Todesengel ~ ออกตามหา ~



เธอพุ่งเข้าใส่ผม ประชิดตัว ใช้มือซ้ายจับปกคอเสื้อเชิตแล้วยกร่างของผมจนลอยพ้นพื้น
ดันให้ไปกระแทกกับกำแพงด้านหลังจนเสียงดังตึง
ท้ายทอยผมฟาดเข้ากับกำแพง ตาพร่าเลือนเห็นดาวเดือนระยิบระยับ
พอหายมึน ก็พบว่าตัวเองถูกขึงลอยพ้นพื้น หลังแนบกับกำแพง
เราประจัญหน้ากัน
ริมฝีปากสีชมพูสวยได้รูปของเธอขยับ น้ำเสียงหวานแต่เย็นชาดังกังวาน

"ตามมาทำไม ?"



ผมรู้สึกว่าร่างกายเป็นอิสระ ตัวเบาหวิวเหมือนกับกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศ แต่จะว่าไป ผมเองก็
ไม่เคยออกจากนอกโลก ดังนั้นไอ้ความรู้สึกนี้ก็แค่เป็นการพูดเลียนแบบความรู้สึกของพวกนักบิน
อวกาศจากที่เคยเห็นตามโทรทัศน์เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกกำลังล่องลอยแบบนั้นจริงๆ
ผมหลับตา ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยอย่างนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้ว แต่อยู่อย่างนี้มันก็สบายดี จนทำให้
ไม่รู้สึกใส่ใจกับเรื่องเวลาเลย

แต่ถึงผมจะหลับตา ก็ยังรู้สึกถึงแสงสว่างวูบวาบลูบไล้เปลือกตาของผม หูก็ได้ยินเสียงเหมือนคน
จำนวนมากมายจับกลุ่มคุยกัน เสียงผสมปนเปจนจับใจความอะไรไม่ได้เลย แต่ก็แปลกที่ทั้งหมดนี้กลับ
ไม่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญแต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนมีเพื่อนอยู่ด้วย แต่จิตใต้สำนึกเหมือนจะเริ่มกระตุ้น
เตือนผม ให้ผมต่อต้านกับความแสนสบาย สงสัยลึกๆแล้วผมคงจะเป็นพวกนิยมความลำบากมั้ง ถึงได้
ไม่อยากจมอยู่ในความสบายแบบนี้
ผมเลยลืมตาตื่น

แสงสีขาวจ้า เสียงปิ๊บปี๊บดังข้างหูตลอดชวนให้รำคาญ มีอะไรบางอย่างมาครอบปากและจมูกของผม
หัวตื้อมึน ความรู้สึกเบลอๆ ม่านตากำลังปรับแสง
พอตาเริ่มชินกับแสง สิ่งที่เห็นสิ่งแรกคือเพดานสีขาว

ผมกำลังนอนแบ่บอยู่บนเตียงในห้อง ICU สายอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ระโยงระยางเสียบตรงจิ้มตรงนี้
ทั่วร่างของผมไปหมด หมอและพยาบาลเอามาตรวจดูอาการของหลังจากที่เห็นผมรู้สึกตัว ถามโน่น
ถามนี่ แต่ผมก็ไม่สามารถตอบอะไรได้ มันรู้สึกเหนื่อยมาก ปวดระบมราวกับโดนรุมกระทืบมา ทำได้
แค่เพียงพยักหน้ากับส่ายหน้าเท่านั้น พอพวกเขาตรวจอยู่สักพักก็พากันเดินห่างออกไป สงสัยว่าคง
ตรวจเสร็จแล้ว

ผมคงรอดตายสินะ

ผมหลับตา นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น
โดนยิง เลือดไหลออกมามาก จนเกือบจะตายอยู่รอมร่อ แต่ก่อนที่จะตาย อยู่ๆก็มีสาวชุดดำกระโจน
เข้ามาจัดการคนร้าย ผมจำเธอได้ชัดเจน
ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง สวมที่คาดผมสีเทา เสื้อและกระโปรงที่เธอสวมใส่ล้วนแต่เป็นสีดำ
ใบหน้าสีขาวกระจ่างของเธอช่างสวยซึ้ง แต่
รอยแผลเป็นริ้วยาวกระจายทั่วหน้าของเธอ
พอเธอล้มคนร้ายได้ เธอก็พุ่งหนีไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ปล่อยให้
ลูกระเบิดที่หลุดจากมือคนร้ายกลิ้งมาหาผม
เฮ้ย ! ลูกระเบิด ผมจำได้ ลูกระเบิดมันกลิ้งมาใกล้ผมมากเลย โอ้ย ! ระยะแค่นั้นรับรองได้เลยว่า
ผมกลายเป็นเศษเนื้อแน่นอน
โอ้ พระเจ้า ! ผมรอดมาจากระเบิดด้วย !
Die Hard จริงๆเลย อย่างนี้ จอห์น แมคเคลนต้องเรียกผมว่าพี่ซะแล้วเพราะผมอึดกว่าเห็นๆ

ดวงโครตแข็งเลย

ภาคภูมิใจกับดวงของตัวเองได้สักพัก ความสะลึมสะลือจากฤทธิ์ยาระงับปวดทำให้ผมหลับไปอีกครั้ง
พอผมตื่นขึ้นมาใหม่ได้สักหนึ่ง ก็มีคนเข้ามาเยี่ยม
พ่อ แม่และน้องชายใส่ชุดสำหรับเข้าเยี่ยมของโรงพยาบาลเข้ามาล้อมเตียงผม
ผมอยากจะชูสองนิ้วสู้ตายให้พวกเขาเห็นว่าผมสบายดีแต่ก็ทำไม่ไหว เลยได้แต่ยิ้มน้อยๆเท่านั้น
พอแม่เห็นหน้าผมเท่านั้น ก็รีบเอามือปิดหน้า เสียงสะอื้นเริ่มลอดออกมาจากฝ่ามือ ไหล่โยนเบาๆ
ถึงผมจะเป็นฝ่ายที่โดนกระทำก็เถอะ แต่ผมก็ยังรู้สึกผิดที่ทำให้แม่ต้องมาร้องไห้เป็นห่วงแบบนี้

"แม่ร้องไห้ทำไม ลูกพ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวลูกก็ใจเสียหมด"
พ่อปรามแม่ไม่ให้ร้องไห้

"สงสาร...ลูก..."
เสียงแม่ฟืดฟาดตอบพ่อ

"นึกว่าพี่วินจะไม่ฟื้นซะแล้ว พี่สลบไปตั้ง 7 วัน นานมากจนหมอกลัวว่าจะไม่ฟื้นน่ะ ทุกๆคนเป็นห่วง
มากเลยรู้ไหม?"
ผมเหลือบตามองน้องชายของผม ถึงเราสองคนจะไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์พี่น้องสักเท่าไรตั้งแต่
ตอนเป็นเด็กจนโต แต่เราก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ดี นี่แหละมั้งความสัมพันธ์ของสายเลือด

"นี่รู้ไหม พี่วินโครตดวงดีเลย พี่โดนยิงเฉียดหัวใจไปนิดเดียวเอง แถมระเบิดก็ด้านอีก เนี่ยในข่าว
เขาบอกว่าหน้าพี่ซบกับระเบิด ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยพี่เลย รอตั้งนานกว่าหน่วยกู้ระเบิดจะมา
เลือดออกขนาดนั้นใครๆก็นึกว่าพี่ตายแล้ว พี่นี่อึดจริงๆ"

อ้าว ระเบิดด้านหรอกเหรอ ผมนึกว่าผมรอดตายจากการระเบิดได้ซะอีก หมดกันผมอุตส่าห์คิดว่า
ผมเจ๋งกว่าแมคเคลนแล้วเชียว

"ไม่เป็นไรแล้วนะลูก หมอบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว อีกไม่นานก็ได้ออกจากนี่แล้ว"
พ่อบอกกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมมองหน้าพ่อ ตาของพ่อดูรื่นๆสั่นไหวอยู่ สื่อให้เห็นถึงความเป็น
ห่วงของพ่อที่มีต่อผม

น้องชายยังคงพูดเล่าเรื่องต่างๆที่ข่าวเขาออกมา เรื่องที่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ถึงบ้านแล้วก็เรื่องอื่นๆ
อีกหลายเรื่อง พ่อบางทีก็ปรามบางทีก็เสริมเป็นระยะ ส่วนแม่เลิกร้องไห้แล้ว รอยยิ้มผุดออกมาระบาย
บนใบหน้า

ครอบครัวเราดูเป็นครอบครัวขึ้น

นานมาแล้วที่เราไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แยกย้ายกระจัดกระจายกันอยู่ ตั้งแต่ผมเรียน
มหาวิทยาลัยจบก็ออกทำงานเลยแทบไม่ได้กลับบ้านเลย น้องชายพอจบมัธยมปลายก็เข้าไปทำงานที่
กรุงเทพฯ ไม่เรียนต่อ พ่อกับแม่เลยอยู่ที่บ้านกันสองคน นานทีปีหนถึงจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน

แต่การรวมตัวพร้อมหน้ากันแบบนี้ไม่ดีเลย

ครั้งนี้ผมแค่โชคดีที่รอดตายมาได้ เราได้เลยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่ถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ
ถ้าเกิดใครคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรไป เราจะยังเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์กันได้อยู่เหรอ ?

อกผมสะท้อนหวั่นไหว

หลังจากพวกเขาพากันกลับไปไม่นานนัก ผมก็มีแขกรายใหม่มาเยี่ยมซึ่งมาพร้อมกับเทปบันทึกเสียง
นักข่าวสองคนหญิงหนึ่งชายหนึ่ง

"คุณวรินทร์คิดยังไงกับคนร้ายคะ ? ไม่น่าให้อภัยเลยใช่ไหมคะ ? น่าจะรับโทษประหารรึเปล่าคะ ?"

