The Drive of Life 5
จากตอนที่แล้ว หวังเส้าเฟินยอมให้หัวเหวินเช่ากลับเข้ามานอนในห้องช่วงที่ลูกสาวอยู่บ้านเหวินเช่ายื่นใบลาออกจากบอร์ดบริหาร เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตนเส้าเฟินยังคงไม่พอใจ แล้วที่ไปนอนกับผู้หญิงอื่นล่ะ จะให้ยกโทษให้ง่ายๆ ได้ไงถ้าอยากชดเชยความผิด ก็ต้องทำงานที่ Kwok Wai ต่อไปหัวเหวินเช่า: ผมจะไปสู้อะไรกับพี่ใหญ่ได้หวังเส้าเฟิน: ใช่สิ คุณมันคนขี้ขลาด ดีแต่หลบอยู่หลังพี่ชายเส้าเฟินเหลือบเห็นชิงหลินอยู่ที่หน้าประตู จึงรีบเปลี่ยนท่าทีหวังเส้าเฟิน: คุณนี่ซุ่มซ่ามจัง ทำของชั้นตกหมดเลย รีบไปทำงานได้แล้ว(ทำปากหวานให้ลูกได้ยิน แต่แอบกระซิบด่า) คนทุเรศหัวเหวินเช่า: งั้นผมไปนะ แต่คุณยังไม่ได้จูบผมเลย หวังเส้าเฟิน: (กระซิบ) ลองมาจูบชั้นสิ ชั้นกัดปากคุณขาดแน่ชิงหลินไม่สบายใจ เธอรู้สึกว่ากลับมาหนนี้อะไรๆ ก็แปลกไปอย่างงานศพคุณตา ลุงใหญ่ก็ไม่ไป เส้าเฟินได้แต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบหัวเหวินเช่าเข้าไปเก็บของที่ออฟฟิศ ชิงหยูรู้สึกใจหายคนครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ทำไมต้องทำเช่นนี้เหวินเช่าปลอบใจหลานสาว ก็แค่ลาออกจากบริษัทเอง ไม่ได้ตัดอาหลานกันซักหน่อยว่างๆ ก็ยังไปช้อปปิ้ง ดื่มน้ำชา ร้องคาราโอเกะกันได้หัวเหวินฮั่นเข้ามาง้อน้องชายให้อยู่ต่อ อย่างมากเค้าก็จะบอกซิ่วฟั่นเองว่าเหวินเช่าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เหวินเช่าไม่รับความปรารถนาดี มันก็เหมือนกระดาษเอกสารที่เข้าเครื่องทำลายไปแล้วก็เอากลับคืนมาไม่ได้(ก็ปริ้นท์ใหม่สิยะ ไม่เห็นจะยาก)หัวเหวินฮั่น: พี่ก็บอกแกแต่แรกแล้วว่าพี่จะทำทุกอย่างเพื่อ Kwok Waiหัวเหวินเช่า: อะไร อะไร ก็เพื่อ Kwok Wai ระหว่างบริษัทก่อสร้างกับน้องชายเนี่ยอะไรสำคัญกว่ากัน หัวเหวินฮั่น: แกพูดอย่างนี้ได้ยังไง แล้วแกไม่คิดถึงคนงานนับพันที่บริษัทเราบ้างหรือพวกเค้าเชื่อมั่นเรา ที่เราทำงานหนักเพื่อบริษัทมาหลายปี มันไม่มีความหมายรึไงหัวเหวินเช่า: พี่ถูกเสมอแหละ พี่ไม่เคยทำอะไรผิดเลยน่าจะส่งชื่อพี่ไปลงกินเนสบุ้คให้รู้แล้วรู้รอดหัวเหวินฮั่น: พูดยังไงแกถึงจะยอมเข้าใจหัวเหวินเช่า: ยังไงผมก็ไม่เข้าใจ พี่อย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ยพี่จะว่าผมซื่อ ผมเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่ทุกวัน ทุกวันหวังเส้าเฟินนัดหัวเหวินฮั่นออกมาคุยคุณหวังยกหุ้นให้สองพี่น้องไว้ไม่น้อย ตอนนี้หวังเส้าเหลียงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Kwok Waiเขาขู่ว่าจะกลับมายึดตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารคืน แต่สุดท้ายก็เผยไต๋ ที่จริงก็อยากขายหุ้นให้กับหัวเหวินฮั่นนั่นเองหัวเหวินฮั่น: Kwok Wai เป็นบริษัทของพ่อคุณนะ ทำไมถึงคิดขายหุ้นให้ผม หวังเส้าเหลียง: ชั้นเกลียดนาย ถ้าบริษัทขาดทุน ชั้นคงดีใจ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ชั้นถือหุ้นไปก็ไม่มีประโยชน์แต่ถ้าบริษัทได้กำไร ชั้นก็ต้องขอบใจนาย ซึ่งชั้นไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ชั้นอยากจะขายหุ้นให้นาย คนอื่นจะได้รู้กันซะทีว่าหัวเหวินฮั่นเป็นคนอกตัญญูจะไม่ซื้อหุ้นชั้นก็ได้นะ แต่ถ้าใครให้ราคาดี ชั้นก็จะขายถึงตอนนั้น มีคนอื่นมาถือหุ้นใหญ่ นายก็คงลำบาก คิดดูให้ดีแล้วกันหวังเส้าเหลียงมาไม้นี้ หัวเหวินฮั่นก็กลุ้มใจ ไม่ว่าจะซื้อหรือไม่ ก็ไม่ดีทั้งนั้นหุ้นของตระกูลหวังคนตระกูลหวังกลับไม่ใส่ใจ ทำไมคนตระกูลหัวต้องมาปวดหัวแทนด้วยเว่ยหย่งเปียวสนับสนุนให้ซื้อหุ้น ยังไงคนก็มองเหวินฮั่นในแง่ไม่ดีอยู่แล้วหัวเหวินฮั่น: ชั้นไม่สนใจว่าใครจะมองชั้นยังไง ชั้นทำตามจิตสำนึกตัวเอง ชั้นสัญญากับคุณหวัง ว่าตราบใดที่ชั้นยังอยู่ ตระกูล หวังจะเป็นส่วนหนึ่งของ Kwok Wai ตลอดไป เว่ยหย่งเปียว: คุณหัวครับ ที่คุณควรทำให้ตระกูลหวัง คุณก็ทำไปหมดแล้ว ทำไมคุณไม่อธิบายให้พวกเค้าฟังล่ะหัวเหวินฮั่น: ถ้าพวกเค้ามีเหตุผล ก็คงจะเข้าใจได้เอง ถ้าไม่มีเหตุผล เสียเวลาอธิบายไปก็เท่านั้นหัวเหวินฮั่นเป็นห่วงน้องชาย เฮ้อ โตแล้วไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดยังไงตระกูลหวังกับตระกูลหัวก็เป็นญาติกัน ก็ไม่อยากให้น้องชายต้องลำบากใจถึงเขาจะซื้อหุ้นจากหวังเส้าเหลียง ก็หวังว่าสองตระกูลจะไม่กลายเป็นศัตรูกันหวังเส้าเฟินไม่อยากขายหุ้น เธออยากเก็บไว้เป็นทุนในการสู้กับหัวเหวินฮั่นหวังเส้าเหลียง: จะสู้ยังไง เราสู้กับเค้ามายี่สิบปีแล้ว เคยชนะซักครั้งมั้ยสู้ผมขายหุ้นเอาเงินมาตั้งต้นทำธุรกิจของตัวเองดีกว่าหวังเส้าเฟิน: พ่อเพิ่งจะเสียไป เธอก็ขายสมบัติซะแล้ว พ่อรู้ต้องโกรธแน่หวังเส้าเหลียง: ถ้าพี่ฝันถึงพ่อ บอกท่าน ช่วยอวยพรให้ผมด้วยผมจะได้กลับมาแก้แค้นหว่าหมั่นฮอน ได้เงินแล้ว ผมจะไปทำธุรกิจที่ไต้หวัน พี่จะไปกับผมมั้ยหรือพี่อยากจะอยู่ที่นี่ จมปลักกับไอ้คนขี้แพ้ล่ะพี่ตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็บอกผมแล้วกันหัวเหวินเช่า: เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าทะเลาะกับเส้าเหลียงอีกเลยปล่อยให้เขาทำตามใจเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว คุณก็อย่าคิดกลับไปที่ Kwok Wai อีกเลยนะหวังเส้าเฟิน: แล้วไปแล้วเหรอ คุณคิดว่าชั้นจะยอมปล่อยสมบัติพ่อให้อยู่ในมือคนอกตัญญูอย่างพี่ชายคุณหรือ ไม่มีวันหัวเหวินเช่า: ผมเป็นห่วงคุณ ไม่อยากให้คุณเป็นทุกข์หวังเส้าเฟิน: คุณห่วงชั้น หรือห่วงผู้หญิงอื่นกันแน่พ่อชั้นหลงไว้ใจพี่ชายคุณ ชั้นก็หลงแต่งงานกับคนไม่ซื่อสัตย์หากไม่มีคนตระกูลหวัง พวกคุณสองพี่น้องคงกลายเป็นขอทานไปนานแล้วไม่อยู่สุขสบายแบบนี้หรอก บอกมาซิ คุณนอนกับผู้หญิงอื่นมาแล้วกี่คนหัวเหวินเช่า: ผมยอมรับว่าผมไม่ซื่อสัตย์กับคุณ แต่มันคนละเรื่องกันนะ ที่รักหวังเส้าเฟิน: อย่ามาที่ร้ก ที่รักนะ ถ้าไม่เห็นกับลูก ชั้นหย่ากับคุณไปนานแล้วมัวแต่ทะเลาะกัน ไม่ทันเห็นลูกสาว ชิงหลินเสียใจที่พ่อกับแม่จะเลิกกัน ฉากแบบนี้นึกว่ามีแต่ในหนัง ไม่นึกว่าจะเกิดกับตัวเองชิงหลินเตลิดออกจากบ้าน เหวินเช่ากับเส้าเฟินออกตามหาฝนก็ตก รถก็ดันยางแตกซะอีก เฮ้อ ทำไงได้ ทั้งสามีทั้งรถบุโรทั่งพอกันเหวินเช่าออกไปเปลี่ยนยางกลางสายฝน ทำเป็นปากแข็งไปยังงั้น ความจริงเส้าเฟินก็ยังรักสามีอยู่ดีๆ ก็นึกถึงสมัยยังรักกันอยู่ยังกับจัดคิว รถใหญ่แซงมาเบียด ทำให้เส้าเฟินตกใจ นึกว่าสามีจะโดนรถเฉี่ยวซะแล้วชิงหยูโทรมาบอกว่าชิงหลินอยู่กับเธอ เส้าเฟินจึงหมดห่วงไปเปลาะหนึ่งหัวเหวินเช่า: ขึ้นรถเถอะ ฝนตกหนักเดี๋ยวคุณจะเปียกหมด เดี๋ยวผมก็เปลี่ยนยางเสร็จหวังเส้าเฟิน: ชีวิตนี้ คุณเคยทำอะไรสำเร็จบ้าง ช่างเถอะ ตามช่างมาเปลี่ยนก็แล้วกันหัวเหวินเช่า: เส้าเฟิน ผมขอโทษ รถมันเก่าแล้ว ก็ต้องมีปัญหา แต่แค่ยางแตกเท่านั้น คุณก็จะทิ้งมันแล้วหรือ เราใช้รถคันนี้มานาน มันจะผิดยังไงก็ย่อมมีความผูกพันกันบ้าง ผมรู้ว่ารถคันนี้มันไม่มีค่าอะไรทั้งเก่า ทั้งดื้อ แถมยังชอบวิ่งผิดทาง แต่อย่าทิ้งมันเลยนะ ให้โอกาสมันเถอะ ยางแตกเราก็ซ่อมได้นี่หัวเหวินเช่า: ถ้าคุณยังเชื่อมั่น รถคันนี้ก็ยังวิ่งได้ เพราะรถคันนี้ อยากจะพาเราสามคนไปด้วยกันทั้งครอบครัวผมสัญญาว่าถ้ารถคันนี่มันวิ่งออกนอกลู่นอกทาง หรือทำให้คุณลำบากอีกล่ะก็คุณจะขายมันทิ้งเป็นเศษเหล็กซะก็ได้ ให้โอกาสมันอีกสักครั้งเถอะจ๊อกกิ้งแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรือ ท่าทางอยู่แคนาดาจะเอาแต่เที่ยวสิท่าหัวชิงหลิน: หัวเจิ้นปัง อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านได้มั้ยหัวเจิ้นปัง: พ่อแม่ทะเลาะกันอย่างนี้ดีออก จะได้ฉวยโอกาสหนีไปอยู่แคนาดา เที่ยวให้มันส์ไปเลยหัวชิงหลิน: พี่ก็ชอบล่ะสิหัวเจิ้นปัง: เธอจะตัดสินใจยังไง พี่ก็อยู่ข้างเธอเสมอแหละหัวเจิ้นปัง: อ้อ ลืมบอกไป เมื่อคืนพ่อแม่เธอตามหาเธอใหญ่อาเล็กบาดเจ็บที่มือด้วย แต่เธอคงไม่ซึ้งหรอกใช่มะพ่อแม่อยากโง่เองที่เป็นห่วงเป็นใยลูก อาเล็ก ชิงหลินไม่อยากจะเห็นหน้าอา อากลับไปซะเถอะ ชิงหลิน ต่อให้พ่อแม่รักเธอ เป็นห่วงเธอแค่ไหน เธอก็ไม่จำเป็นต้องยกโทษให้พวกท่านหรอก อย่าใจอ่อนง่ายๆ ล่ะพูดขนาดนี้ยังไม่เก็ทก็กลุ้มล่ะ ชะแว้บดีกว่า ให้พ่อลูกเคลียร์กันเองเหวินเช่าวิ่งตามลูกสาวจนเหนื่อย เลยแว่บไปซื้อไอติมมาง้อโธ่ พ่อ หนูไม่ใช่เด็กๆ ซะหน่อย ชิงหลินเห็นหมั่นเซ็กเลือดออกที่มือ ปรากฏว่าเป็นคนละข้างกับที่บาดเจ็บเมื่อคืนแค่ซื้อไอติมก็ซุ่มซ่ามหกล้มได้ ถ้าไม่เจ็บตัวลูกสาวจะหายโกรธง่ายๆ ยังงี้มั้ยเนี่ย หวังเส้าเฟินดีใจที่ลูกสาวหายโกรธยอมกลับบ้านเธอตัดสินใจจะไปอยู่กับลูกสาวที่แคนาดาหัวเหวินเช่าไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาตอบไม่ถูกหัวเหวินเช่า: ทำไมอยู่ดีๆ คุณตัดสินใจไปแคนาดาหวังเส้าเฟิน: เส้าเหลียงก็ไปไต้หวัน คุณก็ลาออก หรือจะให้ชั้นกลับ Kwok Wai ไปสู้กับพี่ชายคุณตามลำพังล่ะ ชั้นใช้เวลาอยู่กับลูกอย่างมีความสุขจะดีกว่า ลูกสำคัญที่สุดสำหรับชั้นหัวเหวินเช่า: แต่การอพยพเป็นเรื่องใหญ่หวังเส้าเฟิน: ถ้าคุณเห็นชั้นกับลูกสำคัญ ถ้าคุณอยากเริ่มต้นใหม่จริง จะลังเลไปทำไมหัวเหวินเช่า: ตกลง เราสามคนไปเริ่มต้นกันใหม่ที่แคนาดาวันนี้ เจิ้นปังอารมณ์ดีแต่เช้า เที่ยวจูบอรุณสวัสดิ์เค้าไปทั่วก็จะทำสัญญาซื้อขายที่ดินแล้วนี่ นาฬิกาดันมาเสียพอดี เกือบไปไม่ทันแล้วมั้ยล่ะทำสัญญาครั้งแรก แม่เลยเตือนพ่อว่าทำไมไม่ให้ปากกานำโชคลูกหัวชิงหยู: ได้ยินว่าน้องเอาไปแล้วนี่คะหัวเหวินฮั่น: เอ๊ะ จะเอาไปทำไม เมื่อกี้ เจิ้นปังว่าจะไปทำสัญญากับบริษัทอะไรนะเจิ้นปังงงที่สัญญาไม่เห็นเหมือนที่ตกลงกันไว้เว่ยเทียนสิง: เธอผิดเองที่ไม่สนใจธุรกิจบริษัทของพ่อเธอถ้าเธอใน่ใจซักหน่อยก็จะรู้ว่าชั้นเป็นใครหัวเจิ้นปัง: คุณพูดอะไร พ่อผมเกี่ยวอะไรด้วยที่แท้ เว่ยเทียนสิงเคยพ่ายแพ้ให้กับหัวเหวินฮั่น ทำให้เค้าจำฝังใจตอนนั้น เว่ยเทียนสิงกว้านซื้อวัตถุดิบเพื่อโก่งราคาโรงงานเหล็กร่วมมือกันบอยคอต