ปลูกต้นไม้บำรุงราก ปลูกฝังคุณธรรมต้องบำรุงจิตใจ ... 种树者必培其根 ,种德者必养其心 ... ขอบคุณลูกค้าที่อุุดหนุนร้านซีเอ็นแอลทุกคนนะค่ะ
Group Blog
 
All blogs
 
แชร์เรื่องไมเกรน

ตัวเองเป็นคนชอบปวดหัวบ่อยๆ บางทีก้อปวดข้างเดียว ตุบๆๆๆๆบางทีถึงกับต้องยืนอยู่กับที่สักพัก ช่วงที่นอนไม่เพียงพอ หรือมีเรื่องเครียดๆก็มักจะปวดหัวเสมอๆ ปกติจะใช้ยาหม่องน้ำตรานกอินทรีย์ ทาที่ขมับทั้งสองข้างอยู่เสมอ คือไม่ชอบรับประทานยาค่ะ ก้อคงเพราะความแสบของยาก้อเลยทำให้ดีขึ้น บางทีปวดหัวทั้งสองข้าง ไม่จำเป็นก้อจะไม่ใช้ความคิดใดใด หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นบ่อเกิดไมเกรนเช่นกาแฟ ช็อกโกแลต และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งจำเป็น

เก็บข้อมูลเรื่องไมเกรนไว้

//www.dental-tmd.com/view_atc.php?page=2

ได้เคยไปทดลองให้ผึ้งต่อย ก็คิดว่าดีขึ้นนะค่ะ ถึงจะต่อยไม่ครบคอร์ส แต่ทำให้อาหารปวดหัวหนักๆทุกๆวันหายไป โดยที่ไม่ค่อยต้องทายาน้ำตรานกอินทรีย์บ่อยๆ ปกติต้องทาทุกวัน เดี๋ยวนี้แทบไม่ได้ใช้เลย ส่วนไมเกรนก้อดูเหมือนจะทำทีท่าว่ากำเริบ แต่ก้อทานยาควบคุมไปก่อน เลยไม่กำเริบ แต่ณ ตอนนี้โอเคค่ะ

Simoyiam
ยานี้ใช้สำหรับ
ป้องกันการปวดศีรษะไมเกรน
อาจใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่นๆได้ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
ยานี้ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละครั้งในเวลาเย็น หรือให้ใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร

ว๊ากกกก นี่ถ้าไม่ค้น จำผิดนะเนี่ย นึกว่าฮอฟเฟอร์กอตป้องกันไมเกรนที่แท้แก้ปวดไมเกรน งานเกือบเข้าซะแล้ว



15 ข้อเตือนใจเมื่อเป็นไมเกรน (Lisa)

ดูเหมือนว่า อาการปวดหัวจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับหลายคนอยู่บ่อย ๆ แต่หากคุณรู้สึกปวดหัวคุณอาจหาทางแก้ไขโดยหายามาทานเอง หรือหาวิธีป้องกันอื่น ๆ แต่สิ่งที่ไม่ควรทำก็คือ การสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ปัจจุบันนี้ ไมเกรนได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้กับผู้หญิงส่วนใหญ่ จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงร้อยละ 18 ต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่างกับผู้ชายที่พบว่าเป็นเพียงร้อยละ 6 เท่านั้นเอง

อาการปวดหัวที่เกิดถ้านาน ๆ เป็นทีก็ไม่ควรวิตกกังวลให้มากนัก แต่เมื่อไรที่คุณเป็นถี่มากขึ้น หรือมีการปวดมากจนไม่สามารถทำงานได้ อย่านิ่งนอนใจ ลองอ่าน 15 ข้อแนะนำต่อไปนี้ แล้วลองพิจารณาดูว่า คุณเข้าข่ายเป็นไมเกรนหรือแค่ปวดหัวธรรมดากันแน่

1. อย่าคิดว่าไมเกรนเป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดา

คนที่เป็นไมเกรนจะปวดหัวรุนแรง และมักปวดหัวข้างเดียว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที คุณอาจจะต้องทรมานปวดหัวต่อไปอีก ถึงวันละ 4 ชั่วโมง นานถึง 3 วันติดกัน นอกจากนี้อาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แพ้แสงในลักษณะเห็นแสงแบบดาวระยิบระยับ หรือมักได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ไม่เหมือนกับคนอื่น หากยังละเลยปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พบแพทย์ แน่นอนว่าอาการของคุณก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ

2. อย่าเก่งด้วยการเป็นหมอรักษาตัวเอง

หลายคนพยายามที่จะรักษาอาการปวดหัวด้วยตัวเองซึ่งถือว่าผิดมนันต์ จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยไมเกรน 58 คน จาก 100 คน ไม่เคยขอรับคำปรึกษาจากแพทย์เลย ถึงแม้ยาแก้ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชั่วคราวได้ก็จริง แต่หากอาการเข้าข่ายเป็นไมเกรน ยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2 เม็ดคงไม่พอ แต่การเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการติดยาในเวลาต่อมา เพราะบางคนอาจทานยาถึง 16 วันใน 1 เดือน หรือมากกว่า 180 วันใน 1 ปี ด้วยเหตุนี้จึงพบว่า ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งยังคงมีอาการปวดหัวอยู่ เนื่องจากทานยาแก้ปวดมากเกินไปนั่นเอง

อย่างไรก็ดี หากปวดหัวอยู่เป็นประจำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยโรคให้ถูกต้องจะดีกว่า และให้ระมัดระวังยาที่ "เพื่อนบอกว่าใช้แล้วดี" ด้วยเพราะไม่รู้ว่ายาตัวนั้นจะเหมาะกับเราหรือไม่

3. อย่าทานยาแก้ปวดต่างชนิดในวันเดียวกัน

หากคุณปวดหัวแล้วไม่ได้ไปปรึกษาแพทย์ ก็อย่าทานยาแก้ปวดหัวที่ต่างชนิดกันบ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงยิ่งกว่าเดิม ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้แพทย์สันนิษฐานไม่ได้ หากเกิดอาการแพ้ยาขึ้น นอกจากนี้อย่าทานยาตอนท้องว่าง เพราะอาจทำให้กระเพาะเกิดการระคายเคือง ทางที่ดีแล้วควรทานอาหารรองท้องก่อนเล็กน้อย แล้วค่อยทานยาเพื่อให้การดูดซึมยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

4. ไม่ควรทานยาช้าเกินไป

เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกปวดหัว ไม่ควรเพิกเฉย แต่ควรสังเกตอาการเริ่มแรกให้ดีเพื่อที่จะได้หายามาทานให้ทันท่วงที เพราะหากช้าเกินไป เพียงแค่เราสัมผัสผมก็อาจทำให้ปวดหัวได้ ถ้าถึงตอนนั้นยาตัวใดก็ไม่สามารถช่วยระงับอาการปวดได้ สัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณอาจจะเป็นไมเกรนคือ อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เฉื่อยชา โมโหง่าย อยากอาหารบางอย่างเช่น ของหวาน ๆ และออกอาการหาวแต่ไม่ได้ง่วงนอน

5. หากปวดหัวมากกว่า 3 ครั้งต่อเดือน ยาแก้ปวดก็ช่วยไม่ได้แล้ว

หากคุณมีอาการอย่างนี้บ่อย ๆ การบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ บางทีก็น่าลองดู เช่น อาจจะจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำหรือขี่จักรยาน ถ้าไม่ถนัดกีฬาที่กล่าวมา ก็อาจจะเล่นกีฬาชนิดไหนก็ได้ที่คุณชอบ เพียงแต่ขอให้เป็นการเคลื่อนไหวเบา ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็เพียงพอแต่ถ้าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว ลองเปลี่ยนวิธีเป็นเดินในห้างสรรพสินค้าดูก็ได้นะ

แต่ก็มีบางคนที่จะต้องทานยาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ปวดหัวก็ตาม ตัวยาเหล่านี้แตกต่างจากยาแก้ปวดทั่วไปคือ ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว โดยทำให้ระบบทางเดินโลหิตและระบบประสาททำงานเป็นปกติ

6. หาสาเหตุให้ได้ว่า ทำไมเราจึงปวดหัว

สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวมีมากเหลือเกิน แต่ละคนก็ปวดหัวด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นควรหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราจึงปวดหัว เมื่อรู้แล้วจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำอย่างนั้น และพร้อมที่จะเผชิญกับมัน

7. อย่าเปลี่ยนกิจวัตรบ่อย ๆ

การนอนมากหรือน้อยกว่าปกติ การทานอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ปวดหัวได้ การที่ทำกิจวัตรต่าง ๆ ไม่ต่อเนื่องกันนี้เสี่ยงต่อการปวดหัวโดยเฉพาะกับคนที่เป็น "ไมเกรนช่วงสุดสัปดาห์" ซึ่งไม่ควรเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันช่วงวันเสาร์-อาทิตย์มากนัก และอย่าได้ประเมินค่าการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรต่าง ๆ เหล่านี้ต่ำเกินไป โดยเฉพาะยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งฟื้นไข้ คุณจะต้องทานยาที่ถูกต้องและพกยาติดตัวไว้เสมอ เผื่อว่าเกิดปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ปวดหัวได้

