"หน้าฝนมาแล้ว...ว"
Group Blog
 
All blogs
 

ทีวี.....ศัตรูตัวร้ายของการอ่านหนังสือ

เราคุยกันเรื่องการช่วยให้ลูกๆรักการอ่านแล้ว....อืม...ก็น่าจะคุยกันบ้างว่าอุปสรรคที่จะทำให้แผนการล้มเหลวคืออะไรนะคะ

พี่เก้ากับน้องสิบของแม่แจ่มใสรักการอ่านขนาดที่ก่อนออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปไหนก็ตามจะหนีบหนังสือไปด้วยคนละเล่ม เวลาไปไหนที่ต้องมีการรอคอย พี่น้องคู่นี้สบายค่ะ นั่งอ่านหนังสือไปเรื่อย ไม่มีปัญหา....ยกเว้นแต่อ่านจบก่อนธุระเสร็จ....ทีนีจะเริ่มบ่นแล้ว...



ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็เอาหนังสือไปด้วยค่ะ

เพื่อนหลายคนถามแม่แจ่มใสว่าทำยังไงลูกถึงชอบอ่าน..แม่แจ่มใสก็จะบอกวิธีเหมือนที่เอามาเล่าสู่กันฟังนี่แหละค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะบ่นว่าลูกไม่เอาหนังสือเลย ซื้อให้ก็ไม่อ่าน แม่แจ่มใสจะมีคำถามๆเพื่อนที่บ่นแบบนี้กลับว่า "ที่บ้านเปิดทีวีทั้งวันหรือปล่าว?"..... แล้วก็ได้คำตอบค่ะ 100 ทั้ง100 เปิดทีวีทิ้งไว้ทั้งวัน จะมีคนนั่งดูหรือปล่าวไม่รู้ เพื่อนแม่แจ่มใสบางคนเป็นนิสัย พอเข้าบ้านปุ๊บเปิดทีวีไว้เลย เหมือนไม่อยากให้บ้านเงียบนะคะ..ลองสำรวจสิค่ะว่ามีใครเป็นแบบนี้บ้าง พฤติกรรมนี้ควรเลิกถ้าเรามีลูก เพราะทีวีนี่แหละค่ะที่ทำให้เด็กไม่ทำอะไรเลย ไม่ทานข้าว ไม่อยากทำการบ้าน โอ้เอ้ไม่อยากอาบน้ำ ไม่อยากอ่านหนังสือ เพราะทีวีเป็นสื่อที่มีทั้งภาพทั้งเสียง บันเทิงดีจัง แล้วเด็กๆที่ไหนจะมีสมาธิสนใจกับหนังสือละคะ
แม่แจ่มใสเข้าใจค่ะ ว่าเกือบทุกบ้านติดตั้งเคเบิ้ลทีวี เสียเงินรายเดือนแสนแพง เอ๊ะ..ไม่เปิดก็ขาดทุนสิ... แม่แจ่มใสเคยมีเหมือนกัน ตอนลูกเล็กๆ แต่แม่แจ่มใสจะดูเฉพาะบางเวลา บางโปรแกรม ส่วนใหญ่จะดู HBO ตอนค่ำๆ ลูกๆหลับแล้ว ส่วนช่องการ์ตูนที่มีวันละ12 ชม.(ตอนนั้นก็..15ปีมาแล้วค่ะ) แม่แจ่มใสไม่เปิดเลย กดรีโมทข้ามตลอด ลูกยังเล็ก..ลูกๆเลยไม่รู้ว่ามีการ์ตูน เพราะมันยากนะที่จะให้ลูกหยุดดูแล้วไปทำอย่างอื่น เพราะมีต่อเนื่องทั้งวัน วนไปวนมา เด็กๆก็จะ...เดี๋ยว...อีกนิดนึง...อีกแป็บนึง.. อยู่อย่างงี้ แม่แจ่มใสคิดแล้วว่าไม่อยากมีบรรยากาศแบบนั้นในบ้าน เลยไม่เปิดเลยค่ะ แต่แม่แจ่มใสจะใช้วิธีเช่า VDO (สมัยก่อนไม่มีDVD) การ์ตูนมาให้ลูกดู เราควบคุมได้ค่ะว่าจะให้ดูเรื่องไหน ดูบ่อยแค่ไหน ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกัน เอาไว้จะเล่าเรื่องการหาหนังให้ลูกดูทีหลังค่ะ เราใช้ประโยชน์จากหนังในการเสริมพัฒนาการลูกได้ค่ะ
สุดท้าย..แม่แจ่มใสก็ตัดสินใจเลิกติดเคเบิ้ลทีวีค่ะ ทุกวันนี้ก็ไม่มี ที่บ้านเราดูทีวีเป็นเวลาค่ะ พี่เก้ากับน้องสิบก็จะเลือกดูเฉพาะรายการที่ชอบ เราดูDVDกันในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ โรงหนังก็ไม่เข้าแล้วค่ะ เปลืองมากเลย ค่าตั๋ว ค่าของว่าง ค่าอาหารเย็นหลังจากหนังจบ แถมอยากดูซ้ำก็ต้องไปหาdvd มาดูอยู่ดี พี่เก้ากับน้องสิบ ชอบดูหนังซ้ำๆค่ะ VDO , DVD ที่บ้านดูกันคุ้มสุดๆ ลูกๆนอกจากจะมีเวลาอ่านหนังสือแล้วก็ยังมีง่ายอดิเรกอื่นด้วย เช่น เล่นเปียโน....วาดรูป....เล่นของเล่น....เล่นกับน้องหมา...ออกไปขี่จักรยาน...ตีแบต..

