|
ระวัง....โรค "กระดูกสันหลังคด"
Scoliosis คือ โรคกระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังมีหน้าที่รับน้ำหนักและช่วยพยุงร่างกายให้สามารถตั้งตรงได้ ในคนปกติหากมองจากด้านหลังจะเห็นกระดูกสันหลังเป็นแนวเส้นตรง แต่ในคนที่เป็นโรคกระดูกสันหลังคด เมื่อมองจากด้านหลังจะเห็นแนวกระดูกโค้งไปทางซ้ายหรือขวา ไม่เป็นเส้นตรงเหมือนคนปกติ โรคกระดูกสันหลังคดพบประมาณ 2-3 % ของประชากร พบได้เท่ากันในผู้ชายและผู้หญิง แต่ผู้หญิงมักจะมีการคดงอของกระดูกมากกว่าผู้ชาย โรคกระดูกสันหลังคดเกิดได้ในทุกอายุ พบได้ตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากมักเกิดในช่วงที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกอย่างรวดเร็ว คืออายุประมาณ 10-15 ปี
สาเหตุ โรคกระดูกสันหลังคด
ผู้ป่วย 85% ไม่ทราบสาเหตุ มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบสาเหตุ เช่น กระดูกสันหลังคดจากขาที่ยาวไม่เท่ากัน กระดูกสันหลังคดจากสมองพิการ หรือเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด เป็นต้น
อาการ โรคกระดูกสันหลังคด
อาการในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกัน ขึ้นกับว่ากระดูกคดเป็นมุมมากน้อยเพียงใด อาการต่างๆที่พบได้มีดังนี้
การเดินผิดปกติ ไหล่หรือสะโพก 2 ข้าง สูงไม่เท่ากัน ปวดหลัง มีอาการเหนื่อยง่ายกว่าปกติเวลาออกแรงหรือทำกิจกรรมต่างๆ
การตรวจ โรคกระดูกสันหลังคด แพทย์จะตรวจกระดูกสันหลังของผู้ป่วยในท่ายืน โดยให้ผู้ป่วยก้มตัว เอานิ้วแตะปลายเท้าตัวเอง ในท่านี้แพทย์จะเห็นลักษณะความผิดปกติของแผ่นหลังได้ชัดเจนมากขึ้น การตรวจเพิ่มเติมด้วย x-ray มีประโยชน์ในการช่วยวัดมุม และช่วยติดตามการดำเนินไปของโรคว่าแย่ลงหรือไม่
การรักษา โรคกระดูกสันหลังคด
การรักษาขึ้นกับมุมการคด การเปลี่ยนแปลงของมุม และอายุของผู้ป่วย
มุมการคดน้อยกว่า 25 องศา : ยังไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาใดๆ ให้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของมุม ทุก 4-6 เดือน มุมการคดมากกว่า 25 องศา : รักษาโดยการใส่เสื้อเกราะ(Brace) เสื้อเกราะเป็นอุปกรณ์ค้ำจุน เพิ่มความแข็งแรง ช่วยป้องกันหรือชะลอไม่ให้มุมการคดมีการเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิม มุมการคดมากกว่า 45 องศา : อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อจัดแนวกระดูกสันหลังใหม่ การผ่าตัดนี้ใช้หลักการเดียวกับการรักษากระดูกหักคือการใช้โลหะช่วยดามกระดูกสันหลังให้ตรง แพทย์ทางเลือก
สำหรับการรักษาด้วยวิธีอื่น ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยรับรองว่าประสบผลสำเร็จ
Chiropractic manipulation Electrical stimulation of muscles Biofeedback
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ เสื้อเกราะ
เสื้อเกราะช่วยป้องกันไม่ให้มีการคดมากขึ้น แต่มักไม่ช่วยแก้ไข้การคดให้กลับมาเป็นปกติ ควรใส่เสื้อเกราะเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ เริ่มแรกอาจใส่เสื้อเกราะนานวันละ 2-3 ชั่วโมง บางรายอาจต้องใส่ตลอดวัน ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ อายุของผู้ป่วยมีความสัมพันธ์กับการดำเนินไปของโรค โดยพบว่า เมื่อกระดูกของผู้ป่วยหยุดการเจริญเติบโตเมื่อใด การเปลี่ยนแปลงของมุมการคดมักจะหยุดตาม ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยสามารถเลิกใส่เสื้อเกราะได้เมื่อแพทย์เห็นว่าผู้ป่วยไม่มีการเจริญเติบโตของกระดูกอีกต่อไป เสื้อเกราะไม่ใช้รักษาโรคกระดูกสันหลังคดในผู้ใหญ่ ระหว่างใส่เสื้อเกราะ ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตได้ตามปกติ เช่น เล่นดนตรี เล่นกีฬา เป็นต้น เสื้อเกราะจะถูกสวมใส่ไว้ด้านใน และเสื้อผ้าปกติจะถูกใส่ทับด้านนอกเสื้อเกราะ ดังนั้นผู้ป่วยควรเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อความสบายตัว เสื้อชั้นในควรเป็นผ้าฝ้าย 100% ไม่มีตะเข็บ ไม่มีรอยจีบย่น และพอดีตัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเสียดสีกับผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้
