เรารักกัน

ผมเฝ้าแอบมองเธอมานานมากแล้ว

เธอคนนั้น คนที่อยู่ถัดไปจากผมหนึ่งห้อง เธอซึ่งมีผิวกายที่ขาวละเอียด ร่างระหงที่ซ่อนทรวดทรง
อันน่าหลงไหลเอาไว้ ลักยิ้มที่ผุดปรายออกมายามเธอแย้มสรวล ท่าทีขี้เล่นและอากัปกิริยาน่ารัก ๆ
ยั่วเย้าให้ผมหลงใหล เมื่อยามที่มองเธอครั้งใด ผมจะรู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นและสดใส แผ่
กระจายออกมาจากตัวของเธอ

เธอช่างเหมือนดวงตะวันจริง ๆ

เพราะเธอส่องประกายเหมือนดวงตะวัน เธอจึงปัดเป่าความมืดมิดที่เกาะกุมผมออกไป เธอจึง
มอบความอบอุ่นให้กับหัวใจที่เย็นชาให้กลับมาอบอุ่นเต้นรัวอักครั้ง ทำให้โลกนี้น่าอยู่กว่าที่
มันเคยเป็น

และก็เพราะเธอส่องประกายเหมือนดวงตะวันอีกเช่นกัน ผมจึงไม่อาจจ้องมองตรง ๆ และเข้า
ไปสัมผัสเธอได้โดยตรง ผมกลัวแสงที่เจิดจ้าจะทำให้ตาผมพร่าฟาง ผมกลัวความอบอุ่นจะ
หลอมละลายร่างจนไม่สามารถคงรูปเดิมไว้ได้

ผมจึงทำได้แค่แอบเฝ้ามองเท่านั้น

หอพักที่เราอยู่นั้นเป็นหอพักแบบสองชั้นแต่ชั้นมี่อยู่ห้อง หลังคากระเบื้อง อยู่กลางสวนแถม
ไกลจากโรงงานที่ผมทำงานอยู่พอสมควรเสียด้วย แต่ด้วยความที่เป็นหอพักกลางสวนนี่แหล่ะ
จึงเป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจเช่าหอนี้เพราะมันสงบและร่มรื่นดี

อยู่มาวันหนึ่ง ช่วงบ่าย ๆ วันอาทิตย์ที่ผมนอนแฮงค์เหล้าอยู่ในห้อง เสียงกุงกัง ๆ ข้างนอกห้อง
ก็ปลุกให้ผมตื่นขึ้น ใครบางคนกำลังขนของไปมาผ่านหน้าห้องอยู่ สงสัยมีคนย้ายเข้ามาอยู่ห้อง
ที่เพิ่งว่างลงเมื่อสองอาทิตย์ก่อน พอผมแปรงฟันอาบหน้าล้างหน้าล้างตาเสร็จ ผมก็เปิดประตู
ออกมาดูเพื่อนร่วมหอคนใหม่

นั่นก็เป็นเวลาล่วงมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ที่ผมได้จ้องมองพระอาทิตย์อย่างจัง ๆ

ก็ไม่รู้ว่าผมเริ่มแอบเฝ้ามองเธอตั้งแต่เมื่อไร ผมรู้แค่ว่า ตอนนี้ผมมิอาจหักห้ามใจไม่ให้หลงรัก
เธอได้เลย ผมเฝ้ามองเธอตลอด ทันทีที่ผมกลับมาจากที่ทำงาน ผมจะต้องนั่งเล่นที่ม้านั่งหินอ่อน
ใต้หอ คอยเฝ้ารอโดยหวังจะเห็นเธอเดินเข้าออกห้องของเธอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ดึกดื่น
เที่ยงคืนเท่าใด ผมก็จะนั่งเฝ้ารออยู่อย่างอดทน ขอเพียงแค่ได้เห็นหน้าเธอในวันนั้นผมก็สุขใจ
จนเกินกว่าจะบรรยายได้ และถ้าหากวันใดไม่ได้พบหน้าเธอ ผมจะรู้สึกกระวนกระวาย ร้อนรน
จนไม่อาจสงบใจได้เลย

นานวันเข้าความรู้สึกที่มีต่อเธอเริ่มพอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ มันเริ่มไหลล้นท่วมตัวผม ผมเจม
อยู่ในทะเลห้วงคำนึงคิดถึงเธอ ตื่นเช้าผมอยากเห็นเธอก่อนออกไปทำงาน เที่ยงผมอยากรู้ว่า
เธอเป็นยังไงบ้าง เย็นผมนั่งรอคอยที่จะได้เห็นเธอกลับเข้าห้อง ค่ำผมวาดมโนภาพของเธอ
และจมดิ่งอยู่ในนั้น ทั้งหมดนี้วนเวียนเป็นวัฎจักร ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ผมทำได้แต่
แค่เฝ้าแอบมองและคิดคำนึงถึงเธอเท่านั้น ไม่สามารถทำสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้ได้เลย

มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไร้ทางออกโดยแท้

ราวกับโดนไฟรุมเร้าแผดเผา ผมนอนก่ายหน้าผาก กระสับกระส่ายร้อนรนใจเป็นที่สุด สาเหตุ
มาจากผมไม่ได้เห็นหน้าเธอในวันนี้ แม้ว่าจะนั่งรอทนตบยุงอยู่ที่ม้าหินอ่อนตั้งแต่หัวค่ำจนเที่ยง
คืนแล้วก็ตาม เธอก็ยังไม่กลับห้องพักเสียที ผมก็เลยต้องกลับขึ้นมาบนห้องมานอนเศร้าอยู่อย่างนี้

เธอไปไหน ?

ไปเที่ยวกับเพื่อนเหรอ ? รึว่าเธอยังไม่เลิกจากงาน ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ? เธอย้ายออก
ไปจากที่นี่แล้วงั้นเหรอ ? รึว่าอุบัติเหตุ ?

ไม่นะ ไม่ ไม่
อย่านะ อย่า อย่าเป็นเช่นนั้น

ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอแล้วผมจะอยู่ยังไง ผมจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไรในเมื่อดวงตะวันของผม
ดับลง โลกของผมต้องถูกปกคลุมด้วยความมืดอย่างแน่นอน

ผมผุดลุกขึ้นมานั่ง ฟันของผมขบเล็บจนได้ยินเสียงดังกึกกัก ความกลัวเริ่มสร้างรูปร่างของมัน
และเข้ามาคุกคามผม ผมกลัว กลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะเกิดเหตุอันใดร้ายแรงขึ้นกับเธอ กลัวจะ
ไม่ได้พบเห็นเธออีก

ผมเริ่มหายใจไม่ค่อยออก ความกลัวเข้ามาบีบคอผม

ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของคนผ่านหน้าห้องผม ผมรีบตรงไปที่หน้าต่าง เเหวกผ้าม่านออก
เพ่งสายตามองลอดมุ้งลวด มุ่งไปยังร่างที่กำลังเดินอยู่ ร่างที่คุ้นเคยตาเดินผ่านหน้าห้องของผมไป
เสียงเปิดของห้องประตูดังขึ้น ผมรีบลุกจากเตียง เปิดประตูออกไปข้างนอก ไฟในห้องของเธอ
เปิดสว่าง

ดีจังเลยที่เธอกลับมา ดีจังเลย

โล่งอกไปที ผมยืนโล่งใจอยู่ที่หน้าห้องของเธอ

ฮือ ฮือ ฮือ

เสียงสะอื้นเบา ๆ ลอดออกมาจากห้องของเธอ ผมเงี่ยงหูฟังเสียงนั้นจนหูแทบจะแนบกับประตู
ห้อง เสียงสะอื้อยังคงแผ่วออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ผิดแน่ เธอกำลังร้องไห้อยู่

เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงร้องไห้ล่ะ เธอเจอเรื่องอะไรมาอย่างนั้นเหรอ ใครทำอะไรเธอ ทำไม
ทำไมล่ะ ทำไม ผมเกิดความสงสัยเป็นยิ่ง เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ ผมอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงได้
กลับมาเสียดึกดื่นขนาดนี้และมิหนำซ้ำ พอเธอกลับมา เธอก็มาร้องไห้ที่ห้องแบบนี้ ใครมา
ทำอะไรเธอ ใครมาบังอาจทำให้ดวงตะวันของผมหม่นหมอง ผมอยากรู้สาเหตุ อยากรู้ต้นตอ

ผมจะไปจัดการมัน

ผมเวียนวนไปมาที่หน้าห้องของเธอ หลายต่อหลายครั้งที่ผมเอื้อมมือไปเพื่อเคาะประตูห้อง
ผมอยากถามเธอเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่สุดท้ายผมมก็ชักมือกลับทุกครั้ง ผมไม่กล้า
พอที่จะเคาะประตู ไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเธอโดยตรง ดังนั้นผมถึงล่าถอยกลับเข้ามาใน
ห้องของผม ผมนอนก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดถึงเธอ เกิดอะไรขึ้น เธอหยุดร้องรึยัง ตอนนี้เธอเป็น
ยังไงบ้าง ผมอยากรู้ อยากรู้เสียเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่กล้าเข้าไปถามเธอโดยตรง เพราะผมเองก็
กลัว กลัวว่าถ้าเกิดผมบุ่มบ่ามเข้าไปถามเธอ มันจะทำให้เธอรู้สึกว่าผมไปละลาบละล้วงเรื่อง
ของเธอ ทำให้เธอรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าเดิมและทำให้เธอเกลียดผม ผมคงทนไม่ได้ถ้าเธอเกลียดผม
ผมคงอยู่ในโลกนี้ไม่ได้แน่ ๆ ดังนั้นผมจึงไม่กล้าเคาะประตูห้องเพื่อถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับ
เธอ ทั้ง ๆ ที่ผมอยากรู้ อยากรู้เป็นที่สุด แต่ผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้แค่นอนก่ายหน้าผาก
มองช่องมืด ๆ ของฝ้าเพดานยิบซั่มเปิดเผยอไว้

และผมก็พบหนทางในช่องมืด ๆ ช่องนั้น

ผมลากโต๊ะมาให้ตรงกับช่องนั้นแล้วจึงปีนขึ้นไปบนโต๊ะ ขยับฝ้าอันนั้นให้เปิดออกกว้าง ขี้ฝุ่น
ขี้ผงที่สะสมมาอยู่ช้านานร่วงพรูมาใส่หัวและพื้นห้อง ผมโผล่หัวขึ้นไปมอง เห็นแต่ความมืด
ล้อมรอบ จนกระทั่งสายตาปรับให้เข้ากับความมืด ผมจึงได้เห็นโครงสร้างของหลังคา เส้นลวด
ที่ใช้ยึดฝ้าเพดานระโยงระยางไปทั่ว ผมตะเกียกตะกายดึงร่างให้ขึ้นไปบนขื่ออย่างลำบาก
ยากเย็น ผมค่อย ๆ คลานไต่ไปตามขื่อเพื่อไปที่ห้องของเธอ เหงื่อไหลหยดย้อยเป็นทางเนื่องจาก
หลังคากระเบื้องกำลังคายความร้อนที่สะสมมาตั้งแต่ตอนกลางวัน ทำให้ใต้หลังคาร้อนระอุ
แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมคืบคลานไปจนถึงฝ้าบริเวณที่น่าจะอยู่เหนือห้องของเธอ

ด้วยแสงที่ส่องที่ลอดออกมา มันได้ชักพาให้ผมได้เห็นเธอ เธอกำลังนอนคว่ำหน้าลงบนเตียง
โดยมิไยดีต่อความสกปรก ผมแนบหน้าเข้ากับช่องรอยต่อของฝ้า สายตาจับจ้องไปที่ร่างระหง

เธอกำลังสะอื้นไห้ไหล่โยนขึ้นลงเบา ๆ

เวลาผ่านไปไม่นานนักเธอก็ลุกขึ้นมาปาดน้ำตาทิ้งและหยุดร้องไห้ เดินออกจากเตียง ร่างของ
เธอหายไปจากช่องที่ผมแอบมอง แต่ผมยังคงแอบเฝ้ามองที่ช่องเดิมอยู่ สักพักได้ยินเสียงอาบ
น้ำ เธอคงกำลังอาบน้ำอยู่สินะ

ผมละสายตาจากช่องนั้น หยุดคิดในใจ อีกสักหน่อยเธอคงจะเข้านอนสินะ เอาล่ะในเมื่อเธอ
ไม่เป็นอะไรและก็กำลังจะเข้านอน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอีกแล้ว พอผมคิดได้เช่นนี้ ผมก็คืบคลาน
กลับมาที่ห้องของผม ถึงจะยังคาใจอยู่ว่า ใครเป็นคนทำให้เธอร้องไห้อยู่ก็เถอะ แต่เดี๋ยวค่อยสืบ
หาก็แล้วกัน

เวรเอ้ย บ้าชะมัด !

ผมขึ้นบันไดอย่างร้อนรน วิ่งไปที่ห้องและไขประตูเปิดห้องอย่างรุนแรง เหลียวมองนาฬิกา
ข้างฝา เข็มสั้นเดินทางเกือบถึงเลขสิบสองแล้ว

ไอ้หัวหน้าเวรเอ้ย ! ดันมาสั่งงานตอนจะกลับบ้านแถมเสือกจะเอาด่วนอีกต่าง ผมเลยต้องอยู่
โยงทำโอทีจนเป็นเหตุให้ต้องกลับหอค่ำขนาดนี้ ทันทีที่มาถึง ผมรีบแหงนหน้ามองไปที่ห้อง
ของดวงตะวันของผมทันที ห้องของเธอเปิดไฟแล้ว นี่แสดงว่าเธอเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว
ล่ะสิ

ผมยังไม่ได้เห็นเธอเลยในวันนี้

ผมเดินวนไปวนมาในห้องเป็นเสือติดจั่น ผมคิดถึงเธอมาก ผมอยากเห็นหน้าเธอแทบคลั่ง อยาก
รู้ว่าตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง คิดหนักจนหัวหูร้อนผ่าว ไม่ว่ายังไง วันนี้ผมต้องเห็นเธอให้ได้

ความมืด ฝุ่น ลวดที่ระโยงระยาง ความร้อนระอุ มันยังคงเป็นเหมือนเดิมและหน้าของผมก็ทาบ
ทับกับช่องแยกระหว่างฝ้าช่องเดิมที่ผมใช้ไปเมื่อวานนี้

เธอกำลังนอนคว่ำหน้า เขียนบางสิ่งลงอยู่ในสมุดเล่มเล็ก ๆ อยู่ น่าจะเป็นไดอารี่ เธอหยุดเขียน
ครุ่นคิดและลงมือเขียนต่อ สักพักเธอก็พลิกตัวนอนหงาย ชูไดอารี่สีเหลืองหวานขึ้นมาอ่าน
ด้วยสองแขนที่เรียวระหงขาวกลมกลึงของเธอ เมื่อเธออ่านเสร็จ เธอก็นำมันมาเกาะกุมไว้แนบ
กับอก