8. อย่าคิดว่าการปวดหัวเป็นผลเคียงจากการมีประจำเดือน

การที่คุณปวดหัวทุกครั้งในช่วงที่มีประจำเดือนหรือช่วง 2 วันแรกก่อนมีประจำเดือนถึงจะแสดงว่าคุณเป็น "ไมเกรนในช่วงมีประจำเดือน" ซึ่งเกิดจากการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ปวดหัวนานกว่าเดิม มากกว่าเดิม และรักษายากยิ่งกว่าเดิม ในกรณีนี้ไม่ควรเพิกเฉยต่ออาการดังกล่าวแต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อดูอาการให้แน่ใจ

9. ยาที่ใช้รักษาโรคอื่นอาจทำให้ปวดหัวได้

ยาที่แพทย์สั่งให้ทานเพื่อรักษาโรคอื่นที่เป็นอยู่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เราปวดหัวมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้ในกรณีนี้ลองให้แพทย์สั่งยาตัวอื่นที่รักษาโรคนั้น ๆ ได้และไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ มาทานแทน

10. อย่าพยายามเอาชนะโรคไมเกรนสุดสัปดาห์

บางคนมักปวดหัวในช่วงสุดสัปดาห์เนื่องจากการพักผ่อนมากเกินไป การพักผ่อนนี้ก็เป็นผลมาจากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นตลอดวันทำงานที่ผ่านมา ทางที่ดีเราควรหลีกเลี่ยงเรื่องเครียดต่าง ๆ แล้วหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกับสุนัข

11. อย่าหยุดทานยาคุมกำเนิดเพียงเพราะว่าปวดหัว

สำหรับผู้หญิงบางคนถ้าทานยาคุม ไมเกรนจะกำเริบมากยิ่งขึ้น ในกรณีนี้ให้นำยาไปให้สูตินารีแพทย์ดู เผื่อว่าแพทย์จะสั่งยาคุมตัวอื่นที่เหมาะกับเราให้เราลองทานดูได้ อย่างไรก็ตามหญิงสาวที่เป็นไมเกรน และทานยาคุมด้วยนั้นจะต้องไม่สูบบุหรี่เป็นอันขาด เพราะจะเสี่ยงต่อการที่เลือดแข็งตัวผิดปกติ

12. หากคุณอยู่ในช่วงวัยทองอย่าทำการบำบัดฮอร์โมน

การบำบัดฮอร์โมน อาจยิ่งทำให้อาการปวดหัวแย่ลง หากจำเป็นจริง ๆ ให้แพทย์สั่งยาที่จะช่วยคงสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ที่เหมาะกับเราให้ดีกว่า

13. อย่าทานยาแก้ปวดหัวในขณะที่ตั้งครรภ์อยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์เพราะยาแก้ปวดบางตัวอาจทำให้แท้ลูก หรือทำให้ลูกที่อยู่ในครรภ์พิการได้ ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าทานยาได้หรือไม่ ควรไปปรึกษาแพทย์เสียก่อน

14. อย่ารักษาแต่อาการปวดหัวอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ก็ต้องรักษาด้วย

โดยปกติไมเกรนอาจก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ด้วย เช่น วิงเวียนและคลื่นไส้อาเจียน ในกรณีนี้ให้ทานยาแก้วิงเวียน ซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหารซึมซับยาได้ดีขึ้นและทำให้หายปวดหัวได้ ส่วนอาการแทรกซ้อนอีกย่างก็คือ คลื่นไส้อาเจียน ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์สั่งยาให้

15. ไม่ได้มีแต่ยาที่ช่วยแก้ปวดหัว

หากคุณได้รับความทุกข์ทรมานจากการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ ยังมีทางเลือกอื่นที่จะรักษาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแนะนำนั่นก็คือ ไบโอฟีดแบ็ก (Biofeedback) คือกรรมวิธีการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นโรคไมเกรน หรือโรคเครียดที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง ระบบขับถ่ายไม่ดี ความดันเลือดสูง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ฯลฯ เทรนนิ่งออโตเจโน (Training Autogeno) คือการควบคุมตัวเองเพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่ชอบวิตกกังวล เป็นไมเกรน มีความเครียดสูงหรือเป็นโรคหอบหืด และการฝังเข็ม วิธีการเหล่านี้ต่างก็ได้รับการยืนยันว่าช่วยลดอาการปวดหัวได้

