**Angie-life is short and wonderful**
 
 

สอบใบขับขี่รัฐแมซซาซูเซส

ได้ใบขับขี่รัฐมาครอบครองก่อนกลับมาเมืองไทยเนื่องจาก รถยนต์ที่ขับจะหมดประกัน แต่เราเป็นออแพร์เกินไปหนึ่งเดือนเนื่องจากต้องอยู่เที่ยวอีก ตามกฎอ่ะนะ แต่ว่าประกันหมดแล้วใบขับขี่สากลมีอายุแค่ปีเดียว ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับใบขับขี่สากลเท่าไหร่หรอกนะ มันเป็นแค่ ใบอนุญาตที่ฝรั่งมังค่าไม่ค่อยได้เห็น ว่าไปก็ขับอีกข้างจนชิน แต่พอกลับมาขับข้างคนไทยไปไม่ค่อยถูกเท่าไหร่เลย วันแรกก็เกือบไปเสยชาวบ้านชาวช่องให้ซะเลย

การสอบที่รัฐแมสซาซูเซสนี่ ก็จะเริ่มจากการสอบข้อเขียนก่อน ผ่านแล้วจึงจองคิวกับทาง DMV สอบขับรถหรือที่เรียกว่า Road test ผู้ที่จะสอบได้นั้น ก็ขึ้นกับกฎหมายรัฐด้วยอย่างรัฐที่เราอยู่กำหนดการสอบให้กับวีซ่านักเรียน และ นักเรียนแลกเปลี่ยนเท่านั้น และเอกสารที่โชว์ก็ต้องมี แบงค์สเตรจเม้น เพื่อยืนยันที่อยู่ที่แน่นอน (ความจริงรายการเอกสารที่ต้องใช้ สามารถยืดหยุ่นได้ ตามคู่มือของ DMV) ถ้าถามเรารัฐอื่นๆ ก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่หรอก รู้แต่รัฐนิวเจอร์ซี่ รู้สึกว่าข้อเขียนเยอะมาก แต่ก็สอบแค่ข้อเขียน ที่รัฐแคลิฟอร์เนียมีข้อสอบภาษาไทยด้วยแต่อ่านเข้าใจยาก เห็นเค้าว่ากันว่านะค่ะ

กลับเข้ารัฐตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจเล็กว่าเรามาอยู่ใน รัฐที่ในหลวงทรงประสูติ (ที่โรงพยาบาลเมาเออเบิร์น แคมบริด แมศซาซูเซส) ถึงแม้ชื่อรัฐจะไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยเท่าไหร่ แต่ ถ้าพูดถึงบอสตัน คงได้ร้องอ้อ กันแน่ เมืองใหญ่ของรัฐนี้ คือ บอสตันนั้นเอง ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่ชาวบ้าน เมกาชอบมาเที่ยวในฤดูร้อน ก็คือ เคบคอด Cape cod บริเวณที่เราอยู่มาก่อนนั้นเอง แต่เผอิญว่า ด้วยความพิเศษกว่าชาวบ้าน ที่ดินใหญ่ๆ เราไม่อยู่ เราไปอยู่บนเกาะ ชื่อ นันทักเกต Nantucket การสอบกับทางที่เกาะก็ทำได้ แต่นะต้องเข้าใจบ้านนอกคอกนาอย่างนันทักเกตด้วยน่า ว่าขั้นตอนอาจจะคลับคล้ายคลับครา ราชการบ้านเรา แต่ก็ไม่ช้าขนาดอิตาลีอ่ะนะ




 

Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2551   
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2551 5:07:30 น.   
Counter : 1451 Pageviews.  