สีหน้าของเธอช่างดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก

ทำไม ? เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ? เกิดอะไรขึ้น ? เธอกำลังเผชิญเรื่องอะไรอยู่เหรอ ? พระอาทิตย์
อันเจิดจ้าของผมถึงได้หมองหม่นอะไรเช่นนี้

ผมครุ่นคิดเป็นอย่างหนักจน สมองขึงเกลียวเส้นประสาทบิดพันกันปวดร้าวไปหมดทั่วทั้งหัว
ผมกุมหัวนอนขดตัวกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง ผมปีนกลับมาจากห้องของเธอหลังจากที่
เธอปิดไฟนอนไปได้สักพักแล้ว ประมวลความคิด หาสาเหตุที่ทำให้เธอหมองเศร้าในช่วงวัน
สองวันที่ผ่านมานี้

ผมคิดหนัก ปวดหัวมากจนผล็อยหลับไป



" ปวดหัวตัวร้อนแถมไอแบบนี้ หนูว่าพี่ไปหาหมอดีกว่านะ "
ก้อยเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

" เดี๋ยวพี่กินยาดูก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นเดี๋ยวค่อยไปหา โขลก ! โขลก ! โขลก ! "
ผมไอก่อนจะทันได้พูดจบประโยค

วันนี้ผมตื่นสายแถมมีอาการปวดหัวมาก ตัวร้อนจัดและมีอาการไอจนทำให้ไม่สามารถไป
ทำงานได้ ปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวจนต้องโทรไปลาป่วยกับผู้จัดการและก็โทรไปสั่งเจ้าก้อย
ลูกน้องของผมว่า ถ้ามีงานอะไรก็ให้หอบเอามาให้ดูด้วยหลังเลิกงาน

" เรื่องงาน วันนี้ที่ประชุมเขามีแผนจะเพิ่มไลน์ของ Lite-On อีกหนึ่งไลน์ เขาจะให้พี่เตรียม
Layout กับพวก Line Balancing ให้ดูน่ะ เห็นพี่ไนว่า เรื่องนี้ด่วนต้องรีบเตรียมให้เสร็จภายใน
อาทิตย์นี้"
" งั้นเหรอ โขลก ! โขลก ! แล้วมีอะไรอีกไหม ? "
" ไม่มีหรอก มีแค่นี้แหล่ะ "

โรงงานของผมเป็นโรงงานเล็ก ๆ การขาดพนักงานไปสักคนก็ส่งผลพอสมควร การที่ผมมา
ป่วยอยู่อย่างนี้ ย่อมส่งผลต่อการดำเนินงานของแผนกอื่น ๆ ดังนั้นผมถึงได้ให้ลูกน้องหอบ
งานจากบริษัทมาให้ทำถึงหอ

" หายเร็ว ๆ นะพี่วิน หนูกลับก่อนล่ะ "
" ขอบใจมากก้อย "
ผมเดินกระย่องกระแย่งไปส่งลูกน้อง หลังจากก้อยเดินลงบันไดไปแล้ว ผมเอื้อมไปที่ลูกบิด
ประตูเพื่อปิดห้อง แต่ก่อนที่จะปิดประตู ผมรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังจ้องมองผมอยู่ ผมเลยหันหน้า
ไปมองที่มาของความรู้สึกนั้น

เธอกำลังจ้องมองผมอยู่

ทันทีที่สายตาของผมประสานกับสายตาอันเจิดจ้าของเธอ ผมรีบหลบตาทันที หัวใจแทบหยุด
เต้น ตาของผมเกือบฟ้าฟาง

ผมค่อย ๆ เหลือบตาไปมองเธอ เธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือจับลูกบิดประตูค้างไว้ ทำท่าเหมือนจะ
เปิดประตูแต่ยังไม่เปิดและยังคงมองมาทางผมอยู่

ด้วยสายตาอันเจิดจ้าแต่ดวงหน้าหม่นเศร้า

" ..... ..... .. .... .. "
เสียงไม่ออกจากลำคอของผม

ผมพยายามรวบรวมแรงใจและแรงกายทั้งหมดที่มีเพื่อเอ่ยคำทักทายเธอ แต่ผมทำได้เพียงแค่
ขยับริมฝีปากอันสั่นริก ๆ ของผมขมุบขมิบเท่านั้น ไม่มีคำพูดใดล่วงออกมา

ในที่สุด ผมก็พ่ายแพ้ต่อดวงตาคู่นั้น ต้องปิดประตูและล่าถอยกลับเข้าห้องด้วยอาการปวดหัว
ตัวร้อนเนื่องจากไข้ คอเจ็บเนื่องจากการไอ

แต่ใจกลับเต้นรัวด้วยความสุข



ผมตื่นเช้าด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน ไข้ของผมลดลงแล้ว หัวค่อยทุเลาอาการปวดลง
ผมยังคงไออยู่ โดยรวมแล้วอาการก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวานแต่ก็ยังไม่ดีถึงขั้นออกไปทำงานได้

เนื่องจากยังไม่หายสนิท ผมจึงตัดสินใจโทรไปขอลาป่วยต่ออีกหนึ่งวันกับผู้จัดการ แกเองก็ไม่
ว่าอะไร บอกแค่ให้ผมหายป่วยและรีบกลับมาทำงานต่อเร็ว ๆ มีงานที่ผมต้องสะสางรออยู่อีก
มากมาย ผมเลยให้คำมั่นว่าถ้าหายจะรีบไปจัดการให้หมด

บ่ายเริ่มคล้อย ผมละสายตาจากคอมพิวเตอร์ งานที่ลูกน้องหอบเอามาให้คืบหน้าไปพอสมควร
แต่ก็แลกกับอาการปวดหัวตุบ ๆ ที่มากกว่าเมื่อเช้า ผมเลยหยุดพัก ปล่อยสมองให้ว่างเปล่า

แต่ก็เหมือนกับเหล็กโดนแม่เหล็กดูดเร้า ทันทีที่ปล่อยให้หัวสมองว่างเปล่า ความคิดของผมก็
ถูกแรงดึงดูดลึกลับให้ไปจับจ่อกับเรื่องนั้น

เรื่องของเธอ

ผมถอนหายใจ จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่า เพราะเหตุใดเธอถึงได้ร้องไห้และมีสีหน้าที่เศร้า
สร้อยจนถึงเมื่อวานนี้ ทั้ง ๆ ที่ใจอยากจะสืบรู้สาเหตุให้ได้ใจจะขาดแต่ก็ดันมาไม่สบายเอา
เสียแบบนี้ จะว่าไป การที่ผมไม่สบายเนี่ยอาจจะเป็นเพราะการปีนขึ้นไปบนฝ้าเพดานก็ได้
มันทั้งสกปรกแถมร้อนมากอีกต่างหาก เลยเป็นสาเหตุให้ร่างกายติดเชื้อโรคจนต้องล้มหมอน
นอนเสื่อถึงกับต้องหยุดงาน

งานก็ไม่ได้ไปทำ เรื่องของเธอก็ไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน

ผมถอนหายใจด้วยความท้อแท้อีกครั้ง ทำยังไงผมถึงจะรู้ว่าใครเป็นตัวการทำเธอโศกเศร้า
ไม่ใช่สิ ทำยังไงถึงจะได้รู้จักเธอมากกว่านี้ ได้อยู่ใกล้กัน พูดคุยกัน

