Todesengel ~ ฝุ่นผงที่มุมห้อง 1 ~





~ ฝุ่นผงที่มุมห้อง 1 ~

"ก็เพราะจิตใจที่รุนแรงก้าวร้าว เมื่อมันพลุ่งพล่านกระจายออกมา มันก็เหมือนฝุ่นผงนั่นแหละ แม้ว่าจะ
ปัดกวาดเช็ดถูไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังจับตัวเป็นก้อนอยู่ตามมุมห้องได้อยู่ดี พอผ่านนานวันไปเข้า มันก็กลาย
เป็นคราบที่ติดแน่นที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้"
คุณวินัยอธิบาย

"หมายความว่าไงเหรอครับ ?"
ผมถามเขา เนื่องจากยังไม่เข้าใจคำอธิบาย

"ก็หมายความว่า จิตใจที่ก้าวร้าวและรุนแรงที่คนเล่นเกมปลดปล่อยออกมานั้น เมื่อมันไม่ได้ถูกทำให้
เจือจาง ก็จะตกค้างอยู่ในร้าน และคนที่สัมผัสกับจิตตกค้างมากที่สุดก็คือพนักงานเฝ้าร้าน พอผ่านไป
นานเข้า เขาก็ถูกจิตที่ก้าวร้าวและรุนแรงนี้เหนี่ยวนำให้กลายเป็นคนก้าวร้าวและใช้ความรุนแรงไป"



ผมหิ้วถุงกับข้าวพร้อมด้วยผลไม้กลับมาจากตลาด พอกลับเข้าห้อง น้องชายหุงข้าวเสร็จพอดี เราเลย
จัดสำรับแล้วก็กินข้าวด้วยกัน

"เป็นไงบ้าง หางานได้ยัง ?"
น้องชายถามผม

"เออ ได้แล้ว พรุ่งนี้เริ่มงานเลย"
"งานอะไร ?"
"อืม ประมาณปราบผี ปัดรังควาน"
"ถามจริง ?"
"จริง"
"อำกันป่าว ยังไม่ได้งานก็บอก"
"เออ อำ ยังไม่ได้งานหรอก"
"ก็ยังว่า ถ้าได้งานปราบผีจริง จะหัวเราะให้ฟันหัก"
พอเจ้าตัวพูดเสร็จก็ตักแกงซดเสียงดังโฮก

คันปากยิบๆ อยากจะบอกมันว่าพรุ่งนี้ก็ได้ปราบผีแล้วโว้ย แต่ก็กลัวว่ามันจะหัวเราะฟันหักจริงๆ ผมก็เลย
สงบเสงี่ยม นิ่งไว้ก่อน พากันกินข้าวต่อจนอิ่ม

"เดี๋ยววุฒิไปทำงานก่อนนะ"
"เออ ไปดีมาดี"
ผมหันหลังพูดตอบ ในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างจานอยู่หลังห้อง วุฒิมันเข้ากะดึกต่อจากเมื่อวาน
ถ้าตามมุมมองของผม โรงงานของมันยังทำงานสองกะอยู่ ก็แสดงว่ายังมีออร์เดอร์ให้ทำต่อเนื่อง
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้

แต่จู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นบางอย่างได้ จึงตะโกนบอกน้องชาย
"เฮ้ย เดี๋ยว วุฒิ อย่าเพิ่งไป มีอะไรจะถามหน่อย"

น้องชายผมหันหลังกลับมา ยื่นหน้ามาที่ประตู
"อะไรเหรอ ?"

ผมเช็ดมือลวกๆ แล้วเดินไปหยิบนามบัตรเจ้าปัญหาจากกระเป๋าเงิน ยื่นให้น้องชายดู
"เอ้า เห็นอะไรไหม ?"

หลังรับไปดูอย่างงงๆ พลิกดูไปมา ก่อนยื่นคืนให้
"ไม่เห็นมีอะไรนี่ ทำไมเหรอ ?"
"ไม่เห็นอะไรจริงๆเหรอ"
"ก็ใช่น่ะซี้ ไม่มีอะไรจะทำหรือไง คนยิ่งรีบไปทำงานอยู่ ไม่ว่างมาเล่นด้วยหรอกนะ ไปล่ะ"
พอพูดจบก็สะบัดก้นหนี เดินดุ่มๆลงบันไดไป ผมหยิบนามบัตรนั้นมาดูอีกครั้ง

ชื่อ วินัย คงประจักษ์ ยังคงเขียนหราอยู่บนนามบัตร



"แล้วทำไมผมถึงได้มีความสามารถแบบนี้ได้ล่ะครับ"
ผมถามคุณวินัยหลังจากที่เขาบอกว่า ให้ผมเริ่มงานพรุ่งนี้เลย

พูดตามตรง ถ้าเอาเรื่องที่ตัวเองสามารถมองเห็นผีได้หรือไม่ก็ตัวเองสามารถฆ่าพระเจ้าได้ไปคุยกับ
คนอื่น รับรองได้เลยว่าต้องโดนจับส่งเข้าโรงพยาบาลบ้าแน่นอน แต่สำหรับผมที่เห็นผีเจ้าแดงมา
กับตาและเห็นเรไรบุกช่วยตัวประกันพร้อมกับทำให้ระเบิดมือที่ดึงสลักนิรภัยออกมาแล้วไม่ระเบิด
หรือตามที่คุณวินัยเขาบอกว่า "ฆ่าระเบิด" ทำให้ผมที่ตอนแรกพอได้ฟังคุณวินัยอธิบายถึงเรื่องนามบัตร
ที่คนอื่นมองไม่เห็นแต่ผมเห็นนั้น ผมยังคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่เลย แต่ตอนนี้บอกตามตรง
เลยว่า แม้มันจะค้านกับวิทยาศาสตร์สุดๆ แต่ผมกลับเชื่อสนิทใจ

แล้วทำไม อยู่ๆผมถึงมีความสามารถพิเศษนี้ล่ะ

"ไอ้เรื่องความสามารถแบบนี้ ถ้าไม่เป็นพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด มันก็เป็นพรแสวง แต่ถ้าไม่ใช่ทั้ง
สองอย่าง มันก็คือฟ้าลิขิต ในกรณีของคุณวินนี่ ตั้งแต่เล็กจนโตคุณวินเคยเห็นพวกภูตผีหรือวิญญาณ
ไหมครับ ?"
"ผมไม่เคยเห็นอะไรพวกนั้นเลยครับ"
"ถ้างั้นก็เป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือฟ้าลิขิตครับ"
"แล้วทำไมฟ้าถึงมาลิขิตผมล่ะครับ"
"โอ้ย อย่าถามผม ผมไม่รู้หรอก"
คุณวินัยตอบพลางหัวเราะเบาๆ

บางทีผมอาจจะถามในสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตอบไม่ได้ ก็คงเหมือนกับถามว่าชาติก่อนผมเกิดเป็นอะไรละมั้ง
คุณวินัยหรือไม่ว่าใครก็คงตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้น คำว่า ฟ้าลิขิต คงจะเป็นคำตอบที่ครอบคลุมที่สุด
แล้วล่ะ

ผมหันไปมองที่เรไร ราวกับเป็นของประดับห้อง เธอนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ฟังผมและคุณวินัยคุยกัน ผม
เลยชวนเธอคุย
"แล้วคุณเรไรมีความสามารถแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรครับ"

เธอหันมามองผม ใบหน้าสวยซึ้งที่แม้จะมีรอยแผลเป็นอยู่เต็มก็เถอะ เธอก็ยังดูสวยอยู่ดี ยิ่งถ้าเธอยิ้ม
รับรองได้เลยว่าจะสวยสุดๆเลยล่ะ

แต่ผมไม่เคยเห็นเธอยิ้มเลย

"ตั้งแต่อายุ 16"
"แล้วนอกจากฆ่าระเบิดได้แล้ว คุณเรไรฆ่าอะไรได้อีกบ้างครับ"
"ทุกสิ่งที่เห็น"
"เอ่อ ทุกสิ่งที่เห็นนี่หมายความว่า โต๊ะ ทีวี แก้วน้ำ มอเตอร์ไซค์ หมา แมว ก็ฆ่าได้หมดเหรอครับ ?"
ผมถามเธอต่อ

"คุณวิน การเรียนรู้นั้นคู่กับการทดลอง ผมว่า คุณวินลองให้เรไรฆ่าอะไรสักอย่างให้ดู ดีกว่ามานั่ง
ถามคำตอบคำไหมครับ"
คุณวินัยพูดเสนอขึ้นมา

"แล้วจะให้เธอฆ่าอะไรล่ะครับ"
"อืม อ๊ะ เอาเป็นนาฬิกาของคุณวินก็แล้วกัน จะลองดูไหมครับ"
เขาเสนอ

ผมคิดอยู่นิดหนึ่ง มันก็น่าสนใจอยู่ที่จะได้เห็นความสามารถของเธอ โดยใช้นาฬิกาของผมเป็นเครื่อง
สังเวย เพราะก็ไม่ใช่ของแพงอะไรนักหนา หาซื้อได้ตามตลาดนัดนั่นล่ะ
"อ้า ก็ได้ ครับ"

ผมถอดนาฬิกาก่อนยื่นให้เรไร เธอไม่รับ แต่หันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างๆแทน
"ไม่เล่นปาหี่นะ"
"ไม่ใช่ปาหี่หรอก แค่แสดงความสามารถให้ผู้ร่วมงานใหม่ดูเท่านั้น เขาจะได้เข้าใจ เวลาทำงานร่วมกัน
จะได้ไม่มีปัญหา"
"...อืม"

เรไรดูท่าจะไม่ถูกใจที่ต้องมาแสดงให้ผมดู แต่พอคุณวินัยเกลี้ยกล่อมเธอ เธอก็ยอมทำตามแต่โดยดี
ผมรู้สึกว่าเรไรจะเชื่อฟังคุณวินัยมาก เลยชักสงสัยแล้วสิว่า สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันยังไง

จู่ๆประกายสีเงินก็แว่บเข้าตาของผม เรไรควงมีดผีเสื้อของเธอให้คลี่ออก พร้อมกับวาดวงมีด ปาดสาย
นาฬิกาของผมที่ผมกำลังถือไว้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะควงมีดเก็บ

รวดเร็วจนกระพริบตาไม่ทัน

"นาฬิกาคุณตายแล้วล่ะ คุณวิน"
คุณวินัยบอกผมหลังจากที่เห็นผมนิ่งงง

ผมสำรวจดูนาฬิกา ที่สายมีรอยกรีดบางเบาสั้นๆหนึ่งรอย เข็มนาฬิกาไม่กระดิกเสียแล้ว
"โอ้ นาฬิกาตายแล้วจริงๆด้วยครับ เข็มไม่กระดิกเลย"

ชายผมสีเลาหัวเราะหึๆ ก่อนยิ้มกว้างแล้วพูดกับผม
"นาฬิกาของคุณไม่ได้ตายในแบบนั้น มันไม่ได้ตายแบบนาฬิกาไม่เดิน แต่ตายจากความเป็นนาฬิกา
ไปเลย"
"หมายความว่าไงครับ"
"ก็หมายความว่า มันไม่ใช่นาฬิกาอีกต่อไป"
"เอ๋ ?"

ผมงงกับคำพูดของเขา เลยยกนาฬิกาชูขึ้น หมุนวนตรงหน้าผมไปมา สำรวจดูจนทั่ว ยังไงๆมันก็ดูเป็น
นาฬิกาอยู่ดี

"หึ หึ เอาเป็นว่าคุณวินลองเอาไปซ่อมดูนะครับ แล้วจะเข้าใจเอง"
เขาไม่อธิบายต่อ

เราคุยกันในเรื่องอื่นๆต่อได้สักหน่อย คุณวินัยก็บอกกับผมว่าเดี๋ยวจะต้องไปทำธุระข้างนอก แกเลยบอก
ว่าวันนี้ยังไม่มีอะไร ผมสามารถกลับได้เลย ส่วนพรุ่งนี้ให้ผมมาเริ่มงานตอนเก้าโมงเช้า ผมเลยขอตัว
กลับ ก่อนจะกลับ ผมก็ขอบคุณคุณวินัยที่จ้างผม เจ้าตัวโบกไม้โบกมือขึ้นมา พร้อมกับพูดว่า

"ไม่ต้องคิดมากแบบนั้น คุณวิน ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณปรากฏตัวขึ้นมาและยอมทำงานด้วย
ทำให้ผมได้พบกับ "ผู้ที่เกิดมาเพื่อคนคนนั้น" หลังจากตามหามาเสียนาน"

"งั้นเหรอครับ คุณเรไร ผมขอขอบคุณคุณอีกครั้งนะครับ คุณได้ช่วยชีวิตของผมไว้ ผมรู้สึกขอบคุณ
จริงๆครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ผมคงตายไปแล้ว ดังนั้นถ้าเวลาคุณมีปัญหาเดือดร้อนอะไร คุณเรียกผม
ได้ใช้ผมได้เลยครับ ผมยินดีทำอย่างเต็มที่"
ผมงงกับคำพูดของเขา แต่ก็หันไปหาเรไรก่อนเอ่ยปากขอบคุณเธอจากใจจริงอีกครั้ง

"อืม"
เธอหันมามองผม แล้วตอบรับสั้นๆ เราสบสายตากัน

ไม่เข้าใจเลย ทำไมผมต้องหลบสายตาเธอทุกที

ผมเดินไปที่ประตู คุณวินัยเดินมาส่งผม แต่ก่อนที่ผมจะออกไป คุณวินัยก็พูดขึ้นมา
"ถ้ายังไงก็อย่าเพิ่งบอกเรื่องที่คุณเจอกับพวกเราให้กับเพื่อนนักข่าวของคุณฟังนะครับ เพราะมันยัง
ไม่ถึงเวลาที่จะบอกเขา"

ผมสะดุ้งตกใจ จนเอ่ยถามเขา
"ทะ ทำไมรู้ว่าผมมีเพื่อนเป็นนักข่าวล่ะครับ ?"