Drive drove driven

เราเองแทบจะเกลียดและกลัวการขับรถเนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเองและเห็นอุบัติเหตุที่คนอื่นได้รับ ที่สำคัญการกลัวผิกกฎกลัวการมีปัญหาเครื่องยนต์ที่เราเองแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย กลัวในทุกเรื่องและมีคนขับรถให้ก็สบายกว่ากันเยอะ แต่การเติมเต็มเพื่อการเป็นออแพร์โดยสมบูรณ์ความสามารถด้านการขับรถนั้นย่อมจำเป็นเนื่องมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ และยิ่งในเมืองที่ไม่ใช่ในแหล่งเจริญจริงระบบขนส่งมวลชนก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร และโฮสต์หลายคนต้องการให้ออแพร์ไปรับส่งลูกที่โรงเรียน ซึ่งความเป็นจริงแล้วออแพร์บางคนไม่อยากขับรถก็สามารถเลือกโฮสต์ที่ไม่กำหนดคุณสมบัติการขับรถก็ได้เช่นกัน แต่สำหรับตัวเราเองอยากให้ตัวเองสามารถทำทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์ อย่างที่บอกว่าเราเริ่มกับออแพร์ที่ศูนย์แล้วค่อยเก็บเกี่ยวข้อมูลจากแหล่งรอบๆตัว การขับรถยนต์นี่ก็เป็นทักษะที่เราเริ่มจากศูนย์แต่ก็ไม่ศูนย์ซะทีเดียว เพราะการขับขี่จักรยาน มอเตอร์ไซต์ก็พอมีมาบ้างแล้ว อิๆๆ แต่สำหรับรถยนต์นี่ยาขมทีเดียว ลองถามเพื่อนดูหลายคนว่ารถที่อเมริกาเป็นยังไง เกียร์กระปุก หรือเกียร์ออโต้ ได้รับคำตอบมาว่าส่วนใหญ่เป็นเกียร์ออโต้ทั้งนั้น เราพยายามหาแหล่งที่เรียนขับรถ ตอนแรกก็เล็งโรงเรียนสอนขับรถเอกชนอยู่ แต่เผอิญรู้จากเพื่อนออแพร์ที่กำลังจะไปอเมริกาว่ามีโรงเรียนสอนขับรถของกรมขนส่งซึ่งราคาไม่แพง และเมื่อสอบผ่านสามารนำไปรับรองไปรับใบขับขี่ได้เลย เราเลยลองโทรไปสอบถามข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้
เราสมัครได้เฉพาะในวันและเวลาราชการนะ ก่อน 3 โมงเย็นนะ ที่อาคาร 8 ชั้น 1 อาคาร 8 นี่อยู่หลังกรมขนส่งทางบกที่เราไปต่อทะเบียนรถ ทำใบขับขี่นะแหละ เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาจะมีที่ที่เขียนว่ามาติดต่อเรียนขับรถจะมีระเบียบการแปะอยู่แต่ถ้าหลักฐานพร้อมแล้วก็ขอใบสมัครกรอกเลย แล้วก็คิดมาก่อนด้วยนะว่าจะเรียนเกียร์อะไร ออโต้หรือกระปุก
หลักฐานมีดังนี้นะ พยายามเอามาให้ครบนะ
1. รูป 1 นิ้ว 6 รูป
2.ใบรับรองแพทย์(บอกหมอว่ามาเรียนขับรถ)
3. เงินค่าเรียน 400 บาท
4. ค่าประกัน 2,000 บาท โดยเงินค่าประกันส่วนใหญ่แล้วก็จะได้คืนยกเว้น ไปทำรถทำสนามเค้าพังพินาศก็อดนะเผลอๆอาจต้องจ่ายตังค์เพิ่ม แต่ไม่เคยเห็นมีใครไม่ได้คืนนะ (หรือเอาข้าราชการระดับ 2 ค้ำประกันแทนเงิน 2,000 บาท ส่วนนี้ก็ไม่ต้องเสีย)