Tips

1. หากคุณคิดว่าตัวเองเป็นไมเกรนแน่นอนแล้วละก็ คุณควรจะหาชาสมุนไพรเก๊กฮวยดื่มซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้

2. หากใครกำลังใช้ยารักษาไมเกรนยี่ห้อ Avamigram, Cafergot, Degran, Poligot-CF และ Polygot ควรจะต้องรู้ว่าห้ามทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน หรือ 10 เม็ดต่อสัปดาห์ หากต้องการให้ได้ผลควรนอนพักผ่อนในห้องที่มืด เงียบ และอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่หากมีอาการข้างเคียง เช่น ขาไม่มีแรงเจ็บหน้าอก แขน คอ ไหล่ หรือปวดท้อง ปลายมือเท้าชา และรู้สึกเย็นซ่า รีบหยุดยาแล้วไปพบแพทย์ทันที



วิธีป้องกัน

สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั่น ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี

วิธีแรก คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม

วิธีที่สอง คือ กินยาป้องกันไมเกรน แพทย์จะแนะนำให้กินยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด ยาแต่ละชนิดจะมีผลข้างเคียงต่างกันไป จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้เกิดยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือน จึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มกินใหม่









พบข้อมูลยาที่ควรเก็บไว้ตามลิงค์



//giveandrich.com/811/medicine-for-traveller.html


เรื่องอาการปวดท้องและยา




เรื่องสำคัญเกี่ยวกับอาการปวดท้องที่คนทั่วไปควรสนใจได้แก่
การแยกให้ได้ว่ากรณีใดควรรักษาตนเอง และกรณีใดควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
อาการปวดท้องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และสามารถรักษาด้วยตนเองได้ มี 2 โรค
คือ ปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร และปวดท้องจากโรคอาหารเป็นพิษ

อาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร มักเกิดขึ้นขณะที่กำลังรับประทานอาหาร
หรือรับประทานอาหารอิ่มแล้วไม่นานนัก
โดยทั่วไปมักเกิดเมื่อรับประทานอาหารมากกว่าปกติ
หรือรับประทานอาหารห่างจากมื้อก่อนนานกว่าปกติ เรียกว่าหิวอยู่นาน
ตำแหน่งที่ปวดอยู่บริเวณสูงกว่าสะดือ บางคนจำได้ว่า
เคยมีอาการเช่นเดียวกันนี้เป็นครั้งคราว ภายใต้สภานการณ์เดียวกัน
และหายได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง วันต่อมาก็สบายดี รับประทานอาหารได้ตามปกติ
บางคนอาการไม่รุนแรงพอที่จะเรียกว่าปวดท้อง ก็เรียกว่า ท้องอืด หรือ ท้องเฟ้อ
อาการเหล่านี้หากเกิดเป็นครั้งคราว ถือว่าเป็นความผิดปกติชั่วคราว
เกิดจากกระเพาะอาหารบีบตัวรุนแรงกว่าธรรมดา ต่างจากโรคกระเพาะอาหารจริงๆ
ซึ่งคนไข้จะปวดติดต่อกันทุกวันเป็นเวลานานหลายวัน เป็นสัปดาห์
หรือนานกว่านั้นหากไม่ได้รับการรักษา
กรณีหลังนี้น่าจะสงสัยในเบื้องต้นว่าเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร peptic ulcer
disease ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องต่อไป เช่น
พิจารณาส่องกล้องตรวจเยื่อบุกระเพาะและทางเดินอาหารส่วนต้น
หรือพิจารณาส่งตรวจด้วยการกลืนแป้งแล้วฉายภาพรังสีเพื่อดูว่ามีความผิดปกติอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่

การรักษาเบื้องต้นในกรณีปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร
หากเป็นขณะกำลังรับประทานอาหาร ต้องหยุดรับประทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ
ให้ลุกจากโต๊ะอาหารไปเดินเล่น อาการจะค่อยๆหายไป หากเกิดภายหลังอิ่มอาหาร
และดื่มน้ำแล้ว การลุกไปเดินก็จะทำให้ทุเลาลงได้เช่นกัน
ยาที่จะช่วยให้อาการทุเลาเร็วขึ้น ได้แก่ยาลดกรดที่ออกฤทธิ์เร็วเช่น โซดามินต์
เพื่อให้หายเร็วควรรับประทานครั้งแรก 4 เม็ด หากไม่หายภายใน 5
นาทีให้รับประทานอีก 2 เม็ด ถ้าหาย ต่อไปอาจป้องกันการเกิดอาการนี้ได้
ด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุ ถ้าทำไม่ได้ ขณะหิวมากก่อนรับประทานอาหาร
ควรรับประทานยาลดกรด เช่น โซดามินต์ 2 เม็ดเสียก่อนที่จะเกิดอาการ
หรือถ้าต้องการใช้ยาที่ออกฤทธิ์นานอาจใช้รานิติดีน ranitidine
ในกรณีที่อาการไม่หาย
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยต่อไปเพราะสาเหตุอาจจะเป็นจากโรคแผลในกระเพาะอาหารชนิดรุนแรง
หรืออาจเป็นโรคนิ่วถุงน้ำดีหรือโรคหัวใจก็ได้

