ชนะตัวเองให้ได้ เย้!
ตอนที่ 4

ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งในกลางดึกของคืนนั้น น่าแปลกที่หนนี้ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมากะทันหันทั้งที่ปกติแล้วจะรู้สึกเหมือนกับนอนหลับไปแล้วเพิ่งตื่น ผมค่อยๆ ลุกพลางทุบหัวตัวเอง 2-3 ครั้งเพื่อไล่ความเจ็บปวด แต่เมื่อเห็นดวงตาของใครคนหนึ่งจ้องมา ความรู้สึกปวดเมื่อกี้ก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ผมรีบกระเด้งตัวขึ้นและควานหาสิ่งของที่พอจะใช้ต่างอาวุธได้ทันที
“ยะ... อย่าเข้ามานะโว้ย!! หะ... เห็นหรือเปล่าว่าฉะ... ฉันมีอาวุธ!!”
ผมชูไม้บรรทัดพลาสติกและแกว่งมันเป็นเชิงขู่ แม้จะดูน่าสมเพชไปบ้างก็เถอะ สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ ใครมันจะมีปัญหาไปหาอะไรที่ดีกว่านี้ได้ทันกันเล่า
แต่เจ้าปิศาจเมฆกลับมองผมด้วยดวงตาเฉยชา ว่าไปแล้วมันเจือไปด้วยความเศร้าด้วยซ้ำ หมอนั่นมองไม้บรรทัดแวบหนึ่งก่อนถาม
“นายเป็นไงมั่ง”
น้ำเสียงหดหู่คล้ายสำนึกผิดมันทำให้ใจผมถึงกับกระตุกวูบและเผลอลดมือที่ชูไม้บรรทัดอย่างลืมตัว แต่เมื่อระลึกขึ้นได้ว่าหลงกลเจ้าปิศาจเมฆมาหลายรอบแล้ว ผมก็รีบยกมันขึ้นมาแกว่งต่อก่อนตอบคำถาม
“กะ... ก็อย่างที่นายเห็น ฉะ... ฉันยังมีแรงเหลือเฟือ...” ผมชะงักไปครู่ก่อนเอ่ยคำว่า “เฟ้ย!” เพื่อเสริมความน่าเกรงขาม
“ฉันขอโทษ”
“เออ... แล้วจำไว้ว่า... หา! เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ” ผมจ้องเมฆอย่างไม่เชื่อหู แต่หมอนั่นกลับชำเลืองมองผมแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าลงซบหัวเข่าตัวเอง เสยเรือนผมดำขลับเป็นเงางามด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ ผมเบะปากและเกือบพูดประชดหมอนั่นแล้วถ้าหางตาไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นว่าใบหูแหลมๆ ของเจ้านั่นกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง
“อย่าให้ฉันพูดซ้ำได้ไหม”
เสียงเมฆแผ่วเบาแต่ผมก็ได้ยินเต็มสองรูหู และอาจหัวเราะกับท่าทางของหมอนั่นถ้ามันไม่เงยหน้าขึ้นมาเสียก่อน แต่หลังจากนั้นเมฆกลับล้มตัวลงแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมโปงนอนเงียบแทบในทันที
โอ้ว จอร์จตกใจครับ! เพิ่งรู้ว่าปิศาจก็เขินเป็น!!
“พรู่ด... อุ๊บ!”
ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะ... แหงล่ะครับ ขืนปล่อยก๊ากกลางดึกขนาดนี้ ผมคงได้รับคำอวยพรไม่พึงประสงค์จากบ้านข้างเคียงและคุณแม่(ซึ่งคนหลังคงมีมากกว่าคำอวยพร) ดังนั้นผมจึงต้องกลั้นหายใจจนน้ำหูน้ำตาเล็ดกว่าจะปรับเสียงตัวเองให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ
“เออ... ทีหลังนายอย่าทำอีกก็แล้วกัน”
เมฆผุดลุกขึ้นนั่งแล้วหันมองผมด้วยสายตาประหลาด คิ้วของเจ้านั่นขมวดแทบกลายเป็นเงื่อนถ้าหากว่ามันอยู่ชิดกันมากกว่านี้อีกสักหน่อย
“ใครว่าฉันขอโทษนายเรื่องนั้นกัน!”