ผมฟังสิ่งที่นักสาวถาม ซึ่งดูเหมือนจะถามเองตอบเองแล้วรู้สึกอารมณ์ขุ่นขึ้นมาตะหงิดๆ
ใจคอจะไม่ถามผมว่าอาการเป็นยังไงบ้างเลยใช่ไหม ?
ผมก็เลยนิ่งไม่ตอบรับอะไรทั้งนั้น พอไม่ได้คำตอบเธอก็ถามคำถามอื่นต่อหลายคำถาม

"คุณวรินทร์รู้จักผู้หญิงที่เข้ามาช่วยไหมคะ ?"

มีคำถามนี้เท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจขึ้นมา ผมเลยหันหน้าไปหาเธอพร้อมกับส่ายหน้า

"เธอคนนั้นไม่ใครรู้จักเลยค่ะ ตอนเกิดเหตุก็ไม่มีใครที่ถ่ายภาพหน้าของเธอได้เลยซักคน ตอนก่อนที่
เธอจะกระโดดเข้าไปก็ไม่มีใครเห็นอีก ไม่มีใครบอกรายละเอียดรูปพรรณของเธอได้เลย คุณวรินทร์
พอจะจำหน้าเธอได้ไหมคะ ?"

ผมนึกถึงเธอคนนั้น แน่นอน ผมจำหน้าเธอได้ชัดเจน แต่ผมกลับเลือกที่จะส่ายหน้าปฏิเสธ

"งั้นเหรอคะ น่าเสียดายจังเลย ทางตำรวจเองกำลังตามหาตัวเธออยู่เหมือนกัน เพื่อสอบปากคำเธอคะ
เนี่ยจากข่าวที่ได้ยินมา รู้สึกว่าเธอจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายและก่อความเดือดร้อนนะคะ คุณว่ามัน
แปลกไหมคะ ทั้งที่เป็นฮีโร่ผู้กอบกู้สถานการณ์แท้ๆแต่กลับโดนตั้งข้อหาแบบนั้น ?"

"แต่ผมว่าเธอบ้าระห่ำมากเลยนะ ทั้งที่คนร้ายมีระเบิดที่ถอดสลักแล้ว ก็ยังไปทำแบบนั้นอีก มันเป็น
ยิ่งกว่าการฆ่าตัวตายอีกนะนั่น"
เพื่อนที่มาด้วยกันของเธอออกความเห็นขัด

นักข่าวสาวหันขวับไปทันที
"มันก็จริงอยู่ที่มันอันตราย แต่ถ้าเธอไม่เข้ามา เหตุการณ์ก็น่าจะบานปลายใหญ่โตกว่านี้อีกนะ"
"ถ้าระเบิดมันเกิดระเบิดขึ้นมา เหตุการณ์มันก็บานปลายใหญ่โตเหมือนกัน"
"แต่มันไม่ระเบิดนี่"
"ก็แค่โชคดีแค่นั้นแหละ ยังไงซะ มันก็อันตรายอยู่ดีที่ไปทำอย่างนั้น"
"แล้วทำไมนายชอบขัดฉันนักนะ หา"
แล้วสองคนนั้นก็ต่อล้อต่อเถียงกัน จนสุดท้ายก็ลืมเรื่องสัมภาษณ์ผมไปซะสนิท พากันออกไปเถียง
กันต่อข้างนอกห้อง

สรุปแล้วสองคนนั้นพากันมาทำอะไรเหรอ
ผมหลับตาลงอย่างรู้สึกรำคาญ ในใจคิดถึงเรื่องสาวชุดดำคนนั้น
ใบหน้าที่สวยแต่มีริ้วรอยแผลเป็นพาดผ่าน
แต่ก็ไม่นานนัก ผมก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

หลังจากผมได้สติขึ้นมาเป็นเวลา 5 วัน ผมก็ได้ออกจากห้อง ICU ย้ายมาหอผู้ป่วยในแทน
ตลอดช่วงนั้น ครอบครัว และผองเพื่อนจากที่ทำงานก็พากันมาเยี่ยมกันเป็นระยะๆ ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น
ขึ้นมาหน่อย รู้สึกว่ามีคนเป็นห่วงเราอยู่ ส่วนตำรวจก็มาสอบปากคำพร้อมกับให้ผมชี้ภาพของคนร้าย
2 ครั้งแล้วก็เงียบไป แต่ก็มีอีกพวกหนึ่งที่มาทีไร ผมกลับรู้สึกรำคาญ
พวกนักข่าว
ผมเองก็เพิ่งฟื้นตัวจึงพูดโต้ตอบพวกเขาได้แค่สั้นๆเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังวนเวียนเซ้าซี้ถามอยู่ดี
เวลาพวกเขาเข้ามา ผมก็เลยทำฟอร์มป่วย ตอบคำถามนิดหน่อยแล้วก็ขอนอนพักผ่อน
ผมไม่ค่อยชอบนักข่าวเท่าไรเลย พวกเขาวุ่นวายเกินไป

หอผู้ป่วยในที่ผมอยู่เป็นห้องรวม มี 12 เตียง คนไข้หนักเบาต่างก็จับจองจนเตียงไม่เคยว่างเลย
เตียงที่ผมนอนนั้นทำเลไม่ค่อยดีเลย อยู่กลางห้องใกล้ทางเดิน พวกหมอและนางพยาบาลมักจะเดินกัน
ไปมาบ่อย ทำให้หาความสงบไม่ค่อยได้
แต่มันก็ดีไปอีกแบบ
เพราะหลังจากออกห้อง ICU มา จำนวนคนมาเยี่ยมผมก็ลดลงไปเรื่อย มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่มา
เยี่ยมผมสม่ำเสมอ ส่วนคนอื่นก็แทบไม่โผล่มาเลย พอยิ่งอยู่พักฟื้นนานๆแบบนี้ นานวันเข้า ผมก็จมอยู่
กับความว่าง ตอนไม่มีใครมาเยี่ยม ก็อาศัยมองพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมานี่แหละที่ทำให้พอชุ่มชื่น
ได้บ้าง

ก็ผมผู้ชายนี่นา

แต่ก็ไม่ถึงขนาดไม่มีคนมาเยี่ยมเลย เมื่อสัก 4 วันที่แล้วก็มีนักข่าวมาหาผมอีก คู่หูคู่ฮา สองคนนั้น
มาหาผมอีกครั้ง

"คราวนี้ไม่ทะเลาะกันโชว์เหรอ"
ผมแซวสองคนนั้น

"เรื่องมันแล้วไปแล้ว ลืมๆไปเหอะครับ"
สมเกียรติตอบ

สองคนนี้มาหาผมสองครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดก็สัมภาษณ์ผมได้สักหน่อย สักพักก็เริ่มขัดกันเองอีก แล้วก็พา
กันออกไปเถียงกันข้างนอก ดีว่าครั้งหลังสุดยังแวะกลับเข้ามายื่นนามบัตรแนะนำตัวให้กับผม ทำให้ผม
รู้ว่าผู้ชายมีชื่อว่าชื่อ สมเกียรติ ส่วนผูหญิงชื่อว่ากุลธิดา

"แหม น่าอายจังเลยค่ะ มารบกวนคุณตั้งสองครั้งแล้ว แต่เพราะทำตัวไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวเอง เลยต้อง
มารบกวนอีก ขอโทษด้วยนะคะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีซะอีกมีคนคุยด้วยจะได้ไม่เหงา"
"แล้วอาการตอนนี้ดีขึ้นมั่งรึยังครับ ?"
"หมอบอกว่าเริ่มดีขึ้นมากแล้ว อาการแทรกซ้อนก็ลดลงแล้วครับ"

ก็กับนักข่าวสองคนนี้นี่แหละที่ผมรู้สึกดีด้วย ถึงตอนแรกจะดูไร้มารยาทไปหน่อย แต่พักหลังก็ถามไถ่
อาการของผมนอกเหนือจากถามเรื่องข่าว ส่วนคนอื่น พอผมไม่ตอบสักหน่อยก็พากันเบะปาก น้องชาย
ของผมยังมาเล่าให้ฟังเลยว่า พอสวนกับพวกนั้นข้างนอกก็ได้ยินพวกเขานินทาผม หาว่าผมหยิ่งเล่นตัว
ไม่ยอมให้ข่าว ก็เล่นจะเอาแต่ข่าวแบบนี้แล้วใครจะมีใจตอบให้ล่ะ

"เรื่องที่เราเคยคุยกันไว้คราวก่อน ไม่ทราบพอจะจำได้หรือเปล่าค่ะ ?"