Create Date : 09 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 15:03:59 น. |
Counter : 1948 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
5 นิสัยการกินของ 5 ชาติที่ควรเอาอย่าง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์Forbes.com รวบรวมประเทศที่มีคนอายุยืน รวมถึงโภชนาการที่ช่วยให้คนในประเทศเหล่านี้รักษาสุขภาพให้แข็งแรง พวกเขามีเคล็ดลับอย่างไร มาดูกันเลย
1. ญี่ปุ่น สุขภาพดีด้วยผักและปลา อายุขัยเฉลี่ย 82 ปี อัตราคนเป็นโรคอ้วน 1.5%
อาหารญี่ปุ่นเน้นที่ตระกูลผักกาด เช่น กะหล่ำปลี บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง และผักคะน้า ส่วนโปรตีน หลัก ๆ มาจากปลาและถั่วเหลืองซึ่งดีต่อสุขภาพหัวใจ ส่วนเส้นราเมนที่ทำจากแป้งธัญพืชก็เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีใยอาหาร อยู่มาก และทำให้สารเซโรโทนินหลั่ง ช่วยกระตุ้นให้อารมณ์ดี และไม่หิวโหย
2. จีน แข็งแรงด้วยเมนูสารพัดผัก อายุขัยเฉลี่ย 73 ปี อัตราคนเป็นโรคอ้วน 1.8%
2 ใน 3 ของอาหารจีนหนึ่งจานมักจะประกอบด้วยผัก ธัญพืช และถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ผักกวางตุ้ง หัวไชเท้า ถั่วเหลือง ขิง และกระเทียม ถึงแม้ว่ามีบางเมนูที่ทอดในน้ำมัน แต่ส่วนมากจะเป็นผัด นึ่ง หรือต้มมากกว่า
3. สวีเดน อายุยืนด้วยอาหารนมและธัญพืช อายุขัยเฉลี่ย 81 ปี อัตราคนเป็นโรคอ้วน 11%
ถึงจะไม่เน้นที่ผักและผลไม้ แต่กุญแจสำคัญของชาวสวีดิชอยู่ที่การกินอาหารที่มีนม ขนมปัง ธัญพืช เบอร์รี่ต่าง ๆ และปลา แคลเซียมในนม ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน ขนมปังธัญพืช ก็มีใยอาหาร เบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และแซลมอนกับปลาแฮร์ริ่งต่างก็ดีต่อหัวใจ แถมชาวสวีดิชยังเล่นกีฬาฤดูหนาวกันอีกด้วยนะ
4. อิสราเอล เครื่องเทศเพื่อสุขภาพ อายุขัยเฉลี่ย 81 ปี อัตราคนเป็นโรคอ้วน 24%
อาหาร อิสราเอลใช้ประโยชน์จากเครื่องเทศ สมุนไพร และเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น ขมิ้น มีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบ สะระแหน่ มีวิตามินเอและซีหรือแม้แต่ Tahini ส่วนผสมสำคัญในฮัมมัส ก็ทำมาจากเมล็ดงาที่มีสารอาหารมากมายรวมถึงแคลเซียม สังกะสี และกรดโฟลิก
5. สเปน ครบทั้งผัก ผลไม้ ถั่ว และปลา อายุขัยเฉลี่ย 80 ปี อัตราคนเป็นโรคอ้วน 16%
สำหรับบ้านเราอาจไม่ค่อยคุ้นกับอาหารสเปนมากนัก แต่ชาวสเปนมีนิสัยกินอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน นั่นคือไม่นิยมทอดอาหาร แต่จะปรุงด้วยน้ำมันมะกอกซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวและดีต่อหัวใจ เน้นถั่วกับผักซึ่งมีใยอาหารสูงและไขมันต่ำ เช่น อัลมอนด์กับผลไม้จำพวกส้มและมะนาวในท้องถิ่น นอกจากนี่ ยังนิยมกินปลาอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
Create Date : 09 มิถุนายน 2553 | | |
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 14:51:48 น. |
Counter : 444 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จริงหรือ? "น้ำ" แก้ปวดหัวได้
เวลาที่คุณปวดหัวคุณจะทำอย่างไร ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะนอนพักผ่อน หรือไม่ก็อาจจะหายาแก้ปวดมากิน
แต่คุณทราบหรือไม่ว่า "น้ำ" ก็สามารถที่จะช่วยให้คุณหายปวดได้เหมือนกันค่ะ ข้อมูลนี้ไปเก็บมาจาก วารสารชีวจิตค่ะ