ลองดูสิค่ะ....ว่าเราเปิดทีวีกันด้วยความเคยชิน หรือเราอยากดูจริงๆ ถ้าเราอยากให้ลูกรักการอ่าน .... มีงานอดิเรก ...ใช้เวลาทำอย่างอื่นบ้าง.... ต้องตัดใจเรื่องทีวีค่ะ ....
แต่ทั้งนี้ทุกอย่างหยืดหยุ่นได้นะคะ อย่าเคร่งครัดมากเกิน เด็กก็คือเด็ก เพียงแต่แม่แจ่มใสมักจะพยายามหาสิ่งดีๆจากเรื่องรอบๆตัวลูกๆ ทุกอย่างมีโทษ และมีประโยชน์ค่ะ หน้าที่เด็กคือเล่น แม่แจ่มใสจะจำไว้เสมอ แต่แม่แจ่มใสจะต้องให้ได้ประโยชน์จากการเล่นด้วย นิดนึงก็ยังดี
อ้อ... สิ่งหนึ่งที่ต้องสอนคู่กันไปคือความรับผิดชอบคะ ให้ลูก กิน นอน เป็นเวลา โตมาหน่อยก็เรื่องเรียน เรื่องการบ้าน ช่วยงานบ้านบ้าง ที่เหลือ จะบันเทิงโลดก็ตามสบายค่ะ




 

Create Date : 07 มีนาคม 2552    
Last Update : 7 มีนาคม 2552 9:19:50 น.
Counter : 560 Pageviews.  

อยากให้ลูกอ่านหนังสือ.......ลองอ่านกันดู...เผื่อจะเป็นประโยชน์

ใครก็อยากให้ลูกรักการอ่านจริงไหมค่ะ.........
เชื่อไหมว่าแม่ที่ไม่รักการอ่านก็สามารถทำให้ลูกรักการอ่านได้ จริงๆนา
แม่แจ่มใสเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย หยิบขึ้นมาเมื่อไหร่เหมือนกินยานอนหลับเลย แต่พี่เก้า กับน้องสิบของแม่แจ่มใสเป็นนักอ่านตัวยงค่ะ หนังสือล้นบ้านเลย ไปเดินห้างก็ไปได้ 2-3 โซน คือร้านอาหาร ร้านขายเกมส์กับหนัง แล้วก็ร้านหนังสือ แล้วก็กลับบ้านกันค่ะ หมดเวลาไปในร้านหนังสือเยอะมาก.ก..............ก

แม่แจ่มใสมีคำแนะนำสำหรับคนที่มีลูกเล็กๆ นะคะ เริ่มชักชวนให้ลูกชอบอ่านหนังสือได้ไม่ยาก แต่ต้องทำสม่ำเสมอ และใช้เวลานะ ส่วนที่ลูกโต ติดเกมส์ ติดทีวี แล้ว แม่แจ่มใสก็ไม่รู้จะแนะนำยังไง แม่แจ่มใสไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ได้ทุกอย่างมาจากประสพการณ์ค่ะ