พอเธอพูดขึ้นมา ก็ทำให้ผมหวนนึกถึงใบหน้าอันสวยงามแต่เต็มไปด้วยแผลเป็นขึ้นมา ลืมไปเสียนาน
สาวลึกลับในชุดดำ

"ผู้หญิงชุดดำที่เข้ามาช่วย รึเปล่าครับ ?"
ผมตอบกลับ

"ใช่แล้วค่ะ เชื่อไหมคะจนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้เลยว่า เธอเป็นใคร มาจากไหน แม้แต่ทางตำรวจก็ยังไม่มี
เบาะแสเลย"
"ไม่มีแม้แต่ภาพสเกตช์ด้วยครับ"
สมเกียรติเสริมขึ้นมา

"อ้าว แล้วไม่ถามคนร้ายกับตัวประกันอีกคนล่ะครับ ผมว่าทั้งคู่น่าจะเห็นแบบชัดๆเต็มๆเลยนะครับ"
ผมคิดว่าถ้าไม่มีใครเห็นเลย อย่างน้อยสองคนที่เผชิญหน้ากับเธอคนนั้นต้องจำหน้าได้บ้างสิน่า

"พอโดนจับ คนร้ายก็กลายเป็นคนสติแตกพูดโวยวายไม่รู้เรื่อง ตอนนี้ถูกส่งไปให้โรงพยาบาลจิตเวช
วินิจฉัยอยู่ค่ะ ส่วนตัวประกันก็ช็อกจนจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย"
กุลธิดาตอบกลับ

กลายเป็นไม่มีอะไรเลยที่จะบ่งบอกหน้าตาของเธอได้ ไม่ว่าทั้งภาพถ่าย ภาพสเกตช์ตลอดไปจนถึง
พยานบุคคล แม้แต่คนที่เจอหน้าเธอแบบจังๆก็กลับให้รายละเอียดไม่ได้
ช่างสมกับเป็นสาวลึกลับจริงๆ

"เลยมาหาผมอีก เผื่อว่าผมจะให้เบาะแสได้"
"ใช่แล้วค่ะ ไม่เหลือใครแล้วแล้วนอกจากคุณคนเดียวเท่านั้นที่พอจะให้เบาะแสได้"
"แล้วทำไมต้องตามหาเธอล่ะครับ"
ผมถามหาเหตุผลที่ให้ต้องตามหาหญิงสาวคนนั้น

กุลธิดาตอบกลับด้วยแววตาที่ลุกวาว
"ฮีโร่ไงคะ ฮีโร่ ทุกคนอยากรู้จักฮีโร่ทั้งนั้นค่ะ"

ผมตะลึงกับคำตอบของเธอ แต่สมเกียรติกลับถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมา
"เธอเป็นพวกคลั่งฮีโร่น่ะครับ เหมือนเด็กๆเลย"
"ชั้นไม่ใช่เด็กนะ และก็ฮีโร่ทุกคนเขาทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง มันไม่ดีตรงไหน ?"
"ก็ที่เธอคนนั้นทำไปมันเสี่ยงมากไม่ใช่เหรอ โชคดีที่ระเบิดด้าน ไม่งั้นก็คงมีคนตายเยอะกว่านี้แน่"
"แต่ถ้าปล่อยให้มันยืดเยื้อคุณวรินทร์ก็อาจจะตายน่ะสิ"

คำพูดนี้ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมา
ถ้าเธอคนนั้นไม่เข้ามาจัดการคนร้าย แน่นอนว่าเหตุการณ์ต้องยืดเยื้อนานออกไปจนในที่สุด ผมอาจจะ
เสียเลือดมากจนตายก็ได้
ผมรู้สึกอยากขอบคุณเธอขึ้นมา

กุลธิดาและสมเกียรติเริ่มตั้งหน้าตั้งตาเถียงกันอีกแล้ว ผมเริ่มชักสงสัยว่าหัวหน้าคนไหนจับคู่ให้สองคน
นี้มาทำงานร่วมกัน มันจะได้งานไหมล่ะแบบนี้
ก่อนที่ทั้งสองจะพากันออกไปเถียงกันข้างนอก ผมเลยขัดพวกเขาขึ้นมา

"แล้วตอนนี้คนร้ายเป็นยังไงบ้างแล้วครับ ?"
ผมอยากทราบชะตากรรมของคนที่เล่นงานผม

กุลธิดาหยุดเถียงแล้วหันขวับมาตอบคำถามของผมทันทีบ่งบอกถึงความไฮเปอร์แอคทีฟของเธอได้เป็น
อย่างดี
"ตอนนี้ก็เข้าโรงพยาบาลจิตเวช ให้หมอวินิจฉัยว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ค่ะ"

"แล้วเขาเป็นคนยังไง ?"
ผมถามต่อ

"เขาเป็นพนักงานเฝ้าร้านเกมส์ค่ะ เขาติดเกมส์พวกยิงต่อสู้กันมาก ตำรวจไปค้นที่ห้องพักก็เจอทั้งปืน
จริง ปืนอัดลม ลูกระเบิด นิตยสารอาวุธปืนมากมายเลยค่ะ บ่งบอกว่าเป็นพวกคลั่งไคล้ความรุนแรงค่ะ"
กุลธิดาตอบ

"นอกจากนี้เขายังมีภาพถ่ายและวีดิโอที่เขาถ่ายตัวเองตอนซ้อมยิงปืนไว้ด้วยนะครับ"
สมเกียรติช่วยเสริม

ผมเริ่มเห็นเค้าลาง
"เรื่องกลายเป็นว่าคนโรคจิตเกิดคลั่งฆ่าคนขึ้นมา และผมก็กำลังจะเจ็บตัวฟรี"

"แนวโน้มก็น่าจะเป็นประมาณนั้นครับ"
สมเกียรติตอบไม่ค่อยอ้อมค้อมเท่าไร

ผมถอนหายใจ รู้สึกปวดชายโครงแปล๊บขึ้นมา ก่อนเอ่ยขึ้นมา
"ผมจะบอกหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นให้พวกคุณสเกตช์ภาพ แต่มีข้อแม้สองข้อ"

"เอ๋ ? ว่าไงนะครับ/ค่ะ"
อุทานพร้อมกันทั้งสองคน

"ผมจะบอกให้พวกคุณสเกตช์ภาพหน้าของเธอ แต่มีข้อแม้สองข้อคือ หนึ่งห้ามตำรวจรู้เรื่องนี้ และสอง
เมื่อเจอเธอแล้ว พวกคุณต้องพาผมไปพบเธอด้วย ผมอยากขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตผมไว้"
ผมยื่นข้อเสนอ

ทั้งสองคนรีบตกลงแทบจะทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ หลังจากนั้นกุลธิดาก็นำเสนอเทคโนโลยีการสเกตช์
ภาพบุคคลให้ผมรู้ โดยเอาโน้ตบุคมาเปิดโปรแกรมที่มีชิ้นส่วนของใบหน้ามาให้ผมเลือกดูส่วนที่คล้าย
ที่สุดแล้วจึงนำมาประกอบกับเป็นภาพหน้าขึ้นมา ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่สะดวกรวดเร็วใช้ได้เลยไม่ต้อง
มาเสียเวลามานั่งวาดมือ เพียงแต่เธอไม่ได้บอกที่มาของเจ้าโปรแกรมนี้ และผมเองก็ไม่สนใจจะถาม
ด้วย หลังจากใช้เวลาไม่นานนัก ภาพคล้ายใบหน้าของเธอคนนั้นก็ปรากฏบนจอโน้ตบุค

"โอ้ ! เป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ"
สมเกียรติอุทานหลังได้เห็นภาพสเกตช์ของเธอ กุลธิดาหันมาค้อนตาขวางขวับหนึ่ง

"แต่ต้องเพิ่มรอยแผลเป็นหลายแผลเลยนะครับ"
ผมพูดพร้อมกับพยายามนึกถึงตำแหน่งรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเธอ ผมจำได้ค่อนข้างจะเลือนลาง

หลังจากที่ใช้เวลาตกแต่งภาพเพิ่มเติมรายละเอียดตามที่ผมบอกสักพักหนึ่ง ในที่สุดภาพสเกตช์ก็เสร็จ
สมบูรณ์ กุลธิดายกโน้ตบุคมาให้ผมตรวจทานภาพ ซึ่งมันค่อนข้างคล้ายกับเธอที่ผมจำได้มากเลย
ทีเดียว เมื่อได้ภาพสเกตช์ที่สมบูรณ์แล้ว ทั้งสองก็ขอตัวลากลับเพื่อรีบไปทำงานต่อ ซึ่งก่อนไปก็ล่ำลา
ผมและให้สัญญาว่า ถ้าได้ความคืบหน้าจะรีบโทรมาหาผมทันที
ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องเมื่อ 4 วันก่อน

วันนี้ก็มีคนมาเยี่ยมผมเหมือนกัน คนที่ผมคุ้นเคยพอสมควร

ผู้จัดการฝ่ายบุคคล

โรงงานที่ผมทำงานอยู่นั้นเป็นโรงงานขนาดไม่ใหญ่มาก มีพนักงานก็พอประมาณ แต่พวกเจ้าหน้าที่มี
ค่อนข้างน้อย ดังนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนก็เลยต้องทำงานที่ค่อนข้างหนักและมีหน้าที่ที่ต้องความรับผิดชอบ
ค่อนข้างมาก พูดง่ายๆคือต้องทำงานหลายหน้า การที่ใครสักคนหายหน้าไปเป็นเวลานานก็จะส่งปัญหา
ต่อโรงงานได้

วันนี้ผู้จัดการมาพูดถึงเรื่องผลกระทบของการที่ผมเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลานานนั้น ส่งผลต่อโรงงาน
อย่างไร พูดถึงเรื่องการที่ต้องรีบหาคนมาทำงานในตำแหน่งของผมโดยด่วนเพื่อให้โรงงานสามารถ
ทำงานต่อไปได้อย่างราบรื่น และเรื่องขอให้ผมลาออก เขายื่นซองเอกสารพร้อมทั้งอธิบายสิทธิ
ประโยชน์ที่ผมจะได้รับซึ่งผมจะได้ค่าทำขวัญเป็นเงินเดือนล่วงหน้ารวมทั้งสิ้น 4 เดือน

"ผมรู้ว่ามันดูโหดร้าย ผมเองก็เสียใจแต่คุณก็รู้ว่าโรงงานเราตอนนี้เป็นยังไง โรงงานรอไม่ได้ เราเลย
ไม่มีทางเลือก เลยต้องขอให้คุณลาออก เพื่อ...."
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลพูดกับผม แต่ขอโทษเถอะ เสียงของเขาไม่เข้าหูของผมเลย