เขายิ้มน้อยๆมีเลศนัย ก่อนบอกกับผม
"ผมรู้ก็แล้วกัน เอาเป็นว่า ถ้าถึงเวลาที่สมควร ผมก็จะอนุญาตให้คุณพาพวกเขามาหาได้"

"คะ ครับ ตามนั้นก็ได้ครับ"
ผมรับคำเขา ก่อนเปิดประตูออก พอประตูเปิด ก็เห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอก ผมตกใจจนถอยหลังกรูด

เจ้าผีน้อยที่ชื่อแดง ยืนอยู่หน้าสำนักงานและกำลังมองมาที่ผม

"ฮ่า ๆๆ ตอนนี้ตกใจกลัวก็ไม่เป็นไรหรอกครับ อีกสักหน่อยเดี๋ยวก็ชินไปเอง เอ้า แดง น้าเขาจะกลับแล้ว
ไหว้ลาน้าเขาสิลูก"
คุณวินัยหัวเราะผมที่ยังกลัวเจ้าแดงอยู่ ก่อนบอกให้ไหว้ลาผม

เจ้าแดงยกมือพร้อมกับก้มหัวไหว้ผม ช่างเป็นผีเด็กที่มีมารยาทดีจริงๆ ผมเลยต้องเอามือไม้ที่ยังสั่นๆ
อยู่รับไหว้ ก่อนหันหลังออกตัว ผมก็นึกขึ้นได้ว่าทำไม คุณวินัยถึงได้รู้เรื่องของผมดีนัก

เจ้าแดงนี่เอง

"พรุ่งนี้เจอกันนะครับ"
"ครับ พรุ่งนี้เจอกัน"
ผมตอบคุณวินัย

แต่ก่อนจะที่ผมจะก้าวเท้า คุณวินัยก็พูดขึ้นมา
"อ้อ คุณวิน อีกอย่างหนึ่งนะ ของขวัญที่จะเอามาฝากสาว น่าจะเป็นดอกไม้มากกว่านะ คราวหลังเอา
ใหม่ก็แล้วกันนะ"

"หา ! อะ เอ้อ ครับ จะจำไว้ครับ"
ตกใจนิดหน่อย แต่ผมรับคำเขาแล้วจึงเดินจากมาเพื่อกลับห้องพัก แต่ก่อนจะเข้าห้องพัก ผมก็แวะไปที่
ร้านซ่อมนาฬิกา เอานาฬิกาที่โดนฆ่าตายไปให้ช่างเขาซ่อม

หวังว่าคงจะไม่ตายสนิทนะอย่างที่คุณวินัยว่านะ



ตอนนี้เราสามคนกำลังยืนอยู่หน้าอาคารพาณิชยาว ซึ่งมีประมาณหกคูหา คูหาด้านซ้ายมือสุดถูกปิดไว้
คูหาที่เหลือก็เปิดเป็นร้านรวงต่างๆ แต่ละร้านดูค่อนข้างซบเซา บางร้านก็ขึ้นป้ายเซ้งไว้

ชายรูปร่างท้วมคนหนึ่ง พอเห็นพวกเรามาถึง ก็รีบเดินมาหา พร้อมกับเอ่ยทักทาย
"สวัสดีคุณวินัย มากันหลายคนเลยนะ"

"สวัสดีครับเสี่ย ฮ่ะๆ ทั้งหมดนี่ก็ลูกทีมทั้งนั้นแหละครับ"
คุณวินัยตอบชายผู้นั้น

ชายคนนี้คือเสี่ยซ้ง เป็นผู้จ้างวานงานในครั้งนี้ ซึ่งในตอนเช้า คุณวินัยได้อธิบายถึงงานที่จะทำในวันนี้
ให้ฟังว่า
"วันนี้ เราจะไปชำระล้างกันแถวๆนวนคร ผู้จ้างวานชื่อว่าเสี่ยซ้ง เขามีตึกแถวอยู่หลังหนึ่ง แล้วทีนี้มีอยู่
คูหาหนึ่งเกิดปัญหามีเรื่องมีราวขึ้นมา พอเปลี่ยนคนเช่าก็ยังเกิดเรื่องอีก จนข่าวลือแพร่ไปทั่ว คนที่เช่า
คูหาข้างๆก็พลอยทยอยออกไปด้วย แล้วตอนนี้คนก็ไม่ค่อยมีใครอยากมาเช่าตึกแถวนั้น แกก็เลย
เดือดร้อน พอไปปรึกษาซินแส ซินแสก็บอกว่า คูหานั้นมีพลังด้านลบอยู่มากเกินกว่าที่แกจะจัดการได้
พอดีว่าซินแสรู้จักกันกับผม แกเลยแนะนำให้เสี่ยซ้งมาหาผม"

พอเขาเล่าจบ ผมก็ถามเขา
"แล้วผมต้องทำยังไงบ้างครับ ?"
"คุณวินไม่ต้องทำอะไรมากงานนี้ แค่ช่วยขนของนิดหน่อยและก็ทำตามที่ผมบอกก็พอแล้ว อ้อ อีกอย่าง
ก็ให้หูไวตาไว ระวังตัวสักหน่อยนะครับ"

"เอ้อ แล้วจะมีอะไรร้ายแรงเหรอครับ ?"
ผมเริ่มชักหวั่นๆขึ้นมาสักหน่อยกับการที่เขาบอกให้ผมระวังตัวไว้

"ก็ไม่ร้ายแรงอะไรหรอก แค่ระวังไว้ก่อนน่ะ"
พอเขาพูดกับผมเสร็จก็หันไปพูดกับเรไร

" ส่วนเรไร วันนี้ไม่ต้องรีบจัดการนะ ปล่อยให้คุณวินได้ศึกษาดูสักหน่อย แล้วค่อยจัดการ"
เธอพยักหน้าหงึกแทนคำตอบ

วันนี้เรไรอยู่ในชุดสูทกระโปรงยาวอีกแล้ว คราวนี้เสื้อสีกรมท่า กระโปรงสุ่มมีระบายรอบสีดำ สวม
ที่คาดผมสีเทาอันเดิม ผมชักเริ่มสงสัยแล้วสิว่า ชุดสูทกับกระโปรงยาวคงเป็นชุดประจำตัวของเธอแน่ๆ

"คุณวินัยครับ แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ห้องแถวนนั้นมันเป็นยังไงครับ ?"
"อ้อโทษที ยังไม่ได้เล่าให้คุณวินฟังเลย จะว่าไปนี่ก็คงเป็นฟ้าลิขิตเหมือนกันนะนี่ เรื่องที่เกิดขึ้นที่
ตึกแถวนั่นก็เกี่ยวข้องกับคุณวินพอดี"