และได้เป็นแฟนกัน

มันช่างเป็นอะไรที่ริบหรี่เหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแล้วแท้ ๆ กะอีแค่เพียง
เอ่ยคำทักทายเธอ ผมยังไม่สามารถทำได้เลย การเริ่มต้นความสัมพันธ์โดยการพูดคุยที่ง่าย ๆ
ผมยังทำไม่ได้ แล้วนับภาษาอะไรกับการสานความสัมพันธ์ให้งอกงามกว่านี้

เพราะผมกลัว

กลัวว่าตอนที่เอ่ยปากคุยกับเธอ ผมต้องพูดตะกุกตะกักเพราะความตื่นเต้นที่มากเกินไปแน่ ๆ
ซึ่งมันจะทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดี ทำให้ผมดูไม่น่าเชื่อถือ กลัวว่าเธอจะรู้สึกแปลก ๆ และกลาย
เป็นรู้สึกรังเกียจไป

เฮ้อ มันเป็นอะไรน๊อ ทำไมทีกับผู้หญิงคนอื่นกลับคุยได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่กับเธอทำไมถึง
ใจเต้นสั่นระรัว ตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ ทำยังกับเจอผีไปได้

ใช่แล้ว เมื่อก่อนเคยได้ยินใครบางคนว่าไว้ว่า ความรักก็เหมือนกับผี บางคนอยู่ดี ๆ ก็เจอผี
บางคนก็ไม่เคยเจอผีเลย บางคนก็พยายามเพื่อให้ได้เห็นผี และหลาย ๆ คนเมื่อเจอผีก็จะช็อค
จนทำอะไรไม่ถูก

ซึ่งผมก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น



" เอา โขลก ! โขลก ! นี่ไปให้พี่ไนดูพรุ่งนี้ File ชื่อ Lite-On Layout กับ Lite-On Line Balance "
ผมยื่น Handy Drive ที่มี File งานที่เพิ่งทำเสร็จในวันนี้ให้กับลูกน้อง

" File ชื่อ Lite-On Layout กับ Lite-On Line Balance ใช่ไม๊ ? "
" อือ ใช่แล้ว "
" แล้วพรุ่งนี้ พี่จะให้หนูลาป่วยกับพี่ไนให้รึเปล่า "
" เดี๋ยว โขลก ! พี่ดูก่อน ถ้าพรุ่งนี้ไปไหว พี่ก็จะไปทำงาน แต่ถ้ายังไม่ไหว พี่จะโทรไปลากับ
พี่ไนเอง โขลก ! "
" เหรอ งั้น หนูกลับก่อนนะ "
ก้อยเก็บ Handy Drive ที่ผมยื่นให้ใส่ลงในกระเป๋าสะพาย ก่อนจะเดินลงบันไดกลับไป

ผมยืนส่งก้อยเดินลงบันได พอน้องลงบันไดไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันกลับเข้าห้องไป แต่อยู่ ๆ
ผมก็รู้สึกบางอย่าง และเป็นเป็นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันก่อน

ผมกำลังโดนเธอจ้องมองอยู่

เธอกำลังยืนอยู่ตรงพื้นใกล้ ๆ กับโต๊ะหินอ่อนตัวเดียวกับที่ผมชอบไปนั่งรอพบหน้าเธอทุกวัน
มือถือกล้องถ่ายรูป แหงนหน้าขึ้นมามองผม

ด้วยดวงหน้าที่บึ้งระคนหมองเศร้า

แต่คราวนี้แทนที่ผมจะทันได้หลบสายตาเธอ เธอกลับเป็นฝ่ายหลบสายตาผมไปแทน เลี่ยงเดิน
ไปที่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ขึ้นคร่อม สตาร์ท แล้วก็ขี่ออกจากหอไป

ผมยืนมองตามจนกระทั่งแผ่นหลังของเธอหายไปจากลานสายตา



เธอไปไหนนานจัง

ตลอดเวลาที่ผมนั่งในห้อง แอบเฝ้ามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจากหน้าต่าง ผมยังไม่เห็นเธอ
กลับมาจากข้างนอกเลย ออกไปตั้งแต่ก่อนฟ้าจะมืด จนตอนนี้ข้างนอกหน้าต่างถูกทาทับไป
ด้วยสีดำแล้ว เธอก็ยังไม่กลับมา ผมหันไปดูนาฬิกา นี่มันก็เกือบจะสามทุ่มแล้วนะ ไปข้างนอก
นานเกินไปแล้ว มืดขนาดนี้ เกิดเป็นอะไรขึ้นจะว่ายังไง ผมชักเริ่มเป็นห่วงเธอ

ทันใดนั้น หางตาของผมก็จับภาพร่าง ๆ หนึ่งที่กำลังเดินผ่านหน้าต่างไปได้ ผมรีบหันขวับ
สายตาจับจ้องไปที่เจ้าของร่างนั้นทันที

ร่างระหง ผมยาวสยายประบ่าเดินผ่านลับไป เป็นเธอนั่นเอง เธอกลับออกมาจากข้างนอกแล้ว
โดยแทบจะในทันที ผมรีบถลันไปที่ประตู เปิดออกไปข้างนอก สายตามุ่งเป้าไปที่แผ่นหลังที่
ประกอบด้วยเส้นโค้งที่ชวนให้หลงไหล

โครม !
ปัง !

เสียงเปิดและปิดประตูที่แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกันดังสนั่น เธอหายลับเข้าไปในห้องแล้ว ทิ้งให้
ผมยืนตะลึงอยู่หน้าห้องของตัวเอง

เกิดอะไรขึ้น เธอไม่เคยเปิดประตูกระแทกแบบนี้มาก่อน เธอเป็นอะไร มีเรื่องไม่ดีมาเหรอ
สองเท้าก้าวย่างพาร่างของผมไปยืนที่หน้าห้องของเธออย่างไม่รู้ตัว ทำไม ทำไมเธอถึงได้ทำ
แบบนี้ ต้องเกิดเรื่องอะไรที่เลวร้ายขึ้นกับเธออย่างแน่นอน ผมยืนนิ่งด้วยความสับสนจับต้น
ชนปลายไม่ถูก

ฮึก ฮึก ฮึก ฮึ โฮ โฮ โฮ โฮโฮ โฮ ~~~~~~

เสียงร้องไห้บาดลึกกรีดแทงเข้าไปที่ดวงใจของผม



ผมยืนอยู่ตรงที่เดิม ยืนจนขาชา ชาจนไม่รู้สึกถึงฝูงยุงที่กลุ้มรุมกันกัด ชาจนไม่รู้ว่าตัวเองได้
ยืนมานานแล้วแค่ไหน แม้แต่แขน ตัว และใบหน้าก็ชาตามขาไปด้วย

ด้วยเสียงสะอื้นร้องไห้ของเธอ

เธอร้องไห้นานมากก่อนจะเงียบเสียงไป นานเสียจนผมคิดว่าช่วงเวลานี้มันจะเป็นนิรันดร
รึเปล่า ผมแปลบปลาบหัวใจเหลือเกิน

ทำไม ทำไม เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอร้องไห้หนักขนาดนี้ เรื่องร้ายแรง ร้ายแรง ? ใช่ มันต้อง
ร้ายแรงมากแน่ ๆ เธอถึงได้ร้องห่มร้องไห้ขนาดนี้

แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ

มันต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเธอตอนระหว่างที่เธอไปข้างนอกแน่ ๆ อุบัติเหตุ ? เงินหาย ?
โดนทำร้าย ? คนรังแก ? ลวนลวม ? เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเธอแน่ ๆ

ความคิดของผมสับสนวกวนจับตนชนปลายไม่ถูก หัวสมองปวดหนึบ ๆ ขึ้นมา ผมคิดไม่ตก
ว่าสาเหตุใดกันแน่ที่ทำให้เธอเป็นอย่างนี้ แต่ยังไงเสียผมก็ต้องรู้ให้ได้

ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม



" ขุ "
ผมไอด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน ที่แทบจะไม่ได้ยินก็เพราะผมใช้ผ้าอุดปากจนแน่น ไม่ยอม
ให้เสียงการไอเล็ดลอดออกมาได้

ก็เพราะตอนนี้ผมหมอบอยู่ตรงเพดานเหนือห้องของเธอ

เธอหยุดร้องไห้ไปแล้ว หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอก็มาทอดร่างนอนบนเตียง เขียน
บางสิ่งบางอย่างอย่างขะมักเขม้น ผมเฝ้าแอบมองอยู่นาน จนกระทั่งเธอเขียนเสร็จ หยิบมันขึ้น
มาอ่าน สะอื้น อ่านใหม่ สะอื้น อ่านใหม่

และเธอก็ผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังปิดไฟอยู่



" ครับพี่ พรุ่งนี้คิดว่าหายดีแน่นอนครับ แต่วันนี้ถึงจะหายดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังทำงานไม่ไหวครับ
เลยคิดว่าจะขอลาป่วยต่ออีกวันครับ "
" ไม่เป็นไรหรอก ถ้ายังไม่ไหวก็อย่าเพิ่งมา ผมไม่อยากให้คุณมาทำงานแล้วฟุบจนต้องหาม
คุณส่งไปโรงพยาบาล เอาไว้หายดีแล้วค่อยมาทำงานก็แล้วกัน แค่นี้นะ "
" ครับพี่ "
พอผมพูดจบ พี่ไนก็ตัดสายไป

ขอโทษด้วยครับพี่ ผมคิดในใจ

ผมลากโต๊ะมายังฝ้าที่เผยอไว้ ค่อย ๆ ยกพร้อมกับดันมันจนเกิดช่องที่เพียงพอที่จะให้ร่างของ
ผมแทรกขึ้นไปได้ ผมเอื้อมสองมือไปยึดขื่อเหล็ก จับให้มั่น ก่อนออกแรงดึงร่างของตัวเอง
ขึ้นไปใต้หลังคาที่ระโยงระยางไปด้วยลวดและแผ่นฝ้า พอไต่ขึ้นมาได้แล้วผมก็ก็ค่อย ๆ คืบ
คลานอย่างระมัดระวังไปตามคานเหล็ก ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ และไปอยู่ตรงที่คิดว่าน่าอยู่เหนือ
ห้องน้ำของเธอ

ผมค่อย ๆ เปิดแผ่นฝ้าอย่างระมัดระวัง พอมองลงไปข้างล่างก็เห็นชักโครก อา ตำแหน่งถูก
ต้องแล้ว ผมค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปอย่างช้า ๆ และระมัดระวัง พยายามเหยียดปลายเท้าออกไป
เหยียบบนชักโครกให้ได้

อย่างทุลักทุเลแต่ในที่สุดผมก็สามารถลงมาสู่พื้นห้องน้ำได้สำเร็จ เนื้อตัวแขนขาถลอกปอก
เปิกไปหมด แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ ผมเปิดประตูห้องน้ำ มุ่งไปยังเตียงนอนของ
เธอ

ห้องสะอาดสะอ้าน ข้าวของถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบในตู้และชั้นวาง ผ้าห่มถูกพับและวาง
ไว้บนเตียงนอน

แต่ไม่มีเค้าร่างของเจ้าของห้อง

นั่นก็เป็นเพราะว่าผมซุ่มรอเวลาที่เธอออกไปทำงาน เห็นเธอแต่งชุดพนักงานบริษัทเดินผ่าน
หน้ากระจกไป รอจนแน่ใจแล้วว่าไม่ย้อนกลับมาอีกจึงค่อยโทรศัพท์ไปหาผู้จัดการเพื่อขอลา
ป่วยต่ออีกวัน ก่อนจะปีนเข้ามาที่ห้องของเธอ

ผมเดินไปที่เตียงนอนของเธอ ผ้าปูเตียงลายดอกไม้จุ๋มจิ๋มสีฟ้า สีชมพู บนพื้นสีขาว ปลอกหมอน
ที่ลายเข้าชุด กลิ่นหอมของเนื้อสาวลอยฟุ้งกระจาย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ ผมเอื้อมมือไปที่
หัวเตียง หยิบไดอารี่สีเหลืองเล่มเล็กที่เห็นตอนเมื่อคืนขึ้นมาอ่าน

บอกแล้วไงว่า ผมต้องรู้ให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม

ทันทีที่เปิด ไดอารี่ก็กางไปยังหน้า ๆ หนึ่งที่ถูกเสียบคั่นด้วยกระดาษแข็งแผ่นหนึ่ง ผมหยิบ
เจ้ากระดาษแข็งแผ่นนั้นมาพิจารณาดูก็พบว่ามันเป็นกระดาษอัดภาพที่มีรูปถ่ายปรากฏอยู่

แต่พระเจ้าช่วย ! ทำไมมันเป็นแบบนี้

คนที่อยู่ในรูปถ่ายใบนั้นน่าจะเป็นผู้หญิงที่คลับคล้ายคลับคลาว่าผมจะรู้จัก แต่ว่าตรงดวงตา
ทั้งสองข้างกลับถูกเจาะทะลุเป็นรูโบ๋ ตามใบหน้าถูกกรีดจนกระดาษขาดเป็นริ้ว ๆ ตรง
หน้าผาก กระดาษก็ปูดพองเป็นเม็ด ๆ สีสันผิดเพี้ยนราวกับถูกไฟลน

อะไรกันเนี่ย

ผมละสายตาจากรูปถ่ายที่ยับเยินใบนั้น หันมาอ่านข้อความในไดอารี่ตรงที่รูปถ่ายใบนั้นเคย
เสียบคาเอาไว้

นังกระหรี่ไม่มีปัญญาหาผัวรึไง ถึงมาได้แร่ดมาหาพี่วิน นังโสโครก หน้าด้าน ไร้ยางอาย
นังหนอนขยะ กลับไปคุ้ยชอนไชซากเน่า ๆ ขยะเหม็น ๆ ไป๊ อย่าโผล่หน้ามาเห็นอีก ถ้ามาอีก
จะจิกหัวมาตบ จะควักลูกตาออก จะเอาคัตเตอร์กรีดหน้าหนา ๆ ให้กระจุย จะเอาไฟเผาให้
ดิ้นพร่าด ๆ ยังไม่ตายอีกใช่ไหม ดื้นด้านนักนะ อ๋อ ใช่ซี้ ก็เป็นแร่ดนี่นา ถึงได้ทนนัก สงสัย
ต้องกระทืบ กระทืบ กระทีบจนกว่าจะตายเลยก็แล้วกัน นังสัตว์ชั้นต่ำ


พี่วิน ทำไมพี่ทำแบบนี้ พี่เรียกมันมาเหรอ มันเป็นอะไรกับพี่คะ ทำไมพี่ถึงทำร้ายหนูได้ ทำไม
ถึงกับหนูอย่างนี้ ดวงใจหนูแทบแหลกสลาย ทั้ง ๆ ที่เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาไม่เคยเกินเรื่องอย่าง
นี้ แล้วทำไม เมื่อวานกับวันนี้มันถึงมาหาพี่ พี่เรียกมันมาเหรอ พี่ไม่รู้เหรอว่าหนูเจ็บปวด
แค่ไหน ทั้งๆที่หนู ...