4.เงินค่าเช่ารถ (ถ้ามีรถไปเองก็ไม่ต้องเสีย) โดยค่าเช่าจะตลอดหลักสูตรจนกระทั่งสอบใช้รถคันเดียวกันตลอด รวมถึงมาสอบซ่อมก็ยังใช้อยู่(ก็เพื่อความคุ้นเคยนะแหละ) เกียร์กระปุก 1,500 บาทเกียร์ออโต้ 1,800 บาท(จ่ายวันที่ไปเรียนวันแรกเลย)
5.ทะเบียนบ้านตัวจริง+สำเนา 1 ใบ
6.บัตรประชาชน+สำเนา 1ใบ
เมื่อเรายื่นเอกสารทุกอย่างครบถ้วนแล้วทางชั้นล่างจะตรวจสอบเอกสารแล้วให้เรานำเอกสารต่างๆไปยื่นที่ชั้น 2 อาคารเดียวกัน เค้าก็จะให้เราทดสอบสายตาเลย ใครสายตาไม่ดีควรเอาแว่นไปด้วยอย่างยิ่งอย่าทำเหมือนเรา พอทดสอบทางลึกแย่เลย
- อันแรกคือการทดสอบตาบอดสีเค้าก็จะชี้จุดสีเล็กบนเพดาน สีที่ชี้ก็จะเป็นสีที่บอกว่าสายตาเราบอดสีไหน หลักๆก็ สีแดง เขียว เหลือง เพื่อป้องกันคนตาบอดสีไปสอบเพราะอันตรายนะคนตาบอดสีขับรถนี่ พอผ่านส่วนนี้พี่ที่ทดสอบเราก็จะขีดนู้นขีดนี่ในใบทดสอบแล้วก็ให้ไปทดสอบด่านต่อไป
- ต่อมาคือการทดสอบสายตาทางกว้างโดยเอาคอไปวางอยู่ที่เค้ากำหนดก็จะมีสีหลักทั้งหลาย แว๊บไปแว๊บมาแถวๆข้างซ้ายข้างขวาแล้วให้บอกว่าเป็นสีอะไรเพื่อทดสอบว่าเราสามารถมองเห็นได้โดยกว้าง เพราะการขับรถยนต์เราต้องระแวดระวังรอบข้างถ้าผ่าน
- ต่อมาก็จะมาทดสอบปฏิกิริยา เค้าจะมีคันเร่งและเบรกให้เรา โดยเราจะเหยียบคันเร่งแล้วพอไฟแดงขึ้นเราต้องเหยียบให้ทันเมื่อผ่านการทดสอบปฏิกิริยาก็จะเข้าสู่ขั้นต่อไป
- สุดท้ายคือการทดสอบสายตาทางลึก โดยให้เราปรับเจ้าแท่งขาวๆให้ขนานกันโดยใช้คันบังคับอยู่ไกลๆ
ซึ่งทุกขั้นตอนพี่ที่ทดสอบจะบอกเราถึงรายละเอียดทั้งหมด คนส่วนใหญ่จะผ่าน ฉะนั้นไม่ต้องตื่นเต้นค่อยๆทำ แต่ละจุดจะมีเกณฑ์ในการให้ผ่านอยู่แล้ว บางจุดเราจะมีโอกาสพลาดบ้าง แต่ไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด
โดยเราจะเรียน 10 ชม. มีทฤษฎี 3 ชม. และปฏิบัติ 7 ชม. พี่ที่รับเรื่องจะให้เราลงวันเรียนโดยดูจากตารางนัดของอาจารย์โดยการนัดส่วนนี้จะเป็นการนัดเรียนปฏิบัติการแบ่งชั่วโมงเรียนก็เป็นคราวละ 2 ชั่วโมง ครั้งสุดท้ายก็เหลือชั่วโมงเดียวเอาไว้ทวนก่อนสอบ ในคราวแรกๆพี่ที่รับเรื่องเค้าก็จะบอกเราอย่างนี้แต่พอเรียนจริงๆแล้วก็ขึ้นอยู่กับเราตกลงกับอาจารย์เองอีกที อย่างตัวเราเองก็ตกลงเปลี่ยนวันกับอาจารย์เองวันแรกเราเรียน 1 ชั่วโมงแล้วที่เหลือเรียน 2 ชั่วโมง ฉะนั้นส่วนนี้ต่อรองได้ เราเองได้อาจารย์ที่สอนดีพูดเข้าใจนะ แต่อาจารย์คนอื่นเป็นยังไงไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์ก็จะสอนการออกตัว การควบคุมรถทั่วไปก่อนในครั้งแรกๆต่อมาก็จะเริ่มมาฝึกท่าที่จะใช้สอบ โดยมีท่าหลักใหญ่ๆ 3 ท่าสำหรับเกียร์กระปุก
