ความสัมพันธ์ของเพลี้ยจักจั่นกับเมล็ดพันธุ์ข้าวในแปลงนา
ในห้วงช่วงสี่ถึงห้าปีที่ผ่านมาเราอาจจะเคยได้ยินแต่เรื่องการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลไปทั่วทั้งภูมิภาคโดยจะมีการระบาดมากที่สุดก็คือภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางเกือบทั้งหมด และระหว่างหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมานี้ก็เริ่มมีข่าวลุกลามไปทางฝั่งภาคตะวันออกแถบจังหวัดนครนายกฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรีก่อให้เกิดกระแสการรณรงค์ต่อต้านโดยมีงบส่วนกลางจากรัฐบาลส่งตรงไปยังหน่วยงาน อบต.เทศบาลต่างๆให้ไปช่วยเหลือจัดการพี่น้องประชาชนชาวไร่ชาวนาที่ประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติจากศัตรูพืชเหล่านี้ ความจริงแล้วศัตรูของต้นข้าวยังมีอีกชนิดหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กันนั่นก็คือเพลี้ยจักจั่น ที่พบเห็นในแปลงนาข้าวบ่อยๆ ก็มีอยู่สองชนิดคือเพลี้ยจักจั่นสีเขียว และเพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก สำหรับข้อมูลตัวแรกคือ เพลี้ยจักจั่นสีเขียว(green rice leafhopper) เพลี้ยจักจั่นสีเขียวเป็นแมลงจำพวกปากดูดที่พบทำลายข้าวในประเทศไทยมี 2 ชนิด คือ Nephotettix virescens(Distant) (ชี่อวิทยาศาสตร์) และ Nephotettix nigropictus(Stal) (ชื่อวิทยาศาสตร์) ตัวเต็มวัยของแมลงทั้ง 2 ชนิดมีสีเขียวอ่อนและอาจมีแต้มดำบนหัวหรือปีกขนาดลำตัวยาวไม่แตกต่างกัน ต่างกันตรงที่ N. nigropictus (Stal) มีขีดดำพาดตามความยาวของขอบหน้าผากระหว่างตาทั้ง2 ข้าง แต่ N. virescens (Distant) ไม่มีตัวเต็มวัยไม่มีชนิดปีกสั้น เคลื่อนย้ายรวดเร็วเมื่อถูกรบกวน สามารถบินได้เป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตร ชอบบินมาเล่นไฟตอนกลางคืนโดยเฉพาะช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง ตุลาคม เพศเมียวางไข่ในกาบใบข้าววางไข่เป็นกลุ่ม 8-16 ฟอง ไข่วางใหม่ๆมีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อนต่อมากลายเป็นสีน้ำตาลและมีจุดสีแดง ระยะไข่นาน 5-8 วัน ตัวอ่อนมีสีเหลืองหรือสีเขียวอ่อน ตัวอ่อนมี 5 ระยะ ระยะตัวอ่อนนาน 14-15 วันระยะตัวเต็มวัยประมาณ 10 วัน และสำหรับตัวที่สองคือ เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก(zigzag leafhopper) เพลี้ยจักจั่นปีกลายหยัก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Reciliadorsalis (Motsuchulsky)) ตัวเต็มวัยลักษณะคล้ายเพลี้ยจักจั่นสีเขียวแต่ขนาดเล็กกว่า ลำตัวยาวประมาณ 2มิลลิเมตร สีขาว ปีกสองข้างมีลายหยักสีน้ำตาลเป็นทางเพศเมียวางไข่บริเวณเส้นกลางใบ ประมาณ100-200 ฟองในระยะตัวเต็มวัยนาน 10- 14 วัน วางไข่เดี่ยวๆระยะไข่นาน 4-5 วัน ตัวอ่อนมีสีขาว ในขณะที่เพลี้ยจักจั่นมีสีเขียวอ่อน ตัวอ่อนมี 5 ระยะ (ข้อมูลกรมการข้าว) เพลี้ยจักจั่นนี้สามารถเข้าทำลายต้นข้าวได้ตั้งแต่ระยะเตรียมกล้าทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจนใบพืชซีดเหลือง ถ้ามีปริมาณมากๆ ก็จะทำให้ข้าวต้นและใบแห้งไหม้ตัวของเพลี้ยจักจั่นสามารถที่จะเป็นพาหะนำโรคใบสีส้ม คือมีอาการสีแสดจากปลายใบที่ใบล่างและจะเป็นสีแสดทั่วทั้งใบยกเว้นเส้นกลางใบใบที่เป็นโรคทั้งใบจะม้วนจากขอบใบทั้งสองช้างเข้ามาหาเส้นกลางใบทำให้ใบแห้งในที่สุดและโรคหูด ซึ่งมีอาการต้นเตี้ย แคระแกร็น ใบมีสีเขียวเข้ม และสั้นกว่าปกติจะมีอาการคล้ายโรคจู๋อยู่มาก ที่บริเวณหลังและกาบใบจะปรากฏปุ่มปมขนาดเล็กสีเขียวซีดหรือขาวใส ลักษณะคล้ายเม็ดหูดเม็ดหูดนี้ก็คือเส้นใบที่บวมปูดออกมานั่นเอง เมื่อเกิดโรคทั้งสองชนิดนี้ขึ้นกับข้าวจะทำให้การแตกกอช้า ใบเหลืองซีดสังเคราะห์แสงได้น้อย ต้นเตี้ยแคระแกร็น ส่งผลให้รวงไม่สมบูรณ์ผลผลิตลดน้อยถอยลง เป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า เพลี้ยจักจั่นจะเข้าระบาดมากที่สุดในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวหนาแน่นและต้นข้าวอวบอ้วนเขียวมากเกินปรกติซึ่งจะตรงกับลักษณะหรือพฤติกรรมของเกษตรกรที่ชอบใช้เมล็ดข้าวมากกว่า 1ถังครึ่งและชอบใช้ปุ๋ยยูเรียมากเกินไปและไม่มีการผสมกับหินแร่ภูเขาไฟ (VocanicRock) ซึ่งช่วยทำให้เป็นปุ๋ยละลายช้าโดยที่บางครั้งยังไม่ถูกช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมมักใส่ในระยะที่ข้าวยังไม่สู่กระบวนการแตกกอทำให้เนื้อปุ๋ยมีความเข้มข้นและมากเกินไปเมล็ดข้าวเม็ดเดียวที่ยังไม่แตกกอจึงดูดกินเข้าไปมาจนเฝือใบ และสังเกตได้ชัดเจนว่าจะมีการระบาดของเพลี้ยเหล่านี้น้อยในพืขที่มีการสะสมซิลิก้า(H4Sio4) (1. พัชนี ชัยวัฒน์ 2544,ผลของซิลิก้าในต้นข้าวต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล 2. Effect of SiliconApplication on Corn Plants Upon the Biological Development of the FallArmywormSpodoptera frugiperda (J.E. Smith) (Lepidoptera: Noctuidae)ที่ผิวใบมากเพียงพอจนทำให้การดูดกินน้ำเลี้ยงของเพลี้ยเหล่านี้ทำได้ยาก มนตรี บุญจัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 26 สิงหาคม 2556 |
Last Update : 26 สิงหาคม 2556 12:23:38 น. |
|
0 comments
|
Counter : 459 Pageviews. |
|
|
|