ชวนลูกดูหนังสือ
แม่แจ่มใสใช้คำว่าดูค่ะ เพราะพี่เก้ากับน้องสิบ เริ่มดูภาพในหนังสือตั้งแต่เริ่มนั่งได้ พอลูกเริ่มนั่งได้ แม่แจ่มใสก็มักแบ่งเวลาในแต่ละวัน เอาพวกนิตยสารมานั่งเปิดรูปดูกับลูกค่ะ พวกนิตยสารเกี่ยวกับแม่และเด็กทั้งหลายนี่แหละค่ะ พี่เก้ากับน้องสิบจะได้ดูรูป แล้วก็ชี้ชวนคุยกันเรื่องรูปต่างๆ เรื่องสี เรื่องต้นไม้ สัตว์เลี้ยง.........
เยอะแยะค่ะ นั่งเปิดหนังสือดูรูปไปคุยกันไป เด็กๆชอบค่ะ หนังสือเป็นเหมือนหน้าต่างบานใหญ่ที่ทำให้เขาได้รู้ได้เห็นมากมาย ก่อนจะไปเจอของจริง แล้วพอได้เจอของจริงเด็กๆก็จะเทียบเคียงกับสิ่งที่เขาเห็นในหนังสือค่ะ ข้อสำคัญ..........>อย่าเปิดทีวีเวลานั่งดูหนังสือกันเด็ดขาด สมาธิและความสนใจของลูกๆจะอยู่กับหนังสือค่ะ

ให้ลูกเปิดหนังสือเอง
อย่าหวงหนังสือ อย่ากลัวพัง การที่ให้ลูกเปิดหนังสือเองจะเป็นการฝึกการใช้กล้ามเนื้อเล็กของลูก เราก็ค่อยๆช่วยบ้างนิดหน่อย พี่เก้าของแม่แจ่มใสเนี่ยนั่งเปิดนิตยสารดูรูปนั่นนี่ได้ทีละหน้าจนหมดเล่มตั้งแต่ยังเดินไม่ได้ค่ะ พี่เก้าชอบมาก ส่วนน้องสิบเทียบที่อายุเท่ากันแล้ว ยังเปิดทีละปึกอยู่ ความสามารถของเด็กไม่เหมือนกันค่ะ พี่เก้าควบคุมกล้ามเนื้อเล็กได้ดีกว่า อาจเพราะพี่เก้าเป็นเด็กผู้หญิงด้วยมั้งค่ะ ความละเอียด ความใจเย็นมีมากกว่า สมาธิพี่เก้าดีกว่าจดจ่อได้นานกว่า ทำแบบเนี่ยทุกวันนะคะ เป็นกิจวัตรที่จะต้องมานั่งดูหนังสือด้วยกัน พอลูกเริ่มเบื่อก็พอ แล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นค่ะ สร้างบรรยากาศให้สนุกนะคะ อย่าปล่อยให้น่าเบื่อล่ะ

อ่านนิทานให้ลูกฟัง
บางทีเวลาเล่านิทานให้ลูกฟัง บางคนมักจะเล่าเฉยๆ ไม่มีหนังสือ และจะเล่าก่อนนอนใช่ไหมค่ะ แม่แจ่มใสใช้วิธีอ่านจากนิทานประกอบรูปภาพ ลูกๆจะได้เห็นภาพจากหนังสือ เด็กๆจะมีจินตนาการตาม และเรียนรู้ว่าหนังสือช่างเป็นอะไรที่ดีจริงๆ และเป็นมิตรกับหนังสือ แม่แจ่มใสอ่านให้ลูกๆฟังทั้งเวลานอนกลางวัน และกลางคืนค่ะ ก่อนนอนก็ให้ลูกไปเลือกหนังสือได้คนละ 1 เล่ม สองคนก็ได้ 2 เรื่อง วันละ 2 เวลา ทั้งหมดก็เป็น 4เรื่องต่อวัน ก็อ่านกันไปแบบนี้ทุกวัน จนเข้าอนุบาล พี่เก้ากับน้องสิบจะไม่รักหนังสือก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วค่ะ

พาลูกเข้าร้านหนังสือ
อันนี้เป็นเรื่องหลักเวลาพาลูกไปห้าง และสิ่งที่แม่แจ่มใสไม่ทำคือการพาลูกไปแผนกของเล่น แม่แจ่มใสจะเลี่ยงเส้นทางที่จะเดินผ่านแผนกของเล่น ของยั่วกิเลสเยอะค่ะ ไม่ไหว.... แม่แจ่มใสซื้อของเล่นให้ลูกโดยเลือกเอง ไม่พาลูกไป นานๆจะพาให้ไปเลือกเอง และจำกัดงบประมาณค่ะ อยู่ๆมาชักดิ้นชักงอเอาของเล่น เป็นเรื่องแน่ แม่แจ่มใสไม่ยอมค่ะ ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ให้ร้องไป แล้วพากลับบ้าน อดหมดทุกอย่าง
แม่แจ่มใสพาพี่เก้ากับน้องสิบเข้าร้านหนังสือทั้งไทยทั้งเทศ ต้องยอมรับอย่างนึงว่าหนังสือต่างประเทศน่าอ่านกว่าเยอะ แพงกว่าเยอะอีกต่างหาก แต่แม่แจ่มใสไม่เสียดายเงินสำหรับหนังสือลูกๆค่ะ ถ้าไม่ลำบากเกินไปก็ให้เถอะค่ะ เห็นหลายคนซื้อของเล่นแพงๆให้ลูกได้ แต่ไม่ลงทุนกับหนังสือ น่าจะกลับกันนะคะ