ผมอ้าปากค้างกับคำพูดเจ้าปิศาจหน้าหล่อก่อนเริ่มขยับปาก ทว่ายังไม่ทันได้ออกเสียงเมฆก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันไม่ได้คิดจะเลิกทำ ฉันแค่อยากขอโทษที่รุนแรงกับนายเพราะบังคับตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น”
“แกอย่าพูดบ้าๆ นะเฟ้ย หมายความว่าไอ้ที่ผ่านๆ มาแกบังคับตัวเองไม่ได้หรือไง!!”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น นายไม่เข้าใจ”
“ก็หัดอธิบายอะไรให้มันน่าเข้าใจหน่อยสิวะ!”
ตะคอกจบก็เพิ่งมาสำนึกว่าสายไปเสียแล้ว อาการฟิวส์ขาดทำให้ผมบังคับปากตัวเองไม่อยู่ ผมกลืนน้ำลายอย่างหวาดกลัว นั่งตัวแข็งทื่อรอปิศาจร้ายลุกขึ้นมาหักคอผมจิ้มน้ำพริก
แต่สุดท้ายเจ้าเมฆก็ไม่ได้ทำอะไรแบบที่ผมนึกกลัว หมอนั่นนั่งนิ่งอยู่กับที่ ทำหน้าคล้ายกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วในที่สุดมันก็พูดว่า
“นายคงกำลังคิดว่าฉันฉวยโอกาสกับนาย แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่...” เมฆเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนถอนหายใจ
“ที่ฉันทำ มีแค่ขอแบ่งปันลมหายใจของนายเท่านั้น”
“แบ่งปันลมหายใจ?” ผมทวนคำ “หมายถึงพวกพลังชีวิตอะไรอย่างนั้นใช่ไหม”
“ถ้าในภาษาเกมบ้าบออะไรของนายก็ ประมาณนั้น...”
คำพูดของนายปิศาจจอมประชดประชันทำให้ผมต้องจ้องหน้ามันด้วยสายตาแค้นเคืองแกมหมั่นไส้ นึกในใจว่าถ้าเจ้านี่เป็นปิศาจในเกมจริงล่ะก็ มันต้องเป็นประเภทผู้ใช้สุนัขแน่... วิ่งพล่านอยู่ในปากเยอะซะขนาดนั้น... อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ผมจะถามหมอนี่มันไม่ใช่เรื่องนี้หรอก
“แล้วนายเอาลมหายใจของฉันไปทำอะไร”
เมฆไม่ได้ตอบผมทันที มันมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนหลับตาและนิ่งเงียบ ทำเหมือนคนที่รอฟังคำตอบตาแป๋วอยู่นั้นไม่มีความสำคัญ ให้ตายสิ! นี่ผมเริ่มคันฝ่าเท้าตะหงิดๆ แล้วนะนี่
ทว่ายังไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ เจ้าปิศาจก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อน ชิ! ท่าทางมันคงรู้ตัวว่ากำลังจะกลายเป็นเหยื่อบาทาของใครล่ะมั้ง
“ความจริงแล้ว... มนุษย์เป็นอาหารของฉัน”
“อ้อ... ที่แท้ก็เป็น...” ผมกอดอกแล้วพยักหน้าช้าๆ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เบิ่งตากว้าง หันไปจ้องเจ้าปิศาจหน้าหล่อที่เพิ่งเฉลยความจริงอันน่าขนหัวลุก
“หา! นายว่าอะไรนะ เป็นอาหารเรอะ!?”
เมฆพยักหน้า ก่อนพูดขู่ “ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าสักวันจะกินนายทั้งตัว”
เวรแล้วไหมล่ะ! เห็นท่าทางและการกระทำของมันออกแนววิปริต ใครจะไปนึกว่า “กิน” ของมันมีความหมายแบบเดียวกับคำว่า “กิน” จริงๆ
ผมคลานถอยหลังจนกระทั่งติดกำแพงอีกฝั่ง สองตาไม่ลดละจากปิศาจที่นั่งจ้องผมเขม็ง มือข้างหนึ่งชูไม้บรรทัด อีกข้างเงื้อกล่องดินสอ เผื่อว่ามันจู่โจมเข้ามาผมจะได้ป้องกันตัวทัน แต่เพียงครู่เดียวเมฆก็หัวเราะออกมา
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันยังไม่คิดเขมือบนายตอนนี้หรอก” เมฆว่าพลางซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มนอนเงียบ ทิ้งให้ผมนั่งค้างชูไม้บรรทัดอย่างนั้นอีกเกือบค่อนคืน
‘ไอ้บ้า ไอ้ปิศาจโรคจิต จำไว้เลยนะ!’