ผมนอนนิ่ง

ตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมก็เข้านอนโรงพยาบาลมาเดือนกว่าแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นเวลาที่นานเกินกว่าที่ระเบียบ
ของบริษัทกำหนดให้ลาป่วยได้ แต่มันก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่นำมาบังคับให้ผมลาออกได้ ส่วนไอ้ที่โรงงาน
เดือดร้อนเนื่องจากขาดผมไปนั้นมันก็เป็นแค่ข้ออ้าง สาเหตุหลักๆนั้น ผมคิดว่าผมรู้ดี

ประมาณอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อนที่ทำงานมาเยี่ยมผม พร้อมกับบอกข่าวคราวของที่ทำงาน

"ไอ้วิน โรงงานเราซวยแน่ ลูกค้าแม่งยกเลิกออเดอร์บานเลยว่ะ"
"ทำไมวะ"
"มึงก็รู้นี่ ตอนนี้เศรษฐกิจมันเป็นยังไง ไอ้อเมริกามันหนี้เน่าบานเลย การเงินแม่งเลยปั่นป่วนกระทบ
ไปทั้งโลกเลย ลูกค้าเราก็ยิ่งเป็นพวกอเมริกาอยู่แล้ว เลยไปกันใหญ่ น่ากลัวว่ะ ตอนนี้โรงงานเรางาน
แทบไม่มีรันเลยว่ะ เด็กว่างงานบานเลย กูว่าถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีกสักหน่อยไม่ช้าก็ได้โดนเลย์ออฟกัน
บ้างแล้วล่ะวะ"
"อ้าว กูนอนป่วยอย่างนี้ กูจะไม่โดนเขาถีบส่งเหรอวะ"
"ฮ่ะๆ กูว่ามึงโดนแน่"

ถัดจากวันที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมาเยี่ยมผมได้ 3 วัน ผมก็ออกจากโรงพยาบาล
ผมกลายเป็นคนตกงาน



นี่สินะเขาเรียกว่าฟาดเคราะห์ตอนเบญจเพส
โดนยิงเกือบตาย นอนโรงพยาบาลสองเดือนแถมด้วยตกงาน
วัยนี้กว่าจะผ่านมาได้คงจะทุลักทุเลกันทุกคนสินะ เสียแต่ว่าของผมทุลักทุเลกว่าชาวบ้านเยอะ
แต่ก็ยังที่ผ่านมาได้ เพราะคงมีหลายคนที่ผ่านวัยนี้ไปไม่ได้
ผมยังโชคดีกว่าพวกเขา

ผมร่อนจดหมายสมัครงานและส่งอีเมล์สมัครงานออกไปจนมือแทบจะเป็นระวิง แต่การตอบรับกลับ
ไม่เป็นที่น่าพอใจเลย มีแค่ 2 ที่เท่านั้นที่เรียกผมไปสัมภาษณ์ พอไปสัมภาษณ์เสร็จก็เงียบหายไปเลย
ที่นี่ก็คงจะเหมือนกัน
ผมยืนเหม่อที่ป้ายรถเมล์แถวนิคมลาดกระบังหลังจากสัมภาษณ์งานบริษัทที่ 3 เสร็จ
คงจะไม่ได้ละมั้ง ผมคิดในใจ
ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่า ช่วงเศรษฐกิจแบบนี้มันส่งผลกระทบต่อการจ้างงานขนาดไหน วิกฤตการเงินโลกมัน
ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งระบบ เมื่อสถาบันการเงินมีหนี้เน่าท่วมก็จะขาดสภาพคล่อง การให้กู้ก็จะลดลง
โรงงาน ธุรกิจขาดเงินหล่อเลี้ยงก็ไม่สามารถขยายกิจการหรือลงทุนเพิ่มได้ ระบบเศรษฐกิจก็หยุด
ชะงักชะลอตัวกันไปหมด แล้วจะมีตำแหน่งงานจากไหนมารองรับกันล่ะ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว
ผมถอนหายใจกับตัวเอง จะเอายังไงดีกันเนี่ย ขายแซนด์วิชดีไหมหว่า ?

"คนที่ไม่ใช่แฟน ทำแทนทุกเรื่องไม่ได้" ก่อนที่น้องเขาจะร้องท่อนต่อไป ผมรีบรับโทรศัพท์ทันที
ก็ยอมรับอยู่ว่ามีอายบ้าง แต่ผมก็ชอบริงโทนนี้อยู่ดีนั่นแหละ

"สวัสดีครับ วรินทร์ครับ"
"อ้า คุณวรินทร์ นี่กุลธิดานะคะ เป็นไงบ้าง ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ"
ผมลืมไปซะสนิทเรื่องของนักข่าวคนนี้ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการหางานทำ ตั้งแต่พบกันครั้งสุดท้ายที่
โรงพยาบาลก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย นี่ก็ผ่านมาเกือบ 3 เดือนแล้ว

"อ้าว คุณกุลธิดา ไม่ได้คุยกันตั้งนานเลย ผมสบายดีครับ พอไปไหนมาไหนได้แล้วครับ ตอนนี้ผมอยู่
แถวนิคมลาดกระบังครับ มาสัมภาษณ์งาน มีอะไรรึเปล่าครับ"
"เอ๋ สัมภาษณ์งานเหรอคะ ทำไมละคะ ลาออกจากงานเดิมเหรอ"
"ฮ่ะๆ ผมโดนเขาให้ออกน่ะครับ"
ผมหัวเราะอย่างขื่นๆตอบ

"อ้าว ทำไมเขาให้ออกละคะ เพราะเรื่องเข้าโรงพยาบาลเหรอคะ แต่เรื่องนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่"
กุลธิดาถามผม
ผมเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนตอบเธอ
"คือโรงงานเขากำลังมีปัญหาครับ ก็เลยเลย์ออฟคนงาน พอดีผมเองก็ดวงซวย เข้าโรงพยาบาลนาน
ซะด้วยก็เลยโดนเลย์ออฟหน่ะ"
"เอ๋ งั้นก็แย่เลย แล้วเขาชดเชยอะไรให้รึเปล่าคะ"
"ก็นิดหน่อยไม่มากมายหรอกครับ เศรษฐกิจแบบนี้ลำพังจะเอาตัวเองให้รอดก็ยังลำบากเลย"
"ใช่คะ ช่วงนี้แม้แต่ทางดาเองก็ยังแย่ เบี้ยเลี้ยงออกหาข่าวก็ลดลง แถมยังต้องออกไปหาคนมาลง
แอดส์ด้วยค่ะ เหนื่อยเลยล่ะช่วงนี้"
สองคนถอนหายใจพร้อมกัน

หลังถอนหายใจ เราก็พากันเงียบไปนิดหนึ่ง กุลธิดาก็ถามผมต่อ
"แล้วเป็นไงคะสัมภาษณ์งาน มีข่าวดีไหมค่ะ"
"ท่าจะเหลวน่ะครับ งานการช่วงนี้หายากจริงๆ ผมไปมา 2 ที่แล้วยังไม่ได้เลยครับ"
"แย่จังเลยนะคะ ยังไงๆก็พยายามเข้านะคะ"
"ขอบคุณครับ"
แม้เราเรียกได้ว่าแทบจะไม่รู้จักกัน แต่เธอก็ยังให้กำลังใจผม ผมรู้สึกขอบคุณเธอ ตอนนี้ผมก็รู้สึก
มีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

"โอ๊ะ คุณกุลธิดา โทษทีนะครับ รถเมล์มาแล้ว เดี๋ยวผมจะต้องขึ้นรถก่อนนะครับ"
รถเมล์มาพอดี ผมเลยขอตัวขึ้นรถเมล์

"คะ งั้นแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะโทรไปหาอีกนะคะ ก็ขอให้คุณโชคดี ได้งานทำในเร็วๆนี้นะคะ"
"ขอบคุณมากครับ แล้วเจอกัน สวัสดีครับ"

พอปิดโทรศัพท์ ผมก็รีบวิ่งไล่ตามรถเมล์ที่จอดเลยป้ายไปไกลพอสมควร
ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมรถเมล์ชอบจอดเลยป้ายกัน หรือนี่อาจจะเป็นกุศโลบายของ ขสมก.
ให้คนไทยได้ขยับเนื้อขยับตัวออกกำลังกายกันบ้าง ดีกว่ารอแถวขึ้นรถเมล์เฉย
แต่แบบนี้มันเหนื่อยนา

พอขึ้นไปได้ ผมก็หันรีซ้ายขวาหาที่นั่งว่าง เจออยู่สองที่ท้ายรถกับหน้าสุด
เป็นที่ที่ผมไม่ชอบทั้งสองที่
แต่เล็กจนโต แม่ก็พร่ำสอนผมอยู่เสมอว่า เวลานั่งรถโดยสารอย่านั่งหน้าสุดกับหลังสุด เพราะทั้งที่นั่ง
ทั้งสองที่นั้นเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมากที่สุด ให้พยายามหาที่นั่งตรงกลางจะปลอดภัยกว่า ซึ่งผมเองก็เชื่อฟัง
แม่อย่างเคร่งครัดเสมอ

ปลอดภัยไว้ก่อน

แต่ทำยังไงดี ตอนนี้ไม่มีที่นั่งตรงกลางว่างเลยครับแม่
ลังเลแป๊บหนึ่ง ผมก็เดินไปที่นั่งหน้าสุด หย่อนก้นลงแหมะ เอาวะ นั่งหน้าก็ได้ อย่างน้อยถ้าเห็นอะไรไม่
ชอบมาพากลก็พอลุกเผ่นได้ก่อน