- ท่าจอดเทียบฟุตบาท (โดยท่านี้เราจะต้องหยุดรถในจุดที่กำหนดแล้วค่อยๆเลี้ยงครัชช้าๆนะ อย่าเร็วเหมือนเรามันพลาดง่าย รถต้องไหลไปเรื่อยๆห้ามหยุดกลางคันไม่งั้นตกด่านนี้แน่นอน เหยียบเบรกได้ครั้งเดียวคือเมื่อออกจากจุดเริ่มต้นแล้วเหยียบอีกครั้งที่จุดสิ้นสุด แล้วเมื่อไปถึงจุดที่กำหนดก็ต้องจอดให้ไม่เกินนะ และล้อรถอยู่ห่างจากฟุตบาทไม่เกิน 25 เซนติเมตรห่างกว่านั้นถือว่าตก) ท่านี้มีคนตกเป็นอันดับ 1 ทีเดียวเห็นอาจารย์บอกว่าสอบ 10 ตก 5
- ท่าที่ 2 คือ ถอยเข้าซอง (ท่านี้เราก็จะขับรถไหลมาจากท่าที่ 1 เข้าสู่ซองโดยซองก็จะมีเสาตั้งอยู่แคบๆแค่พอรถจะไปได้ในแนวตรง เราต้องขับเข้าไปไม่ให้ชนเสาและหยุดที่เส้นที่เค้ากำหนดไม่เลยนะเดี๋ยวตกด่านนี้และต้องไม่ชนเสาไม่ว่าจะถอยเข้าหรือออก ชนก็ตกสถานเดียว ต้องอาศัยการเลี้ยงครัชช่วยอีกเหมือนกัน ช้าๆ เหมือนกัน เมื่อเดินหน้าเสร็จแล้วก็ถอยหลังพออาจารย์เซ็นผ่านด่านนี้แล้วเราก็ขับออกวนไปด่านถัดไป)
- ท่าที่ 3 คือ หยุดบนสะพาน (เราจะขับไปขึ้นสะพานแล้วก็หยุดในจุดที่เค้ากำหนด แล้วไปต่อให้ได้ โดยเครื่องจะดับได้แค่ 2 ครั้งเท่านั้นดับมากกว่านั้นตก และรถจะไหลได้ไม่เกิน 1 เมตรมากกว่านั้นก็ตกเช่นกัน)
ส่วนเกียร์ออโต้จะเหมือนกันแต่เกียร์ออโต้จะไม่ครัชให้เหยียบจะว่าสบายกว่าก็ไม่เชิงนะท่าที่สอบ 2 ท่าแรกก็เหมือนกับเกียร์กระปุกแต่ท่าที่ 3 จะเปลี่ยนเป็นการจอดในบล็อกที่เค้าให้มาแทนการจอดบนสะพานซึ่งอันนี้แนะนำอะไรมากไม่ได้เพราะไม่ได้เรียนเกียร์ออโต้ คนที่จะเรียนออโต้ก็ตั้งใจฟังอาจารย์ให้ดีนะ(เกียร์กระปุกก็ต้องตั้งใจฟังนะ)
ทุกด่านช้าๆนะ ไม่ใครจับเวลา ช้าแต่ชัวร์ดีกว่า ไม่ต้องสวมวิญญาณนักซิ่งนะ เดี๋ยวนักซิ่งจะไม่ผ่าน พอตกด่านไหนก็ซ่อมด่านนั้นในวันพุธถัดไป ถ้าสอบไม่ผ่านซ่อมภายใน 3 เดือน ตกทฤษฎีก็ซ่อมทฤษฎี วันสอบเราต้องมา 8.30 น. มาเตรียมตัวก่อน เข้าห้องสอบทฤษฎี 9.00 น. พอสอบทฤษฎีเสร็จก่อนลงมาต่อแถวสอบปฏิบัติเลยจะมีอาจารย์เซ็นให้เป็นจุดๆที่สอบ จะมีคนคอยดูแลที่สนามสอบปฏิบัติ สอบปฏิบัติเสร็จก็ไปลุ้นผลข้อเขียนไม่ผ่านก็ซ่อมกันไป เวลาเรียน ก็นอกเวลาราชการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 16.30 - 20.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 8.00 - 18.00 น.เลือกเวลาตามสะดวกส่วนเราเองก็เรียนแต่หลังเลิกงานเพราะเสาร์-อาทิตย์มีธุระเยอะแล้ว