"เอ๋ ? เกี่ยวข้องยังไงกับผมครับ"
ผมสงสัย ทำไมตึกแถวนั่นถึงมาเกี่ยวข้องกับผมได้

คุณวินัยยิ้มนิดหน่อย ก่อนจะอธิบาย
"คูหานั้นแต่ก่อนก็เปิดเป็นร้านเกมส์ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กๆและก็วัยรุ่นแถวนั้นเข้ามาเล่นกัน ร้านนั้น
ก็เปิดทั้งวันทั้งคืน แรกๆก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อสาม-สี่เดือนที่แล้ว พนักงานเฝ้าร้านก่อเหตุยิงตำรวจ
ตายไปสองคนและก็ยังมีลูกหลงไปโดนคนบาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งคนด้วย"

"เอ... เรื่องนี้ฟังดูคุ้นๆนะครับ"
มันคลับคล้ายคลับคลามากเลยเรื่องนี้

"ใช่แล้วล่ะ คนที่โดนยิงบาดเจ็บสาหัสก็คือคุณเองไงล่ะ"
"หา !?! "
ผมอุทานอย่างตกใจ

จุดไต้ตำตออย่างแรง งานแรกที่ผมจะทำในวันนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผม ถึงแม้จะไม่เกี่ยวข้องโดย
ตรงก็เถอะ แต่ผลกระทบมันก็ได้ส่งผลรุนแรงจนถึงบัดนี้ มันทำให้ผมเข้าโรงพยาบาล ตกงาน ได้พบกับ
กุลธิดาและสมเกียรติ ชวนกันออกตามหาเรไร ได้พบเรไรและคุณวินัย จนได้มาทำกับคุณวินัย เรียกได้
ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเลยก็ว่าได้

โดยไม่สนใจเสียงอุทานของผม คุณวินัยอธิบายต่อ
"พอหลังจากที่เกิดเรื่อง ร้านนี้ก็ปิดไปประมาณสองอาทิตย์จึงเปิดใหม่ อีกหนึ่งเดือนต่อมา อยู่ดีๆคนนั่ง
เล่นเกมส์ในร้านก็เกิดหัวใจวายตายกระทันหัน ร้านเกมส์นี้ก็เลยเลิกทำไป แค่นี้ยังไม่หมด ผ่านไป
ซักหน่อย ก็มีคนมาเช่าเปิดเป็นร้านอาหาร ทำไปทำมาได้ไม่เท่าไร ก็เกิดเรื่อง อยู่ดีๆผัวเมียที่มาเช่าก็
ตบตีกัน เมียแทงผัวเข้าโรงพยาบาล ทั้งๆที่ๆผัวเมียคู่นี้ไม่เคยตีกันมาก่อน หลังจากนั้นมาคูหานั้นก็เลย
โดนลือมาว่ามีวิญญาณไปรังควาน ชาวบ้านก็เลยไม่ค่อยกล้าเข้าไปใกล้ คูหาอื่นๆที่อยู่ใกล้กันก็
เดือดร้อนไปด้วย พากันขายหรือไม่ก็เซ้งหนีกัน เจ้าของเขาก็เลยให้เราไปชำระล้างให้"

"แล้วมันเกิดจากอะไรเหรอครับ ? คูหานั้นมีผีสิงเหรอครับ ?"
ผมถามขึ้นทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ

"ฮ่ะๆ มันไม่ใช่ผีหรอกคุณวิน ไม่ต้องกลัว"
"ถ้าไม่ใช่ผี แล้วมันเกิดจากอะไรครับ"
"มันเกิดจากจิตตกค้าง ในคูหานั้นมีจิตตกค้างมาก คนที่อยู่ในคูหานั้นเลยถูกจิตตกค้างชักนำให้ก่อเรื่อง
ขึ้นมา งานของพวกเราก็คือชำระล้างจิตตกค้างนั่น"

พอได้ฟังคำอธิบาย ผมยิ่งงงกว่าเดิมเข้าไปอีก ก็เลยถามต่อ
"แล้วไอ้จิตตกค้างที่ว่า มันคืออะไรครับ ?"

"เอาเป็นว่าพอไปถึงที่นั่น คุณก็จะเข้าใจเอง เอ้า เดี๋ยวเราจะไปกันแล้ว คุณวินช่วยขนกระเป๋านี่กับเจ้านั่น
ขึ้นรถหน่อย"
คุณวินัยที่วันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อฮาวายแต่ใส่เสื้อคอโปโลแทนพูดตัดบท พร้อมกับชี้นิ้วไปยังของที่ให้ผมขน
ขึ้นรถ

ผมมองไปตามมือเขา เห็นกระเป๋าเดินทางใบขนาดกลางหนึ่งใบกับของสื่งหนึ่งซึ่งสร้างความสงสัยให้
ผมเป็นอย่างมาก
"ขนไอ้นี่ขึ้นรถด้วยเหรอครับ ?"
"อื้อ ขนขึ้นเลย"

แม้แต่เสี่ยซ้งเองก็ยังสงสัย เมื่อเห็นผมหนีบเจ้าของสิ่งนั้นลงมาจากรถ จนต้องเอ่ยปากถาม
"แล้วตุ๊กตาหมีนี่เอามาทำไม เกี่ยวข้องกับพิธีรึเปล่า ?"

ตุ๊กตาหมีตัวเบิ้มที่ผมหนีบอยู่นั้นได้สร้างความสงสัยให้ทั้งผมและเสี่ยซ้งพอสมควร

"ใช่แล้วครับ เอามาใช้ในพิธี ก็ประมาณว่าเป็นตุ๊กตาเสียกบาลน่ะครับ"
"อ๋อ จะเสกผีเข้าตุ๊กตาแล้วก็เอาไปปล่อยหรือไม่ก็เผาทิ้งใช่ไหม ?"
"อะไรทำนองนั้นแหละครับ"
คุณวินัยยิ้มกว้าง

เสี่ยซ้งดูท่าจะเข้าใจเลยผงกน้อยๆ ก่อนเดินไปที่ประตูเหล็กม้วนของคูหาที่เรายืนอยู่ข้างหน้า ก้มลงเพื่อ
ไขกุญแจ ก่อนจะออกแรงยกประตูให้ลอยพ้นพื้น และดันให้ขึ้นไปจนสุด

กลิ่นอับโชยออกมาเมื่อพวกเราพากันเดินเข้าไปข้างใน

"ยังสะอาดอยู่เลยนี่ครับ"
คุณวินัยพูดขึ้นมา หลังจากเมื่อพวกเราเข้ามาข้างในเรียบร้อยแล้ว