ผมคำรามในลำคอ กำปืนในมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขณะเล็งไปยังร่างของศัตรูตัวร้าย
‘เก่งนักก็เข้ามาสิเฟ้ย จะยิงให้พรุนเลย’
คิดพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างสะใจในอารมณ์ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมฝันนะ นี่เรื่องจริงล้วนๆ เพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบสว่างแถมตื่นเช้ากว่าปกติเลยหงุดหงิดจนต้องหาที่ระบายสักหน่อย โชคดีเป็นบ้าที่ตอนเที่ยงแม่ใช้ให้ผมมาซื้อของในตลาดและเจ้ามารความสุขนั่นกำลังซ่อมกำแพงห้องน้ำ ผมเลยแอบแวะร้านเกมเจ้าประจำได้
...ทว่าในตอนที่กำลังยิงอย่างเมามันนั้นเอง...
“ท่าทางจะสนุกมากเลยนะ อินกับเกมขนาดนั้นเลยรึ?”
เสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้ทั้งร่างแข็งเป็นหิน เกมโอเว่อร์ภายในเสี้ยวนาทีทั้งที่ปกติแล้วยังเล่นต่อได้นานเกือบครึ่งชั่วโมง ผมกลืนน้ำลาย ค่อยๆ หันไปทางมารร้ายที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ข้างๆ
“แม่ให้มาซื้อของ ดันดอดแวะหยอดเกมตู้อีก นายนี่มัน...” ไม่ทันได้พูดจบ เมฆก็เข้าล็อกคอผมแบบนักมวยปล้ำและใช้สองมือไขขมับเป็นของแถม
“เจ็บโว้ย ป... อือ!” ไอ้ปิศาจจอมโหดมันทำให้เสียงผมหายไปเฉยๆ ไม่เปิดโอกาสให้ได้ร้องขอความช่วยเหลือสักนิด ผมจึงต้องดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอยู่ในวงแขนกำยำที่รัดแน่นอย่างกับอนาคอนด้ารัดเหยื่อไม่มีผิด ทว่าไม่นานสวรรค์ก็ส่งคนลงมาช่วยผม
“โฮ่... สนิทสนมกันจังเลยนะ ถึงขนาดหยอกล้อกันกลางร้านเกมอย่างนี้”
แม้เป็นคนที่เกลียดที่สุดแต่ในสถานการณ์อย่างนี้ผมก็แทบกระโดดกอดเจ้าหนึ่งได้ เมฆหยุดบีบขมับผมแล้วหันไปหาคนที่เพิ่งทักทายด้วยน้ำเสียงเย็นชาปนเหยียดหยาม... ช่างมันเถอะ... ต่อให้มันเยาะเย้ยมากกว่านี้ผมก็ยอม มันช่วยให้ผมรอดตายแล้ว แต่เหมือนปิศาจร้ายจะรู้ความคิด มันมองผมด้วยหางตาแวบหนึ่งก่อนพูดกับหนึ่งว่า
“อิจฉาพวกเรารึ?”
ผมเห็นหน้าขาวๆ ของเจ้าหนึ่งแดงซ่านขึ้นมาทันที อยากยกมือขยี้ตาดูว่าไม่ได้เห็นภาพหลอนแต่ติดว่าเมฆมันยังล็อกคอผมอยู่
“เฮอะ! ใครจะไปอิจฉาคนอย่างพวกแกกัน” หนึ่งพูดด้วยเสียงแหลมปรี๊ดแล้วหันมาทางผม “ไง! เต้ หนนี้แม่นายขายของเก่าได้หรือไง นายถึงมีเงินเล่นเกมน่ะ”
“เงินค่าขนมของฉันโว้ย ไอ้ปากมอม!” ตะโกนจบก็พยายามถีบขาเตะไอ้หนึ่ง นี่ผมนึกขอบคุณมันลงได้ยังไงนะ มันดูถูกครอบครัวเราซะขนาดนี้แถมลามปามไปถึงแม่ผมอีก ไอ้ชั่วเอ๊ย!
“เงินค่าขนมนายเยอะขนาดเล่นเกมได้ทีเป็นชั่วโมงๆ เลยเหรอหรือว่าเล่นเก่ง ไม่น่า... ขนาดเรื่องเรียนนายยังแทบเอาตัวไม่รอดเลยนี่หว่า”
“ฉันเรียนไม่เก่งแต่ก็ไม่เคยสอบตกนะเฟ้ย ไอ้คุณชายจอมซ้ำชั้น!!”