ตัวเราเองเลือกเรียนรถเกียร์กระปุกเพราะคิดว่าขับเกียร์กระปุกได้ก็ขับเกียร์ออโต้ได้ และเกียร์กระปุกก็ไม่อันตรายมากเท่าไหรเพราะการออกตัวยากกว่าเกียร์ออโต้ เกียร์ออโต้เหยียบคันเร่งก็ไปแล้ว คนขับเกียร์ออโต้จะขับรถเกียร์กระปุกไม่ได้ ไหนคิดว่าเรียนทั้งทีก็เอาแบบยิงนกครั้งเดียวได้นก 2 ตัวเลยดีกว่า แต่เสียตรงที่ว่าเราเองเรียนแต่ละครั้งห่างกันเป็นอาทิตย์ ทฤษฎีก็เรียนตั้ง 2-3 สัปดาห์แล้วก็มาสอบจำอะไรไม่ค่อยได้เลย ปฏิบัติ 2 ครั้งแรก ก็ห่างจาก 2 ครั้งหลังเป็นสัปดาห์เลยเพราะติดต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด 1 สัปดาห์ ทางที่ดีนะแนะนำว่าถ้าใครจะเรียนพยายามเรียนติดๆกันแล้วสอบเลยจะแน่นมากไม่ค่อยลืม
โดยในส่วนของทฤษฎีตั้งใจฟังดีๆและหนังสือหรือเอกสารที่เค้าให้มาอ่านก็พยายามอ่านซะ อย่าขี้เกียจเหมือนเรา อ่านได้ไม่เท่าไหร่ ออกจากในเอกสารนะแหละออกเฉพาะที่เกี่ยวกับกฎหมายจราจร เค้ามีสอนการดูแลรถเบื้องต้นด้วยแต่ส่วนนี้ไม่สอบ แต่ควรเรียนรู้ไว้เผื่อรถมีปัญหา โดยรวมทฤษฎีเราว่าสอนดีนะได้รู้ว่ากฎจราจรจริงๆเป็นยังไง ดูแลรถเบื้องต้นยังไง (เพราะในเมืองไทยนี่นะคนขับรถผิดๆโดยไม่รู้ตัวกันเยอะเลย บางทีคนขับถูกกลายเป็นโดนชาวบ้านด่าไปเลยก็มี แต่ทำถูกแล้วก็ทำต่อไปเถอะค่ะ ถนนหนทางเมืองไทยจะได้น่าขับกว่านี้) สอบผ่านแล้วมีสอบเอาใบรับรองให้ เราสามารถเอาใบรับรองไปทำใบขับขี่ได้เลยที่กรมขนส่งใกล้เลยก็ได้หรือจะเอาไปทำที่ใกล้บ้านก็ได้แล้วแต่เรา
ตอนเช้าก็เอาใบเสร็จค่าประกันมาด้วยเค้าก็จะเอาใบคำร้องขอเงินคืนมาให้เราเขียน เราก็เขียนแล้วเวลาสอบทฤษฎีเราก็ไปวางไว้บนโต๊ะที่เค้าบอก เวลาสอบปฏิบัติก็สูดหายใจลึกๆ ใจเย็น ไม่ต้องตื่นเต้น แต่จริงแล้ววันนั้นก็ตื่นเต้นกันทุกคนนะแหละ เข้ารถไปก็เช็คเบาะว่าพอดีหรือยัง กระจกปรับหรือยัง ปรับตามที่อาจารย์สอนนะแหละ เราเองแรกก็ตื่นเต้นใช้วิธีสะกดจิตตัวเอง (พูดกับตัวเองว่าช้าๆนะ แล้วทวนวิธีการ คนรอบข้างอาจจะคิดว่าเราเป็นบ้า แต่ไม่สนแล้วล่ะ ตกต้องมาซ่อมอีก) แล้วก็ได้ผลนะเราไม่ตื่นเต้นมาก แต่เวลาเบรกเราก็ไม่ค่อยนิ่มเหมือนกันด่านแรกผ่านฉลุยเล็งเส้นร่องน้ำตามที่อาจารย์บอกเลย พอผ่านจะมาด่านที่ 2 คนรอเยอะมากเลยเราเห็นกระจุกๆกันอยู่เลยหันไปถามอาจารย์ว่าไปด่านที่ 3 เลยได้ไหม