ถ้าเค้าไม่ยอดลดราคาวัตถุดิบลงก็จะยุติการผลิต ยอมขาดทุน ก็ไม่ยอมให้เว่ยเทียนสิงขูดรีดเค้ารู้ตัวว่าสายป่านยาวสู้เหวินฮั่นไม่ได้ จึงต้องยอมเซ็นสัญญาขายวัตถุดิบในราคายุติธรรม เว่ยเทียนสิงเจ็บใจ เก็บสัญญาฉบับนั้นไว้จนถึงทุกวันนี้ ที่ทำทุกอย่างก็เพื่อความสะใจแค่เนี้ย เจิ้นปังอึ้งไปเลย ยังมีคนบ้าทำธุรกิจแบบเนี้ยอีกเหรอหัวเหวินฮั่นไม่สนใจกับเรื่องไร้สาระ ได้ปากกาคืนแล้วก็กลับกันเถอะหัวเหวินฮั่น: แพ้หนนี้ ไม่ใช่ความผิดของลูกหัวเจิ้นปัง: หนนี้ผมไม่แพ้นะ ผมชนะต่างหากล่ะหัวเหวินฮั่น: ธุรกิจก็แบบนี้แหละ ตอนที่แกคิดว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือแล้ว ก็มีอะไรพลิกผันตลอดหัวเจิ้นปัง: วันหน้าผมต้องเอาคืนเค้าบ้างหัวเหวินฮั่น: ทำธุรกิจจะเอามาเป็นอารมณ์ไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนั้น ลูกจะต่างยังไงกับเว่ยเทียนสิงถ้าอยากจะชนะ ก็ต้องแกร่งพอ ถ้าลูกแกร่งพอ ก็ไม่มีใครกล้าหลอกลวงลูกหนนี้ที่ เว่ยเทียนสิง เลือกลูกเป็นเป้าหมาย เพราะเขารู้ว่าลูกสู้เค้าไม่ได้หัวเจิ้นปัง: แต่เค้าใช้เล่ห์เหลี่ยมนี่หัวเหวินฮั่น: เล่ห์เหลี่ยมก็เป็นกลยุทธแบบหนึ่ง คิดซะว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน ฝ่ายหัวเจิ้นเหวิน ไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังเตรียมตัวเปิดร้านอาหารอยู่เลยเจิ้นปังได้แต่เซ็ง ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป คงต้องหาที่ดินผืนใหม่มั้งตอนนี้ก็ปล่อยให้จี้เหม็งรับหน้าลูกค้าไปก่อนละกันเจิ้นเหวินโทรมาหาเจิ้นปังก็ไม่เจอตัว อึ้งจี้เหม็งก็พูดจาคลุมเครือจะทำหรือไม่ทำก็ไม่บอกให้แน่เจิ้นเหวินรับปากเพื่อนๆ ว่าจะเดินทางไปฮ่องกงเพื่อสอบถามให้แน่ชัดหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น เค้ายินดีจะรับผิดชอบทุกอย่างสี่ซัมเหยียนได้ข่าวว่าหัวเหวินเช่าประกาศขายบ้านไปแล้วหัวเหวินฮั่นเป็นห่วงน้องชาย จะไปรอดรึเปล่าก็ไม่รู้ขืนไปทำธุรกิจก็คงสู้คนอื่นไม่ได้ จะไปเป็นลูกจ้างเค้าก็ไม่แกร่งพออย่างมากก็ได้แต่เปิดร้านอาหารรอวันเกษียณหัวเหวินฮั่น: ชั้นจะไปพูดกับมันสี่ซัมเหยียน: อย่าเลยค่ะ พูดไปก็ทะเลาะกันเปล่าๆให้ชั้นเป็นคนไปพูดเองก็แล้วกันสี่ซัมเหยียนทำเป็นซื้อปูไปฝาก อยู่ฮ่องกงอาหารอร่อยออกไปอยู่ที่อื่นอาจจะไม่ได้กินนะ คิดจะไปจากฮ่องกงจริงๆ หรือหัวเหวินเช่า: บ้านก็ขายไปแล้วนี่สี่ซัมเหยียน: พี่ใหญ่คงคิดถึงเธอหัวเหวินเช่า: เหรอ แต่ผมคงไม่คิดถึงเค้าหรอก พี่อย่าพูดแทนเค้าเลยน่าสี่ซัมเหยียน: เธอไปที่โน่นไม่มีใคร ต้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์แน่นอนล่ะ เค้าต้องเป็นห่วงเธอแหม โดนขัดจังหวะซะก่อน หัวเหวินหงตั้งใจมาส่งน้องชายถ้าไปแคนาดาแล้วคงเจอกันยาก สี่ซัมเหยียนชวนทั้งคู่ไปกินข้าวบ้านดูหน้าแต่ละคนดิ ดูไม่จืดเลย เห็นแก่พี่สะใภ้ ยอมก็ได้หัวเจิ้นเหวินมาถึงฮ่องกง ก็รีบโทรหาเจิ้นปังที่บริษัทได้ยินแต่เสียงฝากข้อความ ว่างานจะล่าช้าไปประมาณสองอาทิตย์จึงมาดักรอเจิ้นปังจนพบ หัวเจิ้นปัง: เจิ้นเหวิน มาฮ่องกงตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่โทรมาบอก จะได้ไปรับหัวเจิ้นเหวิน: โทรมา นายเคยเปิดมือถืองั้นเหรอหัวเหวินฮั่นเห็นทั้งคู่ที่หน้าคอนโด จึงชวนขึ้นไปบนบ้านเจิ้นเหวินรู้ว่าพ่อมาด้วยก็ชักเกรงใจไม่อยากบอก จึงขอตัวแต่เหวินฮั่นรู้แกว ชวนสองหนุ่มเข้าไปคุยในห้องหนังสือหัวเหวินหงเตือนเหวินเช่าให้คิดดูให้ดีก่อนว่าอยากไปจริงหรือจริงๆ เหวินเช่าก็สับสน อายุก็ไม่น้อยจะให้ไปปรับตัวกับชีวิตที่แคนาดาคงยากอยู่แถมต้องไปเริ่มต้นใหม่ อายุก็ปูนนี้จะไปทำอะไรได้วันวันคงได้แต่คอย คอยกิน คอยนอน แล้วก็คอยวันตายแต่ขืนไม่ไปเส้าเฟินมีหวังขอเลิกแน่หัวเหวินหง: การดื่มไม่แก้ปัญหาหรอก ต้องแก้ที่สาเหตุนายคิดว่าชีวิตนายกับครอบครัวนาย อะไรสำคัญกว่าล่ะหัวเหวินเช่า: ยังไง ผมก็ขายบ้านไปแล้ว ก็เท่ากับผมตัดสินใจไปแล้วไม่ใช่หรือหัวเหวินหง: ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจใคร เป็นลูกผู้ชายหน่อยนายมีครอบครัวที่ต้องดูแลนะหัวเจิ้นปัง: งานแค่ล่าช้าไปบ้าง พอหาที่ดินใหม่ก็ได้สร้างแน่หัวเจิ้นเหวิน: นายพูดยังงี้ได้ไง ชั้นสร้างร้านอาหารเฟสแรกไปแล้วถ้านายไม่สร้างโรงแรม ชั้นจะสร้างร้านอาหารทำไมหัวเจิ้นปัง: ไม่เร็วอย่างนั้นมั้งหัวเจิ้นเหวิน: ก็นายบอกว่าจะเริ่มงานภายใน 1 เดือน นายให้ชั้นช่วยสนับสนุนพอชั้นช่วย นายก็ทิ้งทุ่นกันแบบนี้เหรอหัวเจิ้นปัง: ชั้นก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ หัวเจิ้นเหวิน: นายสร้างปัญหาใหญ่ให้ชั้นแล้วรู้มั้ย ไม่มีโรงแรม ที่ดินแถบนั้นก็ไม่มีค่า เงินทองที่ลงทุนไปก็สูญเปล่าหัวเจิ้นปัง: ทำธุรกิจย่อมมีความเสี่ยงกันบ้างหัวเจิ้นเหวิน: พูดแบบไม่รับผิดชอบนี่หว่า เงินทองพวกนี้พวกเราทำงานหามาด้วยความยากลำบากลูกคนรวยอย่างนายอาจไม่สะดุ้งสะเทือน แต่พวกเราเดือดร้อนหัวเจิ้นปัง: จะมาโทษกันได้ยังไง นายเป็นคนขอจัดการเรื่องอาหารการกินเองนายเต็มใจทำเองนี่ ชั้นเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ชั้นไม่ได้หลอกนาย ชั้นต่างหากที่ถูกหลอกหัวเหวินฮั่น: พอแล้ว เจิ้นปัง ความเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจสัญญาปากเปล่า ก็ถือเป็นสัญญา ยังไม่ทันมีอะไรแน่นอน ก็เที่ยวไปสัญญาลมๆ แล้งๆ เจิ้นเหวิน เธอเองก็เหมือนกัน ถึงเธอไม่ตั้งใจจะโกงคนอื่นแต่เธอก็ต้องระมัดระวังในการทำธุรกิจ สัญญาก็ไม่ได้เซ็น เธอจะเรียกร้องอะไรได้เธอไม่รู้หรือไงว่า ทำธุรกิจก็เหมือนทำสงครามไม่มีใครเค้าสงสารคนที่ลงทุนโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อนลุงเป็นลุงใหญ่ของเธอ ยังไงลุงก็ต้องช่วย คนหนุ่มนี่น้าเอ้า นี่เงินหนึ่งแสนเหรียญ ทำไม ไม่พอหรือหัวเจิ้นเหวิน: ลุงใหญ่ครับ ที่ผมมานี่ เพราะอยากจะรู้ว่างานจะเลื่อนไปนานแค่ไหนและมีอะไรที่ผมจะช่วยได้ ลุงพูดถูก การทำธุรกิจต้องอาศัยการตัดสินใจที่ดีผมไว้ใจคนผิดก็สมควรแล้ว ผมไม่กล้ารับเงินลุงหรอกครับหัวเหวินฮั่น: คิดซะว่าเป็นบทเรียนก็แล้วกัน เธอเดินทางมาตั้งไกลกลับไปมือเปล่าจะสู้หน้าใครได้ รับเงินไปเถอะหัวเหวินหง: จะรับมือเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินหัวเหวินฮั่น: หนนี้เจิ้นปังเป็นฝ่ายผิด ชั้นคิดว่าสมควรชดเชยให้เจิ้นเหวินหัวเจิ้นปัง: ผมเป็นคนบอกให้เปิดร้านอาหารเอง ผมก็ควรรับผิดชอบหัวเหวินหง: ทำธุรกิจก็ต้องมีกำไรขาดทุน ได้ไม่ดีใจ เสียไม่ฟูมฟายถึงเราจะจนก็ไม่ยอมให้ใครเอาเงินฟาดหัวหัวเหวินฮั่น: เงินฟาดหัวอะไร เธอก็รู้ว่าพี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้นหัวเหวินหงไม่พอใจ พาหว่าเจิ้นเหวินกลับเหวินฮั่นปวดหัว ที่ทำเพราะหวังดีกับหลาน ทำไมเหวินหงถึงมีอคตินัก หัวเหวินฮั่น: ถึงเธอจะไม่พอใจพี่ เธอก็ไม่ควรห้ามเจิ้นหมั่นรับเงินจากพี่รู้ทั้งรู้ว่าลูกชายจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ หัวเหวินหง: เจิ้นหมั่น ลูกตัดสินใจเองเถอะหัวเจิ้นเหวิน: ขอบคุณครับลุงใหญ่ แต่ผมคงไม่รับหัวเหวินฮั่น: ก็นับว่ากล้าตัดสินใจดี แต่ใช้อารมณ์มากไปหน่อยหัวเจิ้นปัง: ทั้งหมดเป็นความผิดของผม อารอง ถ้าจะโทษก็โทษผมเถอะครับพ่อแค่อยากช่วยผมแก้ปัญหาเท่านั้น สี่ซัมเหยียน: เอาล่ะ เอาล่ะ ไหนๆ เจิ้นหมั่นก็มาด้วยกินข้าวแล้วค่อยๆ คุยกันดีกว่านะหัวเหวินฮั่น: ไม่ว่าพี่ทำอะไร พวกเธอก็ชอบคิดว่าสิ่งที่พี่ทำน่ะผิดที่พี่ชดเชยให้เจิ้นหมั่น เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำให้ลูกหลานกินใจกันแค่รุ่นเรามีปัญหากันก็พอแล้ว หรือว่าเธออยากให้คนรุ่นหลังขาดพี่ขาดน้องกันพี่ทำผิดตรงไหนหัวเหวินเช่า: พี่ทำอะไรไม่เคยผิดหรอก พี่ให้พี่สะใภ้ไปห้ามไม่ให้ผมอพยพแล้วก็บอกพวกบอร์ดไม่ให้ซื้อหุ้นของผมหัวเหวินฮั่น: ต่อให้เธอจะไป ก็ไม่ควรโง่ขายหุ้นของตัวเองหัวเหวินหง: เหวินเช่ามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ พี่หัดเคารพการตัดสินใจของคนอื่นบ้างไม่ได้หรือไงหัวเหวินฮั่น: เพราะเค้าตัดสินใจไม่เป็น ชั้นถึงต้องคอยตัดสินใจให้ยังไงล่ะมาฮ่องกงตั้งหลายปี ทำงานหนักกว่าจะมาถึงวันนี้ ตอนนี้จะทิ้งทุกอย่างไปมันคุ้มแล้วหรือ ชั้นกลัวว่าจะหมั่นเซ็กจะตัดสินใจผิด ต้องเสียใจไปชั่วชีวิตหัวเหวินเช่า: ต่อให้ผมตัดสินใจผิด ก็เป็นการตัดสินใจของผมเองพี่หัดเคารพการตัดสินใจของน้องๆ บ้างสิ ตอนนั้น พี่จับไม้แดงเพื่อมาฮ่องกงพี่ก็โกงพี่รอง พี่บอกว่าทำไปเพื่อพี่รอง พี่เกือบทำให้ครอบครัวผมแตกแยก พี่ก็บอกว่าทำเพื่อผมพี่ไม่เคยทำอะไรผิด พี่คิดว่าทุกคนต้องทำตามพี่คนเดียวหัวเหวินหง: พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราไปกันเถอะ
The Drive of Life 4