พอดีลูกๆแม่แจ่มใสเรียน2ภาษาค่ะ เขาก็อ่านหนังสือได้ทั้งไทย และอังกฤษ

จัดชั้นหนังสือให้ลูก
จัดหนังสือแบบที่ให้ลูกหยิบได้ง่ายๆนะคะ เอาชั้นเตี้ยๆที่ลูกหยิบเองถึง อย่าซ้อนหนังสือแบบห้องสมุด เพราะหนังสือเด็กส่วนมากเล่มบางๆ พอซ้อนแบบตั้ง ก็ทำให้หยิบยาก หายาก มองไม่เห็นรูปบนปกก็ไม่ชวนให้อ่าน
แม่แจ่มใสจะวางแบบตั้งแบนๆค่ะ ซ้อนไม่สัก4-5 เล่มพอให้ลูกหยิบยกเองได้ แล้วเวลาลูกเก็บก็เก็บเองง่าย แค่ซ้อนๆไป ลูกเก็บไม่เรียบร้อยก็ช่างเถอะค่ะ ขอแค่เขาเอาไปวางซ้อนบนชั้นหนังสือก็พอแล้ว อ้อ...ชั้นหนังสือไม่ต้องมีประตูปิดนะคะ ถ้าปิดมิดชิดมันไม่สะดุดตาลูก เปิดโล่งๆนี่แหละ เดินผ่านไปผ่านมา จะได้หยิบมาอ่าน แม่แจ่มใสจะใช้วิธีหมุนเวียนเอาหนังสือที่อยู่ล่างๆขึ้นมาไว้ด้านบนบ้าง สลับไปมา ใครกลัวขี้ฝุ่นก็ต้องหมั่นทำความสะอาดหน่อย ทุกวันนี้ขนาดลูกโตแล้ว แม่แจ่มใสก็ใช้ชั้นเปิดโล่งค่ะ มันทำให้เราไม่ลืมว่าบ้านเรามีหนังสือนะ ตอนแม่แจ่มใสเด็กๆ ที่บ้านแม่แจ่มใสมีตู้เหล็กเก็บหนังสือ กันปลวกดีเลย แต่ก็กันคนด้วย เพราะความที่ไม่เห็น ก็ไม่ค่อยหยิบ แม่แจ่มใสเลยเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ทุกวันนี้อ่านหนังสือได้ช้ากว่าลูกอีก พี่เก้ากับน้องสิบอ่านเร็วมาก เล่มหนาๆ อ่านกัน 2-3 วันจบ หนังสือยังสภาพใหม่เลย




ชั้นสีขาวที่อยู่หลังเก้าอี้นั่นแหละค่ะ ใช้มาตั้งแต่ลูกเล็กๆ แต่ก่อนจะวางหนังสือแบบวางนอน ซ้อนกัน ให้ลูกหยิบง่ายเก็บง่าย แม่แจ่มใสใช้ตู้แบบนี้กับของเล่นลูกด้วยค่ะ หยิบง่ายเก็บง่าย ทำความสะอาดง่าย จะได้ไม่ต้องทะเลาะกับลูกเรื่องเก็บหนังสือ กับเก็บของเล่น

ลองปรับใช้ดูนะคะ.....ได้ผลยังไงก็เล่าให้ฟังมั้งนะ




 

Create Date : 06 มีนาคม 2552    
Last Update : 6 มีนาคม 2552 9:38:30 น.
Counter : 436 Pageviews.  


MommyTammy
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นSingle mom มาได้3ปี อาชีพหลักคือ เลี้ยงลูกวัยรุ่น 2 คน ดูแลบ้านช่อง หมาเล็กหมาใหญ่ อาหารการกิน งานอดิเรกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ....... ยังค้นหาตัวเองไม่เจอมั้ง......
Friends' blogs
[Add MommyTammy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.