แอ้ด ~~~

ผมหันหน้าไปที่ประตู ทันทีที่ประสานสายตากับผู้ที่เปิดเข้ามา ดวงตาของผมก็ถูกความเย็น
ระดับศูนย์องศาสัมบูรณ์ครอบคุมทันที

ความเย็นไหลพรวดทะลักผ่านดวงตาเข้าสู่เส้นเลือด พุ่งไปที่หัวใจก่อนจะถูกสูบฉีดกระจาย
ไปทั่วร่าง ร่างของผมเย็บเฉียบจนตัวแข็งทื่อ

เราประสานสายตากัน



เมื่อคิดย้อนกลับไปทุกครั้งทีไร เราสองคนก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า นั่นคือพรหมลิขิต

เป็นเธอที่เอ่ยบอกสารภาพรักกับผมก่อนด้วยน้ำตาที่นองหน้าพร้อมร่ำร้องไห้ ทันทีที่ผมได้
สติกลับมาคืน ผมก็ปลอบโยนเธอพร้อมกับสารภาพรักเช่นกัน เราคุยกันอยู่นานมากในวันนั้น
คุยกันด้วยน้ำตานองหน้าทั้งสองคน เราระบายสิ่งที่อัดอั้นมาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีให้
กันและกันฟัง

หลังจากนั้นไม่นานนัก เราก็ย้ายมาอยู่ห้องเดียวกัน ผมลาออกจากที่ทำงานเดิมแล้วย้ายไป
ทำงานที่เดียวกับเธอ เราทำงานที่เดียวกัน กินข้าวด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วย อยู่ด้วยกัน
สัญญาว่าจนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน

เรารักกัน




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 9:57:21 น.
Counter : 628 Pageviews.  

ลานประหาร

สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพพะยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ

ผมแผ่เมตตาทุกครั้งเวลาเดินทางไปกับหนูมินท์ ที่ต้องแผ่เมตตาอยู่เสมอ ๆ ก็เป็น
เพราะเวลาออกเดินทางไกล ๆ ครั้งใดก็ตาม ทุก ๆ ครั้งผมจะเห็นน้องหมาสิ้นชีพ
นอนเลือดไหลโชกอยู่กลางถนนอยู่เสมอ ๆ

ไม่ใช่เฉพาะน้องหมาที่ตายสด ๆ น้องหมาที่บวมเป่ง น้องหมามัมมี่ หมาทุบ หมาแผ่น
ผมก็แผ่เมตตาให้ทั้งหมด นอกจากน้องหมาแล้ว คุณงู คุณกบ คุณเขียด คุณคางคก
ถ้าผมเห็น ผมก็แผ่เมตตาให้เหมือนกัน


ไม่เว้นแม้กระทั่งคนด้วยกันเอง

จะว่าไปถนนทุกเส้น ไฮเวย์ทุกสาย ต้องมีสิ่งมีชีวิตมาจบชีพลงอยู่เสมอ ๆ ราวกับ
ว่าถนนคือลานประหารทุกชีวิตที่ต้องโทษข้อหาไม่รู้อิโหน่อิเหน่และข้อหาทำตัว
ประมาทเลินเล่อ

ว่าไหม




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2552 21:38:51 น.
Counter : 558 Pageviews.  

-1,674.4 km/h

" หมอได้พยายามจนสุดความสามารถแล้ว แต่คนไข้ ...... "

ทันใดนั้น ภาพของของหมอก็ถอยห่างจากตัวของผมอย่างรวดเร็ว หลังของผมกระแทกเข้ากับกำแพง
ก่อนจะทะลวงมันกระจุย ผมกระแทกเข้าผนังของห้องถัดไปและก็ทะลวงมันกระจุยอีกเช่นกัน ผมทะลวง
ทุกผนังจนในที่สุดร่างของผมก็ทะลุออกมานอกตัวโรงพยาบาล ความเสียหายวายวอดจากกระทำของ
ผมปรากฎให้เห็นชัดประจักษ์กับตา

แต่ผมก็ยังไม่หยุด

ภาพของโรงพยาบาลเริ่มหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ผมกำลังเคลื่อนที่ถอยหลังด้วยความเร็วเหนือเสียง
ร่างของผมกระแทกทำลายตึก อาคาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางการเคลื่อนที่จนแหลกลาญพร้อมกับ
สร้างคลื่นกระแทกเข้าทำลายทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเส้นทางเดินทาง

เวลาผ่านไปได้สักพัก ผมก็เคลื่อนที่ข้ามมหาสมุทรอินเดีย น้ำทะเลถูกคลื่นกระแทกจนแหวกออกเปิด
เป็นบาดแผลทางยาว โลหิตสีขาวฟูฟ่องฟ่อดออกมาก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป

ผมยังคงเคลื่อนที่ต่อ

มหาสมุทร หมู่เกาะ แผ่นดินที่แห้งแล้ง ทะเลทราย มหาสมุทร หมู่เกาะ ป่าดิบ ภูเขา มหาสมุทร หมู่เกาะ
พื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน โรงพยาบาล ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรม ภูเขา

วนเวียนไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วนเวียนจนกระทั่งได้เสียงที่คุ้นเคยแต่สุดแสนจะแผ่วเบา น้ำเสียงที่แทบจะไร้เรี่ยงแรงแห่งชีวิต

" ขอโทษ "
" คงอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว "
" ขอโทษนะ "
" คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ "
" รู้ตัวดีอยู่แล้วล่ะ "
" เหรอ "

ทั้งหมดนี้เป็นคำพูดที่เธอเคยพูดกับผม
อา ... ในที่สุดผมก็เคลื่อนที่ถอยหลังจนไล่ทันเสียงในอดีตได้
ใช่แล้ว ตอนนั้นเราคุยกันอย่างนี้นี่นา

" บ้าน่า หมอบอกว่าอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว "
" เหรอ "
" เดี๋ยวก็คงจะหาย "
" รู้ตัวดีอยู่แล้วล่ะ "
" หือ ? "
" คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ "
" ... "
" ขอโทษนะ "
" ... "
" คงอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว "
" ... "
" ขอโทษ "

ทำไมผมพูดอะไรไม่ออก ไม่สามารถพูดให้กำลังใจอะไรเธอได้ ไม่สามารถแบ่งเบาอาการป่วยของเธอ
ไม่สามารถทำอะไรให้เธอได้ ไม่เลยสักอย่าง

ผมอยากย้อนอดีต ย้อนกลับไปแก้ไข ย้อนกลับไปเสาะหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดแล้วพาเธอเข้าโรงพยาบาล
แต่เนิ่น ๆ ก่อนที่อาการจะเริ่มปรากฎ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อเธอ

ผมก็เลยหยุดตัวเอง ไม่ยอมหมุนไปตามโลก

ซึ่งพอผมหยุดตัวเอง ผมเลยไม่เคลื่อนที่ไปตามโลก แต่โลกยังคงหมุนรอบตัวเองอยู่ และด้วยเหตุนี้ผมจึง
เคลื่อนที่ถอยหลังด้วยอัตราเร็วที่เท่ากับอัตราเร็วที่โลกหมุนรอบตัวเอง

ผมเคลื่อนที่ถอยหลังรอบโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายพันหลายหมื่นรอบ แต่ด้วยความเร็วที่โลกหมุนรอบ
ตัวเองนั้นยังห่างไกลจากความเร็วแสงเสียเหลือเกิน ผมไม่สามารถย้อนกลับไปในอดีตได้ ความเร็วแค่นี้
ผมจึงทำได้แค่ไล่ตามเสียงในอดีตเท่านั้น