"อ้อ ผมให้คนมาทำความสะอาดไว้เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว เพราะมีคนเข้ามาดู แต่ก็ไม่เซ้ง
เพราะว่าไปได้ยินข่าวลือนั่นแหละ"
เสี่ยซ้งตอบ ก่อนจะเดินไปสับคัทเอาท์ขึ้น

หลังจากที่สับคัทเอาท์เพื่อเปิดไฟห้องจนสว่างจ้าแล้ว เขาก็ถามคุณวินัย
"แล้วจะทำพิธีกันตอนนี้เลย ไม่รอให้มืดก่อนเหรอ ?"
"ไม่ต้องรอให้มืดหรอกครับ เดี๋ยวจะทำพิธีกันแล้ว"
"งั้นเดี๋ยวผมออกไปรอข้างก่อนนะ"

"ดีครับ ผมก็อยากให้เสี่ยออกไปรอข้างนอกอยู่พอดี เพราะเดี๋ยวอาจเกิดอันตรายขึ้นได้"
คุณวินัยสนับสนุนความคิดของเสี่ยซ้ง เพราะเขาเองก็อยากให้ผู้จ้างวานออกไปรอข้างนอกเพื่อความ
ปลอดภัยอยู่เหมือนกัน

"เอ้อ เสี่ยปิดประตูเลยนะ ระวังคนอย่าให้เข้ามาได้นะครับ"
คุณวินัยส่งเสียงร้องบอก หลังจากที่เสี่ยซ้งออกไปข้างนอกแล้ว

"อ้อ ได้ๆ"
พอเขาพูดจบ ก็ดึงประตูม้วนลงมา เสียงดังกึงกัง พอสิ้นเสียงนั้น แสงอาทิตย์ก็ไม่ได้ส่องเข้าห้องนี้อีก

"คุณวินรู้สึกยังไงตอนนี้ ?"
ชายผมหงอกถามผมด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม คุณวินัยเขายิ้มได้ตลอดทั้งวันจริงๆ

ผมมองไปรอบห้อง มีความรู้สึกแปลกๆบางอย่างในสายตาของผม
"ผมบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนห้องมันมืดๆชอบกล จะว่ายังไงดี มันเหมือนมีควันอะไรอยู่ในห้องนี้น่ะครับ"

"อืม... งั้นเหรอ ยังเห็นไม่ชัดสินะ อ่ะ เตรียมของจัดพิธีกันดีกว่า"
เขาพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนที่จะเปิดกระเป๋าเดินทางที่เตรียมมา หยิบของจากข้างในออกมา มีพับผ้า
พานดอกไม้ ธูป เทียน กระถางปักธูป เชิงเทียน 2 อันและมีดหมอเล่มหนึ่ง เขาคลี่ผ้าที่หยิบออกมาแล้ว
จึงปูลงบนพื้น ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าฝ้ายดิบสีแดงมีอักขระขอมเขียนอยู่เต็มเหมือนกับที่สักไว้ที่แขนทั้งสอง
ข้าง หลังจากที่เขาจัดวางพานดอกไม้ ปักธูปและเทียนเรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดกับผม

"วางน้องหมีลงตรงนี้เลยครับ"
ผมวางตุ๊กตาหมีไว้ตรงผ้าแดงผืนนั้น ตุ๊กตาหมีและเขาประจันหน้ากัน

คุณวินัยจุดธูปและเทียน พอมันติดดีแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิ วางมีดหมอไว้บนตัก ก่อนจะเริ่มพิธีกรรม
เขาก็หันมาบอกผมและเรไร
"คุณวิน เพ่งสมาธิมองที่ตุ๊กตาหมีให้ดีๆนะ อ้อ แล้วก็เอาแป๊ปเหล็กในกระเป๋าออกมาถือป้องกันตัวด้วย
จับตามองและระวังให้มาก ส่วนเรไร เตรียมพร้อมไว้แต่ยังไม่ต้องรีบลงมือนะ"

ผมรูสึกงงๆที่เขาบอกให้ผมจับตามองที่ตุ๊กตาหมี พร้อมถืออาวุธติดตัวไว้ แต่ผมก็ไม่ติดใจมากเท่าไร
ผมเดินไปเปิดกระเป๋าเดินทาง เห็นแป๊ปเหล็กขนาดเหมาะมืออยู่แท่งหนึ่ง ก็เลยเอาออกมาถือติดมือตาม
ที่คุณวินัยบอก หันไปมองที่เรไร เธอชักมีดผืเสื้อมาถือไว้แล้ว เงาปลาบสีเงินของมีดบวกกับลักษณะ
นิสัยของเธอ ทำให้เธอสวยอย่างเย็นยะเยือกกว่าเดิม

พอเราเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว คุณวินัยก็เริ่มทำพิธี เขายื่นมือสองข้างไปจับแขนหมี ก่อนหลับตาลง
ทุกสิ่งในห้องเงียบสงัด เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ราวกับความเงียบเป็นมวลสาร
อย่างหนึ่งที่มากดทับผม ผมกระสับกระส่าย มองไปรอบตัว สาวสวยผู้เงียบสงบยังคงนิ่งอยู่ในตำแหน่ง
เดิม สายตาของเธอจับต้องไปที่ตุ๊กตาหมีไม่วางตา คุณวินัยยังคงนั่งหลับตานิ่ง มือทั้งสองข้างจับ
แขนเจ้าหมีขนฟูอยู่ แต่พอผมมองไปที่เจ้าหมีตัวนั้น ผมก็ขนลุกซู่

มีควันสีแดงไหลเข้าไปในตัวมันหลายสาย จนตุ๊กตาตัวนั้นเริ่มแผ่ไอสีแดงออกมา

"วิน ระวัง !!!"
เสียงของคุณวินัยร้องตะโกนเตือนผมดังก้องสะท้อนไปมาในห้อง

ก่อนที่ผมจะเข้าใจความหมายของคำเตือน ก็มีบางสิ่งพุ่งกระโจนเข้ามาใส่ผม ผมตกใจ ยกแป๊ปเหล๊กขึ้น
มาป้องกัน แต่เจ้าสิ่งนั้นพุ่งเข้ามา ใช้สองมือสั้นๆของมันทุบเข้าแป๊ปเหล็กด้วยแรงอันมหาศาล จนแป๊บ
กระเด็นหลุดจากมือกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง ร่างของผมโดนกระแทกจนหงายหลัง ก่อนที่หลังของผมจะ
กระแทกพื้น ผมก็เห็นสิ่งที่พุ่งโจมตีผมอย่างเต็มตา

มันคือตุ๊กตาหมีที่เราใช้ทำพิธี !

ผมหงายหลังกระแทกพื้นอย่างแรง หัวน็อกพื้นจน ลานสายตาของผมดับมืดไปชั่วขณะ พอผมฟื้นสภาพ
ขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมเห็นสิ่งแรกก็คือ ตุ๊กตาหมีกำลังชูแป๊ปเหล็กสูงจนสุดท่วมหัวของมัน ก่อนที่จะฟาดลง
มาใส่หน้าผมอย่างเต็มแรง

ผมทำได้แค่ยกมือมากันหน้าเท่านั้น !