ผมปล่อยให้ทิวทัศน์ข้างทางไหลผ่านไป สมองผมตอนนี้มันว่างเปล่า มันไม่เคยเป็นอย่างนี้มานานพอ
สมควรแล้ว นับตั้งแต่ผมเริ่มทำงาน ชีวิตที่เคยใช้อยู่มันก็ยุ่งไปกับงานการอยู่แทบทุกวันจนไม่มีเวลาไป
คิดเรื่องอื่น แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว งานการที่เคยทำก็ไม่มีแล้ว เวลาเลยมีเหลือเฟือสำหรับคิดเรื่อง
ต่างๆ แต่พอผ่านไปนานเข้า เรื่องที่ให้คิดกลับน้อยลงไปทุกที จนในที่สุดผมก็แทบไม่มีเรื่องจะให้คิด

อนาคตของผมเริ่มกลายเป็นปากทางเข้าอุโมงค์

"คนที่ไม่ใช่แฟน ทำแทนทุกเรื่องไม่ได้ เหนื่อยก็รู้ เหงา..." ผมเลิกเหม่อ รีบรับโทรศัพท์ แอบเห็น
พขร. อมยิ้มอยู่เล็กน้อย สงสัยจะชอบเพลงนี้เหมือนกัน

"สวัสดีครับ วรินทร์ครับ"
"ฮัลโหล คุณวรินทร์ นี่ผม สมเกียรตินะ"
"มีธุระอะไรกันเหรอครับ เมื่อกี้คุณดาก็โทรเข้ามาหาผม มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ"
ผมถามเขา เมื่อเห็นว่านักข่าวทั้งสองคนโทรมาหาผมในเวลาไล่เลี่ยกัน

"อ้อ พอดีพวกผมมีข่าวจะบอก แต่คนเป๋อไม่ได้บอกคุณน่ะครับ"
"ฉันไม่ได้เป๋อนะ คุณวรินทร์เขารีบขึ้นรถก่อนต่างหาก เลยยังคุยไม่เสร็จ"
เสียงลอดมาให้ได้ยิน

"ฮ่ะๆๆ ก็จริงอย่างนั้นแหละครับ พอดีรถมาเลยเลิกคุยกันก่อน อย่าไปว่าเธอเลยครับ"
คู่นี้เขาช่างครื้นเครงกันดีจริงๆ ผมอดหัวเราะไม่ได้

"ว่าแต่ว่า มีข่าวอะไรเหรอครับ"
"ก็สาวลึกลับคนนั้นไงครับ ตอนนี้เราได้ข่าวของเธอแล้วครับ"
เป็นเวลานานพอสมควรหลังจากพวกเขาได้ภาพสเกตช์ไป และผมเองก็มัวแต่วุ่นอยู่กับหางานใหม่ทำ
ไม่ได้นึกถึงเลย ถ้าสมเกียรติไม่พูดถึง ผมอาจจะลืมไปเลยก็ได้ ผู้มีพระคุณของผมที่ผมยังไม่ได้เอ่ย
ขอบคุณเลย

"เป็นไงครับ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน"
ผมรีบถามอย่างกระตือรือร้น

"คือไม่กี่วันนี้ มีคนเห็นเธอ..."

ตูม !
"เฮ้ยยยย !"
เอี๊ยดดดดดด !

จู่ๆก็มีบางสิ่งกระแทกเข้ากับเข้ากับกระจกหน้าเต็มแรงจนทะลุเข้ามาในตัวรถ เสียงดังสนั่น เศษ
กระจกกระเด็นกระจายไปทั่ว สิ่งนั้นพุ่งเฉียดตัวผมไปนิดเดียวก่อนจะหยุดกึก ผมตกใจจนร้องออกมา
เสียงดัง พขร.เองก็เหยียบเบรกจนตัวโก่ง จนผู้โดยสารทุกคนหัวคะมำไปข้างหน้า ผมหัวคะมำจนต้อง
รีบเอามือค้ำหน้ารถไว้ มือถือกระเด็นหลุดจากมือตกกระทบพื้น แบตเตอรี่กระเด็นหลุดออกมา

โครม !
แป๊นนนนนนนนนนน !

สั่นสะเทือนอย่างแรง รถเมล์ที่วิ่งตามมาข้างหลังติดๆ พุ่งเข้าชนท้ายรถเต็มแรงจนทำให้ตัวรถพุ่งต่อไป
ข้างหน้า ตัวผมกระแทกกับโครงรถดังปึก จนลงกองไปที่พื้นรถ สักพักหนึ่งตัวรถจึงหยุดนิ่ง เสียงแตร
จากตัวรถดังยาว เสียงหวีดร้องครวญครางระงมไปทั้งรถ

ผมค่อยๆหยัดตัวขึ้นมา สำรวจความบาดเจ็บของตัวเอง เลือดไหลออกมาจากหัวผมแต่ก็ไม่มากมาย
สงสัยหัวแตก ส่วนอื่นไม่เป็นไรมาก ไม่มีกระดูกหัก แค่ฟกช้ำธรรมดา ผมหันมองรอบตัว เห็นสิ่งที่พุ่ง
กระแทกเข้ามาในตัวรถเต็มตา

เด็กผู้ชายนอนคว่ำ แต่หันหน้าหงายมองเพดานรถ !

ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยไอเสียสีดำของรถก่อนจะค่อยๆจางจนหายไปในที่สุด เลือดทะลักออกจาก
จมูกและมุมปากของเขา ผมเห็นหน้าที่แดงฉานไปด้วยเลือดของเขาเต็มตาจนต้องเบือนหน้าหนี

ตายสนิท !

ผมนั่งกองตรงพื้นรถ สงบสติ รวบรวมมือถือและแบตเตอรี่ที่ตกกระเด็นไป มาเก็บไว้ใส่กระเป๋า ก่อนลุก
ขึ้นไปหาพขร.ที่ฟุบหน้าซบกับพวงมาลัย ทับแตรจนเกิดเสียงดังยาว ผมดึงตัวเขาให้กลับมาที่พนักพิง
เสียงแตรจึงเงียบหายไป หน้าผากของเขาแตก เลือดไหลย้อยลงมา แต่เขายังหายใจอยู่ ดูแล้วคงแค่
หมดสติไป แต่ผมก็ไม่อยากเคลื่อนย้ายเขา ให้เจ้าที่มาจัดการดีกว่า ผมผละจากพขร. มองไปทาง
ด้านหลัง ผู้โดยสารคนอื่นที่บาดเจ็บเล็กน้อยเริ่มทยอยกันลงจากรถ พอมองเลยไปที่ท้ายรถ สภาพยับ
เยินมาก ที่นั่งด้านหลังถูกแรงกระแทกทำลายจนหมด

ผมขนลุกวาบไปทั้งตัว

ตำแหน่งเบาะหลังที่ผมชั่งใจแล้วไม่เลือกนั่ง ตรงนั้นถูกเศษตัวถังรถที่ฉีกขาดพุ่งทะลวงเบาะออกมา
เศษเหล็กชิ้นนั้นยาวประมาณ 30 ซม.

ถ้าผมไปนั่งตรงนั้นคงตายแน่นอน

ผมค่อยๆพาตัวเองลงจากรถ พลเมืองดีเข้ามาถามอาการของผมพร้อมช่วยพยุงผมลงจากรถ ประคอง
ผมพาไปนั่งพักที่ฟุตบาท เสียงหวอทั้งจากรถมูลนิธิ รถพยาบาลและรถตำรวจดังระงมไปทั้งบริเวณ
เหล่าไทยมุงเริ่มจับคุยกันถึงสิ่งที่เกิด

"ป้าเห็นกะตาเลย เด็กคนนั้นอยู่ๆก็ปีนสะพานลอยตรงนั้น พอรถเมล์คันนี้มา ก็กระโดดพุ่งใส่รถเลย"
ไทยมุงรุ่นป้าคนหนึ่งพูดสิ่งที่ตนเห็นพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"สงสัยฆ่าตัวตายล่ะมั้ง"
"มีใครผลักเด็กไหมล่ะ"
"ไม่มี เด็กกระโดดลงไปเอง"
"ยังเด็กอยู่เลย นึกยังไงฆ่าตัวตาย"
มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ ผมหันหน้าไปทางทิศที่ป้าคนนั้นชี้พร้อมกับมือที่ยังกดห้ามเลือดตรง
หัวที่แตกอยู่ เห็นสะพานลอยและกลุ่มคนที่จับกลุ่มกันมองลงมาทางที่เกิดเหตุยืนกันอยู่เรียงราย

ร่างที่เคยเห็นแค่ครั้งเดียวแต่กลับดูคุ้นตายืนอยู่บนสะพานลอยนั่น
เสื้อสูทสีครีม ผมยาวถึงกลางหลังสวมที่คาดผมสีเทา ใบหน้ารูปไข่ที่มีริ้วรอยแผลเป็นหลายแผล
ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตของผมไว้กำลังมองมาทางนี้

ผมลุกขึ้นยืนและเริ่มจะออกเดินเพื่อไปหาเธอทันทีเมื่อเห็นเธอหันหน้าหนีและออกเดินเพื่อข้ามไปอีก
ฟากของถนน แต่ก่อนที่ผมจะเริ่มออกเดิน เจ้าหน้าที่จากหน่วยกู้ภัยมูลนิธิก็มาถึงตัวผม

"เดี๋ยว คุณจะไปไหน มา ผมจะพาไปทำแผลที่โรงพยาบาล"
"ผมไม่เป็นไรมากครับ แค่เลือดออกนิดหน่อย"
"ไม่นิดหน่อยแล้วล่ะ หัวแตกแบบนี้ได้เย็บแน่นอน มาเดี๋ยวผมพาคุณไปทำแผล"
ผมโดนเจ้าหน้าที่คนนั้นพยุงเชิงบังคับให้ไปขึ้นรถมูลนิธิที่จอดรออยู่ ผมก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
แต่กระนั้นผมก็หันไปมองหาเธอคนนั้นอีกครั้ง