ไม่มีทางที่ผมจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้เลย

ความสิ้นหวังทับโถม ความระทมทุกข์สาดซัด ผมจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ สู่ก้นบึ้งแห่งความเศร้า แรงดันของ
ก้นบึ้งแห่งความเศร้าบีบอัดผมจากทุกทิศทุกทาง

ผมกำลังแหลกสลาย

" ถ้าเกิดเป็นอะไรไป ฝากดูแลลูกด้วยนะ "

ภาพเบื้องหน้าของผมปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง ผมกำลังยืนถือดอกไม้จันทน์อยู่ ผู้คนหลากหลายทยอยมาวาง
เคารพ ก่อนเดินลงไปอีกทาง ผมเหลียวมองรอบกาย เหล่าญาติ ๆ ทั้งฝั่งของผมและฝั่งของเธอกำลังแจก
ของชำร่วยให้แก่แขกเหรื่อที่มาร่วมงาน บางคนเดินถือข้าวของกันให้ขวักไขว่

แล้วผมอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร งานศพใครจัดขึ้นมา
เวลาของผมช่วงหนึ่งหายไป

อยู่ ๆ มือของผมก็ถูกจับสั่นไหว ผมหันไปมอง ร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งในชุดดำกำลังจับมือผมอยู่ มือเล็ก ๆ
ถือดอกไม้จันทน์ที่ดูใหญ่เกินตัว ดวงตากลมโตสดใสแต่แผงภายในหม่นเศร้ากำลังสบตากับผมอยู่

ผมย่อตัวลงคุกเข่า กอดร่างเจ้าของดวงตาคู่นั้นไว้ แล้วก็ร่ำไห้
" พ่อขอโทษ "

ผมไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ที่สุดเท่าที่ผมทำได้คือไล่ตามไปฟังเสียงในอดีต ถ้อยคำที่เธอเคย
พูดฝากฝังลูกที่ผมได้ยินนั้น มันแผ่วเบาเสียเหลือเกิน แต่สร้างบางสิ่งที่หนักแน่นให้กับผม จนผมต้อง
หยุดเดินทางย้อนอดีต

ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ผมจะทำทุกอย่างเพื่อลูก ทำทุกอย่างจนกว่าลูกพร้อมที่พ้นจากอกของผมไป

ถึงตอนนั้นผมจะเริ่มออกเดินทางไปหาอนาคตที่เธออยู่
รอหน่อยนะ




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2552    
Last Update : 25 มิถุนายน 2552 15:48:58 น.
Counter : 656 Pageviews.  

เนินพิศวง

ตอนนี้ผมกับหนูมินท์ เราสองคนกำลังอยู่ที่เนินพิศวง

"จอดรถ ปลดเกียร์ว่าง งั้นเหรอ ?"
ผมอ่านข้อความที่เขียนไว้บนป้าย พยักหน้าหงึก ๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความรู้สึก
นึกสนุก ลองเล่นดูดีกว่า ว่าแล้วผมก็ดับเครื่องพร้อมกับใส่เกียร์ว่าง

ทันทีที่ใส่เกียร์ว่าง ความพิศวงก็เริ่มเกิดขึ้น หนูมินท์ค่อย ๆ ขยับตัวไต่ ขึ้นเนินที่อยู่ตรงหน้า
ผมส่งเสียงอูฮู้อาฮ้าอย่างตื่นเต้น ไม่น่าเชื่อเลยแฮะ ทางขึ้นเนินแท้ ๆ แต่รถกลับไหลขึ้นได้
มันช่างมหัศจรรย์จริง ๆ

ก็ทำไปอย่างนั้นเอง

ผมแค่แกล้งทำเป็นตื่นเต้นตกใจเฉย ๆ รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วล่ะว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงที่รถจะ
ไหลขึ้นเนินไปได้อย่างนั้น มันค้านกฎแรงโน้มถ่วงโลกชัด ๆ ขืนพากันเชื่อว่ามันเป็นไปได้
รับรองว่าตานิวตันเคืองตายเลย

ไอ้เนินพิศวงนี่ เวลาเราอยู่ตรงเนิน พอเรามองไปข้างหน้า เราจะเห็นว่าทางข้างหน้าเป็นทาง
ขึ้นเนิน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นทางลงเนิน แต่เราโดนทิวทัศน์ข้างทางหลอกตาเอา
เราสามารถทดสอบได้ง่าย ๆ โดยการเทน้ำลงที่พื้น ตามธรรมชาติของน้ำแล้ว น้ำจะไหลลงจาก
ที่สูงไปยังที่ต่ำ ซึ่งจะเป็นการยืนยันได้ว่าไอ้สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นทางขึ้นเนินนั่นน่ะ แท้ที่จริงมัน
เป็นทางลงเนินต่างหาก เรากำลังโดนทิวทัศน์หลอกตาเอา

ก็โดนหลอกซะอย่างนี้แหล่ะ เราถึงเรียกมันว่า " เนินพิศวง " ไง

พอคิดถึงเรื่องโดนหลอก ผมคิดถึงเรื่องตัวเอง มีมากมายหลายครั้งเหลือเกินที่ผมโดนหลอกตา
เอาเสียได้ อย่างตอนที่เพื่อนคนหนึ่งชวนผมทำธุรกิจเงินกู้ ตอนเริ่มทำลงเงินเป็นแค่ไม่เท่าไร
แต่กลับได้กำไรอื้อซ่า ผมก็เลยทุ่มทุนสร้าง กดโอทีซะกระจาย เอาเงินที่ได้มาลงเงินกู้หมด
กะว่าให้เงินมันทำงานแทน แต่ที่ไหนได้พอผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน ไอ้ธุรกิจเงินกู้ที่ทำเงินดี ๆ
มันก็เริ่มฝืด สุดท้ายก็ล้ม ทั้งผมและเพื่อนโดนเชิดเงินที่ลงทุนไป ต้องวิ่งโร่แจ้งความกันวุ่นวาย
แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ตามจับตัวการไม่ได้ แถมยังมารู้ทีหลังอีกว่า ไอ้ที่ลงทุนไปน่ะ
มันไม่ใช่ปล่อยกู้แต่มันเป็นแชร์ลูกโซ่แบบหนึ่งต่างหาก

โดนหลอกเต็มเปา

แล้วตอนนั้นก็เหมือนกัน หลังจากแอบได้ยินข่าวมาว่า หลวงจะตัดถนนผ่านใกล้กับที่ของผม
พอผมรีบปั๊มเงินเอามากว้านซื้อที่ดินที่ติดกับที่ของผม หวังไว้ว่าพอเขาตัดถนนปุ๊บ ที่ของผม
ก็จะกลายเป็นที่ติดถนนปั๊บ ราคาพุ่งพรวด ๆ แน่ แล้วไหนล่ะ ผ่านมากี่ปีแล้วนี่ ไหนล่ะถนน
จนป่านนี้ยังไม่ได้ตัดถนนเลยและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเริ่มตัดถนนกันซะที สงสัยโครงการคงจะ
นอนซุกใต้ลิ้นชักใครสักคนหนึ่งล่ะมั้ง ก็เลยกลายเป็นว่า ที่ของผมก็ยังคงเป็นที่รกกันดาร ๆ
ต่อไป เงินที่กว้านซื้อที่ข้าง ๆ ก็กลายเป็นเงินจมซะงั้น

โดนอีกแล้ว

ทุกครั้งเลย เวลาที่ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสทองที่จะทำเงินทีไร มันก็กลับกลายเป็นตรงกันข้าม
ยังกับว่าผมโดนหลอกตาให้เห็นเรื่องเสียเงินเป็นเรื่องทำเงินซะงั้น

