ความเกี่ยวพัน ของ พญาครุฑและพญานาค
ทำกรรมฐาน ครั้งสุดท้าย เราลั่นสัจจะ เดิน ๑ ชม. ๕ นาที และลงมานั่งสมาธิอีก ๑ ชม. ๕ นาที ในระหว่างที่นั่งสมาธิอยู่ เราเห็น พญานาค ๒ ตัว ตัวเล็ก อ้าปากกว้าง อยู่ตรงหน้าเรา เรากำหนด "เห็นหนอ เห็น หนอ" ทันที และภาพหายไป กลับมากำหนด พอง ยุบ ต่อตามปกติ ออกจากกรรมฐานแล้วลืมเรื่องนี้สนิท จนผ่านมา ๑ วัน ตอนค่ำๆ กลับมานึกได้ ว่า เห็น พญานาคท่านมาหา ๒ ตัว ซึ่งยศศักดิ์ ไม่ได้เป็นชนชั้นสูงมากนัก ไม่รู้ทำไมถึงคิดแบบนั่น (แต่พอค้นหาข้อมูล ก็จริงตามที่คิดไว้เลย) เมื่อนึกได้แบบนั่น ใจก็อยากรู้เรื่องพญานาค แต่ใจก็คิดถึง พญาครุฑ ด้วย เรามีความรู้น้อยมากเกี่ยวกับพญาครุฑ เลยหาข้อมูล มาอ่านคู่กันเลย ตามประสาคู่ปรับ ชั่วกาลปาวสาน
เหตุที่พญาครุฑและพญานาค ไม่เคยญาติดีกันเลย
เห็นใช้คำว่า "ญาติดี" ก็ชัดเลยว่าเป็นพี่น้องกัน เทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากทั้งสองนี้ หนึ่งเป็นพญานาคราชจ้าวแห่งบาดาล และอีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา
พวกเขามีบิดาเดียวกันคือ "มหาฤาษีกัสยปะเทพบิดร" แต่คนละแม่
โดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวง ชื่อ "นางวินตา" (น้องสาว)
ส่วนพญานาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรอง ชื่อ "นางกัทรู" (พี่สาว)
ทั้ง ๒ พระนาง เป็นธิดาของพระทักษประชาบดี ซึ่งมีธิดาถึง ๕๐ องค์ และได้ยกให้พระกัศยปมุนี ถึง ๑๓ องค์
นางกัทรูได้ขอพรจากสามีให้มีลูกจำนวนมาก จึงให้กำเนิด นาค ถึง ๑,๐๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล
ส่วนนางวินตาขอลูกเพียง ๒ องค์ แต่ขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา จึงได้คลอดลูกออกมาคือ " อรุณ" และ "ครุฑ"
ซึ่งต่อมา "อรุณ" ได้ไปเป็นสารถีของพระสุริยเทพ
ส่วน "ครุฑ" เมื่อแรกเกิดออกจากไข่ ว่ากันว่ามีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาจะตกใจหนีหายไป รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ
ต่อมานางกัทรูและนางวินตามีเรื่องถกเถียงกันว่า ม้าที่เกิดคราวทวยเทพและอสูรกวนน้ำอมฤตจะสีอะไร จึงพนันกัน (อะผิดศีล หุหุ) ว่าใครแพ้จะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่าย ๕๐๐ ปี !