คราวนี้หน้าที่แดงของหนึ่งยิ่งแดงแปร๊ดเข้าไปอีก มันรีบละล่ำละลักแก้ตัว
“ฉันไม่สบายโว้ยถึงได้สอบตก คนอย่างฉัน...” หนึ่งหุบปากทันควันเมื่อเห็นเด็กหลายคนในร้านเริ่มจับกลุ่มมุงดูพวกเราอย่างสนใจ ส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นน้องในโรงเรียนเดียวกับผม จากนั้นมันก็รีบหันหลังวิ่งแจ้นออกจากร้าน ไม่ลืมส่งสายตาอาฆาตมาทางผมที่ยังตะโกนด่าไล่หลัง
“คนอย่างแกมันก็มีแค่รวยแหละวะ ไอ้เด็กซ้ำชั้น!!”
“พอได้แล้วน่า อายเขา” เมฆว่าพลางหันไปหยิบของและดึงผมออกจากร้านเกม
“เดี๋ยวสิ ฉันยังด่าไม่จบ ไม่สิ! ความจริงไอ้เลวนั่นมันต้องโดนต่อยสักเปรี้ยง” ผมคำราม
“แต่นายก็โกหกว่าใช้ค่าขนมเล่นเกมไม่ใช่หรือไง”
คำพูดของเมฆทำให้ผมสะอึก แน่นอนว่าเรื่องจริงก็คือผมแอบเม้มเงินแม่เล่นเกมไปยี่สิบบาท แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าผมบอกขอไปซื้อขนมกินแม่จะพยักหน้าและไม่ว่าอะไรทุกครั้ง ดังนั้นเรื่องนี้ตกประเด็น เมฆกล่าวหาผมไม่ได้เด็ดขาด!!
ทว่ายังไม่ทันอ้าปาก มันก็สวนกลับมาแล้วนี่สิ...
“แล้วค่าข้าวที่แม่นายให้ไปโรงเรียนทุกวันนั่นอีก นายไม่ใช้ฉันก็ไม่ว่าหรอก แต่นายเล่นไม่กินข้าวเพื่อที่จะมาหยอดตู้เกมนี่มันเกินเหตุไปหน่อยนะ เพราะอย่างนี้ไงนายถึงตัวเล็กกว่ามาตรฐาน”
หน้าชาวูบทันที ไอ้บ้านี่มันเป็นอึปลาทองหรือไง เพิ่งเข้ามาอยู่บ้านผมได้ไม่กี่วันไหงมันถึงได้รู้เรื่องผมทุกอย่างราวกับอาศัยร่วมบ้านกันมาเป็นชาติอย่างนี้
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
พูดออกไปแล้วก็ต้องรีบตะครุบปากตัวเองพลางชำเลืองมองคนที่เดินอยู่ข้างกายอย่างหวาดผวา แต่ใบหน้าของเมฆไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ที่จริงมันออกจะเย็นชาด้วยซ้ำ นอกจากนี้มันยังดูห่างเหินจนผมรู้สึกผิดซะเอง
“เอ้อ... ฉัน... คือว่า...”
“รีบกลับเถอะ คุณน้ารออยู่” เมฆตัดบทแล้วรีบเดินจ้ำอ้าว หมอนั่นไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองผมอีกเลยจนกระทั่งเข้าไปในบ้าน
“กลับมาแล้วหรือจ๊ะ” แม่เงยหน้าจากงานฝีมือที่รับมาทำและส่งยิ้มให้พวกผมที่เพิ่งเข้าประตูมา เห็นใบหน้าที่มีเหงื่อเกาะพราวของแม่ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้น
“แม่ครับ คือผม...”
“แม่ต้องรีบส่งงานภายในวันพรุ่งนี้ เต้ทำกับข้าวแทนแม่ทีนะลูก”
แม่หยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับเหงื่อก่อนก้มหน้าทำงานต่อไป ผมกลืนน้ำลายด้วยสำนึกบาปพลางตอบรับเสียงอ่อยและรับถุงกับข้าวจากมือเมฆเพื่อเอาไปไว้ในครัว คิดว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาทำอาหาร ผมจึงเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบผ้าขนหนู แต่เมื่อเปิดประตูห้องนอนก็ต้องผงะ เพราะคนที่ผมเพิ่งรับถุงกับข้าวจากมือมันไปกลับขึ้นมานั่งอยู่บนที่นอนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แถมตอนนี้มันยังกลายร่างเป็นปีศาจทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ
“เห็นแล้วใช่ไหม” ปิศาจเมฆคำราม
“เห็นอะไร”
ผมแสร้งทำหน้าไม่รู้เรื่องและคิดว่าจะหันหลังกลับ แต่ร่างกายมันดันขยับไม่ได้เสียนี่!