พรึ่บ !
ป้าบ !

เสียงชายผ้าสะบัดเพราะต้องลมอย่างแรง ผมเห็นท่อนขาขาวกลมกลึงตัดกับกระโปรงสีดำวาดผ่านหน้า
ไปเตะอัดเจ้าหมีตัวนั้นจนลอยละลิ่วไปกระแทกกำแพงด้านหลังก่อนที่มันจะทันได้ใช้แป๊ปเหล็กฟาด
ใส่หน้าผม หวุดหวิดเฉียดตายไปนิดเดียว

" วิน รีบลุกขึ้น ! "
คุณวินัยปราดเข้ามาหาผมพร้อมกับกระชากปกคอเสื้อ ดึงให้ผมรีบลุกขึ้นยืน พอผมลุกขึ้นยืนได้ก็เห็น
เรไรกำลังยืนจังก้าประจันหน้ากับตุ๊กตาหมีถือแป๊บอยู่

ตุ๊กตาตัวนั้นยังคงแผ่ไอสีแดงก่ำพวยพุ่งไปทั่วทั้งร่างของมัน

" เห็นอะไรไหม ? "
คุณวินัยถามผม ตาของเขาจับจ้องเจ้าหมีตัวนั้นอยู่

" มันมีไอสีแดงอะไรก็ไม่รู้อยู่เต็มไปหมด มันคืออะไรเหรอครับ ? "
" งั้นเหรอ ดีมาก "
เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับผุดรอยยิ้มที่มุมปากราวกับพึงพออะไรบางอย่าง

" จัดการได้รึยัง "
เรไรเอ่ยขัดขึ้นมาถามคุณวินัยก่อนที่เขาจะตอบคำถามของผม

" จัดการได้เลย "
ทันทีที่สิ้นเสียงของคุณวินัย ตุ๊กตาหมีตัวก็พุ่งเข้ามาใส่พวกเราอีกครั้ง และในจังหวะเดียวกันเรไรก็พุ่ง
ทะยานเข้าไปปะทะ

เจ้าหมีกระโจนขึ้นพร้อมหวดแป๊บเหล็กเข้าใส่หัวของเรไร เธอจึงรีบหมุนตัวหลบการโจมตีนั้นพร้อม
สวนกลับด้วยหลังหมัดซ้าย

ตูม !
พลั่ก !

ตุ๊กหมีกระเด็นตามแรงฟาดเข้าไปอัดกำแพงเสียงดังสนั่น

สวบ !

ก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้น เรไรก็สืบเท้าพุ่งเข้าใส่มันพร้อมกับเสือกมีดใส่ท้องของมันจนมิดด้าม

และวินาทีนั้นผมก็เห็นสิ่งที่จะติดตาของผมตลอดไป

ร่างของตุ๊กตาหมีตัวนั้นสลายกลายเป็นขี้เถ้าอย่างรวดเร็วและร่วงลงพื้นพรั่งพรู ไอสีแดงที่เคยปกคลุม
ก็สลายแตกกระจายออกไป โดนอากาศเจือจางจนไม่สามารถเห็นเป็นหมอกสีแดงได้อีก ตุ๊กตาหมีถูก
สลายร่างไปเหลือแค่กองขี้เถ้ากองหนึ่งที่พื้นเท่านั้น !

เคร้ง !

เสียงแป๊บเหล็กร่วงลงพื้นทำเอาผมสะดุ้งแทบสุดตัว

พอจัดการเจ้าหมีเสร็จ เรไรก็ถอนมีดกลับมา ควงพับเก็บอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเอาใส่ไว้ในกระเป๋า
กระโปรง เธอเดินกลับมาหาพวกเรา

" จัดการเรียบร้อยแล้ว "
" อื้อ ดีมาก "
คุณวินัยเอ่ยชมเธอ แต่ดูเธอไม่ได้ยินดีอะไร สีหน้ายังคงราบเรียบเหมือนเดิมซึ่งต่างจากผม ผมกำลัง
หน้าซีดใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบของมือและเท้า ผมตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลง
อย่างสุด ๆ

แสงสว่างจากข้างนอกสาดเข้ามาพร้อมกับเสียงประตูม้วนครางดังลั่น

" เป็นอะไรกันรึเปล่า ! เสียงโครมครามดังลั่นเลย "
เสี่ยซ้งถามพร้อมกับดันประตูม้วนให้ขึ้นจนพ้นศรีษะ

" อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ปัดรังควาญให้เสร็จเรียบร้อยพอดี "
" ฮ้า เสร็จแล้วเหรอ เร็วจังเลย นึกว่าจะต้องนานกว่านี้เสียอีก"
เสี่ยซ้งอุทานเสียงสูงด้วยความรู้สึกทึ่ง เขากวาดสายตาพร้อมกับเดินสำรวจไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุด
เดินเพราะสะดุดใจกับกองขี้เถ้าที่ริมผนังกองย่อม ๆ

" อ้าว แล้วกองขี้เถ้านี่มาจากไหนล่ะ ? "
เสี่ยซ้งหันหน้ากลับมาถามคุณวินัย

" อ๋อ เป็นเศษเถ้าของพลังงานด้านลบที่อยู่ในห้องนี้น่ะครับ ผมว่าเสี่ยอย่าไปใกล้มันดีกว่า ถึงมันจะถูก
ปัดเป่าออกไปจนหมดแล้ว แต่ก็กันไว้ก่อนจะดีกว่านะครับ "
คุณวินัยตอบข้อสงสัยพร้อมกับเตือนให้ระวัง

เสี่ยซ้งทำหน้าตื่นรีบเดินหนีห่างจากกองขี้เถ้า เขาเดินตรงมาที่คุณวินัย
" เอ้อ จะว่าไปผมรู้สึกว่าห้องนี้ค่อยปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาหน่อยทันทีเลยนะ ก่อนหน้านี้เวลามาที่
นี่ทีไร รู้สึกอึดอัดเหมือนกับโดนใครมาจ้องมองตลอดเลย พอทำพิธีเสร็จ ไอ้ความรู้สึกที่ว่ามันก็หายไป
เลยนะ อืม ดีจริง ๆ เลย คุณวินัยนี่เก่งจริง ๆ เลย "

หลังจากเอ่ยปากชม เสี่ยซ้งก็ยืนคุยกับคุณวินัยถึงเรื่องอื่น ๆ กัน ผมก็ได้แต่ยืนทำหน้าตาเหรอหราเพราะ
ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ หันไปมองที่เรไร เธอยืนฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันหลังให้ เดินกลับ
ไปขึ้นรถยนต์ที่เรานั่งมา