อาจารย์บอกว่าได้ เราก็ขับรถไปอีกทางไปด่านหยุดบนสะพานเลย ด่านนี้ต้องใจเย็น(ซึ่งขัดกับคนลุกลี้ลุกลนอย่างเรามาก)แล้วเราก็ผ่านไปอย่างไม่ติดขัดอีกด่าน แล้วเราก็ขับรถไปแซงรถด่านที่ 1 ไปสู่ด่านเข้าซอง ถอยเพลินเกือบชนคันข้างหลัง แต่ก็ผ่านอย่างสบาย จอดรถแล้วก็ขึ้นไปลุ้นผลสอบต่อ ปรากฎว่าผลสอบผ่านแอบได้ยินว่ามีคนหนึ่งทำคะแนนสอบได้เต็มแต่ตกด่านถอยเข้าซอง เดินหน้ามุ่ยออกไปเลยวันพุธหน้าคงมาซ่อมใหม่ พอผลสอบทุกอย่างผ่านก็เอาผลสอบทั้ง 2 อย่างไปยื่นเข้าก็จะให้ใบนัดรับใบรับรอง วันศุกร์ก็ได้แล้ว ไม่นาน แล้วเราก็ต้องเอาใบคำร้องขอเงินประกันคืนไปยื่นที่อาคาร 1 ชั้น 1 ห้องการเงินในกรมขนส่งโดยถ่ายเอกสารบัตรประชาชนพร้อมรับรองสำเนา(แถวๆที่ต่อทะเบียนรถก็มีที่ถ่ายเอกสารแต่แผ่นละ 2 บาท ทางที่ดีเตรียมไปดีกว่า)ไปยื่นด้วยแล้วเงิน 2,000 ก็จะกลับมาอยู่ในกระเป๋าเราอีกครั้ง ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับเราผ่านกันเยอะ ขับดีทั้งนั้นเลย สงสัยเราจะได้อาจารย์ดี อิ อิ แต่อยากเตือนเพื่อนๆนะว่าถ้าอยากขับรถดี เก่ง ควรจะมาฝึกเพิ่มโดยให้พ่อหรือญาติหรือไปลงเรียนขับรถตามโรงเรียนเอกชนเพิ่มเพราะที่นี่สอนแค่เบื้องต้นไม่ได้ออกถนนใหญ่เลย อย่าคิดว่าเรียนแค่นี้ก็พอ ใบขับขี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเราเก่ง ชั่วโมงการขับรถที่เราได้หัดบนถนนจริงๆ เป็นตัวทำให้เราเก่งขึ้นมากกว่า เพราะมันเป็นสถานการณ์จริง แต่เราแนะนำว่าแรกอย่าขับคนเดียวนะ พยายามเอาคนที่ช่วยเราดูได้ออกไปด้วยควรเป็นคนที่ขับเป็นนะ ไม่ต้องเป็นนักซิ่งล่ะ ยังขับไม่แข็งหรอกแค่เรียนแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ถ้าใครมีปัญหาสงสัยเพิ่มเติมหรือจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องที่เราพูดไปก็โทรไปถามที่โรงเรียนสอนขับรถกรมขนส่ง เบอร์โทร 02-2723260 หรือจะไปเองที่อาคาร 8 ชั้น 1 หลังกรมขนส่งทางบก ลงสถานีรถไฟฟ้าหมอชิตหรือรถไฟฟ้าใต้ดินก็สถานนีจตุจักรแล้วเดินทะลุหรือนั่งมอเตอร์ไซต์(นั่งมอเตอร์ไซต์จะดีกว่า) มาหลังกรมขนส่งทางบกนะจะมีป้ายโรงเรียนตัวใหญ่อยู่ข้างหน้าเลยสนามเรียนและสอบก็อยู่ในนั้น ไปลองดูได้ อ้อ สมัครสอบด้วยตัวเองนะจ๊ะ แต่ถ้าเพื่อนๆที่มีภูมิลำเนาใกล้จังหวัดปทุมธานี แถวๆคลองเจ็ด ก็ไปเรียนที่สนามที่ปทุมก็ได้นะค่ะสนามใหญ่ขับมันส์กว่าได้ลองเข้าเกียร์ 3 เกียร์ 4 ที่หลังกรมขนส่งนี่สนามเล็กอย่างมากก็เกียร์ 2 เบอร์ที่ปทุมธานีนะ 