“อย่าแกล้งตีหน้าเซ่อ ไอ้หนู” ว่าพลางลุกขึ้นจากฟูกแล้วเดินย่างสามขุมเข้ามาหา ผมได้แต่กลืนน้ำลาย จ้องหมอนั่นด้วยสายตาหวาดกลัว
“แกไม่รักแม่ของแกเลยใช่ไหม” เล็บยาวแหลม ท่าทางจะคมขนาดหั่นคอผมให้ขาดในพริบตาได้ของนายปิศาจไล้อยู่บนแก้มผมช้าๆ
“ถ้าแกไม่ต้องการผู้หญิงคนนั้น ฉันจะลงไปกินหล่อนเดี๋ยวนี้”
“อย่ายุ่งกับแม่ฉัน!!” ผมตะโกนและผลักเจ้าปิศาจร้ายสุดแรงเกิด แต่มันแค่เซไปสองสามก้าวก่อนถลึงตาดุดันใส่ผม ทว่าตอนนี้ผมโกรธจัดจนลืมความกลัวไปแล้ว
“ถ้าแกแตะต้องแม่ฉัน ฉันฆ่าแกแน่!!”
เมฆยิ้มเยาะพลางยืดตัวขึ้น ดวงตาสีม่วงคล้ำของเจ้านั่นมองผมอย่างเหยียดหยาม
“ไม่อยากให้ฉันฆ่าเพราะแกกลัวไม่มีคนเลี้ยงใช่ไหมล่ะ แกอยากให้ผู้หญิงคนนั้นหาเงินให้เพื่อแกจะได้ใช้เงินที่หล่อนหามาได้ปรนเปรอความสุขจอมปลอมของแก”
“แกไม่รู้อะไรอย่ามาพูดดีเลยน่า!!” ผมถลาเข้าไปต่อยเมฆสุดแรงเกิดก่อนกระโจนถีบหน้าแข้งมันอีกครั้งเป็นของแถม ได้ผล... ถึงจะไม่ลงไปนอนกองแต่เมฆก็ต้องทรุดตัวลงเพื่อลูบขาตัวเอง
“ฉันไม่ได้มีอำนาจอย่างแกนี่ถึงจะปกป้องตัวเองได้ รู้บ้างหรือเปล่าว่าที่โรงเรียนฉันต้องเจอกับอะไรอยู่เกือบทุกวัน! แกเข้าใจหัวอกคนที่ไม่มีพวกแถมโดนแกล้งตลอดเวลาอย่างฉันเหรอ!!”
ปิศาจร้ายมองผมด้วยสีหน้าตกตะลึงก่อนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็เปลี่ยนใจก้มมองพื้น สักพักผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเมฆ
“มันแค่ข้ออ้างของคนอ่อนแอ แต่เอาเถอะ ฉันก็เห็นมนุษย์อ่อนแอกันทุกคนนั่นแหละ ยกเว้น...”
ทิ้งค้างไว้แค่นั้นก็ลุกขึ้นยืน เขาสัตว์ที่ยืดยาวค่อยๆ หดเล็กจนหายเข้าไปในหัวของเมฆ ในที่สุดมันก็กลายร่างเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์เหมือนเมื่อสามนาทีก่อนหน้านี้
“ที่นายพูดก็ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจหรือไม่รู้ อีกอย่างหนึ่งที่นายโดนแกล้งน่ะ มันเพราะ...”
อยู่ๆ เมฆก็ทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา ทำเอาอารมณ์กรุ่นๆ ของผมหายวับ บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแทนที่
“เพราะอะไรล่ะ” ผมถาม แต่เจ้าปิศาจกลับเดินหนีแทนคำตอบ
“เอ้า! อย่ายั่วให้อยากแล้วจากไปสิวะ บอกมาสิว่าเพราะอะไร!!”
เมฆมองหน้าผมอีกครั้ง นี่ตาฝาดไปหรือเปล่านะ เห็นมุมปากหมอนั่นยกขึ้นนิดๆ คล้ายกับกำลังเยาะเย้ยผมอยู่อย่างนั้นแหละ
“ว่าไงล่ะ เฮ้ย เดี๋ยวก่อน!!”
สุดท้ายผมก็ไม่ได้รับคำตอบ เมื่อเจ้านั่นหายตัวไปจากห้องโดยที่ไม่ได้เปิดประตู



Create Date : 26 พฤษภาคม 2550
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 18:02:33 น. 0 comments
Counter : 202 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รักเฉพาะชายสูงวัย
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รักเฉพาะชายสูงวัย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.