ผ่านไปครู่ใหญ่ พอทั้งสองคนนั้นคุยกันเสร็จ เสี่ยซ้งก็ยืนซองจดหมายสีน้ำตาลที่น่าจะมีอะไรอยู่ข้างใน
เป็นปึก ๆ ให้กับคุณวินัย ทั้งสองคุยกันต่ออีกนิดนึง ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยคำขอบคุณซึ่งกันและกันแล้วจึง
แยกย้ายกันไป เสี่ยซ้งเดินออกไปข้างพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากที่เหน็บข้างเอว เขาคุย
โทรศัพท์กับใครสักคนด้วยน้ำเสียงที่ดูอารมณ์ดี ส่วนคุณวินัยก็เดินมาหาผม
" เดี๋ยวคุณวินใช้ที่ตักผงกับไม้กวาดตรงนู้น ตักขี้เถ้าไปทิ้งที่ถังขยะทีนะ เสร็จแล้วเราจะได้กลับกัน "

ผมตื่นตระหนกขึ้นมาทันที จ้องหน้าผู้พูด ขยับปากจะเอ่ยอะไรสักอย่าง ดูท่าคุณวินัยคงจะรู้ว่าผมจะพูด
อะไร แกก็เลยขัดขึ้นมาก่อน
" ไม่ต้องกลัวไปหรอก ตอนนี้มันเป็นแค่กองขี้เถ้าธรรมดา ๆ ไปแล้ว และด้วยดวงตาของคุณเอง ก็น่า
จะมองเห็นว่ามันเป็นแค่กองขี้เถ้าแค่นั้น ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเหมือนกัน ใช่ไหม ? "

ผมฟังคุณวินัยพูดอย่างงง ๆ ก่อนจะหันไปมองที่ซากเถ้าของตุ๊กตาหมีซึ่งมันก็ไม่ได้แผ่ไอสีแดงออกมา
อีกแล้ว

" เห็นอะไรไหมล่ะ ? "
" ไม่ครับ "
" งั้นคุณวินก็เก็บกวาดไปนะ เดี๋ยวผมจะไปซื้อน้ำแข็งมาประคบหัวให้ ปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวลูกมะกรูดก็ผุด
ขึ้นมากันพอดี ถ้าเสร็จแล้วก็ไปรอผมที่รถได้เลยนะ "
พอพูดเสร็จ คุณวินัยก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก ส่วนผมก็ยกมือขึ้นมาคลำท้ายทอยป้อย ๆ

ตื่นเต้นมากจนลืมไปเลยว่าหัวเพิ่งน็อกพื้นมา



" แล้วไอ้ไอสีแดงที่ผมเห็นนั่นมันคืออะไรครับ ? "
ผมถามคุณวินัยถึงสิ่งที่ยังไม่ได้รับคำตอบในขณะที่ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบท้ายทอยอยู่

ตอนนี้พวกเรากำลังเดินทางกลับกัน คุณวินัยเป็นคนขับรถ ผมนั่งข้าง ๆ แก ส่วนเรไรก็นั่งเบาะหลัง
คนเดียว เธอกำลังมองทิวทัศน์ที่ไหลผ่านกระจกไปอย่างรวดเร็ว

" มันคือจิตตกค้างไง "
" จิตตกค้าง ? "
" เอ จะอธิบายยังไงดี เอางี้ คุณวินเคยเข้าร้านเกมที่มีเด็กวัยรุ่นเข้าไปเล่นเยอะ ๆ ไหม ? "
คุณวินัยย้อนถาม

ผมนึกถึงสภาพในร้านเกมที่เคยเข้าไปใช้บริการอินเตอร์เตอร์ เพื่อท่องเว็บประกาศรับสมัครงานและ
ส่งอีเมล์สมัครงาน
" พวกวัยรุ่นเล่นเกมกันเต็มร้าน ส่งเสียงดัง บางทีก็ด่ากัน เดินไปมาในร้านวุ่นวายไปหมด เวลาเล่นเกม
ก็ชอบเปิดเสียงดัง ๆ โดยเฉพาะเกมยิงกัน เสียงยิงกันสนั่นยังมีกับมีสงครามกันอยู่ในร้าน "

คุณวินัยฟังผมพูดอย่างยิ้ม ๆ พอผมพูดจบ แกก็พูดต่อ
" ก็อย่างที่คุณวินเล่ามานั่นล่ะ เวลาที่เด็ก ๆ เขาเล่นเกมต่อสู้กันหรือเกมยิงกัน เขาจะมุ่งหวังที่จะเอาชนะ
หรือไม่ก็ฆ่าศัตรูให้ได้ใช่ไหม ? "

ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่แกคงไม่เห็นหรอกเพราะกำลังมองรถคันข้างหน้าอยู่
" ทีนี้การที่มุ่งจะเอาชนะโดยการฆ่าคนอื่น ถึงแม้จะอยู่ในเกมก็เถอะ จิตใจของคนเล่นก็จะค่อย ๆ มี
ความก้าวร้าวรุนแรงสะสมขึ้นมาเรื่อย ๆ และแผ่กระจายออกมา แล้วทีนี้ยิ่งคนในร้านเล่นแต่เกมพวกนี้
พวกเขาก็จะมีจิตใจที่ก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้นแล้วกระจายจิตนี้ไปให้กันและกันอีก มันก็เลยยิ่งมีจิตใจ
รุนแรงมากขึ้นเป็นทวีคูณ "
" ถ้าเป็นอย่างงั้นก็แปลว่า ถ้าเข้าไปในร้านเกมแล้วเล่นเกมพวกนี้มาก ๆ ก็จะกลายเป็นคนใช้ความ
รุนแรงไปใช่ไหมครับ ? "
" ฮ่ะ ๆ มันไม่ใช่อย่างงั้นหรอก ถึงตอนเล่นเกม คนเล่นจะมีจิตใจที่ก้าวร้าวขนาดไหน แต่พอเลิกเล่น
ไปทำอะไรอย่างอื่น เจอเรื่องอย่างอื่น ไอ้จิตใจนั่นก็จะโดนจิตใจอย่างอื่น เช่น ความสนุกสนาน ความรัก
ความเหงา ความเศร้า อะไรประมาณนี้มาเจือจางและถูกหักล้างไปเอง "

" ถ้าไอ้จิตก้าวร้าวรุนแรงถูกหักล้างด้วยจิตอย่างอื่นได้ แล้วทำไมห้องนั้นมันถึงได้มีจิตตกค้างมากมาย
ขนาดนั้นล่ะครับ "
พอพูดจบผมก็ขนลุกเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงตุ๊กตาหมีที่แผ่ไอสีแดงออกมา

"ก็เพราะจิตใจที่รุนแรงก้าวร้าว เมื่อมันพลุ่งพล่านกระจายออกมา มันก็เหมือนฝุ่นผงนั่นแหละ แม้ว่าจะ
ปัดกวาดเช็ดถูไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังจับตัวเป็นก้อนอยู่ตามมุมห้องได้อยู่ดี พอผ่านนานวันไปเข้า มันก็กลาย
เป็นคราบที่ติดแน่นที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้"
คุณวินัยอธิบาย