วันนี้ สาวใช้ลา เจิ้นปังเป็นเด็กดีช่วยคุณแม่ทำอาหารเช้าจริงๆ ก็แค่ปิ้งขนมปังล่ะนะ แถมยังอาสาจะขัดรองเท้าให้อีกต่างหากตั้ง 100 คู่เชียวนะ หัวชิงหยู: เป็นเด็กขี้ประจบตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยหัวเหวินฮั่น: หาเรื่องไม่ไปทำงานสิไม่ว่าหัวเจิ้นปัง: ถึงผมจะขี้เกียจ แต่ก็เป็นลูกกตัญญูนะคร้าบหัวเหวินฮั่น: อยากกตัญญูก็ต้องขยันทำงาน แล้วนี่ไม่ต้องไปตามแผนงานโครงการสปารีสอร์ทหรือไงหัวเจิ้นปัง: โธ่พ่อ ทำงานไม่เห็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันเลยผมทำข้าวเช้าไป ก็ดูสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไป ทุกอย่างผมวางแผนไว้หมดแล้วหัวชิงหยู: นี่คิดจะเปิดสปารีสอร์ทเมื่อไหร่ล่ะ พี่กับแม่จะได้ไปอุดหนุนหัวเจิ้นปัง: อันนี้ก็ต้องถามเจ้านายใหญ่แหละคร้าบ ไม่รู้เมื่อไหร่จะตีเช็คให้ซะทีหัวเหวินฮั่น: ตกลงกันแล้วนี่ ว่าจะจ่ายงวดสองให้ เมื่อแกได้สัมปทานที่ดินมาแล้วยังไม่ทันกินข้าวเสร็จ เจิ้นปังก็ได้ข่าวว่าบริษัทซิริอุสจะเซ็นสัญญาขายที่ให้กับบริษัทอื่นในวันนี้เขารีบแจ้นไปบริษัทซิริอุสทันทีขณะนั้น หย่งซิ่วฟงกำลังพาลูกค้าของบริษัทตนมาเซ็นสัญญากับ Stella ตัวจริงเจิ้นปังบุกเข้าไปต่อว่าในห้องประชุม ยิ่งเห็นตัวเลขในสัญญายิ่งไม่พอใจเพราะให้ราคาต่ำกว่าที่ตนเสนอไปถึงสองแสนเหรียญหย่งซิ่วฟงกลัวแผนแตกรีบกลบเกลื่อนหย่งซิ่วฟง: เชิญคุณออกไปก่อน เรากำลังประชุมกันอยู่ หัวเจิ้นปัง: โอเค ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน แล้วเพราะอะไรStella: ซิ่วฟง เกิดอะไรขึ้น จะให้ชั้นโทรเรียก รปภ.มั้ยหัวเจิ้นปัง: ซิ่วฟง คุณไม่ใช่ Stella Choi เหรอStella: Stella Choi น่ะชั้นเองหย่งซิ่วฟง: Stella อย่าสนใจพวกเข้ามาป่วนเลยค่ะ คนแพ้แล้วพาล หัวเจิ้นปัง: คุณหย่งครับ คุณรู้มั้ยว่าผมแจ้งจับคุณฐานหลอกลวงได้นะหย่งซิ่วฟง: คุณคะ อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่จะได้มั้ยเว่ยเทียนสิงได้ยินเสียงเอะอะ เลยเข้ามาดูหย่งซิ่วฟงกับหัวเจิ้นปังต่างแนะนำตัวเองเว่ยเทียนสิงถึงกับอึ้งเมื่อได้รู้ว่าเจิ้นปังเป็นลูกชายของหัวเหวินฮั่นหัวเจิ้นปัง: คุณเว่ยคุณเป็นนักธุรกิจ เมื่อข้อเสนอผมดีกว่าตั้งสองแสนเหรียญ คุณคงไม่ปฏิเสธใช่มั้ยครับ หย่งซิ่วฟง: คุณเว่ยคะ ดิชั้นคิดว่าสำหรับคุณแล้ว เงินแค่สองแสนไม่ใช่เรื่องสำคัญเมื่อคุณได้ตกลงที่จะทำสัญญากับลูกค้าของดิชั้นแล้ว ดิชั้นเชื่อว่าคุณคงจะรักษาสัญญานะคะหัวเจิ้นปัง: ผมหูฝาดไปรึเปล่าเนี่ย คุณพูดเรื่องสัญญาเนี่ยนะ พูดไม่อายปากเลยนะคุณ หย่งซิ่วฟง: (ไม่สนย่ะ) ถ้าคุณเห็นว่าเงินสองแสนสำคัญดิชั้นเชื่อว่าลูกค้าของดิชั้นก็ยินดีที่จะเสนอราคาใหม่เว่ยเทียนสิงมีงานอดิเรกในการสะสมปากกาหมึกซึมรุ่น Limited Edtionซึ่งมีตั้งแต่ปี 1893 ถึงปี 1987 เว่ยเทียนสิง: อย่างด้ามนี้ ผลิตขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในการค้นพบสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นของที่มีคุณค่าจริงๆ ธุรกิจสมัยนี้ก็เหมือนการทำสงคราม (วกกลับมาได้ยังไงหว่า)บางครั้งก็ต้องอาศัยเล่ห์กล การตุกติกเล็กน้อยเพื่อให้ได้สัญญา ก็ไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรงอะไรแต่ถ้าคิดจะเล่นเกม ก็ต้องเล่นให้เป็น ไม่เช่นนั้น ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองต้องอับอายที่คุณพูดก็ถูก นักธุรกิจย่อมไม่ปฏิเสธกำไร แต่ผมคือ เว่ยเทียนสิงผมจะทำเงินจากสิ่งที่ผมชอบ จะทำกำไรก็ต่อเมื่อมีความสุขกับมัน นี่อยากจะรู้กันแล้วล่ะสิว่าผมจะขายที่ดินให้กับใคร ใจเย็นๆ เรามาเล่นเกมกันก่อนคอลเลคชั่นปากกามองค์บลังค์ของเว่ยเทียนสิงยังขาดด้ามปี 1969 เขาเสนอว่าจะขายที่ดินให้กับคนที่หาปากกาด้ามนี้มาให้ได้คนนึงเปิดเข้า คนนึงเปิดออก แล้วมันจะออกกันได้มั้ยเนี่ยหย่งซิ่วฟง: เป็นสุภาพบุรุษหน่อยได้มั้ยหัวเจิ้นปัง: จำเป็นด้วยหรือหย่งซิ่วฟง: ก็ได้ งั้นเชิญออกไปก่อนเลย ยังไงคุณก็เอาชนะชั้นไม่ได้แน่หัวเจิ้นปัง: ผมเป็นคนแฟร์นะ เรื่องอ่อนข้อให้น่ะไม่จำเป็นเกมนี้ชักน่าเล่นขึ้นทุกที ความจริงผมก็ไม่ได้จำเป็นต้องซื้อที่ดินผืนนี้ให้ได้มีเงินซะอย่าง ที่ดินเมืองจีนมีให้เลือกตั้งเยอะแยะแต่การแข่งขันนี่น่าสนุกดีออก ขืนผมยอมเลิกราก็ไม่มันส์อ่ะดิหย่งซิ่วฟง: ลูกค้าชั้นก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว ฮ่องกงเป็นเมืองใหญ่คนออกเยอะ อย่างชั้นมีหรือจะหาลูกค้าไม่ได้ชั้นแค่อยากจะให้บทเรียนใครบางคน ถือซะว่าทำกุศลหัวเจิ้นปัง: ทำอะไรก็ระวังบ้างนะ โกหกมากๆ ระวังจะโดนฟ้าผ่า (โหยเจิ้นปังเอ๊ย เชยชะมัด ไปฝึกเหน็บแนมมาใหม่เหอะน้อง มันไม่เจ็บอ่ะ)หย่งซิ่วฟง: ขอบคุณที่เตือน เอาไว้ชั้นหาปากกาได้แล้ว ชั้นจะรีบแจ้งให้ทราบคุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหัวเจิ้นปัง: เช่นกันปฏิบัติการตามล่าหาปากกาเริ่มต้นขึ้น เจิ้นปังออกตระเวนหาตามร้านขายของเก่าเสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า แต่เรื่องเสียหน้าเจิ้นปังยอมไม่ได้ยังไม่ทันออกจากร้าน ก็ได้ยินดีเจประกาศตามหาปากกาด้ามสำคัญให้กับซิ่วฟงซิ่วฟงอำดีเจไปว่าปากกาด้ามนี้ เป็นของขวัญวันเกิดที่ได้รับจากพ่อตอนอายุ 12หลังจากนั้น พ่อเธอก็เรือล่ม ทิ้งไว้แต่ปากกาให้ดูต่างหน้าจนเดือนที่แล้วเธอถูกวิ่งราวกระเป๋า ทำให้สูญปากกาไป ใครเห็นปากกาด้ามดังกล่าวให้แจ้งกลับมาด้วยเจิ้นปังฟังแล้วก็ทึ่งในการอำระดับเทพ โห คนที่กล้าแต่งเรื่องขนาดนี้ คงมีซิ่วฟงคนเดียวเนี่ยแหละแต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ที่โทรมาก็มีแต่พวกต้มตุ๋นเชอะ คิดจะมาหลอกซิ่วฟงง่ายๆ ฝันไปเหอะสายสุดท้ายที่โทรมา ดูจะมีแววที่ใช่ เพราะบรรยายตัวปากกาได้อย่างถูกต้องจะไม่ถูกได้ยังไง ก็เจิ้นปังกำกับเองนี่ 555 เจิ้นปังให้อึ้งจี้เหม็งหลอกซิ่วฟงให้ขึ้นเรือเฟอร์รี่ข้ามไปเกาะ Lammaหัวเจิ้นปัง: ไปนั่งเรือเที่ยวคนเดียว ไม่ยักกะชวนผมไปด้วยหย่งซิ่วฟง: อีตาบ้า หลอกกันได้หัวเจิ้นปัง: เจ๊ากันไปน่า อย่าลืมของฝากล่ะหย่งซิ่วฟง: หนอย อย่าให้ชั้นเห็นหน้านายอีกนะเฮ้อ มีแต่คนซื่ออย่างอึ้งจี้เหม็งแหละที่คิดว่าเรื่องของซิ่วฟงเป็นเรื่องจริงยังอุตส่าห์คิดว่าถ้าเจิ้นปังหาปากกาได้ น่าจะยกให้ซิ่วฟงซะงั้นเจิ้นปังไม่นึกเลยว่าตามหาซะรองเท้าสึก บทจะเจอก็ง่ายดายเหลือเกินก็หาผิดที่เองนี่นา สารานุกรมประจำบริษัทจี้เหม็งรู้อยู่แล้วว่า หัวเหวินฮั่นเป็นเจ้าของปากกาด้ามนี้ความจริงก็รู้กันทั้งบริษัทแหละ มีเจิ้นปังคนเดียวที่ไม่รู้ปากกาด้ามนี้มีประวัติความเป็นมา ในปี 1969 เป็นปีที่หัวเหวินฮั่นทำสัญญาธุรกิจงานใหญ่สำเร็จเป็นครั้งแรกเค้าจึงซื้อปากกาด้ามนี้ให้ตัวเอง และทุกครั้งที่รับพนักงานใหม่ก็จะใช้ปากกาด้ามนี้ ในการให้โอวาทพนักงาน โดยจะบอกว่าปากกาด้ามนี้เป็นเหมือนเครื่องเตือนความจำให้เค้าอย่ายอมแพ้ และมุมานะในหน้าที่การงานเจิ้นปังไม่อินค่ะ กะอีแค่ปากกาด้ามเดียวจะอะไรกันนักหนาปากกา 1 ด้ามแลกกับที่ดิน คุ้มค่าจะตาย ถึงพ่อรู้พ่อก็ไม่ว่าหรอกซิ่วฟงหาปากกาไม่ได้ เลยเอาปากการุ่นเก่ากว่ามาแทนปี 1957 แพงกว่า หายากกว่าก็จริง แต่ยังไงก็ไม่ใช่มองท์บลังรุ่นที่ต้องการนี่ต้องด้ามนี้ ไงล่า เจ๋งปะ (สายตาเชือดเฉือนมากค่ะ)เว่ยเทียนสิง: รุ่นนี้จริงๆ หามาได้ยังไงหัวเจิ้นปัง: ปากกาพ่อผมเองครับ (ตอบได้ซื่อมากค่ะน้อง)เว่ยเทียนสิง: คุณหัว เมื่อคุณเป็นคนหาปากกาได้ ผมก็ยินดีจะขายที่ดินผืนนี้ให้กับคุณหัวเจิ้นปัง: โกรธผมเหรอหย่งซิ่วฟง: (ถามได้) เจ้าเล่ห์นักนะ ถ้าคุณไม่ขี้โกง หลอกให้ชั้นไปเกาะ Lamma ชั้นก็คงหาปากกาเจอหัวเจิ้นปัง: ก็ขี้โกง ขี้โกงแบบนี้ ผมก็เรียนรู้จากคุณแหละว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่เคยถูกผู้หญิงหลอกมาก่อนคุณเนี่ยระดับเทพเลย นี่ชมนะเนี่ย ยิ้มหน่อยน่า ผมไม่ค่อยชมผู้หญิงนะหย่งซิ่วฟง: ถ้าคุณคิดจะชมชั้นจริงๆ ล่ะก็ ยกที่ดินให้ชั้นสิหัวเจิ้นปัง: ไม่มีทาง แต่ถ้าจะให้ผมเลี้ยงข้าวล่ะก็ได้หย่งซิ่วฟง: ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ เจอกันครั้งหน้า ถึงตอนนั้น ชั้นอาจจะเป็นฝ่ายเลี้ยงข้าวคุณก็ได้นะเจิ้นปังเดินทางไปเมืองจีนเพื่อเริ่มงานดูสถานที่ก่อสร้างสปารีสอร์ทเจิ้นเหวินพลอยตื่นเต้นไปด้วย ทำสปารีสอร์ทน่าจะได้กำไรกว่าขายไข่ต้มน้ำแร่ล่ะน่าเจิ้นปังกะจะสร้างให้ดังกว่าสปารีสอร์ทที่ฮาโกเน่ ประเทศญี่ปุ่นอีก (ตื่นๆ เจิ้นปัง)ยังไม่ทันสร้างก็เจออุปสรรคเรื่องทำเลที่ตั้งแสนจะห่างไกล หาข้าวกินซักมื้อยังยากลำบากต่อไปคนงานจะกินข้าวที่ไหนเจิ้นเหวินดิลิเวอรี่อาสาเอง ว่าแต่จะเริ่มงานเมื่อไหร่อึ้งจี้เหม็งยืนยันว่าได้เอกสารสิทธิ์ที่ดินเมื่อไหร่ก็จะเริ่มงานทันทีตีเหล็กต้องตีตอนร้อนเจิ้นเหวินมองการณ์ไกลกว่านั้นอีก เค้าคิดจะกว้านซื้อที่ดินรอบๆเพื่อเปิดร้านอาหารรองรับลูกค้าที่มาสปา จึงหวังจะระดมทุนจากคนงานโรงงาน แต่คนงานต่างไม่เห็นด้วยกลัวจะขาดทุนซะมากกว่าจะได้กำไรน่ะสิมีซินซินคนเดียวที่ยอมเอาเงินมาลงทุนกับเจิ้นเหวิน (รู้นะคิดอะไรอยู่)ขนาดซินซินที่เป็นคนขี้เหนียวยังกล้าลงทุน เพื่อนพนักงานเลยพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วยหัวเหวินหง: เจิ้นเหวิน ลูกต้องรักษาสัญญากับเพื่อนๆ นะ เพื่อพวกเขา และเพื่อตัวลูกเองด้วยยังไม่ทันประมูลงานได้ หัวเหวินเช่าก็เล่นสั่งสต๊อควัตถุดิบเพิ่มจำนวนมากถ้าไม่ได้ เงินทุนหมุนเวียนต้องเป็นปัญหาแน่เตือนไม่ทันขาดคำ เหวินเช่าก็รู้ผลประมูล สุดท้าย Ho Fook Kee ได้งานไปหัวเหวินเช่ารีบแจ้นไปหาพี่ใหญ่ให้ช่วย เวลาอย่างนี้เส้าเหลียงก็หายตัวไป ตามตัวไม่ได้หัวเหวินฮั่น : นึกอยู่แล้ว แกก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างซิ่วเหลิง ไม่มีวันยอมร่วมรับผิดไปกับแกแน่ โชคแกยังดีที่มีพี่ใหญ่อย่างชั้นเชื่อพี่สิ พี่ต้องช่วยแกแน่หัวเหวินเช่า: ไม่เชื่อพี่ ผมจะเชื่อใครล่ะหัวเหวินฮั่น : พรุ่งนี้ แกลาป่วยซะ ไม่ต้องเข้าประชุมบอร์ดหัวเหวินเช่า: พี่จะทำอะไรหัวเหวินฮั่น : ถ้าแกเชื่อพี่ ก็ไม่ต้องถามให้มากความ จำไว้ว่าที่พี่ทำก็เพื่อแกบอร์ดบริหารต่างไม่พอใจ ประมูลงานก็ไม่ได้ วัตถุดิบก็ล้นสต็อก เงินก็ตึง ใครจะรับผิดชอบ หวังเส้าเหลียงฉวยโอกาสเสนอหน้าขอทำความดีลบล้างความผิด โดยจะเจรจาให้ Ho Fook Kee จ้าง Kwai Wai เป็นซับคอนแทรกต์ในงบ 250 ล้านเหรียญ หัวเหวินฮั่นปล่อยให้หวังเส้าเหลียงแสดงละครเต็มที่ อยากจะรู้นักว่าจะมีแผนอะไรหวังเส้าเหลียง: แม้กำไรจะน้อยไปหน่อย แต่อย่างน้อยเราก็มีงานทำและยังแก้ปัญหาเรื่องการขาดสภาพคล่องทางการเงินได้อีกด้วยถ้าทุกท่านเห็นชอบ ผมจะจัดการเรื่องนี้เองบอร์ดบริหารต้องการฟังความคิดเห็นของหว่าหมั่นฮอนหัวเหวินฮั่น: ผมคัดค้านหวังเส้าเหลียง: ทำไมล่ะ ที่ผมทำก็เพื่อประโยชน์ของทุกท่านทำไมคุณถึงจะคัดค้านหัวเหวินฮั่น: ผมมีเหตุผลข้อเดียวหัวเหวินฮั่นให้หย่งเปียวนำตัวเจ้าของ Ho Fook Kee มาเปิดโปงแผนของหวังเส้าเหลียง ถึงขนาดนี้แล้ว หวังเส้าเหลียงยังไม่ยอมรับ คุณ Ho จนแต้ม หากไม่ยอมรับ หัวเหวินฮั่นก็จะไม่ซับงานให้โรงงานเล็กๆ อย่าง Ho Fook Kee จะทำไหวได้ยังไง มีหวังโดนฟ้องหมดตัว หวังเส้าเหลียงเห็นท่าว่าตัวเองจะไม่รอด