02-5691946-47 แต่เพื่อนคนไหนอยากเรียนแบบเก่งแล้วสอบเอาเองก็ลงเรียนที่โรงเรียนขับรถเอกชนทั่วไปก็ได้ งานนี้ได้ลองขับจริงแน่นอน แล้วก็ไปลุ้นเวลาสอบเอา แต่เราก็ได้ยินมาว่าสอบจริงยากกว่าแต่ก็คล้ายกับที่เราเรียนนะแหละ เอาเป็นว่าไม่ตื่นเต้นเป็นพอ อ้อ รถก็ใช้คันที่หัดนะเปลี่ยนคันมันไม่คุ้นเท้าอาจจะพลาดได้ เราเชื่อว่าทุกคนทำได้
พอได้วันที่นัดไปเอาใบรับรองแล้ว(สอบผ่านทุกอย่างนะแหละ)แนะนำให้ไปเช้าหน่อยแต่ต้องเป็นเวลาราชการ(8.30-16.30)ที่อาคาร 8 ชั้น 2 นะ ตอนที่เราสอบผ่านครบทางโรงเรียนนจะให้ใบเกี่ยวกับรายละเอียดมาแผ่นเล็กๆว่าจะให้มารับวันไหนมาด้วย โดยวันรับจะต้องเอาบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงด้วยแล้วก็เซ็นชื่อรับ เค้าก็จะให้ซองเรา 1 ซอง อย่าดีใจรีบแกะล่ะเค้าไม่ให้แกะนะ ให้เอาซองไปยื่นที่อาคาร 4 ชั้น 3 เลี้ยวขวาไปหาโต๊ะเจ้าหน้าที่ได้เลย แล้วเค้าก็จะแกะซองเราเอง ในซองก็จะเป็นเอกสารที่เราใช้สมัครซึ่งเป็นเอกสารที่ปกติต้องใช้ทำใบขับขี่นะแหละ แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกให้เรามายื่นที่ชั้น2 รับบัตรคิวด้วยนะ แล้วไปต่อที่ช่อง 18-25 มีคิวก็ต่อคิวถ้าคนเยอะนะ ก็แต่เรานะมีปัญหาตอนยื่นเพราะระยะเวลาเรียนเราห่างกันแล้วใบรับรองแพทย์มันมีอายุแค่เดือนเดียว เราเลยต้องออกไปขอคลีนิกแถวกรมขนส่งใหม่อีก 1 ใบ ตอนนั้นราคา 60 บาท แล้วเอาเอกสารทิ้งไว้พอกลับมาเจ้าหน้าที่เค้าบอกให้เอาเอกสารยื่นได้เลยแล้วก็เซ็นตามที่เค้าบอก แล้วก็มีป้าคนนึงมาหาว่าเราแซง แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเรานะมาก่อนป้าคนนั้นหน้าหงายไปเลย แต่ถ้าใบรับรองแพทย์ไม่มีปัญหาก็ยื่นแล้วรอรับได้เลยแป๊ปเดียว(ได้ความรู้มาอีก 1 อย่างว่าใบรับรองแพทย์อยู่ได้แค่เดือนเดียว)เซ็นเอกสารเสร็จได้ใบขับขี่เป็นชั่วคราว 1 ปีก่อน ครบ 1 ปีแล้วจะเปลี่ยนเป็น 5 ปีทีหลัง เพื่อนสามารถเอาซองใบรับรอง(ห้ามแกะ) ไปทำที่ขนส่งหรือที่ที่แจ้งไว้ก็ได้ เช่น ภูมิลำเนาเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัดก็ไปทำที่จังหวัดก็ได้ แต่ต้องแจ้งตั้งแต่ตอนสมัครนะ และที่สำคัญใบรับรองนี่ต้องนำไปทำใบขับขี่ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่สอบ ไม่งั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ในการขอรับใบขับขี่ และเอาบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงติดไปทุกครั้งนะ ถ้าติดต่อเรื่องพวกนี้ แต่เพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัดน่าจะลองหัดขับแถวที่บ้านแล้วไปสอบที่ขนส่งจังหวัดไม่ต้องมาลงเรียนถึงกรุงเทพก็ได้ เพราะเราได้รู้มาจากเพื่อนๆหลายคนว่าที่กรุงเทพจะเคี่ยวกว่าต่างจังหวัด และเดี๋ยวนี้ก็มีที่สอนขับรถยนต์ตามขนส่งต่างจังหวัดแล้ว และโรงเรียนเอกชนที่ได้มาตรฐานก็น่าจะพอมี ลองติดต่อสอบถามที่ขนส่งจังหวัดที่เพื่อนอยู่ดูก่อนได้เลย อ้อ อีกเรื่องนะประสบการณ์การขับรถเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาเลือกของโฮสต์ด้วยนะเพราะเราอาจจะต้องขับรถไปรับไปส่งลูกโฮสต์ หรือขับไปไหนมาไหนเองถ้าออแพร์มีประสบการณ์การขับรถนานเค้าก็มั่นใจว่าเราจะสามารถขับได้อย่างปลอดภัยมากกว่าคนที่ขับรถมาน้อยกว่า และถ้าโฮสต์รู้ว่าเราเคยขับรถในกรุงเทพมาบ่อยๆ หลายคนก็จะยิ่งมั่นใจในตัวเรา มีบางคนพูดว่า คนที่ขับรถในกรุงเทพได้ก็สามารถขับได้ทุกที่ในโลก(อิๆๆ) การันตีด้วยความยุ่งเหยิงบนท้องถนนอย่างที่เราเห็นๆ กัน โฮสต์ส่วนใหญ่จะนับจากที่เราได้ใบขับขี่ว่าเราขับมานานแค่ไหน รีบสอบเก็บไว้ก่อนจะดีมากเลย



รายละเอียดจากโรงเรียนสอนขับรถกรมขนส่ง
หลักสูตรที่เปิดสอน
1. หลักสูตรระยะสั้น 10 ชม.(นอกเวลาราชการ)
เหมาะสำหรับเรียนขับรถเก๋ง รถกระบะ
2. หลักสูตรระยะยาว 1 เดือน
3. หลักสูตรระยะยาว 2 เดือน
ระยะเวลาเรียน
1. หลักสูตรระยะสั้น 10 ชม.(นอกเวลาราชการ)
เรียนทั้งหมด 10 ชม. วันละไม่เกิน 2 ชม.
+เสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-18.00 น.
+ จันทร์-ศุกร์ เวลา 6.30-08.30 น. และ 16.30-20.30 น.
2. (1 เดือนและ2เดือน)
เรียนในเวลาราชการ
+จันทร์-ศุกร์ เวลา 6.30-16.30 น.
คุณสมบัติผู้สมัครเรียน
เป็นผู้มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
ไม่เป็นผู้ร่างกายพิการจนเห็นได้ชัดว่าขับรถไม่ได้
หรือ ดูรายละเอียดเกี่ยวกับการขับรถความปลอดภัยและการเรียนเพิ่มเติมได้ที่ //www.dlt.go.th/esb





 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2549   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2549 16:27:31 น.   
Counter : 570 Pageviews.  



genie_a18
 
Location :
MA United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีทุกๆคนค่า ยังไงมีอะไรผิดพลาดก็แนะนำกันมานะค่า ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนบล็อกค่า
[Add genie_a18's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com