่มขึ้นของ Hyaluronic Acid ถึง 267% การเพิ่มขึ้นของ Collagen I นี้สำคัญอย่างมากในการสร้างผิวให้กลับคืนสภาพเดิม ในขณะ Hyaluronic Acid ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้ดูอ่อนกว่าวัยเพราะโครงสร้างผิวนั้นยังเต็มเหมือนเก่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผิวหนังชั้น dermis และ epidermis ของผิววัยรุ่นนี้จะมีร่างแห(ชั้น)ที่เรียกว่า glycan network ที่ประกอบด้วยเส้นใยคอลลาเจนที่คอยค้ำจุนโมเลกุลของ glycan แล้วไอ้ Glycans คืออะไร มันก็เป้นโมเลกลุลที่คอยจับและรักษาน้ำทำให้ผิวมีความยืดหยุดและมีน้ำมีนวลขึ้นครับ glycan network สามารถย่อมให้สารอาหารผ่านจากชั้นผิว dermis ไป epidermis เมื่อไหรก็ตามที่ร่างกายเรามีการลดลงของ glycans ทำให้สารอาหารไม่สามารถไปถึงชั้นepidermis ทำให้ผิวชั้นบนขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวทำให้มีอาการแสดงออกคือ ผิวแห้งหยาบกร้าน ริ้วรอยร่องลึก ผิวหม่นหมอง ผิวหย่อนคล้อย จึงได้มีการศึกษาในมนุษย์ที่ Ultra Aesthetics ผลที่พบจากการวิจัยหลังจากทาครีมที่มีส่วนผสม Pal-KTTKS ผลลัพธ์ที่เริ่มเห็นผลได้ใช้เวลาสองเดือนหลังจากใช้ แล้วทำการวัดใน หก เดือนต่อมาผลที่ได้คือ ริ้วรอยร่องลึกตื้นขึ้น 17% (ตาเปล่าอาจสังเกตุเห็นไม่ชัด) ริ้วรอยที่ผิวตื้นๆลดลง 68% Palmitoyl Tetrapeptide 3
คุณหมออธิบายเข้าใจง่ายมากๆเลยค่ะ //dermateck.bloggang.com อันนี้เป็นบล๊อกของคุณหมอที่พัดไปนำข้อมูลมาค่ะ (เห็นคุณหมอจะลบแล้วเลยไปขออนุญาตินำมาลงบล๊อกนี้เสียดายข้อมูลดีดีหนะค่ะ) เลยเก็บมาฝากเพื่อนๆ จะได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของแต่ละคนได้ง่ายขึ้นค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากค่ะสำหรับข้อมูล แล้วเดี๋ยวจะนำมาฝากเพื่อนๆใหม่สำหรับข้อมูลดีดีแบบนี้นะค่ะ Free TextEditor เคล็ดลับผิวขาวอมชมพู
เคล็ดลับผิวขาวอมชมพู 'โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง' สาวๆ ยุคใหม่ที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวพรรณให้เรียบ เนียน สวยอยู่ตลอดเวลา วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม นี้ รายการ "เคล็ดลับวันหยุด" ที่มาพร้อมกับพิธีกรสาวหุ่นเพรียว "คาร่า พลสิทธิ์" จะมาบอกเคล็ดลับเพื่อผิวขาวสุขภาพดีที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากกับเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง" ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า "คาร่ามีผิวขาวสุขภาพดีได้ ก็เพราะคาร่าได้บำรุงผิวพรรณจากโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติ และถ้าพูดถึงโยเกิร์ตแลวใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แถมยังเป็นอาหารผิวที่ดีได้อีกด้วยค่ะ ส่วนน้ำผึ้งนอกจากเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว ก็ยังมีคุณค่าในด้านความสวยความงามด้วยค่ะ สำหรับส่วนผสมของเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง" เริ่มจากน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตเปล่า 1 ถ้วยค่ะ นำมาคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วตัว จากนั้นใช้ปลายนิ้วขัดผิวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกมาหลังล้างออก และยังเพิ่มความชุ่มชื้นและคงความขาวเนียนให้กับผิวได้อีกด้วยค่ะ อย่าลืมบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตเป็นประจำ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกายนะคะ เพื่อคุณจะได้เป็นเจ้าของผิวที่ขาว อมชมพูอย่างมีสุขภาพดีตลอดไปค่ะ"
ขอขอบคุณที่มาจาก NEWSWIT.COM Free TextEditor 5 วิธีง่าย ๆ ในการลดความอ้วน
5 วิธีง่าย ๆ ในการลดความอ้วน
............................................................................. ข้อมูลดีดีเก็บมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ ขอขอบคุณเว็บ //www.ozonicinter.com/ สำหรับข้อมูลค่ะ เพื่อนๆก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะค่ะ Free TextEditor |
Link |