จึงคิดลากหัวเหวินเช่าให้ร่วมรับผิดชอบด้วยเพื่อช่วยน้องชาย หัวเหวินฮั่นจึงสมอ้างว่าหว่าเหวินเช่าเป็นคนรายงานเรื่องนี้ให้เค้ารู้แล้วรีบชิงปลดหวังเส้าเหลียงจากทุกตำแหน่งในบริษัท บอร์ดบริหารเห็นชอบเป็นเสียงเดียวหวังเส้าเหลียงสติแตก อาละวาดจนบอร์ดกระเจิง จนรปภ. ต้องมาจับตัวออกไปหัวเหวินเช่ายังคงไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่กล้าเข้าบริษัท เลยแวะมาเยี่ยมพ่อตาหวังเส้าเหลียงทำผิดยังไม่สำนึก กลับมาโวยวายกับเหวินเช่าหวังเส้าเหลียง: พ่อ เราไว้ใจคนผิดแล้ว สองคนพี่น้องคิดฮุบบริษัทเราพวกมันหาเรื่องไล่ผมออกจากบอร์ดบริหารหวังชิงกั๊วะ: เรื่องนี้จริงรึเปล่าหัวเหวินเช่า: ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกเราประมูลงานไม่ได้พี่ใหญ่เลยไม่ให้ผมไปทำงาน เค้าบอกว่าจะชี้แจงกับบอร์ดบริหารเองหวังเส้าเหลียง: ไม่ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่อง ชั้นรู้ไส้แกหมดแล้วหวังเส้าเหลียงเอาแต่โวยวาย ไม่ได้ดูอาการพ่อตัวเองเล้ยคุณหวังเกิดเป็นลมกะทันหัน เล่นเอาทุกคนตื่นตระหนกกันไปหมดพอคุณหวังฟื้นขึ้นมาก็ขอพบหัวเหวินฮั่นตามลำพังที่จริงคุณหวังก็รู้ว่าลูกตัวเองไม่ได้ความ แต่สำหรับเขา ลูกในไส้ย่อมสำคัญกว่าโรงงานตอนนี้เหวินฮั่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าวันหนึ่งต้องเจอเข้ากับตัวเองก็จะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกคนเป็นพ่อหัวเหวินฮั่น: คุณหวัง คุณเป็นผู้ก่อตั้ง Kwok Wai คุณให้โอกาสผม ผมไม่เคยลืมบุญคุณของคุณต่อให้คนตระกูลหวังไม่ได้ทำงานที่ Kwok Waiแต่พวกเค้าก็ยังเป็นคนในบริษัท ถ้าบริษัทได้กำไร พวกเค้าก็จะได้ส่วนแบ่งยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันอาการคุณหวังเข้าขั้นสุดท้าย หมอจึงยอมบอกทุกคนว่าคุณหวังเป็นมะเร็งตับคืนนั้น คุณหวังก็จากไป หัวเหวินเช่ารู้แล้วว่าหวังเส้าเหลียงวางแผนโกงบริษัทเค้ากลับโกรธที่เหวินฮั่นไม่ยอมบอกตั้งแต่ต้นหัวเหวินฮั่น: แกรู้มั้ย ทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้น ถ้าพี่บอกแกว่าเส้าเหลียงไม่มีวันกลับตัวได้ เค้าคิดจะโกงบริษัท แกจะเชื่อพี่หรือพี่ทำเพื่อให้ได้หลักฐานมัดตัวเค้าหัวเหวินเช่า: เพื่อกำจัดเส้าเหลียง พี่ยอมเสียสละผมเนี่ยนะพี่รู้มั้ยว่าทำแบบนี้ ผมจะพลอยเดือดร้อนไปด้วยหัวเหวินฮั่น: พี่ถึงได้โกหกบอร์ด ว่าแกเป็นคนหาหลักฐานมาให้ไงล่ะหัวเหวินเช่า: ผมไม่ต้องการให้พี่ช่วยผมแบบนี้ ถ้าผมทำผิด พี่จะไล่ผมออก หรือให้ผมลาออกก็ได้ยังไงก็ยังดีกว่าถูกหาว่าร่วมมือกับพี่ไล่เส้าเหลียงอย่างนี้ผมจะสู้หน้าตระกูลหวังได้ยังไง ผมจะสู้หน้าเมียผมได้ยังไงก่อนพี่จะทำอะไร เคยคิดถึงความรู้สึกผมบ้างมั้ย เคยคิดถึงสถานภาพของผมบ้างมั้ยพี่เคยให้โอกาสผมตัดสินใจเองซักครั้งบ้างมั้ย ไม่เคยเลยพี่รองพูดถูกแล้ว พี่ชอบคิดว่าตัวเองถูกเสมอ พี่ต้องการให้ทุกคนทำตามพี่พี่ไม่เคยเคารพการตัดสินใจของพวกเรา ไม่เคยเลยซักครั้งหวังเส้าเหลียงโทษว่าพ่อตายเพราะหัวเหวินฮั่นกับหัวเหวินเช่าเค้าโกรธจัดทำร้ายเหวินเช่า ดีที่เส้าเฟินห้ามไว้ เส้าเฟินเชื่อในตัวสามี อยู่กันมาตั้งหลายปี มีหรือจะดูไม่ออกว่าเหวินเช่าดีกับเธอและพ่อแค่ไหนอารามโกรธ หวังเส้าเหลียงเลยเปิดโปงว่าเหวินเช่าแอบมีสัมพันธ์กับสาวอื่นเรื่องอะไรก็รับได้ แต่เรื่องมีหญิงอื่นนี่รับไม่ได้เด็ดๆ เส้าเฟินขอหย่าทันทีคืนนั้นหัวเหวินเช่าต้องนอนห้องรับแขก แต่รุ่งขึ้นหัวชิงหลินต้องกลับมางานศพคุณตาเส้าเฟินไม่อยากให้ลูกสาวรู้เรื่องหย่าจึงยอมให้เหวินเช่ากลับมานอนห้องเดียวกันได้แต่ต้องนอนที่พื้นดันมาเจอกันตรงทางลงที่จอดรถซะได้ อยู่ตึกเดียวกันก็แบบนี้แหละหว่องซิ่วเหลิงกับหวังเส้าเฟินไม่ยอมให้หัวเหวินฮั่นไปเคารพศพพ่อเรื่องของตระกูลหวัง ตระกูลหัวไม่ต้องยุ่งหัวเหวินฮั่น: ชั้นรู้จักกับคุณหว่องมานานกว่า 30 ปีใครจะมาห้ามไม่ให้ชั้นไปส่งศพท่านเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้หวังเส้าเฟิน: ขนาดรู้จักกับพ่อนานอย่างนี้ ยังตลบหลังพวกเราได้ถ้าชั้นกับน้องยอมให้คุณไปส่งศพพ่อ ชั้นกลัวพ่อจะนอนตายตาไม่หลับเราก็จะเป็นลูกอกตัญญูหัวเหวินฮั่น: ถ้าชั้นไม่ไปก็เท่ากับไม่ให้เกียรติคุณหวังหวังเส้าเหลียง: หัวเหวินฮั่นสำคัญขนาดไหน หรือว่าคุณไม่ไป พวกเราจะฝังศพพ่อไม่ได้ในฐานะลูกชายคนโต ผมไม่อนุญาตให้คุณร่วมงานศพต่อไปหากตระกูลหัวจัดงานศพ จะไม่ให้ผมร่วมงานก็ได้ (อ้าว แช่งกันนี่หว่า)รับรองว่าผมจะไม่ด้านหน้าไปร่วมแน่นอนหัวเจิ้นปังกับหัวชิงหลินมาทันเวลาพอดีเหวินฮั่นจึงให้เจิ้นปังขับรถพาแม่กับพี่ไปงานศพแม้เหวินฮั่นจะไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ในใจของเขาก็ยังรำลึกถึงคุณหวังอยู่เสมอ
The Drive of Life 3
จากตอนที่แล้ว คุณหวังต้องการให้หัวเหวินเช่าขึ้นเป็นประธานบอร์ดบริหารเหวินเช่าไม่อยากเป็น เค้าพยายามชี้ให้เส้าเฟินเห็นว่าที่หมั่นฮอนทำไปก็เพื่อบริษัทถ้าไม่ใช่เพราะเหวินฮั่น Kwok Wai คงไม่เติบโตจากโรงงานขยะ มาเป็นผู้ผลิตอุปกรณก่อสร้างยักษ์ใหญ่อย่างทุกวันนี้ หวังเส้าเฟิน: พี่ใหญ่เค้าเห็นคุณเป็นเด็กอยู่เรื่อย เอะอะก็ชอบด่าว่าคุณถ้าคุณไม่คิดว่าทำเพื่อพ่อชั้น ก็ทำเพื่อชั้นไม่ได้หรือทำไมไม่ยืนหยัดเพื่อพวกเรา ชั้นเป็นภรรยาของคุณนะชั้นอยากให้คุณยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่เป็นลูกไล่ให้พี่ใหญ่ตลอดไปความจริงแล้วคุณหวังเป็นมะเร็งตับ แต่เขาห่วงใยลูกๆ จึงไม่อยากบอกให้กังวล ก็ไม่รู้ว่าจะปิดไปได้นานแค่ไหนเพราะมะเร็งลามรวดเร็วเหลือเกินหวังชิงกั๊วะ: คนเราเกิดมาล้วนต้องตาย ผมไม่อยากมานั่งคร่ำครวญอยากจะใช้เวลาที่มีแผ้วถางทางเดินไว้ให้ลูกๆ พวกเขาจะได้อยู่อย่างสบายหัวเจิ้นเหวินสารภาพกับพ่อว่าตนเองแหละ เป็นคนเร่งให้เจิ้นปังขับรถเร็วจนเกิดอุบัติเหตุหัวเหวินหงเลยไม่ทำหน้างอใส่เจิ้นปังอีก (รู้ซะมั่ง ว่าใครถูกใครผิด)เจิ้นปังขอออกค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด เหวินหงทำท่าจะไม่ยอมหัวเจิ้นเหวิน: พ่อก็ ขืนพ่อไม่ยอมให้เขาจ่าย ก็คงมีหวังเถียงกันไม่เลิกอีกอย่างนะ อาหารที่นี่ก็ไม่อร่อยเอาซะเลย เจิ้นปังชั้นจะให้โอกาสนายเลี้ยงข้าวชั้นซักมื้อสองมื้อแล้วกันเหวินเช่ากลับไปปรึกษาเหวินฮั่นเรื่องประธานบอร์ดบริหารหัวเหวินฮั่น : แกต้องการให้พี่คัดค้าน หรือสนับสนุนแกล่ะหัวเหวินเช่า: ผมว่าก็เป็นทางออกที่ดีนะ มีผมเป็นประธานบอร์ดบริหารตระกูลหัวกับหวังก็ไม่ต้องขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์หัวเหวินฮั่น : ฟังตัวเองพูดเข้า คนจะเป็นประธานบอร์ดบริหาร เขาต้องคิดถึงผลประโยชน์ของบริษัท ไม่ใช่ส่วนตัวหรือครอบครัวหัวเหวินเช่า: พี่กล้าพูดเหรอว่า ระหว่างพี่กับเส้าเหลียง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหัวเหวินฮั่น : ถ้าเส้าเหลียงกลับมาทำงานระดับผู้จัดการพี่คงไม่คัดค้าน ขอให้เค้าตั้งใจทุ่มเทกับหน้าที่การงานก็แล้วกันแต่นี่เล่นจะมานั่งบอร์ดบริหาร โทษที พี่รับไม่ได้เขาไม่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ หัวเหวินเช่า: แล้วผมล่ะระฆังพักยก มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี หัวเหวินฮั่น: รอเดี๋ยว เหวินเช่าราคาวัตถุดิบสังกะสีใน 3 เดือนหน้าจะอยู่ 870 เหรียญต่อตัน แกคิดว่าควรจะสต๊อกสินค้าไว้เยอะๆ ดีมั้ยหัวเหวินเช่า : อาทิตย์ที่แล้วยัง 890 เหรียญอยู่เลยหัวเหวินฮั่น: ว่าไง จะซื้อหรือไม่ซื้อ เร็ว จะซื้อไม่ซื้อ (ชักรำคาญ ตัดสินใจช้าไม่ทันใจ) ซื้อเลยหัวเหวินเช่า : ราคาน่าจะลงอีกนาหัวเหวินฮั่น: ประธานบอรด์บริหารต้องรู้จักตัดสินใจถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม หัวเหวินเช่า : แล้วพี่รู้ได้ไงว่าพี่ตัดสินใจถูก พี่เอาอะไรมาวัดหัวเหวินฮั่น: ชั้นตัดสินใจ ต้องถูกต้องอยู่แล้วหัวเหวินเช่า : พูดไปพูดมา พี่ก็อยากจะเป็นประธานบอร์ดบริหารซะเองหัวเหวินฮั่น: ชั้นไม่อยากจะว่าคนป่วยหรอกนะ แต่ชั้นว่าคุณหวังเขากำลังใช้แกเป็นเครื่องมือ เค้าอยากให้ลูกชายเป็นประธานบอร์ดบริหารหัวเหวินเช่า : เราเป็นญาติกัน ทำไมต้องหวาดระแวงกันด้วย อยู่กันอย่างสมานฉันท์ไม่ได้หรือหัวเหวินฮั่น: แกก็ไม่พ้นต้องตกที่นั่งเป็นคนกลางอยู่ดีหัวเหวินเช่า : ใช่สิ ในสายตาพี่ ผมทำอะไรก็ไม่เคยดีหัวชิงหยูเห็นพ่อท่าทางไม่สบายใจจึงแวะเข้ามาคุยด้วยหัวเหวินฮั่น: พ่อเป็นคนพูดยากใช่ไหม หัวชิงหยู: ทำไมคะหัวเหวินฮั่น:ทำไมหนูถึงไม่บอกพ่อตรงๆ ว่าอยากเรียนด้านดีไซน์ หัวชิงหยู: หนูก็ไม่ได้เกลียดบัญชีนี่คะ หนูเป็นลูกคนโตของพ่อก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อสิหัวเหวินฮั่น: พ่อถึงได้บอกกับใครๆ ว่าลูกสาวคนโตของพ่อ เป็นผู้ใหญ่ ไม่ทำให้พ่อเป็นกังวล หัวชิงหยู: ความจริง พ่อก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาเล็กมากหรอกค่ะแต่ละคนย่อมมีความเก่งไม่เหมือนกันหัวเหวินฮั่น:อาหนู ก็เก่งแต่ปากหวานกับผู้หญิงนั่นแหละลูกกับแม่ถึงได้คอยเข้าข้างเค้าอยู่เรื่อย หัวชิงหยู: พ่ออิจฉาด้วยหรือคะหัวเหวินฮั่น:พ่อเนี่ยนะ อิจฉาอาเล็กเธอ หัวชิงหยู: อ้าว แม่ยังบอกเลยว่าพ่อน่ะเป็นคนเก่ง แต่อาเล็กน่ะหน้าตาดีถ้าอาเล็กหล่อด้วย เก่งด้วย พ่อคงแย่หัวเหวินฮั่น: แม่หนูน่ะเหรอจะพูดยังงี้ คิดจะยั่วโมโหพ่อล่ะสิ หัวชิงหยู: (แหะ แหะ โดนจับได้แฮะ) แม่บอกว่าถึงพ่อจะเป็นพี่ชายคนโตแต่พ่อก็ไม่ต้องเก่งเสมอก็ได้ ถ้าพ่อเอาแต่ตัดสินใจเองหมดก็เท่ากับว่าไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นเลยนะคะนี่ขนาดเมียไม่ได้มาพูดด้วยตัวเอง ยังทำให้หัวเหวินฮั่นเปลี่ยนใจได้เค้าตั้งใจจะเสนอชื่อหัวเหวินเช่าในที่ประชุมบอร์ดบริหารแต่หวังเส้าเหลียงชิงตัดหน้าเสนอซะก่อน โดยคุณหวังได้ทำจดหมายแนะนำมาด้วยบอร์ดบริหารต่างต้องการฟังหัวเหวินฮั่นว่าจะสนับสนุนเหวินเช่าหรือไม่เมื่อเหวินฮั่นยอมสนับสนุน บอร์ดบริหารทุกคนก็ยอมรับหัวเหวินฮั่น: ขอให้เราร่วมมือกันทำงานด้วยความราบรื่นหวังเส้าเหลียง: จะราบรื่นหรือไม่ก็ต้องดูว่าคนที่ร่วมมือด้วยจะจริงใจแค่ไหนหัวเหวินฮั่น: ผมทำงานกับใครก็ได้ ที่เห็นผลประโยชน์บริษัทเป็นสำคัญระหว่างกินข้าวเช้า หัวเจิ้นปังเห็นข่าวนาฬิกาปลอม แล้วทึ่งโหต้นทุนแค่สี่ร้อย ขายตั้งแปดพันแปด กำไรโคตรหัวเจิ้นปัง: ธุรกิจรวยเร็วอย่างนี้ นายคงชอบล่ะดิหัวเจิ้นเหวิน : อยากรวยไม่ได้ความว่าต้องโกงนะเฮ้ย ชั้นทำธุรกิจสุจริตมาตลอดว่าแต่นายเหอะ โตที่อเมริกา แต่พูดภาษาจีนชัดดีนี่หัวเจิ้นปัง: ชั้นก็ว่าจะมาเรียนต่อที่นี่แหละ นายคิดว่ามหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือว่ามหาวิทยาลัย Qinghua จะรับชั้นล่ะหัวเจิ้นเหวิน : ทำไม้ ทำไมชั้นรู้สึกเหมือนนายไม่อยากกลับบ้านยังไงไม่รู้เรื่องย้ายสุสานก็เรียบร้อย ชั้นก็ออกจากโรงพยาบาลได้ หมดธุระนายแล้วนี่หัวเจิ้นปัง: เรื่องอะไรจะกลับไปอยู่ในคุกให้โง่หัวเจิ้นเหวิน : ห๊ะ นายฆ่าคนตายที่ฮ่องกงเหรอหัวเจิ้นปัง: เบาๆ หน่อยเด๊ เด๋วคนอื่นได้ยินหมด ที่จริงชั้นติดหนี้เค้าสิบล้านน่ะเราพี่น้องกัน นายช่วยชั้นหน่อยสิหัวเจิ้นเหวิน : ช่วยอะไร หาตั๋วเครื่องบินให้นายเหรอหัวเจิ้นปัง: ใช่ ช่วยหาตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาให้หน่อยได้ปะ แต่ก่อนชั้นไปนายต้องหาชั้นไปเที่ยวก่อน ถึงจะนับว่าเป็นพี่น้องที่ดีเจิ้นเหวินพาเจิ้นปังไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนหัวเจิ้นเหวิน: ที่ไม่ยอมกลับฮ่องกงเนี่ย นายไม่อยากกลับบ้านใช่มั้ยอย่ามาอำกันเลยว่าเป็นหนี้ คงเชื่อหรอกหัวเจิ้นปัง: ก็ชั้นขี้เกียจทำงานนี่ ยังอยากเที่ยวสนุกอยู่ขืนกลับบ้าน พ่อก็ต้องบังคับให้ไปทำงานที่โรงงานแน่หัวเจิ้นเหวิน: นายนี่โชคดีนะ ไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองหัวเจิ้นปัง: ชั้นก็อยากยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ไม่อยากทำงานที่ไม่ชอบพ่อไม่ยอมเข้าใจ จะทำไงได้ล่ะหัวเจิ้นเหวิน: ตาก็อยากให้ชั้นไปทำงานที่โรงงานเหมือนกันหัวเจิ้นปัง: แล้วนายทำไงหัวเจิ้นเหวิน: ก็อธิบายด้วยเหตุผลให้ตาเข้าใจ นายจะหนีพ่อไปตลอดชีวิตหรือจะพูดให้พ่อเข้าใจล่ะหัวเหวินเช่าเสนอโครงการส่งเหล็กก่อสร้างไปเวียดนามแต่หัวเหวินฮั่นปฏิเสธ ค่าใช้จ่ายการขนส่งตั้งเท่าไหร่เหวินเช่าคิดตื้นๆ ให้ไปสร้างโรงงานที่เวียดนามซะเลยอะไรนะ ยังไม่มีออเดอร์เข้ามาก็จะลงทุนตั้งโรงงานซะแล้ว เหวินฮั่นปวดหัวกับน้องชาย นี่ธุรกิจนะไม่ใช่เล่นการพนัน บอร์ดบริหารเขาไม่โง่ จะได้อนุมัติกันง่ายๆ ส่งเข้าบอร์ดบริหารไปก็อายเขาเปล่าๆ หัวเหวินเช่ายังดึงดัน มองไม่เห็นปัญหา แถมยังได้หวังเส้าเหลียงเป็นลูกคู่เหวินฮั่น ยืนยันว่าโครงการแบบนี้ เขาจะคัดค้านเต็มตัวตั้งใจประมูลโครงการสร้าง Exhibition Hall ให้สำเร็จดีกว่า อย่าเสียเวลาทำเรื่องเหลวไหลเลยหวังเส้าเหลียงยุพี่เขยให้หาทางแข็งข้อกับเหวินฮั่นแต่จะด้วยวิธีไหนก็ยังนึกไม่ออก ไว้นึกออกจะบอกอีกทีต่างคนต่างแยกย้าย หัวเหวินเช่าพบกับแอร์โฮสเตสสาวคนเดิม อะไรดวงมันจะสมพงษ์ขนาดนั้น ดวงหญิงแรงจริงๆส่วนหวังเส้าเหลียงพบกับเพื่อนเก่าเจ้าของโรงงานเหล็กเริ่มคิดชั่วจะแข่งประมูลกับบริษัทตัวเองซะงั้น นี่ก็ดวงโจรแรงเส้าเหลียงเห็นพี่เขยไปกับหญิง ยังเฉยๆในที่สุดเจิ้นปังก็ยอมกลับบ้าน โชคดีเจออาเล็กเข้าก่อนสงสัยช่วงนี้พ่อจะอารมณ์ไม่ค่อยดี เลยรีบชวนอาเล็กมาเป็นตัวช่วยคิดซะว่ามากินเลี้ยงต้อนรับหลานชายก็แล้วกันตอนแรกเส้าเฟินก็ไม่อยากไปด้วยหรอก แต่หลานชายคนนี้หรือจะยอมนึกแล้วเชียว พอกินข้าวเสร็จพ่อก็พูดเรื่องทำงานทันทีหัวเหวินฮั่น: ถ้ายังอยากเป็นลูกพ่ออยู่ละก็ พรุ่งนี้ไปทำงานที่ Kwok Waiหัวเจิ้นปัง: แต่ผมยังอยากเรียนต่อหวังเส้าเฟิน: หลานรักดี เราก็ควรจะสนับสนุนนะหัวเหวินฮั่น: เจิ้นปัง เกิดเป็นคนอย่าดีแต่เล่นสนุก ควรทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันหัวเจิ้นปัง: พ่อครับ คนเรามีสองเหตุผลในการทำงานถ้าไม่ทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ ก็ทำงานที่ตนรักข้อแรก ผมว่าพ่อเลี้ยงผมไหว ข้อที่สองผมไม่ชอบทำงานโรงงานสรุปว่าผมไม่ทำอ่ะครับหัวเหวินฮั่น: เรียนมาตั้งหลายปี แกคิดได้แค่นี้เหรอหวังเส้าเฟิน: หลานนี่ปากตรงกับใจดีนะ อาก็คิดเหมือนหลาน แต่ไม่กล้าพูดหัวเหวินฮั่น: เส้าเฟิน เธอจะพูดกับหลานก็รอให้พี่พูดจบก่อนหวังเส้าเฟิน: ที่ชั้นมากินข้าวด้วยนี่ก็เห็นแก่หน้าหลานนี่ไม่ใช่ที่ทำงาน แล้วชั้นก็ไม่ใช่น้องชายพี่ด้วย ชั้นต้องขออนุญาตก่อนพูดหรือไงอ้าว เฮ้ยๆ เปลี่ยนคู่ชกกันซะแล้ว แม่รีบดึงกลับมาเรื่องเจิ้นปังสี่ซัมเหยียน: พ่อเค้าจริงจัง เราก็เอาแต่เล่นไปได้ เอาล่ะ เอาล่ะ มีอะไรไว้ค่อยคุยกันหัวเหวินฮั่น: ไม่ต้อง ในเมื่อแกอยากทำอะไรตามใจแกพ่อก็จะทำตามใจพ่อเหมือนกัน นับแต่วันพรุ่งนี้ พ่อจะตัดเงินเดือนแกถ้าอยากเที่ยวเล่นนัก ก็ทำงานหาเงินมาใช้เองก็แล้วกันหัวชิงหยู: ไม่ใช่ว่าเจิ้นปังไม่อยากทำงานหรอกค่ะแต่น้องเพิ่งกลับมาถึงฮ่องกงเอง น้องคงอยากปรับตัวซักพักก่อน เนอะ เจิ้นปังอุตส่าห์ส่งซิก เจิ้นปังก็ยังไม่ยอมเลิกพูดหัวเจิ้นปัง: พูดตรงๆ นะ ผมไม่อยากทำงานที่โรงงานแต่ผมก็ไม่อยากเกาะพ่อแม่กินไปวันๆ หัวเหวินฮั่น: งั้นแกอยากทำอะไรหัวเจิ้นปัง: เอ่อ ผมหัวเหวินฮั่น: สรุปว่าแกยังไม่มีโครงการอะไรว่างั้นเถอะ ข้ออ้างชัดๆหัวเจิ้นปัง: ไม่ใช่นะพ่อ ผมมีโครงการแล้วหัวเหวินเช่า: ลืมซะเถอะ เจิ้นปัง โครงการดียังไงพ่อแกก็ไม่ยอมรับหรอกเพราะเค้าอยากให้แกทำงานที่ Kwok wai (ไม่ค่อยกัดเลยนะ)ต่อให้โครงการของแกทำกำไรเห็นๆ ก็ไม่มีประโยชน์หัวเหวินฮั่น: ชั้นเป็นคนมีเหตุผล ถ้าโครงการแกดีจริง พ่อก็จะให้โอกาสแต่อย่าเอาโครงการสั่วๆ มาตบตาพ่อล่ะ พ่อทำงานมานาน แยกออกว่าโครงการไหนทำแล้วเกิด โครงการไหนทำแล้วดับ(เออ เอาเข้าไป สองคนพี่น้อง กระทบกระแทกแดกดันกันเห็นๆ)หัวเจิ้นปัง: โครงการของผม คือ สร้างรีสอร์ทสปาห้าดาวที่เมืองจีนเจิ้นปังรับปากพ่อว่าจะส่งแผนงานโครงการให้ตอนเช้า ชิงหยูเป็นห่วงน้องชายว่าจะทำงานไม่เสร็จ อุตส่าห์เอาหนังสือเกี่ยวกับสปามาให้เจิ้นปังก็มัวแต่นอนเล่น ไม่เห็นเริ่มงานซะทีหัวเจิ้นปัง: พี่ใหญ่ พี่ห่วงผม ผมก็ห่วงพี่ทำไมพี่ไม่ให้ความกล้าตัวเอง อย่างที่ให้ผม ให้โอกาสตัวเองทำความฝันให้เป็นจริงเถอะโดนน้องชายไซโค ชิงหยูเลยลืมที่แม่ให้มาดูให้น้องชายตั้งใจเขียนแผนงานโครงการไม่ต้องห่วงจ้า เจิ้นปังเค้าเป็นเด็กดี แม้จะเกเรนิดหน่อย แต่ก็น่ารัก (เอ่อม แม่ยกลืมตัวอีกแล้วอ่ะ)เห็นปะ ถึงเช้าแผนงานโครงการก็เสร็จเรียบร้อยหัวเหวินฮั่น: เขียนได้เรื่องได้ราว ใช้ได้ เรียนมาไม่เสียเปล่าทำงานทั้งคืน ยังมีแรงลุกมาจ๊อกกิ้งอีกหัวเจิ้นปัง: พาเลซ สปา ฮอลิเดย์ รีสอร์ท จะเป็นสปารีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศหัวเหวินฮั่น: โครงการแกมันเพ้อฝันไปหน่อย คิดดูซิ รายได้ประชากรเมืองจีนเฉลี่ยคนละเท่าไหร่ จะมีใครมีปัญญามาเที่ยวรีสอร์ทแกหรือถ้าแกคิดตั้งเป้าไปที่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ แกก็เลือกที่ผิดแล้วหัวเจิ้นปัง: พ่อมองการณ์ไกลหน่อยดิ ภายใน 4 ปีนี้ เมืองจีนต้องเติมโตอีกเยอะขืนเราไม่รีบสร้างซะวันนี้ ถึงวันนั้นก็สายไปแล้วนะหัวเหวินฮั่น: เอาเป็นว่า พ่อไม่ลงทุนกับโครงการแกแน่ๆ หัวเจิ้นปัง: พ่อก้อ ดูอย่างเฮนรี่ ฟอร์ดสิ ตอนเค้าเริ่มทำรถยนต์ใหม่ๆก็ไม่มีตลาดในอเมริกา เราต้องเป็นคนสร้างตลาดขึ้นมาสิพ่อพ่อมองแต่ปัจจุบันกับอดีต ถึงเห็นว่าความคิดผมไม่เข้าท่า แต่ผมมองที่อนาคตหัวเหวินฮั่น: แกอยากทำโครงการนี้จริงๆ หรือ หัวเจิ้นปัง: ก็ไม่เชิง (อ้าว) แต่ถ้าพ่ออยากให้ผมทำงานตอนนี้ สิ่งที่ผมสนใจก็มีแต่เรื่องสปาเนี่ยแหละหัวเหวินฮั่นน: ถ้าแกเอาจริง พ่อจะให้โอกาส หัวเจิ้นปัง: ขอบคุณครับพ่อหัวเหวินฮั่น: แต่แกยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะทำโครงการเองพ่อจะให้คนที่บริษัทมาช่วย หัวเจิ้นปัง: พ่อจะให้เค้ามาจับตาดูผมล่ะสิหัวเหวินฮั่น: พ่อเป็นคนลงทุนนะ ก็ต้องหาคนมาดูแลสิ ไม่ได้รึไงหัวเจิ้นปัง: ก็ต้องได้สิครับพ่อKwok Wai เตรียมประมูลงาน Exhibition Hallบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่ง ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Kwok Wai ก็เข้าร่วมประมูลด้วยทั้ง Wing Yip และ Kui Hing แต่ที่แปลกคือ Ho Fook Kee ซึ่งเป็นโรงงานเล็กๆ ก็เข้าประมูลด้วยไม่มีใครรู้ว่า Ho Fook Kee คือโรงงานของเพื่อนหวังเส้าเหลียงนั่นเองหวังเส้าเหลียงฉวยโอกาสเสนอให้หว่าเหวินเช่าลงมาคุมโครงการด้วยตนเองเหวินเช่าเห็นแฟ้มโครงการแล้วชักปวดหัว เล่มหนากว่าสมุดโทรศัพท์อีกแม้เหวินเช่าจะไม่ค่อยอยากทำ แต่เมื่อรับปากแล้ว เค้าก็ตั้งใจศึกษาโครงการเก่าๆไม่รู้เลยว่าน้องเมียจ้องแทงข้างหลังอยู่ หวังเส้าเหลียงหลอกถามราคาที่จะประมูล ก็ดันพาซื่อบอกไปตรงๆ ว่าคงประมูลที่ 270 ล้านเหรียญยังได้กำไร 8-10%หวังเส้าเหลียงทำเป็นหวังดี เหนื่อยแทบตาย ได้กำไรแค่เนี้ยเหรอ เกิดวัตถุดิบขึ้นราคาก็คงต้องเจ๊งกันพอดี เส้าเหลียงล้อบบี้ให้เสนอราคาที่ 300 ล้านเหรียญถ้าเป็นไปตามแผน หวังเส้าเหลียงกับเพื่อนจะได้กำไรเข้ากระเป๋าคนละ 10 ล้านเหรียญเหนาะๆหัวเหวินฮั่นส่งอึ้งจี้เหม็งมาเป็นผู้ช่วยเจิ้นปังจี้เหม็งแนะนำว่าอันดับแรกควรต้องตรวจสอบคุณภาพน้ำแร่ก่อนเจิ้นปังยืนยันว่าตนเช็คแล้ว (เอ่อ เจิ้นปังคะ เอาเท้าไปแช่น้ำแร่เนี่ย มันจะบอกคุณภาพได้เลยเหรอคะ)จี้เหม็งเสนอให้หาผู้ร่วมทุน แล้วก็ขอสัมปทานที่ดินต่อจากนั้นก็ต้องศึกษาแหล่งความร้อนของบ่อน้ำแร่ แล้วจึงค่อยยื่นใบขออนุญาตจากทางการแค่ฟังเจิ้นปังก็เริ่มหมดสนุกแล้ว อย่ามัวแต่ฝอย เริ่มงานเลยดีกว่าเอ้า ก็ได้ จี้เหม็งเช็คสัมปทานที่ดินที่เจิ้นปังต้องการไว้แล้วสัมปทานที่ดิน 50 ปีเพิ่งตกเป็นของซิริอุส อินเตอร์เนชั่นแนล อินเวสต์เม้นท์ เจิ้นปังฟังแล้วเซ็ง เลิก เลิก ที่ดินก็ไม่ได้แล้วนี่ฟังยังไม่ทันจบเลย ใจร้อนจัง ซิริอุสเค้ากำลังจะขายทอดสัมปทานอยู่เนี่ยเจิ้นปังรีบให้บริษัทตัวแทนค้าที่ดินจัดการนัด