ซูชิสำหรับฉัน ผู้ไม่กินปลาดิบ
ร้านเค้กสุดเลิฟฟฟฟฟ
อีกหนึ่งเดือนเท่านั้นฉันจะต้องกลับเมืองไทยแล้ว ถ้าจะถามว่าฉันเสียดายอะไรบ้างเมื่อต้องกลับเมืองไทย อย่างแรกคือภาษาญี่ปุ่น ฉันอยากเก่งภาษาญี่ปุ่นมากกว่านี้ และนึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่ยอมเคี่ยวเข็นตัวเอง ทั้งๆ ที่มาอยู่ญี่ปุ่นแท้ๆ อย่างที่สองคือ สกี ฉันหลงรักการเล่นสกีเอามากๆ ถึงแม้จะยังเล่นไม่เก่งถึงขั้นโปร แต่ฉันก็อยากจะมีโอกาสไปอีกหลายๆ ครั้ง ส่วนอย่างสุดท้าย(ที่นึกได้ตอนนี้) คือ ฉันเสียดายที่จะไม่ได้กินน้องเค้กสุดอร่อยอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเค้กจะเป็นศัตรูอันร้ายกาจในการลดความอ้วนของฉัน แต่ฉันก็ยอมแลกมาเพื่อให้ได้ความสุขเพียงไม่กี่นาทีที่ได้ละเลียดน้องเค้กสุดอาหย่อยยย ( แล้วก็กลับมานั่งกลุ้มใจว่าเอาอีกแล้ว ตูทำลงไป ใจไม่แข็งพอซะที งี้เมื่อไหร่จะผอมฟะเนี่ย ) เอาเป็นว่ามารู้จักร้านเค้กสุดเลิฟของฉันกันเถอะcozy cornerหรือ โคชี่ คอน่าร์ ตามสำเนียงญี่ปุ่น ร้านนี้มีเฟรนไชส์อยู่ทั่วโตเกียว (ไม่แน่ใจว่าจะทั่วญี่ปุ่นหรือเปล่า) ต้นกำเนิดของร้านนี้คงอยู่ที่ย่านกินซ่า ร้านนี้มีเค้กหลายหลายมาก แต่เค้กที่ฉันชอบที่สุด คือ เค้กฟักทอง ซึ่งเป็นเค้กตามฤดูกาล และ เค้กช็อกโกแลตที่ชื่อว่า การ์โต้ ช๊อคโกลา เป็นเค้กช็อคโกแลตเนื้อนุ่มเนียน มีอัลมอนต์สับปนอยู่ในเนื้อเค้กด้วย ฉันมักจะซื้อมาเป็นก้อนใหญ่ๆ ทุกครั้ง และไม่เคยเหลือไว้เพื่อกินในวันต่อๆไปเลย
ทำน้ำหนัก
ใครเคยน้ำหนักขึ้นพรวดพราด 10 กิโลภายในเวลาหนึ่งปีมั่งคะ ก่อนมาญี่ปุ่นตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ แต่เพื่อนๆ บอกว่า ไม่มีทางชั้นเดาได้เลยว่ากลับมาเธอจะต้องน้ำหนักขึ้นแน่ๆ มะมีทาง ฉันบอก ชั้นไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นซะหน่อยเออๆ จะคอยดู ระยะแรกๆ ก็ดูดีหรอกค่ะ ไม่รู้เป็นอะไรกินข้าวได้น้อย ไม่เคยกินหมดจานเลย แถมท้องเสียทุกเช้า(มีใครเป็นเหมือนเรามั่งไหมเนี่ย ) กินอะไรก็ไม่อร่อย นึกถึงผัดกระเพราไข่ดาว เป็นที่สุด แต่พอรุ่นพี่พาไปรับน้องที่ร้านอาหารไทยเท่านั้นแหละค่ะ กินข้าวไปสามจานรวด หลังจากนั้นไม่เคยมีปัญหาเรื่องอาหารการกินอีกเลยแถมน้ำหนักยังขึ้นเอาๆ จนกระทั่งหมดฤดูหนาวฉันก็ตั้งใจไปออกกำลังกายลดความอ้วนภายในมหาลัยของฉันมี sport complex ขนาดใหญ่ ภายในมีกิจกรรมให้นักเรียนทำหลายอย่าง ทั้ง ว่ายน้ำ ตีแบต ฟุตบอล ปิงปอง ปีนเข้า มีเครื่องเทรนนิ่ง ฟิตเนสอย่างดี มีซาวน่า ห้องอาบน้ำแยกชาย หญิงในตัวเสร็จสรรพนักศึกษาบางคนอยู่ห้องเช่าแบบไม่มีห้องอาบน้ำในตัว