นางกัทรู (แม่ของนาค) ทายว่า สีดำ
นางวินตา (แม่ของครุฑ) ทายว่า สีขาว
ซึ่งความจริงม้าเป็น "สีขาว" แต่นางกัทรูใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า นางวินตาไม่ทราบจึงต้องเป็นทาสถึง ๕๐๐ ปี จึงทำให้ครุฑและนาคต่างไม่ถูกกันนับแต่นั้นมา และในที่สุดความผิดใจกันนี้ก็ลามไปถึงลูกของตนด้วย จึงเป็นเหตุให้นาคและครุฑไม่ถูกกันในเวลาต่อมานั่นเอง
พญาครุฑ
พญาครุฑนั้นมีนามว่า "ท้าวเวนไตย" เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ท้าวสุบรรณ" มีกายเป็นรัศมีสีทอง มีเดชอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลาย อาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์ มีวิมานทิพย์อยู่ที่เชิงเขาไกรลาส ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมาก อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตนนั้นๆ และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่ พญาครุฑ เป็นพาหนะของพระนารายณ์
ครั้งหนึ่งพญาครุฑเคยลองฤทธิ์กับองค์พระนารายณ์มหาเทพ การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ รบกันไปเท่าใดก็ไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะกันได้ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกันว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเราและท่าน พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้ และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถานที่ต่างๆ ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่าพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้ จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าจริง ในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นให้แก่พระอินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน พญาครุฑ จึงเป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดา และได้รับการยกย่องให้ว่ามีพลังอำนาจเทียบเท่า กับพระผู้เป็นเจ้า
ความเชื่อเกี่ยวกับ พญาครุฑ
"พญาครุฑ" เป็นสัตว์ในตำนานที่มีถิ่นพำนักเป็นทิพย์วิมาน ณ ป่าหิมพานต์ แต่เป็นสัตว์ที่คนไทยรู้จักกันค่อนข้างดี และมีความเชื่อว่าพญาครุฑเป็นสิ่ง "ศักดิ์สิทธิ์" เป็นของสูง เพราะครุฑเป็นพาหนะของพระนารายณ์ ของไทยเรารับคติมาจากอินเดีย ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ดังนั้นครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ
ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือ กึ่งพวกกายทิพย์ คล้ายชาวลับแล และพวกพญานาค อยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา
คนโบราณมีความเชื่อสืบกันมาว่า ครุฑเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง มหาอำนาจ อย่างเด็กผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีลักษณะปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิดภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต
สมเด็จเจ้าแตงโม พระสังฆราชพระองค์หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาดีและได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด เรื่องครุฑนี้คนโบราณจึงเชื่อถือกันมาก
นอกจากนี้ยังมีเกร็ดความเชื่อว่า เครื่องหมายของพญาครุฑเป็นของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ หากเคารพนับถือให้ดีอำนาจพญาครุฑที่มีอยู่ ก็จะคุ้มครองผู้นั้นไม่ให้มีวันอับจน แต่คนสมัยนี้ไม่ใคร่เชื่อถือกันเท่าใดนัก เรื่องพญาครุฑจึงดูล้าสมัยไปเสีย ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่ไหนว่ากันว่าผีแรง ผีเฮี้ยน เอาตราพญาครุฑไปติดไว้ ความอาถรรพ์ของสถานที่นั้นๆ ก็จะหายไปในทันที
ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรับรู้กันได้ทั่วไป
พญานาค
ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี ๗ สี และที่สำคัญคือ
นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว
นาคตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร
อนันตนาคราชนั้น เล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม
ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ
พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ ๑ ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ ๗ ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ ๗ ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้
พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่างๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ถ้าอรจำไม่ผิด มาจากพญานาค ที่เห็นพระพุทธเจ้า ท่านนั่งสมาธิอยู่ แต่มีฝนตกลงมา พญานาค ตนนั้น เลื้อยล้อมพระองค์ไว้แล้วแผ่ปรค ออก เพื่อไม่ให้ฝนนั้น ต้องพระวรกาย แล้วแปลงกายเป็นมนุษย์ ยืนเฝ้าปกป้องพระองค์ ประมาณนี้ นับแต่นั้น จึงถือว่า พญานาคเป็นเสมือนตัวแทนของผู้ปกป้องพิทักษ์พระพุทธเจ้าญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ ๕ อย่างนี้ จะต้องปรากฏเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง ๖๔ ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอาก้นไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก ๑๕ วัน
พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน ๑ โยชน์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง ๗ ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว ๓, ๕ และ ๗ เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้นๆ
จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า พญานาคที่ต้องการหลุดพ้นจากชาติภพพญานาคมาเกิดเป็น "มนุษย์"ได้ต้องมีการบำเพ็ญศีลเสียก่อนและต้องกินเฉพาะปลาที่ตายแล้วเท่านั้น ที่สำคัญคือ ต้องทำเช่นนี้ติดต่อกันถึง ๕๐๐ ชาติ เพราะฉะนั้นกายทิพย์ของพญานาคที่ต้องการเกิดเป็นมนุษย์จึงต้องบำเพ็ญศีล ซึ่งเป็นเรื่องยากและต้องอาศัยความเพียรอย่างจริงจัง
แม้แต่นาค ที่อยากเกิดเป็นมุนุษย์ ยังต้องมีความอดทน ความเพียร ขนาดนี้ แล้วคุณล่ะ? อุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทั้งที
คืนนี้ สวดมนต์ตามปกติ แต่บวก บทเมตตาใหญ่ ด้วย เนื่องจากเป็นวันธรรมะสวนะ แล้วต่อด้วย ทำกรรมฐาน ๓ ชั่วโมง แล้วจะเอาบุญมาฝากผู้ได้เข้ามาอ่านนะเจ้าค่ะ
Create Date : 28 มกราคม 2556 |
Last Update : 28 มกราคม 2556 22:05:13 น. |
|
7 comments
|
Counter : 8256 Pageviews. |
|
|