Stella Choi ผู้จัดการฝ่ายบริหารอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศจีน ของซิริอุส แต่บังเอิญเธอติดธุระกะทันหันจึงขอยกเลิกนัดและแล้วโชคชะตาก็เล่นตลกเหมือนหนังไทย เจิ้นปังของเราก็ได้พบกับหย่งซิ่วฟง (เสอซือมั่น) โดยเข้าใจผิดว่าเธอเป็น Stella Choiซิ่วฟงก็ใช่ย่อย รีบรับสมอ้างทันที รู้เขารู้เรารบร้อยชนะร้อยหย่งซิ่วฟง: คุณคิดจะสร้างสปารีสอร์ทสุดอลังการในชนบทอย่างนี้ มันไม่เสี่ยงไปหรือหัวเจิ้นปัง: เสี่ยงสิครับ ถึงจะท้าทายหย่งซิ่วฟง: คุณรู้มั้ยว่ามีคนอยากซื้อที่ดินตรงนี้ตั้งเท่าไหร่หัวเจิ้นปัง: แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใครจริงใจเท่าพวกเราหย่งซิ่วฟง: ชั้นมั่นใจว่าคุณคงทุ่มเต็มที่เพื่อแสดงความจริงใจสินะจี้เหม็งเสนอราคาที่ 5 ล้านเหรียญฮ่องกง ซิ่วฟงถึงกับอึ้งไหน บอกแผนการจะชำระเงินหน่อยซิ เจิ้นปังหลวมตัว (ไม่รู้หลวมใจไปด้วยรึยัง)ส่งแผนงานที่อุตส่าห์ทำมาทั้งคืนให้กับซิ่วฟงไปความจริงซิ่วฟงเป็นตัวแทนนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท Live Wellเธอวางแผนที่จะให้ผู้ซื้อของเธอเสนอราคาตัดหน้าเจิ้นปังเซลล์คนอื่นๆ ต่างไม่พอใจที่ผู้จัดการชื่นชมซิ่วฟงแหม ยังกะชอบนักนี่ อีตาหัวงูชอบแต๊ะอั๋งคนนี้ ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเจ้านายล่ะก็ ดีดส่งไปนานแล้วหย่งเปียวรายงานพฤติกรรมลับๆล่อๆ ของหวังเส้าเหลียงให้หัวเหวินฮั่นรู้โรงงานเล็กๆ อย่าง Ho Fook Kee กลับกล้าร่วมประมูลโครงการระดับชาติได้ไป ก็ไม่มีปัญญาทำ แถมเส้าเหลียงยังแอบพบปะกับ Ho Kin เจ้าของโรงงานอีกเดาไม่ออก ก็ไม่ใช่เหวินฮั่นแล้ว เฮ้อ บริษัทตัวเองก็ยังโกงได้ลงคอเหวินฮั่นอยากรู้ว่าน้องชายมั่นใจที่จะประมูลโครงการนี้แค่ไหนหัวเหวินเช่า: ก็มั่นใจมากกว่าที่พี่มั่นใจผมแหละปากก็ว่ามั่นใจ แต่เหวินเช่าก็ขอปรึกษาพี่ใหญ่เรื่องราคาประมูลหน่อยเถอะเหวินฮั่นรู้ราคาประมูลก็กลุ้มใจ รู้ทันทีว่าน้องชายตกหลุมซิ่วเหลิงเข้าให้แล้วแต่เค้ากลับไม่ห้ามปราม ยังสนับสนุนให้เหวินเช่ายื่นซองประมูลอีกต่างหากหย่งเปียวไม่เข้าใจ ขืนยื่นซองประมูลราคาเท่านี้ ไม่มีทางประมูลได้ชัวร์ไม่รู้ว่าเหวินฮั่นคิดอะไรอยู่สิน่า
The Drive of Life 2
จากตอนที่แล้ว หัวเหวินหงไม่พอใจที่ พี่ใหญ่ตัดสินใจย้ายสุสานพ่อแม่โดยไม่ปรึกษา อย่างนี้ไม่ให้เกียรติกันนี่นาหัวเหวินฮั่นก็หงุดหงิดที่น้องรองเอะอะก็ฉุนเฉียวใส่ อุตส่าห์ทิ้งงานมาปักกิ่ง จะให้ทำยังไงอีกหัวเหวินเช่า: พี่รองเค้าก็ฉุนเฉียวกับพี่คนเดียวแหละหัวเหวินฮั่น: แกจะพูดอะไรหัวเหวินเช่า: พี่ก็รู้ดีอยู่แล้วหัวเหวินฮั่น: ที่ชั้นโกงการจับไม้ เพราะชั้นเป็นพี่คนโต ชั้นต้องปกป้องครอบครัวชั้นไม่อยากให้เหวินหง ต้องผจญความลำบาก แกก็รู้ว่าแม่รักพี่รองของแกมากที่สุดถ้าเกิดอะไรขึ้น ชั้นจะบอกกับแม่ยังไง แกนั่นแหละ รู้แล้วดันไปบอกพี่รอง แกเองก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้เราเข้าหน้ากันไม่ติดถ้าแกไม่บอกซะ ป่านนี้ พี่รองของแกก็ย้ายมาอยู่ฮ่องกงกับพวกเราเป็นสิบปีแล้วหัวเหวินเช่า: อ้าว อ้าว พี่เป็นคนผิด ไหงมาลงที่ผมถ้าตอนนั้นถ้าพี่ตัดสินใจที่จะไปฮ่องกง พี่ก็น่าจะบอกพี่รองไปตรงๆ พี่รองคงไม่โกรธแบบนี้ถ้าพี่คิดว่าตัวเองไม่ผิด ผมก็ไม่ผิดด้วยหัวเหวินฮั่น: พอ พอ พี่ไม่ทะเลาะกับแกแล้วแกอยู่นี่คุยกับพี่รองแกเรื่องย้ายสุสานแล้วกัน จะย้ายไปไหนก็ตามใจพวกแกพี่ไม่เอาด้วยแล้ว พรุ่งนี้พี่จะกลับฮ่องกงกลับถึงโรงแรม ก็เจอะสาวเลขาเพื่อนที่ล้อบบี้หัวเหวินฮั่นอดเป็นห่วงน้องชายไม่ได้วันๆ ดีแต่เสเพลไปเรื่อย ซักวันต้องเกิดเรื่องจนได้หัวเหวินเช่า: อย่าบอกว่าคุณตามผมมาถึงนี่นะเลขา: ถ้าชั้นบอกว่าใช่ คุณจะกลัวมั้ยหัวเหวินเช่า: กลัวสิ กลัวผมใจอ่อนเลขา: ที่จริงชั้นมากับคู่หมั้นน่ะ หนที่แล้วคุณไม่ยอมไปแคนาดากับชั้น ชั้นเลยไปเจอเค้าที่นั่นหัวเหวินเช่า: คงเป็นพรหมลิขิตมั้ง คุณจะแต่งงานเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกผมผมจะส่งของขวัญไปให้คล้อยหลังกิ๊กเก่า ก็ปิ๊งสาวใหม่ซะเลย หัวเหวินเช่าพบแอร์โฮสเตสสาวในลิฟต์ ทั้งคู่คุยกันอย่างถูกคอ เมื่อเธอออกจากลิฟต์ไป เหวินเช่าพบว่าเธอทำต่างหูตกไว้จะเจ้าชู้ยังไง เหวินเช่าก็ยังรักเส้าเฟิน เค้าโทรกลับบ้านไปจึงได้รู้ว่าหวังเส้าเหลิงดอดกลับมาบ้านเหวินเช่าสงสัยว่าทำไมคุณหวังฉวยโอกาสเรียกตัว เส้าเหลิงกลับมาตอนที่พี่ใหญ่ไม่อยู่หวังเส้าเฟิน: ทำไม นี่บ้านนะไม่ใช่ที่ทำงาน ถึงต้องรายงานพี่ใหญ่ทุกเรื่องแค่กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เองคุณก็อย่าไปบอกให้พี่ใหญ่รู้ล่ะ อีกอย่างนะ ปักกิ่งก็ออกจะสวยพี่ใหญ่ทำงานหนักมาก คุณน่าจะชวนให้เขาอยู่พักผ่อนที่นั่นอีกหลายๆ วันถ้าไม่มีอะไร มีหรือจะต้องให้เหวินเช่าปิดบังเหวินฮั่นคุณหวังวางแผนให้ลูกชายกลับมายึดตำแหน่งประธานบอร์ดบริหารในช่วงที่หัวเหวินฮั่นไม่อยู่หวังเส้าเฟิน: ทำไมต้องกลัวหัวเหวินฮั่นด้วยเส้าเหลิงเป็นคนตระกูลหว่องเค้ามีสิทธิ์ที่จะเป็นประธานบอร์ดบริหารหวังชิงกั๊วะ: เฮ้อ ถ้าเมื่อหลายปีก่อน เส้าเหลิงไม่ทำผิดพลาดคงไม่ต้องไปอยู่ไกลบ้านขนาดนี้ ในที่สุด ครอบครัวเราก็ได้อยู่พร้อมหน้ากันซะทีหวังเส้าเฟินดีใจที่น้องชายโตเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่าทำให้พ่อต้องผิดหวังล่ะชิงหยูกำลังหาสมุดบัญชีปี 1990 หาไม่เจอก็ต้องถามอึ้งจี้เหม็งนี่แหละพจนานุกรมประจำบริษัทเลยล่ะ สมุดบัญชีอะไรอยู่ไหนจำได้หมดเธอทำสมุดบัญชีตก หย่งเปียวจึงช่วยเก็บให้ ไม่ต้องใช้บันไดด้วย คนสูงก้อดีอย่างนี้เองหย่งเปียวได้ข่าวที่คุณหวังเชิญบอร์ดบริหารไปกินกลางวันด้วยจึงคิดว่าหัวชิงหยูจะรู้เรื่องอะไรบ้าง โธ่ แค่ตรวจบัญชีก็หัวหมุนจะแย่ ดูซิ บัญชีปี 1991 ก็มียอดโอนบางยอดที่ไม่ได้ลงบัญชีไว้เว่ยหย่งเปียว: 3 ปีก่อน ลูกชายคุณหวังแอบยักยอกเงินบริษัทถ้าคุณหัวไม่ปิดบังไว้ เขาคงติดคุกไปแล้ว ตอนนั้นคุณยังไม่ได้ดูแลบัญชี จึงไม่ทราบเรื่องหัวชิงหยู: มิน่าล่ะ ตอนนั้นเส้าเหลียงถึงรีบร้อนไปไต้หวันเว่ยหย่งเปียว: คุณหัวห้ามไม่ให้พวกเราเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแต่หวังเส้าเหลียงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น หากเขากลับมา Kwok Wai เมื่อไหร่ คงยุ่งแน่เว่ยหย่งเปียว: คุณเองก็เก่งนะ ที่เรียนดีไซน์ควบคู่ไปกับบัญชีได้แถมทำได้ดีทั้งสองอย่างด้วยหัวชิงหยู: ชั้นน่ะอยากจะเรียนดีไซน์ แต่พ่ออยากให้เรียนบัญชี เลยไม่มีทางเลือกเว่ยหย่งเปียว: วันก่อนผมเห็นร้านนึงมีชุดจานชามสวยมากเลย อยู่แถว Repulse Bayถ้าคืนนี้คุณว่าง เราไปดินเนอร์ด้วยกันมั้ยล่ะครับ จะได้ไปดูชุดจานชานนั้นด้วย (รู้นะคิดอะไรอยู่ หุหุ)หัวชิงหยู: (ดั๊นมีเพจเข้ามาพอดี) โทษทีนะ คืนนี้ชั้นมีนัดแล้ว เอาไว้วันหลังแล้วกันเทศกาลไหว้พระจันทร์ทั้งทีจะรีบกลับฮ่องกงไปทำไม น่าจะอยู่ฉลองกับน้องชายมากกว่าหัวเหวินฮั่น: อยู่ก็ใช่ว่าน้องรองเขาจะดีใจ (แก่แล้วทำงอนไปได้)สี่ซัมเหยียน: กลับช้าไปซักวันสองวัน โรงงานคงไม่เจ๊งหรอกน่า มีหวิงปิ้วคอยดูแลอยู่ทั้งคน ใครเขาจะมาขโมยโรงงานไปได้ล่ะ จริงมั้ย หมั่นเซ็ก หัวเหวินเช่า: หา เอ่อ ใครจะขโมยโรงงานล่ะพี่ มีแต่เครื่องมือเหล็กหนักๆ ขนย้ายยังไงไหว เอ แต่หัวเหวินฮั่น: แต่อะไร มีอะไรก็พูดมาหัวเหวินเช่า: (รีบเปลี่ยนเรื่อง) รีโมทเป็นอะไรไม่รู้เปลี่ยนช่องไม่ได้ ทีวีกำลังถ่ายทอดสดการแข่งแรลลี่การกุศลที่ปักกิ่ง ปี 1994 เหวินเช่าเห็นหลานชายในทีวีหัวเหวินฮั่น: ไหนลูกชายคุณ มันว่าเรียนจบแล้ว ขออยู่ฝึกงานต่อไงล่ะเนี่ยนะเหรอ ฝึกงานของมันเพิ่งลงแข่งแรลลี่ครั้งแรก หัวเจิ้นปังขี้คุยน่าดูหัวเจิ้นปัง: อย่างนายน่ะไม่เข้าใจหรอก อัจฉริยะอ่ะนะ แข่งครั้งแรก หรือครั้งที่ 100 ก็เหมือนกันเหวอ พ่อมาได้ไง หลบก่อนดีกว่าหัวเจิ้นปัง: พ่อ แม่ อาเล็ก มาเที่ยวปักกิ่งเหรอครับ ไปกำแพงเมืองจีนกันมารึยัง พระราชวังปักกิ่ง กับพระราชวังฤดูร้อนก็ไม่เลวนะหัวเหวินฮั่น: หุบปากไปเลยแกสี่ซัมเหยียน: ลูกทำอะไรของลูกเนี่ย ทำไมไม่อยู่ที่อเมริกาพ่อแม่ช่วยกันห้ามปรามไม่ให้เจิ้นปังลงแข่งหัวเหวินฮั่น: เลิกแข่ง แล้วกลับไปกับพ่อหัวเจิ้นปัง: ให้ผมบอกเพื่อนก่อนนะหัวเหวินฮั่น: ให้มันเร็วๆ ล่ะพ่อแม่กำลังเถียงกัน ไม่ทันเห็นว่าเจิ้นปังจะชิ่งแล้วอาเล็กช่วยกลบเกลื่อน หัวเหวินเช่า: ไปดูสาวๆ สองคนทางโน้นกันดีกว่าผมว่าหน้าตาเหมือนดาราบ้านเรานะ คนโน้นน่ะเหมือนจางหัวเชี่ยนมากเลยหันกลับมาอีกที เค้าก็ปล่อยรถกันไปเรียบร้อยหัวเหวินฮั่น: ไอ้ลูกบ้า ระวังตัวให้ดีเถอะหัวเหวินเช่า: ซิ่งหน่อย ชนะเลิศให้ได้นะเนวิเกเตอร์พูดมากสั่งโน่น สอนนี่ ไปตลอดทาง จนเจิ้นปังรำคาญเลยแกล้งทำเป็นเกียร์เสีย ให้เค้าลงไปดู แล้วเผ่นหัวเหวินฮั่นได้แต่โมโหที่ขึ้นเครื่องไม่ทัน พรุ่งนี้ก็ไม่รู้จะหาที่นั่งได้หรือเปล่าช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ หาตั๋วยากด้วย เหวินฮั่นเห็นแก่ภรรยา จึงตกลงให้เหวินเช่านัดกินข้าวกับเหวินหงอีกครั้งขาดคนบอกเส้นทาง อาเจิ้นปังก็หลงสิคะงานนี้ดันมาเจอเจิ้นเหวินกำลังส่งของให้ลูกค้า บีบแตรไล่กันอุตลุดหัวเจิ้นเหวิน: จะรีบไปไหน คนเต็มรถ ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนมัวแต่ขับชักช้า เลยโดนเจิ้นปังปาดแซงหน้าเจิ้นปังไปได้ไม่ไกล ก็เกิดปัญหาตอนแรกเจิ้นเหวินก็หมั่นไส้ไม่อยากจะช่วยหรอก สุดท้ายก็ย้อนกลับมาเช็คดูแล้วแบตเตอรี่มีปัญหา ต้องนั่งรถไปเอาแบตที่อู่ใกล้ๆค่ารถยี่สิบเหรียญ ไปรึเปล่าหัวเจิ้นปัง: ร้อนจัง เปิดแอร์หน่อยได้ป่ะหัวเจิ้นเหวิน: ก็คนมันเยอะ ขืนเปิดแอร์ รถก็ดับน่ะสิถ้าร้อนก็ซื้อ น้ำอัดลมได้ 5 เหรียญเองหัวเจิ้นปัง: ไม่เห็นเย็นเลยหัวเจิ้นเหวิน: อย่างเย็นก็ 10 เหรียญ แต่หมดแล้ว เอาพัดมั้ยล่ะ 2 เหรียญหัวเจิ้นปัง: นายนี่ยิวชะมัดเจิ้นเหวินช่วยเปลี่ยนแบตให้ ชมว่ารถเจ๋งเข้าหน่อยเจิ้นปังได้ทีคุยเชียว เครื่องยนต์จากเยอรมัน เกียร์จากฝรั่งเศสท่อไอดีไอเสียจากญี่ปุ่น