ซึ่งห้องแบบนี้จะมีราคาถูก พวกเขาเหล่านั้นก็จะมาอาศัยใช้ห้องอาบน้ำที่ sport complex นี่แหละ นอกจากนี้ถึงแม้ว่าห้องอาบน้ำที่ sport complex จะเป็นแบบ shower แยกเป็นห้องเล็กๆ หลายห้องมีผ้าม่านกั้น แต่ฉันเข้าไปเมื่อไหร่ก็ต้องรู้สึกกระอั่กกระอ่วนทุกครั้งที่เห็นสาวๆ ทั้งหลายแก้ผ้าเดินกันไปมา ยิ่งสาวชาวจีนและเวียดนามด้วยแล้ว เธอมั่นใจกันสุดๆ ต่างจากสาวไทย ที่ไม่มีใครยอมเข้าห้องอาบน้ำพร้อมกัน หรือไม่ก็เข้าห้องอาบน้ำไปทั้งชุดเต็มยศและก็ออกมาสภาพเดิม(คือแต่งตัวในนั้นเสร็จเลย) มีครั้งหนึ่งฉันนั่งกำลังนั่งบนเก้าอี้ และใช้พัดลมตั้งพื้นเป่าผมอยู่ มีสาวชาวเวียดนามคนหนึ่งเธอมาก้มหัวเป่าผมที่พัดลมเครื่องเดียวกับฉัน ด้วยชุดล่อนจ้อนปล่อยให้อะไร ๆ ของเธอโทงเทงอยู่ข้างหน้าฉันนั่นแหละ จนฉันต้องเป็นฝ่ายอายแทนรีบออกจากห้องแต่งตัวอย่างไว และเข้าใจถึงคำเตือนของพี่แดงว่า จะไปโกเต็น(ชื่อย่อของ sport complex โรงเรียนฉัน) ระวัง culture shock นะเธอ กลับมาเรื่อง sport complex กันต่อ ที่นี่ยังมีมีคลาสเต้นๆ ทั้งหลาย พวก แอโรบิคด๊านส์ ,ฮิบฮอป หรือกระทั่งโยคะฉันเคยหยิบตารางห้องเต้นมาดูซึ่งรายละเอียดเขียนไว้เป็นภาษาญี่ปุ่น มีอยู่คลาสนึงเขียนเป็นตัว คาตาคานะ ฉันกับพี่เบิ้ลรุ่นพี่ที่นี่ช่วยกันอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ เห็นมาซาโกะซัง หนุ่มญี่ปุ่นรูปหล่อแลปพี่เบิ้ลเดินผ่านมาพอดี จึงขอให้ช่วยอ่านให้ "ファト バン คือ Fat burn ทำไมพวกคุณใจคลาสนี้หรือ" ฤดูร้อนปีแรกฉันพยายามชักจูงเพื่อนๆ ไปออกกำลังกายกันเสมอ ทั้งว่ายน้ำ ตีแบต แล้วก็แอร์โรบิคแด๊นซ์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าระหว่างที่ฉันพยายามลดความอ้วนนั้นน้ำหนักของฉันก็เพิ่มขึ้นมาอีก 2 กิโลเพราะอะไรนะหรือคะ........ ก็หลังจากออกกำลังกายกันเสร็จแล้ว ฉันกับเพื่อนก็จูงมือกันไปร้านราเมงสุดโปรดหน้ามหาลัย ร้านนี้เป็นราเมงที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นสำหรับฉันเลยทีเดียว ฉันติดใจน้ำราเมงข้นๆ ที่ทำมาจากงาขาว รวมทั้งหมูกรอบที่โปะหน้ามา หรือ บางทีก็เป็นปีกไก่ทอดกรอบ บางวันฉันกับเพื่อนก็เปลี่ยนเมนู เป็นข้าวไก่คาราเกะเกี๊ยวซ่า หรือ ข้าวเนื้อย่าง(ยากินิกุ) ที่ร้านอาหารจีนหน้าโรงเรียน แถมแต่ละครั้งยังสั่งข้าวแบบ โอโมริ (ใหญ่พิเศษ) แล้วงี้จะไม่ให้น้ำหนักขึ้นยังไงไหวยังไม่พอ ไหนจะขนมคบเขี้ยว ของหวานที่ฉันกินประจำอีกเล่า โดยเฉพาะเค้ก กับ พุลิง (พุดดิ้ง) นี่ไม่ต้องพูดถึง เจอร้านเมื่อไหร่เป็นซื้อ ฉันกะจะเขียนถึงร้านเค้กสุดเลิฟของฉันเป็นเรื่องถัดไป
ว่าด้วยเรื่องตัดผมที่ญี่ปุ่น ตอน 2