รึว่ามันอาจเป็นเนินพิศวงรูปแบบหนึ่ง

อือ... เป็นไปได้ รูปแบบมันเหมือนกัน มันลวงตาให้เราเชื่อแบบหนึ่งแต่ความจริงมันกลับ
ตรงกันข้าม ใช่แล้วล่ะ ไอ้ที่ผมโดน ๆ มาน่ะ มันคือเนินพิศวงชีวิตนี่เอง ทั้งหมดที่ทำไปนั้น
มันไม่ใช่บันไดแห่งโอกาสแต่มันคือทางลงสู่ความชี้บหายต่างหาก

สงสัยว่าต่อไปนี้ เวลาจะลงทุนทำอะไรสักอย่าง ผมคงต้องตรวจสอบดูให้แน่ชัดว่า ไอ้สิ่งที่
ผมกำลังจะลงทุนอยู่เนี่ยมันเป็นเนินพิศวงรึเปล่า ผมอาจจะโดนลวงตาอยู่ก็ได้ ต้องเอาให้
แน่ใจเสียก่อน ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ซ้ำรอย

ว่าแต่ว่าจะทดสอบโดยการเทน้ำได้รึเปล่าน้า





 

Create Date : 14 มีนาคม 2552    
Last Update : 14 มีนาคม 2552 23:24:27 น.
Counter : 2119 Pageviews.  

ความมืด

ผมชอบที่จะจมอยู่กับความมืด

เมื่อใดที่ผมได้อยู่กับความมืด ผมจะรู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลราวกับความมืดได้โอบอุ้มและห่ม
คลุมตัวของผมโดยใช้ร่างกายของมัน มันช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเสียเหลือเกินให้ความรู้สึก
เป็นนัย ๆ ว่า ความมืดจะปกปักคุ้มครองผมและอยู่กับผมเสมอ

และด้วยเหตุนี้ ผมจึงพึงพอใจเลือกที่จะอยู่ห้องอันมืดมิดมากกว่าอยู่กลางทุ่งโล่งแจ้งที่มีสายรุ้ง
พาดผ่านและประกายแดดระยิบระยับ เพราะถึงแม้รุ้งจะสวยงามแค่ไหนแต่แสงที่สว่างสดใส
ของมันกลับทำให้ผมรู้สึกว่า ผมกำลังโดนแผดเผา แสงสว่างจะส่องทำลายร่างกายของผมให้
มอดไหม้จนหมดสิ้น

ผมจึงรักความมืด

ห้องของผมจึงเป็นห้องที่ไม่เปิดไฟ ปิดประตู หน้าต่างและม่านไว้อย่างมืดชิด พยายามที่จะเก็บ
กักความมืดเอาไว้เพื่อโอบอุ้มและเยียวยาตัวของผมซึ่งไม่พิศสมัยแสงสว่างให้สามารถดำรง
ตัวตนและอัตตาอยู่บนโลกนี้ได้

ที่นี่จึงเป็นสรวงสวรรค์ของผม

แต่ด้วยที่ความมืด ต่อให้ดำมืดมิดสักแค่ไหน ก็ยังพ่ายแพ้แก่แสงสว่างที่เล็กกว่าลำเข็มอยู่ดี
มันคงจะเป็นเพราะธรรมชาติที่ได้กำหนดให้ผู้ที่แข็งแกร่งกัดกินผู้ที่อ่อนแอกว่า ความมืดอัน
อ่อนโยนและรักสงบถึงได้พ่ายแพ้ต่อแสงสว่างผู้แข็งกร้าวที่รุกรานเข้ามา

ไม่เว้นแม้แต่ห้องอันมืดมิดของผม

แสงสว่างได้แอบทะลวงเข้ามาในห้องของผม ทำให้ความมืดของผมต้องถูกเผาจนมอดไหม้
มันรุกรานเข้ามา ขู่เข็ญ ขับไล่ แย่งชิงเอาพื้นที่ที่เรียกได้แหล่งพักพิงสุดท้ายของผม ราวกับหื่น
กระหายอยากได้ อยากครอบครองทุกสิ่ง ด้วยความต้องการอันเป็นอนันต์ของมัน

แม้ว่าผมจะพยายามต่อสู้กับมันอย่างเต็มที่ ทั้งปิด ปะ และบังช่องที่แสงเหล่านั้นลอดผ่านเข้ามา
เท่าไรก็ตาม มันก็ยังหาจุดเล็ดลอดตรงที่อื่นเข้ามาได้เรื่อย ๆ และเพิ่มจำนวนการรุกรานมากขึ้น
ความมืดค่อย ๆ ถูกฆ่าตาย ห้องเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ

ผมกำลังพ่ายแพ้

ผมทรุดเข่าลงอย่างท้อแท้ ไร้เรี่ยวแรงและกำลังใจที่จะต่อสู้ ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ตาม ผมก็
ไม่สามารถเอาชนะได้เลย มันเป็นอะไรที่เปล่าประโยชน์ เป็นการต่อสู้ที่เห็นจบจุด และผู้พ่ายแพ้
ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

ผมต้องถูกแผดเผาด้วยแสงสว่าง

มันจะเป็นเช่นนั้นหรือ ผมจะยอมให้แสงสว่างรุกรานความมืดที่ปกป้องคุ้มครองผมเหรอ แล้วก็
ยอมให้แสงสว่างแผดเผาร่างของผมจนมอดไหม้กลายเป็นธุลีอย่างนั้นเหรอ

ผมกดนิ้วชี้เข้าที่หัวตา แต่นิ้วกลับไม่สามารถทะลวงผ่านเนื้อเยื่อได้ สงสัยแรงคงจะยังไม่พอ
ผมจึงเพิ่มแรงกดเข้าไปอีก ใช้นิ้วแซะชอนไชให้มันชำแรกแทรกผ่านเนื้อเยื่อและเส้นเอ็นที่
ยึดติดดวงตาเอาไว้จนขาดออกจากกัน ความเจ็บปวดอันเหลือคณานับพุ่งจากปลายนิ้วแล่นเข้า
โดยตรงสู่สมอง น้ำตาเลือดหลั่งรินออกมาเป็นสายสีชาดอาบรดแก้มและหน้าอกของผม ผมใช้
นิ้วคว้านรอบเบ้าตาจนรอบแล้วจึงทำนิ้วเป็นตะขอ กระชากจนลูกตาจนหลุดออกมาจากเบ้า

และผมทำเช่นเดียวกันกับตาอีกข้าง

แน่นอนว่าสิ่งที่ผมทำนั้น มันไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเอาชนะแสงสว่าง ผมพ่ายแพ้ให้กับมันไปแล้ว
ผมไม่สามารถปกป้องความมืดอันเป็นที่รักของผมได้ ความมืดได้ถูกแสงสว่างกัดกินไปจน
หมดแล้ว ไม่เหลือความอ่อนโยนที่คุ้นเคยอีกต่อไป เหลือเพียงตัวของผมคนเดียวที่ยืนอาบ
แสงอันร้อนและเจิดจ้าอย่างไร้การปกป้อง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องถูกแผดเผา
ด้วยแสงสว่าง ผมไม่มีวันยอม ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้น ผมจึงต่อสู้กับมันอย่างจนตรอกโดย
การควักลูกตาของผมออกมา

ถึงผมจะไม่มีวันชนะ และรู้ว่ามันยังอยู่รอบตัวผม แต่ผมก็ไม่มีวันเห็นมันอีกต่อไป





 

Create Date : 12 มีนาคม 2552    
Last Update : 12 มีนาคม 2552 16:09:54 น.
Counter : 631 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.