"หมายความว่าไงเหรอครับ ?"
ผมถามเขา เนื่องจากยังไม่เข้าใจคำอธิบาย

"ก็หมายความว่า จิตใจที่ก้าวร้าวและรุนแรงที่คนเล่นเกมปลดปล่อยออกมานั้น เมื่อมันไม่ได้ถูกทำให้
เจือจาง ก็จะตกค้างอยู่ในร้าน และคนที่สัมผัสกับจิตตกค้างมากที่สุดก็คือพนักงานเฝ้าร้าน พอผ่านไป
นานเข้า เขาก็ถูกจิตที่ก้าวร้าวและรุนแรงนี้เหนี่ยวนำให้กลายเป็นคนก้าวร้าวและใช้ความรุนแรงไป"

แผลเก่าที่ชายโครงก็ปวดแปล๊บขึ้นมาทันที

คุณวินัยหันมองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อ
" แล้วห้องนั้นก็เป็นร้านเกมเก่า มีแต่คนเข้ามาเล่นเกม สร้างจิตตกค้างทิ้งเอาไว้ ไม่ได้มีการสร้างจิต
อย่างอื่นมาเจือจาง จิตรุนแรงก้าวร้าวถึงได้สะสมมากมายขนาดนั้นไง "

" อืม เข้าใจแล้วครับ สรุปก็คือเมื่อคนเล่นเกมที่มีเนื้อหารุนแรง จืตใจของพวกเขาก็ค่อย ๆ รุนแรง
ก้าวร้าวขึ้นแล้วก็ยังแพร่กระจายให้คนรอบข้างด้วย จนเกิดเป็นจิตตกค้างขึ้นมา พอมีคนไปสัมผัส
กับมันมาก ๆ เข้าก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีจิตใจก้าวร้าวรุนแรงไป ใช่ไหมครับ "
" ใช่แล้วล่ะ"
" ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมวันนี้ ตุ๊กตาหมีถึงได้ดูดซับจิตสีแดงนั่นเข้าไปได้ แถมยังลุกขึ้นมาฟาดผม
ได้อีกล่ะครับ ? "
ผมถามคุณวินัยถึงเรื่องเจ้าหมีพร้อมกับขยับถุงน้ำแข็งวน ๆ รอบหลักฐานการโดนฟาด (พื้น ) ไปมา

คุณวินัยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ก็จะตอบผมโดยที่ตายังคงจับจ้องที่ถนนอยู่
" นั่นก็เพราะผมทำพิธีให้น้องหมีกลายเป็น " ภาชนะ " เพื่อบรรจุจิตตกค้างไง"

" ภาชนะ ? "
ผมทวนคำพูดของแกอย่างงง ๆ

" ใช่แล้วละ " ภาชนะ " ร่างเปล่าที่ไร้จิตและวิญญาณพร้อมที่จะรองรับจิตก้าวร้าวรุนแรงที่สะสมอยู่ใน
ห้องให้เข้าไปอยู่ในนั้น พอ " ภาชนะ " มีจิต ก็จะมีชีวิตขึ้นมาและโดนจิตเหนี่ยวนำให้คลุ้มคลั่งทำร้าย
คนได้ "

พอผมหลับตาลงนึกถึงภาพหมอกสีแดงไหลเข้าไปรวมกันที่ร่างของตุ๊กตาหมีจนแผ่เป็นไอสีแดงออก
มาและก็คลุ้มคลั่งกระโจนเข้ามาทำร้าย ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง

" แล้วทำไม มันถึงได้เข้ามาทำร้ายผมก่อนละครับ ทั้ง ๆ ที่คุณวินัยอยู่ใกล้มันที่สุดแท้ ๆ "
" หึ ๆๆ ก็เพราะคุณวินจิตอ่อนที่สุดในบรรดาพวกเราสามคนไง ผมถึงได้ให้คุณวินระวังและบอกให้ถือ
ให้ถืออาวุธเตรียมพร้อมไว้ไง ผมเองก็จับแขนมันไว้เต็มที่แล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ "
คุณวินัยหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะตอบผม

ผมมองคุณวินัย ถึงเขาจะมีผมที่เป็นสีขาวแทบทั้งหัวแต่หน้าตาเขาก็ไม่ได้แก่มากมาย อายุก็ประมาณ
สี่สิบกว่า รูปร่างก็สันทัดล่ำสันเอาเรื่อง หันหลังกลับมองไปที่เรไร ขานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แรงมหาศาล
และดูท่าจะเก่งวิชาการต่อสู้มากซะด้วย หลังมือสวนเจ้าหมีซะปลิว แล้วไหนจะความสามารถฆ่าได้
ทุกสิ่งทุกอย่างอีก เสียบทีกลายเป็นขี้เถ้า ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ผมจะโดนเล่นงานก่อนเพื่อน

" โอ๊ะ จะว่าไป ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณเรไรเลยนี่นา คุณเรไรครับ ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ "
ผมกล่าวคำขอบคุณเรไร เธอช่วยผมไว้สองครั้งแล้ว

เรไรหันหน้าออกจากกระจก มองมาที่ผม
" ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ต้องจัดการมันอยู่แล้ว "
" แต่ยังไง ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี ถ้าคุณเรไรไม่ช่วยไว้ ผมก็คงโดนทุบจนถึงตายไปแล้ว "

" อืม ใช่ แต่ก็เตะซะแรงจนกระโปรงบานเป็นสุ่มเลย ยังงี้คุณวินก็รู้หมดว่าวันนี้ใส่สีอะไร "
คุณวินัยพูดเเทรกขึ้นมา

" อ๋อ สีขาวครับ ... เฮ้ย !! "
เวรแล้ว ! ดันตกหลุมพรางของคุณวินัย เผลอพูดออกไปจนได้

" มะ มะ ไม่ใช่นะครับ ! ผมไม่ได้ตั้งใจมองจริง ๆ ขอโทษครับ ขอโทษ !
ผมรีบละล่ำละลักขอโทษเรไรโดยทันที เธอมองมาที่ผมเขม็ง ผมหลบตาเธอโดยทันทีพร้อมกับหันหน้า
หนีโดยที่ปากยังพร่ำคำขอโทษอยู่ ส่วนคุณวินัยตัวการก็หัวเราะชอบอกชอบใจชวนให้เคืองอย่างเป็น
ที่สุด

อยากโดดลงจากรถจริง ๆ เลย พับผ่าสิ


Create Date : 25 กรกฎาคม 2552
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 7:34:07 น. 1 comments
Counter : 460 Pageviews.

 
55555!
อืมดีค่ะ
บรรยายไม่ถูกเลย
แต่บล็อกเท่ห์ดีนะคะ


โดย: ดีเจ..เมวิกา หน้าหวาน วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:24:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.