หากคุณปวดหัวมากจนไม่สามารถที่จะนอนหลับได้ ลองใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือขวดใส่น้ำร้อน แต่ไม่ควรจะร้อนจนเกินไปนะคะเดี๋ยวจะต้องรักษาแผลพุพองที่ตามมาอีกค่ะ หลังจากนั้นก็ประคบที่บริเวณท้ายทอย แล้วใช้ความเย็นประคบที่หน้าผาก จะช่วยให้อาการทุเลาลงได้
แต่ถ้าเป็นอาการที่เกิดจากกล้ามเนื้ออักเสบหรือเอ็นอักเสบ ให้ใช้กระเป๋านำแข็งประคบตั้งแต่ต้นคอลงมาถึงหัวไหล่ในวันแรกเพื่อลดอาการอักเสบและใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบในวันต่อๆ มา จะช่วยให้คลายปวดได้
หรือถ้ามีอาการปวดหัวซึ่งเกิดจากเลือดลมเดินไม่สะดวกรู้สึกมึนๆ ตื้อๆ ให้ใช้วิธีแช่เท้าในน้ำอุ่น โดยเริ่มจากใช้น้ำอุ่นในปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มให้น้ำร้อนขึ้นๆ จนกระทั่งรู้สึกอุ่นสบาย แช่ไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง อาการปวดจะบรรเทาลง
อีกวิธีหนึ่งก็คือ นอนคว่ำเอาหมอนรองที่หน้าอก จากนั้นเอาน้ำร้อนประคบที่หลังส่วนบน หรือบริเวณกลางหลังตรงกับแนวกระดูกสันหลัง วิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกสบาย
เลิกใช้ยาแล้วหันมาใช้ธรรมชาติช่วยก็คงจะดีไม่น้อยค่ะ แหล่งข้อมูล : มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
Create Date : 15 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 15 เมษายน 2553 12:19:29 น. |
Counter : 719 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ดื่มชาป้องกันมะเร็งรังไข่
สตรีควรจะดื่มชาไม่ว่าชาเขียวหรือชาดำเอาไว้ประจำ วันละ 12 ถ้วย จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งของรังไข่ลงได้ ตั้งครึ่งหรือมากกว่านั้น
นักวิจัยมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน ของสหรัฐฯ สังเกตพบจากการศึกษากับผู้หญิง 2,000 คน ว่า สามารถหนีห่างโรคมะเร็งรังไข่ได้ตั้งร้อยละ 54 ชั่วการดื่มชาเขียวประจำวันละ 1-2 ถ้วย
ขณะที่สถาบันการแพทย์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก็ศึกษาพบว่า สตรีที่ดื่มชาดำวันละอย่างต่ำ 2 ถ้วย จะลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ ลงได้เกือบร้อยละ 50
การศึกษาทั้งสองแห่ง ได้ ยืนยันสรรพคุณของชาดำและชา เขียวในการป้องกันมะเร็ง นอกจากที่เคยสังเกตพบว่า ช่วยบำรุงหัวใจ สมองและลดปริมาณไขมันเลวในเลือดลงได้ ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
Create Date : 15 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 15 เมษายน 2553 12:18:30 น. |
Counter : 586 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หัวฝักบัว แหล่งสะสมเชื้อโรคที่ไม่ควรมองข้าม
ใครที่ใช้ฝักบัวอาบน้ำอยู่เป็นประจำต้องมาฟังทางนี้เลยนะคะ เพราะหากคุณไม่ระวัง อาจเป็นที่มาของโรคปอดในไม่ช้าแน่นอนค่ะ
เนื่องจากได้มีการสุ่มตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโรคในหัวฝักบัวตามสถานที่ต่างๆ กว่า 9 เมือง พบว่าร้อยละ 30 มีเชื้อมัยโคแบคทีเรียม เอเวียม ปนเปื้อนอยู่มาก ตามปกติเชื้อตัวนี้พบในน้ำประปาทั่วไป แต่สะสมอยู่ในหัวฝักบัวมากกว่าระดับที่พบในน้ำประปาถึง 100 เท่า ซึ่งหากผู้ใช้เปิดให้น้ำจากฝักบัวโดนหน้าตั้งแต่ครั้งแรก จะทำให้ได้รับเชื้อดังกล่าวสูงมาก และเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดตามมา
จากการตรวจพบอีกว่าในฝักบัวแบบที่เป็นโลหะจะพบการสะสมของเชื้อโรคน้อยกว่าแบบพลาสติก ดังนั้นการแก้ไขผู้ใช้ก็ควรเปลี่ยนหัวฝักบัวมาใช้แบบโลหะที่มีตัวกรองช่วยในการลดการสะสมของเชื้อโรค หรือเปลี่ยนไปอาบน้ำในอ่างแทน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเข้าสู่ปอดได้เช่นกัน
ขอบคุณนิตยสารผู้หญิง
Create Date : 15 เมษายน 2553 | | |
Last Update : 15 เมษายน 2553 12:17:35 น. |
Counter : 1107 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|