เธอหายไปแล้ว

ผมถูกประคองขึ้นรถของมูลนิธิเพื่อพาไปโรงพยาบาล
รถออกตัวเร็วมาก เร็วจนน่ากลัวจริงๆ



"แม่ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกแค่หัวแตกเย็บสี่เข็มเท่านั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ"
ผมบอกแม่ให้คลายกังวล

"งั้นเหรอ แต่แม่ว่ายังไงวินก็กลับบ้านเถอะ มาอยู่ที่บ้านเรานี่ล่ะ ไม่ต้องไปไหนหรอก มันอันตราย"
"แม่ ก็แค่ช่วงนี้ผมดวงไม่ดี ฟาดเคราะห์อยู่"
"ลูกก็เบญจเพสพอดี กลับมาบวชแก้เคราะห์ที่บ้านไหม"
แม่ยื่นข้อเสนอ แต่ไม่ไหวหรอกแม่ ลูกชายแม่ยังไม่ได้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาถึงขนาดอยากบวช
ยังรักทางโลกอยู่ ผมก็เลยกล้อมแกล้มปฏิเสธ

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทำบุญใส่บาตรทุกเช้าครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะระวังตัวเองให้มากๆ
ยังไงๆ ผมก็ยังต้องหางานทำอยู่ ไม่งั้นเดี๋ยวจะลำบากกัน "
"อือ ถ้าอย่างงั้นก็ระวังรักษาตัวเองให้มากๆนะ แล้วอย่าลืมสวดมนตร์ก่อนนอนทุกคืนล่ะ สวดเสร็จก็
แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของเรา เขาจะได้ไม่ตามรังควานเรา สวดอยู่หรือเปล่านี่ทุกคืน หือ ?"
"สวดทุกคืนคร้าบ แผ่เมตตาด้วย"
"อย่าลืมนะ ทำอย่าได้ขาด แล้วพรุ่งนี้ใส่บาตรเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้ตาด้วยล่ะ ขอให้ตาช่วยคุ้มครอง
เรา"
"คร้าบ"
"งั้น แค่นี้นะ ระวังตัวด้วยล่ะ"
"ครับแม่ รักแม่นะครับ หวัดดีครับ"
"จ้า"
ผมปิดโทรศัพท์

แม่เป็นห่วงผมมากหลังรู้ข่าวจากน้องชายว่า ผมประสบอุบัติเหตุรถเมล์ชนกัน พอผมกลับจาก
โรงพยาบาลมาถึงห้องพักน้องชายไม่ทันไร แม่ก็โทรมาหาเลย แม่เป็นห่วงผมมาก พ่อก็ด้วย

ผมทำให้พวกเขาเป็นห่วงอีกแล้ว

"แม่ว่าไงบ้าง"
น้องชายถามผม

"แม่ให้พี่บวช แต่ไม่บวชหรอก ต้องหางานทำก่อน"
ผมพูดเสร็จก็ลงไปนอนแผ่ ใช้เท้าเขี่ยพัดลมที่มีอยู่ตัวเดียวในห้องให้มาเป่าใส่ผม

ปลายเดือนกุมภาแท้ๆ แต่อากาศในห้องพักของน้องชายผมกลับร้อนอบอ้าว ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเดือนที่
แล้วยังหนาวจับใจอยู่เลย ปัญหาโลกร้อนแหงๆ

"เหรอ ว่าแต่ว่า คนในรถพี่เป็นอะไรกันมากไหม"
น้องชายเลื่อนตัวเองลง ใช้เท้าเขี่ยให้พัดลมเป่าใส่ตัวเอง

"พวกนั่งข้างหน้ากับตรงกลางไม่เป็นอะไรกันมาก แต่พวกเบาะหลังสิเจ็บหนัก เห็นว่าสาหัสอยู่ 2 คน"
ผมเขี่ยให้พัดลมหันกลับมาทางผม

"งั้นพี่เห็นเด็กที่โดดมาใส่รถเมล์ไหมล่ะ เป็นไง เห็นข่าวบอกว่ายังอยู่แค่ ม.1 เอง"
น้องชายถาม

ผมขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงภาพเด็กคนนั้น มันติดตาผมพอสมควร
"เห็นสิ มันพุ่งมาใส่พี่เลยล่ะ แต่ไม่อยากพูดถึงมันอีก ไม่อยากนึกถึง"
ผมอยากลบภาพเด็กคนนั้นออกจากความทรงจำ ไม่อยากนึกขึ้นมาอีก

ภาพรอยยิ้มของเด็กนั้นที่กำลังยิ้มทั้งๆที่คอหักจนหมุนได้รอบ !

"เหรอ"
แล้วน้องชายของผมก็เงียบไป

ผมนอนนิ่ง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เหตุการณ์ระทึกขวัญ
ทำไมนะ ช่วงนี้ผมถึงได้เจอแต่เรื่องร้ายแรงอยู่เรื่อย ถึงครั้งไม่เจ็บตัวจนต้องเข้านอนโรงพยาบาล แต่
มันก็เป็นโชคดีที่ไม่ไปนั่งเบาะข้างหลังนั่น ไม่งั้นคงไม่ได้มานอนแผ่อย่างนี้หรอก

สงสัยอาถรรพ์เบญจเพส

ผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆ อาถรรพ์นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน มันเหมือนกับรอให้เราถึงวัยนั้น จากนั้นก็จะค่อยๆ
เดินตามเรามาเรื่อยๆ เมื่อเราหยุดมันก็หยุด แต่เมื่อเราเผลอมันก็จะลอบมาใกล้ตัวเราไม่ให้รู้สึกตัว
และถ้าเราพลาดเราก็จะโดนมันเล่นงาน จนกว่าเราจะหลุดพ้นวัยนี้ มันจึงเลิกเล่นงานเรา ผมต้องระมัด
ระวังตัวให้มากกว่านี้ เพราะอีกหลายเดือนกว่าผมจะหลุดพ้น ประมาทไม่ได้
ผมเหงื่อตก ผุดลุกขึ้นมา

"เฮ้ย หาเรื่องรึไง เอาพัดลมไปเป่าคนเดียว"
ผมหันพัดลมกลับมาใส่ผม

"อ้าวๆ พูดอย่างงี้ได้ไง นี่เจ้าของห้องนะ มาอาศัยอยู่ รู้จักเกรงกันหน่อยสิ"
มันสู้

ก็เพราะเข้ามาสัมภาษณ์งานในกรุงเทพฯหรอก ถึงได้มาเบียดเบียนห้องพักของเจ้าน้องชาย ทั้งแคบ
ทั้งร้อนแถมพัดลมตัวเดียวที่มีก็เสียไม่ยอมส่ายอีกต่างหาก

"เฮ้ย พี่เป็นพี่นะ"
หมดคำเถียง ก็มันเป็นเจ้าของห้องนี่นา เล่นมุขนี้ก็เถียงไม่ออกสิ เลยต้องแถสู้

"แล้วไง มาอาศัยอยู่น้า มาอาศัยเขาอยู่"
"... เออ ย้ายเอามาเป่าด้านข้างแทนได้ไหมล่ะ"
"เอาดิ แต่เป่าวุฒก่อนนะ"
"เออ"
ต้องยอมมัน ก็มันเป็นเจ้าของห้อง มันใหญ่กว่าเรา

สองคนพี่น้องนอนเหงื่อแตกในห้อง ผมก่ายหน้าผากพยายามข่มตาให้นอนหลับลง นอนไปได้สักหน่อย
โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา ผมเลยลุกไปคว้าแล้วเปิดรับ

"สวัสดีครับ วรินทร์ครับ"
"ฮัลโหลคุณวรินทร์ เป็นอะไรรึเปล่า ตอนกลางวันได้ยินเสียงโครมครามกับเสียงคุณร้องด้วย เกิดเรื่อง
อะไรรึเปล่า โทรย้ำไปก็ไม่ติด แล้วก็ดันติดธุระซะอีก นี่เพิ่งเสร็จเลยรีบโทรมาหา"
น้ำเสียงของสมเกียรติบ่งบอกถึงความเป็นห่วง

"อ๋อ พอดีรถเมล์ที่ผมนั่งไปเกิดอุบัติเหตุครับ"
"ใช่รถเมล์คันที่โดนเด็กพุ่งหลาวจากสะพานลอยรึเปล่าครับ"
"ใช่เลย พุ่งมาใส่ผมด้วย"
"โอ้ แล้วคุณวรินทร์เป็นอะไรมากไหมครับ ?"
"ไม่เท่าไรครับ แค่หัวแตกเย็บ 4 เข็มครับ พอทำแผลเสร็จ ตำรวจก็สอบปากคำนิดหน่อยก่อนปล่อย
กลับบ้าน"
ผมอธิบายเขา รู้สึกดีมีคนมาเป็นห่วง เหมือนเราเป็นเพื่อนกัน

"ดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก เอ้อ คุณวรินทร์ อะไรจะพอดีขนาดนี้ ตอนนี้ บก. ให้พวกผมออกไปช่วยหา
ข่าวของเด็กคนนี้เหมือนกันที่ ผมเลยได้ข่าวมาว่า เด็กคนนั้นอายุประมาณ 13 เอง เรียนอยู่ชั้นม.1
เพื่อนนักข่าวที่ทำเรื่องนี้ก่อนเล่าให้ฟังว่า ไอ้เด็กคนนี้เป็นเด็กเรียนดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่รู้นึกยังไง
ถึงไปฆ่าตัวตายแบบนี้ ไม่มีใครรู้สาเหตุเหมือนกัน "
"เหรอครับ อืม น่าเสียใจแทนพ่อแม่เขานะครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่ผมสงสัย"
"หือ สงสัยอะไรครับ"