แบตดันเป็นของจีนซะนี่หัวเจิ้นเหวิน: ของในประเทศเราไม่ดียังไง ไม่ชอบก็อย่าใช้สิเสร็จเลย ช่วยเค้าเสร็จ รถตัวเองกลับยางแบน หัวเจิ้นปัง: ไปส่งให้ก็ได้ ยี่สิบเหรียญ ขึ้นรถเลยหัวเจิ้นเหวิน: อะไร นายไม่แข่งแล้วเหรอ หัวเจิ้นปัง: ไหน ไหน ก็ช้าไปครึ่งวันแล้ว จะช้าไปหนึ่งวัน ก็ค่าเท่ากัน ขึ้นรถดิหัวเจิ้นเหวิน: 15 เหรียญได้ปะสี่ซัมเหยียนมาเป็นด่านหน้า อาสาทำกับข้าวให้ด้วยภรรยาที่เคารพขอทั้งที เหวินฮั่นหรือจะกล้าเบี้ยว แวะซื้อเหล้าไปเป็นของฝากก่อนสี่ซัมเหยียนได้โอกาสไกล่เกลี่ยน้องสามีสี่ซัมเหยียน: รองเท้ามีทรายเข้า เรายังต้องเคาะออกแล้วเสี้ยนที่ตำใจ ทำไมไม่หาทางเอาออกล่ะก็จริง ที่พี่ใหญ่ของเธอ เป็นคนเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ อีโก้ก็สูงบางทีก็เผด็จการไปบ้าง แม้จะเป็นข้อเสียของเขา แต่ก็เป็นข้อดีด้วยไม่อย่างนั้น เขาจะคุมโรงงานได้อย่างไรเขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้างเท่าไหร่บางครั้งเขาก็อาจจะตัดสินใจผิดพลาดไปหัวเหวินหง: พี่ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมผมแล้วล่ะ ผมจะอยู่กินข้าวด้วยแน่ๆระหว่างซื้อเหล้าในซูเปอร์ เหวินฮั่นเห็นรายงานข่าวรถที่แข่งแรลลี่ประสบอุบัติเหตุ เบอร์รถคุ้นๆ นั่นมันรถเจิ้นปังนี่ทั้งคู่จึงรีบไปโรงพยาบาลส่วนเหวินหงก็ได้รับข่าวเจิ้นเหวินเกิดอุบัติเหตุเช่นกัน เมื่อมาพบกับที่โรงพยาบาล ต่างคนต่างงง ว่าใครเกิดอุบัติเหตุกันแน่เจิ้นเหวินอาการไม่ดี ต้องเข้าผ่าตัดส่วนเจิ้นปังแค่ดามคอ ก็อย่างนี้แหละนะ ส่วนใหญ่คนนั่งมักเจ็บหนักกว่าคนขับหัวเหวินหงโกรธเจิ้นปังที่ทำให้เจิ้นเหวินต้องรับบาดเจ็บสาหัสหัวเหวินหง: พี่สอนลูกยังไง ถ้าเกิดอะไรกับเจิ้นหมั่นผมจะไม่ยกโทษให้พวกพี่เลย (เอ๊ะ ก็คนเค้าไม่ได้ตั้งใจ จะโวยไปทำไมยะ ถูกผิดไม่รู้ แม่ยกเข้าข้างเจิ้นปังไว้ก่อนโถ เห็นทำหน้าจ๋อยก็สงสารแย้ว)หลังผ่าตัด เจิ้นเหวินก็ปลอดภัย แต่เหวินหงยังเคืองอยู่หัวเหวินหง: พี่สะใภ้กลับไปก่อนเถอะ บางเรื่องเราก็ไม่สามารถแก้ได้ ด้วยการกินข้าวกันแค่มื้อสองมื้อหรอกนะไอ้ลูกแสบ ไม่ต้องมาทำหน้าหงอยเลย เรียนจบแล้วมัวไปทำอะไรอยู่หัวเจิ้นปัง: ก็เที่ยวหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ อ่ะครับหัวเหวินฮั่น: อ้อ หาประสบการณ์นะ ในหัวแกเนี่ยนอกจากหาเรื่องเที่ยว กับหาเรื่องสนุกแล้วคิดอย่างอื่นมั่งมั้ย อยากให้พ่อตัดเงินจนกว่าจะหางานทำเป็นเรื่องเป็นราวมั้ยล่ะหัวเจิ้นปัง: พ่อก็ คนเราสนใจไม่เหมือนกันนี่นา พ่ออ่ะเป็นพวกบ้างาน แต่ผมน่ะหัวเหวินฮั่น: แกมันพวกบ้าเที่ยวล่ะสิหัวเจิ้นปัง: ผมยังเคารพความคิดพ่อเลย พ่อก็น่าจะเคารพความคิดผมมั่งน้าหัวเหวินฮั่น: ปรัชญาชีวิตอะไรของแก มิน่าละคนอื่นเค้าถึงว่าชั้นสอนลูกไม่เป็นแหม โชคดีที่เหวินเช่ากลับมาพอดี ทุกคนสบายใจเมื่อรู้ว่าเจิ้นเหวินอาการดีขึ้นแล้วหัวเจิ้นปัง: โล่งอกไปที ยังงี้พ่อก็ไม่ต้องผิดต่อบรรพบุรุษแล้วเนอะ (ดูมั๊น มันยังไม่รู้ตัว)แม่เห็นท่าพ่อแล้วรีบไล่ให้เจิ้นปังไปนอนหย่งเปียวโทรมารายงานเรื่องหวังเส้าเหลียงเหวินฮั่นตัดสินใจกลับฮ่องกงพร้อมเหวินเช่าเรื่องย้ายสุสานปล่อยให้เจิ้นปังทำก็แล้วกันเหวินเช่าเจอแอร์โฮสเตสที่เขาปิ๊งบนเครื่องหัวเหวินฮั่น: แกเป็นผู้ใหญ่แล้ว พี่ก็ไม่อยากยุ่งแต่แกน่าจะรู้ว่าการโดนคนใกล้ชิดทรยศหักหลังเป็นอย่างไรคนที่โดนจะแกทรยศเค้าจะรู้สึกยังไงหัวเหวินเช่า: ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย เส้าเฟินบอกผมว่าเส้าเหลียงกลับมาช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เท่านั้นหัวเหวินฮั่น: ชั้นไม่เชื่อหรอก ว่าแกจะไม่เคยคิดว่าเส้าเหลียงกลับมาตอนชั้นไม่อยู่ฮ่องกงเพื่ออะไรถ้าชั้นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แกโกหก ชั้นก็โง่แล้วแต่อย่างว่านะ ชั้นอาจจะโง่จริงๆ น้องๆ ชั้นถึงคิดว่าชั้นทำอะไรผิดไปหมดชั้นคงไม่ใช่พี่ชายที่ดีหรอก ไม่งั้นน้องๆ คงไม่ทำกับชั้นอย่างนี้เส้าเฟินเจอต่างหูที่หวินเช่าเก็บได้ในลิฟท์ เขารีบโบ้ยว่าเป็นของพี่สะใภ้ว่าแล้วก็หวานใส่เมียซะหน่อย เกือบไม่รอดแล้วเราหย่งเปียวรายงานว่าคุณหวังเกลี้ยกล่อมผู้บริหารให้สนับสนุนหวังเส้าเหลียงสำเร็จพวกเค้าจะยกเรื่องนี้มาพูดในที่ประชุมบอร์ดหย่งเปียวเสนอให้เรียกประชุมผู้บริหารด่วนในคืนนี้ แต่เหวินฮั่นไม่สนใจ ยังไงก็สายไปแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะไม่รู้ว่าเหวินฮั่นมีแผนอะไรอยู่ในใจสุขภาพคุณหวังย่ำแย่ลงทุกวัน นั่งกินข้าวนานๆ ก็ปวดหลังแล้วเอาเถอะ ลำบากแค่ไหน เพื่ออนาคตลูก พ่อทำได้คุณหวังบอกกับเหวินเช่าว่าพรุ่งนี้จะประกาศเกษียณ และเสนอให้เส้าเหลียง นั่งเก้าอี้ประธานคนต่อไปเหวินเช่าวิตกว่าพี่ใหญ่คงไม่ยอมง่ายๆหวังชิงกั๊วะ: ซิวเหลิงเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ พ่อยอมรับว่าเห็นแก่ตัว แต่ลูกชายสืบทอดธุรกิจก็เป็นเรื่องสมควรแม้เหวินฮั่นจะเก่ง แต่ยังไงกิจการก็เป็นของตระกูลหวังอยู่ดีพ่อรู้ว่าแกลำบากใจ ช่วยพ่อหน่อยเถอะนะหัวเหวินเช่า: ผมทำไม่ได้จริงๆหวังชิงกั๊วะ: คิดซะว่าตอบแทนบุญคุณพ่อแล้วกัน เธอเข้ามาอยู่กับตระกูลหวังตั้งแต่อายุ 14 พ่อปฏิบัติกับเธอเหมือนลูกคนหนึ่ง พ่อส่งเสียให้เธอได้เล่าเรียนยังยกลูกสาวให้แต่งกับเธอ พ่อไม่เคยขออะไรจากเธอนี่เป็นคำขอร้องเดียวของพ่อ เธอจะไม่ยอมทำเชียวหรือเหวินเช่าใจอ่อนรับปากจนได้คุณหวังประกาศเกษียณตามที่ตั้งใจไว้ และขอให้บอร์ดบริหารเลือกประธานบอร์ดคนใหม่หัวเหวินฮั่นมาไม้เด็ดประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัท และกรรมการบอร์ดบริหารบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ต่างไม่ยอม ขืนปล่อยให้หวังเส้าเหลียงบริหาร ก็มีหวังเจ๊งกันพอดีคุณหวังผิดหวังช็อคจนต้องเข้าโรงพยาบาลสองพี่น้องโกรธเหวินฮั่นที่ทำให้พ่อต้องล้มป่วย โดยเฉพาะเส้าเหลียง หวังเส้าเหลียง: เขาอยากลาออกก็ให้ออกไปเลย กรรมการบอร์ดผมจัดการเองหัวเหวินเช่า: ไม่ได้หรอก พี่ใหญ่บริหารบริษัทมานานหลายปี ทำกำไรให้บริษัทไม่น้อยกรรมการบอร์ดมีหรือจะยอมให้ออก ถ้าพี่ใหญ่ยังอยู่ เส้าเหลียงคงหมดหวังเป็นประธานบอร์ดหวังเส้าเฟิน: เส้าเหลียงไม่ได้เป็น ชั้นก็ไม่ยอมให้พี่ใหญ่คุณเป็นแค่นี้ เค้าก็ใหญ่คับบริษัทแล้ว ขืนเป็นประธานบอร์ด จะเหลือที่ให้เรายืนหรือหัวเหวินเช่า: แต่พี่ใหญ่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหวังเส้าเฟิน: ชั้นไม่สน ให้คุณเป็นซะยังดีกว่าหวังชิงกั๊วะ : นี่อาจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้ เหวินเช่าเป็นประธานบอร์ด เหวินฮั่นก็ไม่มีข้ออ้างลาออกหวังเส้าเหลียง: พ่อพูดถูก พี่เขยต้องเป็นประธานจะได้ช่วยดูแลผลประโยชน์ตระกูลหว่องและช่วยดูแลผมด้วย แม้พี่ใหญ่พี่จะเคี่ยว แต่เค้าไม่ทำอะไรพี่เขยแน่หัวเหวินเช่า: พ่อครับ ผมทำไม่ไหวหรอกหวังชิงกั๊วะ: เหวินเช่า เธอก็เห็นว่าสุขภาพพ่อแย่แค่ไหน ไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่เกษียณ และเรียกซิวเหลิงกลับมายังจำได้มั้ย ตอนเธอกับพี่ชายมาฮ่องกงใหม่ๆพ่อไม่ได้จ้างพี่ชายเธอ แม้ว่าเขาจะจบวิทยาลัยแล้วตอนนั้น เธออายุแค่ 14 เธอเอาเศษเหล็กมาขายให้โรงงานเรา พ่อไล่เธอ เธอก็ไม่ไป ขนาดด่าว่า เธอก็ยังยิ้มรับ หัวเหวินเช่า: พ่อถึงจ้างพวกเรา และส่งผมเข้าโรงเรียนหวังชิงกั๊วะ: รู้มั้ย ทำไมพ่อเอาใจใส่พวกเธอหัวเหวินเช่า: พูดตรงๆ ผมไม่แปลกใจที่พ่อจ้างพี่ใหญ่ เขาเป็นคนมีความสามารถ ผมก็แค่ตัวแถมหวังชิงกั๊วะ: ใช่ เธอไม่ทำงานหนักเท่าพี่ชาย แต่พ่อชื่นชมในความเป็นกันเองของเธอเหวินฮั่นมีความสามารถ แต่บุคลิกของเขาทำให้คนไม่ถูกชะตาได้ง่ายผิดกับเธอ เธอมีเพื่อนมากกว่าศัตรู พ่อไม่เคยคิดจะไล่เหวินฮั่น แล้วเอาเส้าเหลียงมารวบอำนาจพ่อแค่อยากให้ธุรกิจนี้สืบทอดในตระกูลหวัง พ่อไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนช่วยให้ความหวังสุดท้ายของพ่อเป็นจริงด้วยเถอะ
The Drive of Life 1
ปี 2007 หัวเหวินฮั่น (หลิวสงเหยิน), หัวเหวินหง (หลิวจิ่งเซิง) และ หัวเหวินเช่า (เหมียวเฉียวเหว่ย) สามพี่น้องจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรถยนต์ Hua Zhe ที่สหรัฐอเมริกาพวกเค้าตั้งเป้าที่จะนำรถยนต์จากเมืองจีนบุกตลาดอเมริกาให้สำเร็จภายใน 5 ปี(ไม่ค่อยเว่อร์เนอะ ญี่ปุ่นใช้เวลา 15 ปี เกาหลีใช้เวลา 10 ปี แข่งกันทำสถิติเหรองัย)แอบมีแทรกภาพคู่ เฉลยกันเห็นๆ ว่าใครคู่ใครเพื่อความสบายใจของแฟนคลับและแม่ยกด้วยความร่วมมือร่วมใจของญาติพี่น้อง วันนี้ รถยนต์ Hua Zhe 15,000 คัน จึงสามารถผลิตสำเร็จ และขนส่งถึงอเมริกาย้อนกลับไปที่ฮ่องกง ปี 1994 ยุคที่อสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟูโรงงานในฮ่องกงย้ายไปเปิดที่เมืองจีนกันเกือบหมดหัวเหวินฮั่นและหัวชิงหยู (ซุนซวน) สองพ่อลูกต่างทำงานที่บริษัท Kwok Wai ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอุปกรณ์ก่อสร้าง Kwok Wai เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง และมีขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ISO 9002ทำให้ลูกค้ามากมายให้ความไว้วางใจหัวเหวินฮั่นเข้าไปตรวจโรงงานชิงหยูก็แอบอู้งานมาวาดรูปซะงั้น ท่าทางจะรักทางนี้เพราะเห็นมีผลงานฝีมือเธอ เป็นแก้วอยู่หลายใบเว่ยหย่งเปียว (หม่าเต๋อจง) ผู้ช่วยหัวเหวินฮั่น เข้ามารายงานว่าสังกะสีที่อาเล็กสั่งมาไม่ใช่สังกะสีบริสุทธิ์ชิงหยูรีบโทรเช็คอาเล็ก แต่ก็ติดต่อไม่ได้เดือนที่แล้วเพิ่งก่อเรื่อง ลืมติดต่อลูกค้าจนต้องเสียลูกค้าไป ทำให้พ่อโกรธใหญ่ขืนรู้ว่าอาเล็กทำผิดพลาดอีก แย่แน่เว่ยหย่งเปียว: ผมเป็นผู้ช่วยคุณหัว เมื่อเกิดเรื่องที่ทำให้บริษัทเสียหาย ผมจำเป็นต้องรายงานท่าน คุณอย่าปิดบังให้อาเล็กของคุณอีกเลยหัวชิงหยู: ปิดบง ปิดบังอะไรกัน เอ่อ แหม นาฬิกาคุณเท่ดีนะ เพิ่งซื้อใหม่เหรอ เหมาะกับคุณจังเรือนนี้ ผมใส่มา 6 ปีแล้ว คุณเพิ่งจะสังเกตเห็นหรือ(กลบเกลื่อนไม่เนียนเลยเจ๊ แต่เสียใจด้วยนะ มีเพจเข้ามาหาหวิงปิ้วพอดี)หนนี้ ผมคงช่วยคุณไม่ได้ คุณหว่าทราบเรื่องแล้วท่านส่งเพจมาตามผมให้เข้าไปที่ไซต์งานอารองมัวไปออกรอบกับเพื่อนฝูง งานการไม่ทำอ้าว ก็โรงงานมีพี่ใหญ่คอยดูแลอยู่แล้ว จะต้องห่วงทำไมตีกอล์ฟสนุกกว่าเป็นไหน ไหนอายุขนาดนี้ยังก้อร่อก้อติกกับสาวๆ แต่วันนี้ขอยกเว้นเพราะมีนัดกับภรรยาสุดสวยหวังเส้าเฟิน (เติ้งชุ่ยเหวิน)ลูกสาวคนโตของคุณหวังผู้ถือหุ้นใหญ่ Kwok Waiเพื่อเลือกซื้อชุดไปงานวันเกิดพ่อตาหวังเส้าเฟิน: โดนพี่ชายคุณใช้งานหนักอีกแล้วล่ะสิ นี่ขนาดวันเกิดพ่อชั้นนะเนี่ยหัวเหวินเช่า: พ่อคุณเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Kwok Wai ผมเป็นลูกเขยก็ต้องขยันทำงานหน่อย(แหลกันเห็นๆ แถมต่อหน้าต่อตาภรรยา ยังแอบโปรยเสน่ห์ใส่พนักงานสาวๆ อีก)หวังเส้าเฟิน: นี่ นี่ ชั้นยังไม่ตายนะยะหัวเหวินเช่า: แหม ก็คุณอยากเลือกสามีมีเสน่ห์ท่วมท้นอย่างผมทำไมล่ะพรุ่งนี้ครบกำหนดส่งมอบงานเฟส 1 แต่วัสดุก่อสร้างกลับไม่ได้มาตรฐานทำให้คุณ Ng ลูกค้าไม่พอใจ ดังนั้นเพื่อรักษาชื่อเสียงของบริษัท หัวเหวินฮั่นต้องนำเหล็กกลับไปชุบสังกะสีใหม่ พนักงานต้องอยู่ทำโอทีจะเปลืองงบแค่ไหนก็ต้องทำระหว่างนั้น หัวเหวินเช่าก็ควงภรรยาไปงานวันเกิดพ่อสามีชิงหยูกับแม่มาถึงงานก่อน ชิงหยูอยากจะสะกิดเตือนอาเล็กแต่แม่ห้ามไว้ เดี๋ยวจะเสียบรรยากาศ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วกันแม่มอบของขวัญให้คุณหวัง เป็นรอยัลเจลลี่จากออสเตรเลียหวังเส้าเฟิน: พี่สะใภ้ช่างรู้จักบำรุง มิน่าถึงผิวพรรณดีอย่างนี้ จะแต่งชุดอะไรก็ได้ (กัดกันเห็นๆ)ชิงหยูเห็นอาเล็กยังไม่รู้เรื่องก็กลุ้มใจคุณหวังถามถึงพ่อ ชิงหยูได้แต่กลบเกลื่อนไปว่า กำลังทำงานอยู่จะมาพร้อมพนักงานหวังเส้าเฟิน: ช่างงานยุ่งจริงนะ เหวินเช่าก็งานยุ่งยังมาร่วมงานแต่วันได้เลย วันเกิดพ่ออาน่ะ ปีนึงมีครั้งเดียวนะหัวเหวินเช่า: พี่ใหญ่เป็นพวกบ้างานออกคนเค้าทำงานของวันนี้ พี่ใหญ่เล่นทำงานของวันพรุ่งนี้ เค้าก็เลยยุ่งตลอดเว่ยหย่งเปียวขอให้หัวเหวินฮั่นไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดก่อนแต่เหวินฮั่นไม่ยอม เมื่อพนักงานทำงานหนัก เขาจะทอดทิ้งได้อย่างไรเมื่อเขาเอาชื่อเสียงของตัวเองการันตีให้กับลูกค้า ก็ต้องอยู่ดูแลจนถึงที่สุดความรับผิดชอบไม่ใช่แค่คำพูดต้องรวมถึงการกระทำด้วยบรรดาพนักงานต่างซึ้งใจ ที่ระดับผู้บริหารยังใส่ใจความรู้สึกของพวกเค้าเส้าเฟินโมโหหิวที่เหวิ่นฮั่นไม่มาซะที หิวจนแทบจะกินจานได้อยู่แล้วคุณหวังยืนยันว่ายังไงก็ต้องรอเหวิ่นฮั่นมาดื่มอวยพรก่อน อีก 10 นาทีเองไม่ทันขาดคำ เหวิ่นฮั่นก็นำทีมพนักงานเข้ามาในงานเลี้ยงหัวเหวินเช่า : พี่ใหญ่ทำไมมาช้าจัง ดีนะที่ผมช่วยแก้ตัวแทนพี่หัวเหวินฮั่น: ลำบากแกจริงๆ พี่ต้องขอบคุณมั้ยเนี่ยหัวเหวินเช่า : โอ๊ย ไม่ต้องหรอก เราพี่น้องกัน พี่ช่วยผม ผมก็ช่วยพี่ เหวินฮั่นชวนทุกคนดื่มอวยพรให้คุณหว่องหัวเหวินเช่า : เอ้า ดื่ม ดื่ม เนี่ยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะชั้น บรรยากาศจะดีอย่างนี้หรือชุนเฉียง: ต้องขอบคุณคุณหัว ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพวกเราก็คงไม่ต้องทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นอย่างนี้หัวเหวินเช่าชักรู้ตัว ดูจากสายตาแต่ละคน ซวยแน่ๆ งานนี้ว่าแล้ว ก็แกล้งทำเมาเอาตัวรอดไปก่อนหัวเหวินฮั่น: อย่าเพิ่งกลับนะ พี่มีเรื่องจะคุยกับแกหัวเหวินเช่า: พี่ใหญ่ก้อ ผมปวดหัวจะแย่แล้ว มีอะไรไว้พูดกันพรุ่งนี้นะ หวังเส้าเฟิน: เมาขนาดนี้ พี่พูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องหรอกหัวเหวินฮั่น: ชาโสมของพี่สะใภ้แก ช่วยสร่างเมาได้ ไป ไปกับพี่หัวเหวินฮั่น: เลิกเสแสร้งได้แล้ว แกอยากให้หลานดูถูกแกรึไงสี่ซัมเหยียน: มีอะไรไว้พูดกันพรุ่งนี้เถอะ หมั่นเซ็กเหนื่อยแล้วล่ะหัวเหวินฮั่น: พวกคนงานเหนื่อยกว่ามันหลายเท่าแกรู้มั้ยว่าหนนี้ บริษัทสูญเสียไปเท่าไหร่ แกไม่ทำงานเอาแต่สนุก ชั้นก็ไม่เคยว่าอย่างน้อยก็น่าจะใส่ใจเรื่องงานบ้างหัวเหวินเช่า: แต่ซัพพลายเออร์เจ้านี้เป็นเพื่อนกับพ่อตานี่นาผมจะรู้ได้ยังไงว่าเค้าจะเอาของด้อยคุณภาพมาให้ หัวเหวินฮั่น: แค่เขาเป็นเพื่อนกับคุณหวัง แกก็เชื่อเค้าง่ายๆ แล้วหรือชั้นสอนแกกี่หนแล้วว่า ธุรกิจคือธุรกิจคุณหวังตามมาช่วยลูกเขยหวังชิงกั๊วะ : ชุนเฉียงบอกชั้นหมดแล้วหนนี้ เหวินเช่าสะเพร่าไปหน่อย อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่น่าเรื่องงานก็เอาไว้คุยกันตอนเวลาทำงานสิ เหวินเช่ากลับกับพ่อหัวเหวินฮั่น: เหวินเช่าชั้นยังพูดไม่จบหวังชิงกั๊วะ: คิดว่าเห็นแก่ชั้นแล้วกัน ปล่อยลูกเขยชั้นไปเถอะหัวเหวินฮั่น: เขาเป็นลูกเขยคุณ แต่ก็เป็นน้องชายผมด้วยถ้าปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ อย่างนี้ทุกครั้ง เขาก็จะกลายเป็นคนล้มเหลวในชีวิตหวังเส้าเฟิน: พี่ใหญ่ พี่พูดกับพ่อชั้นแบบนี้ได้ยังไงพี่จะบอกว่า หมั่นเซ็กล้มเหลวเพราะพ่อกับชั้นใช่มั้ยพ่อชั้นดีกับพี่ยังไง ยังจำได้หรือเปล่าหัวเหวินเช่า: เอาล่ะ เอาล่ะ ผมผิดเอง เป็นความผิดของผมพี่ใหญ่ พักผ่อนเถอะนะหัวเหวินฮั่น: ดึกแล้ว แกเองก็กลับบ้านไปเถอะเส้าเฟินไม่พอใจที่หมั่นฮอนทำตัวเป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณพ่อของเธอคิดดูซิตอนมาจากเมืองจีนใหม่ๆ ไม่รู้จักใคร ใครล่ะที่เป็นคนรับเข้าทำงานที่ Kwok Waiถ้าไม่ใช่พ่อให้โอกาส มีหรือจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นประธานบริษัทได้หวังชิงกั๊วะ: เมื่อก่อน Kwok Wai เป็นโรงงานเล็กๆ ที่เราใหญ่โตขึ้นมาได้ทุกวันนี้ ก็ต้องให้เครดิตหมั่นฮอนเขาด้วยหวังเส้าเฟิน: พ่อพูดยังกับว่าบริษัทนี้มีเค้าทำงานอยู่คนเดียวงั้นแหละดูซิพ่อ มันน่าโมโหมั้ย ให้สัมภาษณ์ซะใหญ่โตยังกับตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทหนูว่า อีกหน่อยเค้าต้องคิดฮุบบริษัทเราแน่หวังชิงกั๊วะ: Kwok Wai พ่อเป็นคนสร้าง มันก็ต้องเป็นของตระกูลหวังเราสิลูกจะเป็นของคนอื่นไปได้อย่างไรกัน ซัมเหยียนขอให้เหวินฮั่นเห็นใจเหวินเช่าบ้าง คนกลางวางตัวลำบากนะเหวินหงน้องชายคนรองที่อยู่ปักกิ่งก็ห่างเหินกันเหมือนคนแปลกหน้าอยากให้เหวินเช่าเป็นอย่างนั้นเหมือนกันหรือซัมเหยียนอยากให้เหวิ่นฮั่นอาศัยการย้ายสุสานของพ่อแม่ จับเข่าคุยกันสามคนพี่น้องเหวินฮั่นตกลงใจเดินทางไปหาน้องรองที่ปักกิ่งเวลาทำงาน เหวินเช่าก็มัวแต่ซ้อมกอล์ฟ เหวินฮั่นเข้ามาก็นึกว่าจะโดนด่าแล้วเชียวโล่งอกไปทีที่พี่ใหญ่ไม่รื้อฟื้นเรื่องเมื่อวาน แถมชวนไปกินข้าวกลางวันเหวินเช่าแบกถุงกอล์ฟเตรียมไปออกรอบตอนบ่ายอีก เลยโดยพี่ใหญ่เทศนาจนได้หัวเหวินเช่า: พี่ใหญ่ แต่ละคนก็มีวิธีทำธุรกิจไม่เหมือนกันพี่ชอบเจรจาในห้องประชุม ส่วนผมชอบเจรจาในสนามกอล์ฟ ผมผิดตรงไหนอีกอย่างพี่ชอบบอกว่าต้องคอยตามแก้ปัญหาให้ผม ผมก็ต้องคอยสะสางเรื่องยุ่งยากให้พี่เหมือนกันหัวเหวินฮั่น: เรื่องอะไร ไหนยกตัวอย่างมาซิหัวเหวินเช่า: เอ้า ก็เรื่องพี่รองไง เวลาพวกพี่มีปัญหากัน ก็ผมไม่ใช่เหรอที่เป็นตัวกลางหลายปีมานี้ ผมต้องคอยประสานความสัมพันธ์ระหว่างพวกพี่อยู่เรื่อยเนี่ย รู้มั้ยว่าสุสานพ่อแม่เราต้องย้ายที่ใหม่ ไหนพี่ชอบบอกว่าพี่จัดการได้ทุกเรื่องไง อย่าดีแต่พูดนะพี่หัวเหวินฮั่: เรื่องของพ่อแม่ เราสามพี่น้องต้องรับผิดชอบ พี่จะไปปักกิ่งกับแกหัวเหวินเช่า: จริงอ่ะหลายปีมานี่ สองพี่น้อง ไม่เคยไปไหว้พ่อแม่พร้อมกัน บ้านเหวินฮั่นไปช่วงเทศกาลเช็งเม้ง ส่วนบ้านเหวินหงไปช่วงเทศกาล Chung Yeung(คิดว่าเป็นช่วงเทศกาลกินเจ เพราะเป็นเทศกาลในเดือน 9)เหวินเช่ารับหน้าที่ไปเชิญพี่รองมากินข้าวกับพี่ใหญ่เหวินฮั่นหวนคิดถึงอดีตที่ปักกิ่ง ปี 1965 ตอนนั้น เขายื่นขออพยพไปฮ่องกงสำเร็จ ทางการอนุญาตให้ไปได้แค่สองคน เหวินฮั่นคิดจะไปกับเหวินเช่าแต่ก็เกรงว่าเหวินหงจะไม่เห็นด้วย ด้วยความเป็นห่วงมารดา และคิดว่าตนเป็นพี่คนโต ต้องรับภาระหนักจึงหลอกเหวินหงให้จับไม้ ใครได้ไม้แดงต้องอยู่ดูแลแม่ที่เมืองจีนอีกคนจึงจะได้ไปฮ่องกง โดยเหวินฮั่นแอบทาไม้ให้เป็นสีแดงทั้งสองอันที่ปักกิ่ง สองตาหลานกำลังถกเถียงกันตาอยากให้หลานมาทำงานที่โรงงานผลิตรถยนต์ แต่หัวเจิ้นเหวินไม่สนใจเรื่องเครื่องยนต์กลไกเขาอยากทำการค้า เผื่อจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้านกับเขามั่งอยู่ไปไยให้ตาบ่น รีบไปส่งของดีกว่าตาเป็นห่วงว่าเหวินหงตามใจลูกมากไป ระวังจะเสียคนเหวินหงเห็นว่าลูกโตแล้ว ปล่อยให้เขาเดินตามทางของตัวเองเถอะเหวินเช่าชวนเหวินหงไปกินข้าวกับพี่ใหญ่แต่เหวินหงปฏิเสธ เค้าจะตามไปหลังกินข้าวกับที่บ้านเสร็จแล้วตาคิดว่าเหวินฮั่นไม่จริงใจ ถ้าจริงใจก็น่าจะมาชวนด้วยตัวเองตั้งแง่กันเข้าไป พี่น้องคู่นี้หัวเหวินฮั่นบริจาคเงินสร้างโรงเรียน สร้างสะพาน และสถานที่ต่างๆ ไว้มากเมื่อทางปักกิ่งทราบว่าเขาเดินทางมาที่นี่ จึงส่งเจ้าหน้าที่มารับรองระหว่างเหวินหงขี่จักรยานมาที่โรงแรมเขานึกถึงตอนที่เหวินฮั่นกลับมาปักกิ่งเพื่อชวนเขาไปฮ่องกงแต่ตอนนั้น เขารู้แล้วว่าเหวินฮั่นหลอกให้เขาจับไม้แดงหัวเหวินหง: ถ้าพี่คิดว่าพี่สมควรไปฮ่องกงมากกว่า ชั้นก็ไม่ว่าอะไรแต่พี่แน่ใจได้ยังไงว่าถ้าชั้นเป็นคนได้ไปฮ่องกง ชั้นจะทำไม่ได้อย่างพี่พี่ไม่เคยถามชั้น ก็ตัดสินใจเองแล้ว ใช่ ไปฮ่องกงหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับชั้นอีกแล้วที่สำคัญคือทำไมพี่ไม่ยอมรับผิด เราอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ทางใครทางมันก็แล้วกัน เมื่อหัวเหวินหงเดินทางมาถึงโรงแรม ก็ปรากฏว่า เหวิ่นฮั่นตัดสินใจเลือกที่ย้ายสุสานพ่อแม่ไปแล้วทำให้เค้าไม่พอใจหัวเหวินฮั่น: ถ้าไม่ชอบที่พี่เลือก จะย้ายไปที่อื่นก็ได้หัวเหวินหง: พี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี มันอยู่ที่การให้เกียรติกันแต่ไหนแต่ไรมา พี่ไม่เคยให้เกียรติผม เมื่อก่อนก็ไม่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่