หลังจากที่ให้เราไปนั่งรอที่โซฟาหนานุ่ม สาวสวยที่ร้านก็ให้กรอก ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ (พึ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าทำบัตรสมาชิกให้ ) แล้วเค้าก็มานั่งคุยว่า ตัดกะใครดีคะ ตัดประมาณไหนดี พอบอกรายละเอียดที่เราอยากได้ไป ช่างที่จะตัดผมให้เราก็จะมาบริการเราต่อเช่น พาเอากระเป๋าไปเก็บไว้ในล็อกเกอร์ของร้าน (ในล็อกเกอร์จะมีถุงหูรูดเล็ก ๆ เพื่อให้ใส่ โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ และของมีค่าต่างๆ ) เราจะได้ถือติดตัวได้สะดวกจากนั่นก็พาไปยังโต๊ะที่จะตัด ช่างเค้าจะแนะนำตัวแล้วพูดว่า จากนี้ไปขอความกรุณาด้วย ช่างจะถามเราอีกทีว่าเอาทรงประมาณไหนดี บางคนที่ไม่มีทรงในดวงใจเค้าก็จะหยิบหนังสือแบบผมมาให้เลือก หรือจะบอกให้ช่างออกแบบให้เลยก็ได้ แต่นั่นต้องจ่ายในราคาของช่างอีกระดับนะ (คิดว่า)แล้วเค้าก็จะถามว่าจะ สระผมหรือเปล่า แต่แม่เจ้า ค่าสระผมต้องเพิ่มอีก ห้าร้อย เยนเฟ้ยย.............................เอาวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วลองสระผมด้วยเลยก็ดีที่นอนสระผมของร้านทันสมัยมาก ปรับระดับได้อัตโนมัติ พอนั่งลงไปเค้าจะมีผ้ามาคลุมขาให้ ก่อนสระก็จะให้เลือกแชมพูซึ่งเป็นกลิ่นแบบ อโรมาเทอราพี พอสระเสร็จก็จะมีการนวดศรีษะ อีกประมาณ ห้านาที ระหว่างนั้นก็จะมีผ้าอุ่นมารองที่คอให้ด้วย สบายฉุดๆช่างที่สระให้เราเค้าไปดูเรื่อง องค์บาก มา แต่ที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็นอีกชื่อนึง ตอนแรกก็เลยงง ๆ ว่าเค้าพูดถึงอะไร หลัง ๆ ก็เลยคุยกันเพลิน แล้วช่างคนนี้เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ เค้าอยากพูดภาษาอังกฤษ ก็เลย สนทนาภาษาอังกฤษกันสระผมเสร็จก็จะเป็นขั้นตอนการตัด ช่างก็จะพาไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม แล้วก็เริ่มการตัด การตัดผมของเค้าก็เหมือน ๆ กับที่บ้านเรา เพียงแต่รู้สึกว่าละเอียดกว่ามาก ๆๆ ตัดแล้วตัดอีก แต่งแล้วแต่งอีก จนกว่าจะเป็นที่พอใจ แล้วก็เสร็จซะทีทำเอาง่วงไปเยยยยยย เมื่อตัดเสร็จช่างจะถามว่าจะใส่แวกซ์ไม๊ เราไม่ค่อยชอบก็เลยไม่เอา แล้วก็เอากระจกมาส่องให้ดู ข้างๆ ข้างหลัง ว่าโอเคป่าวตอนไปจ่ายเงิน ได้บัตรอะไรต่อมิอะไรมาเยอะมากกทั้งบัตรลด บัตรสมาชิก นามบัตรช่าง บัตรสะสมแต้ม (point card) แล้วช่างก็จะเดินมาเปิดประตู ให้ พูดขอบคุณ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก ส่งเราออกจากร้านไป ถ้าเรื่องบริการลูกค้าของชาวญี่ปุ่นต้องยกนิ้วให้เลยขอโม้อีกนิด ว่าด้วยเรื่องบริการเยี่ยมยอดของชาวญี่ปุ่น (กลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ต้องแอบเปรียบเทียบทุกที)เคยไปซื้อของกะพี่เบิ้ล พอซื้อเสร็จพี่เบิ้ลก็คว้าถุงใส่ของจะออกจากร้านมา(จ่ายตังค์แล้วๆ) พนักงานก็ยื่นมือไปคว้าถุงไว้เช่นกัน ยื้อกันไปยื้อกันมาอยู่สองสามครั้ง พนักงานก็บอกว่า เค้าต้องเป็นคนถือถุงออกไปส่งที่หน้าประตู เคยไปเดินตรงอูเอโนะ เจอสาวน้อยถือป้ายโฆษณา แล้วก็ตะโกนเรียกคนเข้าร้าน ตาลุงญี่ปุ่นท่าทางเป็นซารารี่มังก็เข้าไปคุยด้วยแถมมีจับเนื้อจับตัวนิดหน่อย (จับไหล่อ่ะ)ตอนที่คุยสาวน้อยก็ท่าทางสุภาพยิ้มสู้อย่างดี แต่พอพวกตาลุงลับหลังไปแล้ว สาวคนนั้นก็ทำท่าปัดๆไหล่ พร้อมกับทำท่าโกรธๆ
ว่าด้วยการตัดผมที่ญี่ปุ่น ตอน 1
ตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นมาจะสองปี เคยไปตัดผมอยู่สองครั้ง (แต่ช่วงกลับเมืองไทยก็ไปตัดที่เมืองไทยทุกที)ชอบตัดผมที่นี่มากกว่าเมืองไทยนะ ถ้าไม่ติดว่ามัน แพงโคดๆๆ ร้านที่ไปตัดครั้งแรก เป็นร้านที่เล็งมานานแล้ว เห็นร้านเค้าสวย ช่างเพียบ ลูกค้าเยอะ (ก็ร้านเค้าเป็นกระจกทั้งร้านอ่ะ มองจากข้างนอกเข้าไปได้) แถมเปิดถึง ห้าทุ่มอีกตะหาก แต่ที่ยังไม่เข้าไปเพราะกลัวว่าจะแพงกว่าร้านที่นักเรียนไทยชอบไปตัดกันด้อมๆ มอง ๆ อยู่นอกร้านตั้งนาน เห็นมีลดราคาสำหรับนักเรียนก็ดีใจ หยิบ โปรชัวร์หน้าร้าน เช็คราคาดูอีกทีให้มั่นใจการคำนวณเริ่มเกิดขึ้นในหัวราคาตัดผม(เยน)Stylist cut 4300 student 3700designer cut 4800 student 4000top designer cut 5000 student 4500directer cut 6000 student 5500อืมมม ถ้าเลือกราคาต่ำสุดก็พอไหว ที่เมืองไทย กินข้าวประมาณ มื้อละ 30 ค่าตัดผม ประมาณ 120 ต่างกันประมาณ 4 เท่าที่นี่กินข้าวประมาณ มื้อละ 700-800 เยน ตัดผม 3700 ก็ประมาณ 4-5 เท่า อืมมม...............................................................................................(คิดไปสิบนาที)พอยอมรับได้! ถึงจะแพงกว่าร้านที่นักเรียนไทยชอบไปตัดกัน แต่ว่าก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แถมร้านนั้นต้องจองอีกตะหาก ตัดมันใกล้ๆ บ้านที่แหละฟะ แล้วเราก็หยิบโปรชัวร์ที่หน้าร้านค่อยเปิดประตูเดินเข้าไป ช่างในร้านที่อยู่ตรงเค้าท์เตอร์ประมาณ 5คน ก็สงเสียง ยินดีต้อนรับค่ะกันกระหึ่ม (จะว่าไปทุกร้านที่ญี่ปุ่นเข้าก็จะส่งเสียงต้อนรับลูกค้ากันงี้แหละ)เราเดินไปที่เค้าท์เตอร์ แล้วบอกเค้าว่ามาตัดผมค่ะ คนที่เค้าท์เตอร์ ก็ขอโปรชัวร์ในมือเราไปด้วย ตอนแรกคิดในใจว่ามันจะเอาไปทำไมฟระ ตูจะดู แล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะว่าหลัง โปรชัวร์มีส่วนลดอีก 10% หวานเราเลย อิ อิ