ผมคิดลังเลนิดนึงว่าจะพูดดีไหม ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไป
"ทำไมเด็กคนนั้นถึงยิ้มทั้งๆที่ฆ่าตัวตายแบบนั้น"
"หือ คุณเห็นหน้าเขาเหรอครับ"
"ใช่ครับ ผมเห็นหน้าเขาชัดเจนเลย"
"งั้น เดี๋ยวแป๊บหนึ่งนะ พอดีผมอยู่ออฟฟิศ เดี๋ยวผมตรวจสอบรูปเด็กคนนั้นก่อน"
พูดจบ สมเกียรติก็เงียบไปพักหนึ่ง

"ฮัลโหล คุณวรินทร์ ไม่นี่ครับ ไม่เห็นรูปเด็กคนนั้นยิ้มเลยซักรูป"
"แต่ผมเห็นศพเด็กคนนั้นยิ้มจริงๆนะ"
"คุณวรินทร์ตาฝาดรึเปล่าครับ แบบว่าหัวโดนกระแทกน่ะเลยเบลอๆไป"
ผมหยุดพูด อาจจะเป็นอย่างที่เขาว่าก็ได้

"สงสัย ผมคงตาฝาดไปน่ะครับ"
"ถ้ายังไง ลองไปให้หมอตรวจเช็คดูดีไหมครับ"

ผมยิ้มก่อนตอบเขา
"ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ ถ้าอาการไม่ดียังไง ผมอาจจะไปหาหมอให้ลองตรวจดูครับ จะว่าไปก็ปวดแผล
ขึ้นมาตุบๆอยู่เหมือนกัน"
"ดีแล้วครับ โอ๊ะ ดึกขนาดนี้แล้ว รบกวนคุณแค่นี้ก็แล้วกันนะครับ พักผ่อนให้มากๆนะครับ"
"ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ"
"อย่าคิดมากไปเลย เราคนกันเอง อนาคตคงต้องพึ่งพากันอีกเยอะ"
"นั่นสินะ งั้น แล้วเจอกัน สวัสดีครับ"
"ครับ แล้วเจอกัน"

ผมปิดโทรศัพท์ วางไว้ที่เดิม แต่ก่อนที่จะกลับไปถึงที่นอน มันก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"สวัสดีครับ วรินทร์ครับ"
"คุณวรินทร์ นี่ ดานะคะ"
"อ้าว คุณดาเหรอครับ เป็นไงบ้างครับ"
"ค่า สบายดีคะ ได้ข่าวคุณวรินทร์เจออุบัติเหตุใช่ไหมคะ เป็นไงบ้าง"
"อ้อ เล็กน้อยครับ ไม่เป็นไรมาก ขอบคุณที่เป็นห่วง ว่าแต่ว่ามีอะไรรึเปล่าครับ"
"พอดีเรื่องสำคัญจะบอก เพราะคนเป๋อไม่ได้บอกคุณวรินทร์"
เธอจงใจเน้นคำว่า "เป๋อ" เสียงดัง
เหมือนผมได้ยินเสียงคำรามฮึ่มแฮ่ลอดมาในโทรศัพท์ อืม สงสัยคิดไปเอง

"เรื่องอะไรเหรอครับ"
"ก็เรื่องสาวลึกลับคนนั้นไงคะ ตอนนี้เราได้ข่าวมีคนเห็นเธออยู่แถวสุวรรณภูมิช่วงวันสองวันมานี้ ดู
เหมือนว่าพึ่งกลับมาจากต่างประเทศคะ"
ข่าวนี้กระตุ้นความสนใจผมอย่างเต็มที่

"งั้นเหรอครับ ดีจัง แต่วันนี้ ถ้าผมตาไม่ฝาด ผมคิดว่าผมเห็นเธอนะครับ"
"เหรอค่ะ เห็นที่ไหน"
กุลธิดาแสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างชัดเจน

"ก็หลังเกิดอุบัติเหตุ ผมก็เห็นเธอยืนอยู่บนสะพานลอยที่เด็กคนนั้นกระโดดลงมาน่ะครับ ผมเองก็ว่าจะ
เข้าไปหาเธอ แต่ก็โดนพวกมูลนิธิหิ้วไปโรงพยาบาลซะก่อนก็เลยคลาดกัน"
"งั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวดาจะลองเข้าไปสืบหาดูนะคะ ฮุฮุ อยู่ใกล้กว่าที่คิดอีก ดีจังเลย"
ดูท่ากุลธิดาจะดีใจกับข่าวนี้มาก ถึงกับหัวเราะน้อยๆออกมา

"คุณดา พรุ่งนี้ผมขอไปด้วย ผมอยากตามหาเธอให้เจอ และจะได้ขอบคุณเธอที่ช่วยชีวิตผมไว้"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่

"ดีค่ะ จะได้ช่วยกันหาให้เจอเร็วๆ อยากสัมภาษณ์เร็วๆจังเลย จะเขียนคอลัมน์ให้เด็ดไปเลย"
ผมยิ้มกับความใสซื่อของกุลธิดา เธอช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาซะเหลือเกิน

"ครับ งั้นพรุ่งนี้เจอกันกี่โมงดี สักแปดโมงเช้าดีไหมครับ"
"ดีค่ะ เจอกันตรงสะพานลอยนั้นเลยนะคะ"
"ครับ ตรงลงตามนั้น พรุ่งนี้เจอกันนะครับ"
"ค่า เจอกัน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
ผมรีบเข้านอนเก็บแรงเพื่อเอาไว้ออกเดินตามหาเธอ

ผมอยากเจอเธออีกครั้ง



ไม่น่าบ้าพลังขนาดนี้เลยผม ความสำนึกผิดเริ่มทับถมผมเรื่อยๆ
ทั้งๆที่เมื่อวานเจออุบัติเหตุขนาดนั้นแท้ๆ แทนที่จะพัก ดันเสร่อออกมาเดินท่อมๆกลางแดดแบบนี้
ทั้งตัวปวดระบมไปหมด จนต้องกินยาแก้ปวดช่วย
ไม่ประมาณตนเลย

หลังจากที่มาถึงที่นัดหมาย ผม สมเกียรติและกุลธิดาก็ประชุมย่อยกัน
"นี่เป็นแผนที่ของบริเวณนี้นะคะ แผนก็คือให้ทุกคนเดินสำรวจ เมื่อสำรวจแล้วก็ตีกรอบอาณาเขตที่
ตัวเองสำรวจแล้ว แล้วค่อยเอามารวมกันเป็นพื้นที่สำรวจแล้ว จะได้เวลาคราวหลังมาสำรวจอีก ก็ไม่ต้อง
สำรวจซ้ำอีก ส่วนนี่ก็ภาพสเกตช์ เอาไว้ประกอบการสืบ"
กุลธิดาบอกแผนการที่วางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับแจกจ่ายแผนที่และภาพสเกตช์ให้กับทุกคน

ผมรู้สึกทึ่งที่เธอเตรียมการได้ถึงขนาดนี้ หันไปมองสมเกียรติ เขายักไหล่ให้ผมราวกับจะบอกว่า
เธอเป็นอย่างนี้ของเธออยู่แล้ว เจ้าแม่เตรียมพร้อม หรือไม่ก็อีสาวไฮเปอร์ อะไรประมาณนั้น

"เอาล่ะเจอกันอีกทีตรงนี้ตอนเที่ยงตรง นะคะ ถ้าใครหาพบหรือได้เบาะแสสำคัญ ก็รีบโทรบอกกันเลย
นะคะ"

เมื่อทุกคนเข้าใจตรงกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกสืบหา ผมเลือกเดินข้ามสะพานลอยไปฝั่งที่เห็นเธอ
เดินข้ามไปเมื่อวานนี้ โดยคาดว่าน่าจะเจอหรือได้เบาะแสของเธอจากแถวนั้น
ทั้งหมดเป็นเรื่องเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงก่อน

ตอนนี้แค่ก้าวขาก็รู้สึกยากลำบาก ปวดเมื่อยหน่วงๆ ไปทั้งตัว คิดๆไปก็สมควรอยู่หรอก เพิ่งเจ็บตัวมา
แต่ดันห้าวซะขนาดนี้

ผมออกเดินสอบถามตามร้านค้าและผู้พักอาศัยอยู่แถวนี้พร้อมโชว์ภาพสเกตช์ให้ดู ทุกคนต่างส่ายหน้า
บอกไม่เคยเห็นกัน เวลาผ่านไปสักหน่อย ผมก็เริ่มชักท้อ แต่ไม่ใช่ท้อเพราะการสืบไม่คืบหน้า แต่ท้อกับ
สังขารบักโกรกของผมต่างหาก ผมเลยตัดสินใจแวะนั่งพักที่ม้านั่งของร้านค้า สั่งโค้กมาดื่มหนึ่งขวด
อากาศร้อนแบบนี้ โค้กเย็นๆนี่ เฮ้อ ช่างดีจริงๆ
นั่งพักได้ซักหน่อย ผมก็หันไปมองข้างหลัง ภาพที่เห็น ทำให้ผมดีใจจนขนลุกซู่

