แตงเมล่อน ยอดหงิก เถาแตก เป็นไอ้โต้งไอ้แจ้ เพราะขาดซิลิก้า พีเอชไม่เหมาะสม
แตงเมล่อน ยอดหงิก เถาแตก เป็นไอ้โต้งไอ้แจ้ เพราะขาดซิลิก้าพีเอชไม่เหมาะสม เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสไปบรรยายที่จังหวัดราชบุรีกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูหลุม ซึ่งก็ไม่ได้มีแต่หมูเท่านั้นนะครับพี่น้องเกษตรกรที่นี่ก็ยังประกอบอาชีพเกษตรอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเพาะเห็ด ปลูกถั่ว ปลูกมะเขือ ปลูกข้าวและโดยขณะนี้ก็มีเรื่องของการปลูกแตงญี่ปุ่น หรือเมล่อนที่กำลังฮอทฮิตติดดาวอยู่ในขณะนี้ เนื่องด้วยใช้ระยะเวลาในการปลูกสั้นใช้น้ำน้อย เพราะใช้ระยะเวลาเพียง 75-80วันก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ แต่ปัญหาที่ลุงป้าน้าอาทั้งหลายกำลังเดือดร้อนและให้ผู้เขียนเขาไปให้ข้อมูลก็คือเรื่องของการที่แตงเมล่อนนั้นมีอาการยอดหงิก ต้นเตี้ยแคระแกร็น เถาแตก แถมมีร่องรอยของหนอนชอนใบเข้ามารบกวน บางแปลงก็ถูกทำลายเสียหายเกินเยี่ยวยาบางแปลงก็ถูกทำลายไปเกือบครึ่ง โดยที่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะว่าอาศัยคำแนะนำของเซลล์ขายยาในท้องถิ่น ก่อนที่ผู้เขียนจะไปถึงแปลง ลุงท่านหนึ่งก็ได้บอกว่าเพิ่งจะฉีดพ่นยาฆ่าหนอนไม่นาน ก่อนหน้านี้ก็ฉีดมาสองสามรอบแต่ก็ไม่ได้ผล ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หลังจากที่เขาไปสำรวจแปลงกับกลุ่มเกษตรกรทำให้พบว่าในแต่ละแปลงนั้นทำการปลูกโดยใช้ถุงพลาสติกคลุมแปลงและเจาะรูตรงกลางให้ต้นเมล่อนรอดขึ้นมาเกาะเถาหรือค้างที่ปักไว้ไม่ได้ปลูกแบบโรงเรือนดังที่เราๆท่านๆ คุ้นตา ปลูกแบบโล่งแจ้งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะครับ เพราะต้นทุนต่ำ แต่ปัญหาก็คือ ไม่ว่าจะถามพี่ๆ ลุงป้า น้า อาท่านใด ว่าได้ทำการตรวจวัดกรดด่างของดินหรือไม่ปรากฏว่าไม่มีใครตรวจดินเลยสักคน จึงทำให้คาดว่าค่าความเป็นกรดและด่างของดินนั้นอาจจะเป็นปัญหาต่อการเจริญเติบโตของแตงเมล่อนด้วยเช่นกัน เพราะดินที่ผ่านการใช้ปุ๋ยเคมีมาเป็นระยะเวลานานนั้นมีโอกาสที่สสารของเคมีในรูปกรดโดยเฉพาะกลุ่มของซัลเฟตอาจจะสมตกค้างอยู่ทำให้บล็อกดิน บล็อกปุ๋ยไม่สามารถใช้ทรัพยากรในพื้นที่ดินเดิมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้แตงเมล่อนอาจจะขาดสารอาหารบางตัวกินไม่ครบโภชนาการจึงได้แนะนำให้กลุ่มเกษตรกรไปปรึกษาหมอดินและนำดินไปตรวจให้ทราบค่าที่แน่นอนชัดเจน จะได้ดูแลแก้ไขให้ถูกต้องคือควรปรับปรุงบำรุงดินให้มีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 5.8-6.3 จึงจะเหมาะสมที่สุด อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เทคนิคการสร้างวัคซีนและภูมิคุ้มกันให้กับต้นเมล่อน พบว่ายังไม่มีการนำเอากลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟ(พูมิช, พูมิชซัลเฟอร์) เข้ามาใช้ในการเตรียมแปลง และระหว่างปลูกทำให้ต้นเมล่อนนั้นหลังจากได้รับปุ๋ยแล้ว ก็พบอาการอ่อนแอผนังเซลล์ถูกหนอนชอนใบทั้งในระยะวัยหนึ่ง วัยสองเข้าทำลาย และกลุ่มของแมลงปากดูดที่เข้ามาดูดกินน้ำเลี้ยงและนำมาพาเอาเชื้อวิสาหรือไวรัสเข้ามาในแปลงและเกิดการระบาดรุกรามไปทั่ว ลักษณะอาการแบบนี้ ถ้ารีบนำเอา พูมิช (Pumish)หรือพูมิชซัลเฟอร์ (Pumish Sulpher) ใส่โรยรอบทรงพุ่มโคนต้น 1 2 กำมือต่อต้นก็จะช่วยทำให้แตงเมล่อนฟื้นตัวขึ้นมา หลังจากนั้นฉีดพ่นด้วยกลุ่มสารสกัดจากระเทียมพริกไท (ไพเรี่ยม [Pirium]) และจุลินทรีย์บิวเวอร์เรีย เมธาไรเซียม (ทริปโตฝาจ [Triptophaj], คัทออฟ [Cutoff], ฟอร์ทราน [Fortran]) เพื่อตัดวงจรของกลุ่มแมลงปากดูดก็จะช่วยทำให้กลุ่มของพวกตระกูลเพลี้ยอย่าง เพลี้ยไฟไรแดง เพลี้ยอ่อนเพลี้ยแป้ง ลดจำนวนล้มตายลงไป ถึงแม้ว่าโรคที่เกิดจากไวรัสจะไม่มียารักษาแต่ถ้าทำให้พืชหรือแตงเมล่อนมีความแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันเหมือนไก่ชนก็สามารถทำให้ไวรัสไม่สามารถแสดงอาการออกมาได้ เหมือนไก่ชนที่สามารถทนต่อเชื้อไข้หวัดนก ไม่เจ็บป่วย ไม่ล้มตายไม่ถูกรัฐบาลในขณะนั้นนำไปฆ่าเป็นแสนเป็นล้านตัว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมฝ่ายวิชาการชมรมเกษตรปลอดสารพิษ 02 9861680-2 มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
Create Date : 15 พฤษภาคม 2559 |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2559 15:14:22 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1818 Pageviews. |
|
|
|