คนที่กำลังตามหา

เธออยู่ในชุดสูทสีฟ้าอ่อน กระโปรงบานยาวสีเทา ยืนอยู่คนเดียวตรงเกือบจะสุดซอย ก่อนจะเริ่มออกเดิน
หายเข้าไปอีกซอย ผมรีบลุกขึ้นจ่ายเงินให้กับแม่ค้าโดยไม่รอเอาเงินทอน จ้ำพรวดๆ มุ่งไปท้ายซอย
พอไปถึง ก็ไม่เห็นแล้ว ผมตัดสินเดินต่อเข้าไปในซอย เดินไปเรื่อยๆจนเจอทางแยก ลังเลอยู่พักหนึ่ง
ผมตัดสินใจเดินไปทางขวามือ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ สักระยะก็เห็นชายกระโปรงยาวสีเทาสะบัดหาย
เข้าไปในตรอกเล็กๆ ผมรีบตามไปยังตรอกนั้นทันที
ไม่มี ตรอกนั้นเป็นตรอกตันแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นเธอ
ผมถอยออกมาจากตรอกนั้น ยืนงงอยู่นิดหนึ่ง ก่อนตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเดิม เลี้ยวเข้าอีกตรอกหนึ่ง
ที่อยู่ถัดจากตรอกที่เลี้ยวเข้าเมื่อกี้
คราวนี้ผมเห็นเธอชัดเจนเลย เธอกำลังเดินเข้าไปในระหว่างซอกตึก ผมรีบตามไปทันที
พอเลี้ยวเข้าไป ก็ไม่เห็น เธอหายไปแล้ว ทั้งๆที่ซอกตึกนั้นเป็นผนังกำแพงตันแท้ๆ และผมก็ตามเธอมา
ติดๆด้วย แต่เธอกลับหายตัวไปเสียได้ ผมเดินไปสำรวจที่กำแพงตันนั่น มันไม่มีประตูเลยสักบาน

ผมยืนฉงนอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันหลังกลับ

เงาวูบวาบต่อหน้าผม
เธอพุ่งเข้าใส่ผม ประชิดตัว ใช้มือซ้ายจับปกคอเสื้อเชิ้ตแล้วยกร่างของผมจนลอยพ้นพื้น
ดันให้ไปกระแทกกับกำแพงด้านหลังจนเสียงดังตึง
ท้ายทอยผมฟาดเข้ากับกำแพง ตาพร่าเลือนเห็นดาวเดือนระยิบระยับ
พอหายมึน ก็พบว่าตัวเองถูกขึงลอยพ้นพื้น หลังแนบกับกำแพง
เราประจันหน้ากัน
ริมฝีปากสีชมพูสวยได้รูปของเธอขยับ น้ำเสียงหวานแต่เย็นชาดังกังวาน

"ตามมาทำไม ?"

ผมตะลึง
โครงหน้ารูปไข่ คิ้วโก่งเรียว ขนตางอนยาวเป็นแพ จมูกเชิดโด่ง ผมได้เห็นใบหน้าของเธออย่างใกล้ชิด
เต็มๆ บอกได้เลยว่า เธอสวยมาก ยิ่งถ้าหากไม่มีริ้วแผลพาดผ่านใบหน้าของเธอ ผมบอกได้เลยว่าเธอ
สวยหยดย้อยเลยล่ะ

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมตะลึง

เธอใช้แค่แขนซ้ายข้างเดียว แต่กลับยกตัวผมลอยและตรึงไว้กับกำแพงจนผมกระดิกตัวไม่ได้ราวกับถูก
แขวนอยู่บนตะปู

แรงของเธอเยอะมากๆ

เธอใช้มืออีกข้างล้วงเข้าไปในเสื้อสูท หยิบของบางสิ่งออกมาควง ประกายสีเงินวิบวับวูบวาบไปมา พอ
เธอหยุดควงพร้อมกับยกสิ่งนั้นขึ้นมาถือในระดับทัดหู ผมจึงได้รู้ว่า ประกายสีเงินนั่นคือมีดผีเสื้อ
ปลายมีดเล็งมาที่ผม

"ตามมาทำไม ?"
เธอถามซ้ำอีกครั้ง

ผมกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อประสานสายตากับเธอ ราวกับกบถูกงูจ้อง ไม่สามารถ
ขยับตัวได้เลย

"ทำอะไรกัน"
เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมา

ทั้งผมและเธอต่างก็หันไปมองที่เสียงนั้น ผมเห็นชายคนหนึ่ง อายุราวสี่สิบกว่า สวมเสื้อฮาวายลายพร้อย
ปากคาบบุหรี่ ยืนมองมาทางเราสองคนอยู่

"โดนติดตาม กำลังสอบถามสาเหตุที่ติดตามอยู่"
เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชา

"เอ๋ เรไรเนี่ยนะ โดนติดตามได้ ทำไมไม่หนีล่ะ"
"สลัดไม่หลุด เขาติดตามได้ดี ไม่หลงกลที่หลอกล่อ เลยต้องจับตัวไว้"

ชายคนนั้นมองมาที่ผมแวบหนึ่ง ใช้มือคีบบุหรี่ออกจากปาก พ่นควันสีตะกั่วออกมา ก่อนพูดขึ้นมาว่า
"ปล่อยเขาก่อนสิ เดี๋ยวฉันถามเขาเอง"

เธอปล่อยมือ ผละตัวออกจากผม
พอผมหลุดจากมือของเธอ ตัวผมก็ร่วงลงพื้น แต่พอดีว่าเธอตัวไม่ได้สูงกว่าผม ผมเลยสามารถทรงตัว
อยู่ได้หลังจากที่เธอปล่อยให้ผมหลุดจากจุดที่เธอตรึงไว้

ชายคนนั้นเดินเข้ามาหยุดใกล้ผม ผมเลยเห็นเขาชัดเจน หน้าตาของเขาดูมีอายุไม่มาก แต่ผมกลับเป็น
สีดอกเลาทั้งหัว ผิวสีออกดำแดง ที่แขนทั้งสองข้างและตรงคอหอยมีรอยสักอักขระขอมอยู่เต็ม

"คุณชื่ออะไร ?"
เขาถามผม

"ผม ชื่อ วรินทร์"
"เป็นพวกตำรวจหรือพวกนักสืบเหรอ ?"
"ผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นครับ เป็นคนธรรมดา"
"แล้วตามเธอทำไม เป็นพวกโรคจิต ชอบตามสาวเหรอ"

ผมสะดุ้งเฮือก จะว่าไปพฤติกรรมของผมก็ดูออกจะคล้ายๆกับพวกสโตกเกอร์อยู่เหมือนกัน
"เอ่อไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้เป็นพวกนั้น"

"อ้าว แล้วตามทำไมล่ะ ?"
"คือ ผมตามมาเพื่ออยากจะขอบคุณเธอที่เคยช่วยชีวิตผมไว้"

ชายคนนั้นหันเป็นถามหญิงสาว
"แล้วไปช่วยชีวิตเขาตอนไหน ?"
"ไม่เคยช่วยชีวิตใครทั้งนั้น"

ผมรีบพูดขึ้นเพื่อให้พวกเขาเข้าใจ
"ก็ตอนที่ คนร้ายจับตัวประกันในตลาดนัดแถวนวนครไงครับ"

"อ๋อ จำได้แล้ว อ้อ คุณนี่เอง ใช่คนที่โดนยิงรึเปล่า ผมเห็นเลือดคุณออกเยอะเอาเรื่องเลยนะ"
ดูเหมือนเขาจะอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นด้วยเหมือนกัน

"ใช่ครับ แต่โชคดีที่ผมรอดมาได้ ก็เพราะคุณผู้หญิงคนนี้เข้าไปจัดการคนร้าย ผมเลยไม่ตกเลือดตาย"
ผมบอกพวกเขา

"ฉันไม่ได้เข้าไปช่วยคุณหรือตัวประกัน ฉันแค่รู้สึกว่า ต้องฆ่าบางสิ่งบางอย่างในตัวของคนคนนั้นเท่า
นั้นเอง"
"อืม ตอนนั้นผมเองก็ห้ามไม่ทันซะด้วย แต่ก็ถือเป็นผลดีไป สามารถช่วยชีวิตคุณได้ด้วย"

พอเขาพูดจบ เราทั้งสามคนก็เงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง จู่ๆชายคนนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาดีดขี้บุหรี่ทิ้ง
ก่อนยกขึ้นมาสูบ พอสูบเสร็จ เขาก็พูดกับผม
"ขอโทษด้วยนะ พอดีตอนนี้พวกเรากำลังรีบ มีธุระด่วนพอดี ถ้ายังไงคุณลองมาที่สำนักงานของเราสิ
จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าที่นี่"

พูดจบเขาก็เปิดกระเป๋าสตางค์ หยิบนามบัตรยื่นให้ผม
ผมรับไว้อย่างงงๆ

"พรุ่งนี้มาให้ได้นะ จะรออยู่ทั้งวัน"
เขากำชับก่อนหันหลังออกเดินจากไป เธอมองมาที่ผม เรามองกันอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หันหลัง ผมยาวของ
เธอถูกสะบัดให้สยายกระจายเต็มแผ่นหลัง เธอเริ่มออกเดินตามชายคนนั้นไป

"เดี๋ยวก่อนสิครับ อย่าเพิ่งไป"
ผมร้องท้วงให้พวกเขาหยุด

ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาโบกไปมา หันหน้ากลับมาพูดกับผม
"คุณไม่ต้องรีบร้อน พรุ่งนี้คุณค่อยมาที่สำนักงานของผม ซื้อของรึไม่ก็ช่อดอกไม้ติดมือมาด้วย แล้วค่อย
ขอบคุณเธอสิ ขอโทษทีที่ตอนนี้เรารีบจริงๆ ไปก่อนนะ"

เขาหันหน้ากลับ แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่คนเดียว

นามบัตรที่เขาให้ไว้ ด้านหนึ่งเขียนไว้แค่คำว่า "วินัย คงประจักษ์"



Create Date : 10 ธันวาคม 2551
Last Update : 10 ธันวาคม 2551 11:46:18 น. 0 comments
Counter : 277 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

garnet19th
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add garnet19th's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.