โรคอาหารเป็นพิษ food poisoning ทำให้มีอาการปวดท้องร่วมกับอาการอาเจียน
และอาการท้องเดิน สาเหตุเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด
มีการปนเปื้อนแบคทีเรีย หรือสารพิษจากแบคทีเรีย
อาการปวดท้องมักจะอยู่บริเวณกลางท้องรอบๆ สะดือ หรือสูงกว่าเล็กน้อย
ถ้าอาการปวดท้องเกิดขึ้นร่วมกับอาการอาเจียน
การอาเจียนจะมีผลทำให้อาการปวดท้องทุเลาอย่างชัดเจน
ถ้าอาการปวดท้องเกิดร่วมกับอาการท้องเดิน
การถ่ายอุจจาระจะทำให้อาการปวดท้องทุเลาเช่นกัน

การรักษา อาการปวดท้องในกรณีนี้ ถ้ายังมีอาการอาเจียนอยู่
อาจใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางที่ท้อง ถ้าไม่อาเจียนหรือหายอาเจียนแล้ว
ให้รับประทานยาบุสโคพาน buscopan ร่วมกับพอนสแตน ponstan
แม้ว่าอาการปวดท้องจะทุเลาแล้ว ควรป้องกัน การเกิดอาการปวดท้อง
โดยรับประทานเฉพาะบุสโคพานทุก 4 ชั่วโมง ประมาณ 3 ครั้ง ถ้ารับประทานอาหารได้
ควรรับประทานยาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนอาหาร
ปวดท้องจากโรคอาหารเป็นพิษต้องหายภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง

อาการปวดท้องที่ไม่ธรรมดาควรรู้จักเพื่อจะได้รีบหาแพทย์ได้ทันเวลา
มีกรณีต่อไปนี้

(1) ปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบ appendicitis

ไส้ติ่งอยู่บริเวณท้องด้านขวาล่าง เมื่อเกิดการอักเสบ มีอาการปวดท้องเป็นสำคัญ
ในระยะเริ่มแรกอาการปวดไม่รุนแรงนัก และรู้สึกปวดที่บริเวณกลางท้อง
เมื่อการอักเสบรุนแรงขึ้น อาการปวดจะชัดเจนมากขึ้น
และย้ายมาปวดที่บริเวณท้องด้านขวาล่าง การไอ จาม ขยับตัว
หรือการกดบริเวณที่ปวดจะรู้สึกเจ็บ หลังจากนั้นจะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน
และมีไข้ อาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในวันเดียว ควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาล
เพราะหากใช่ไส้ติ่งอักเสบจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด

(2) ปวดท้องจากนิ่วถุงน้ำดี gall stone และถุงน้ำดีอักเสบ

คนจำนวนไม่น้อยมีนิ่วในถุงน้ำดีโดยไม่เกิดอาการใดๆ ส่วนมากประมาณร้อยละ 85
จะไม่มีอาการใดๆเลยจากนิ่วเหล่านี้
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อนิ่วเคลื่อนตัวไปอุดท่อน้ำดี
ทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือแน่นท้องอย่างรุนแรง บริเวณใต้ลิ้นปี่
อาการปวดเพิ่มความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และคงอยู่นานไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง
จนถึง 2-3 ชั่วโมง แล้วค่อยๆ ทุเลาเมื่อนิ่วที่อุดอยู่หลุดไป
ในที่สุดก็หายเป็นปกติ แต่ก็จะเกิดอาการทำนองเดียวกันอีกภายหลังอีกหลายวัน
หลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนต่อมา ไม่มีการปวดแบบเป็นๆหายๆติดต่อกันหลายวัน
ในกรณีที่นิ่วที่อุดอยู่ไม่หลุดไป ถุงน้ำดีจะเกิดการอักเสบ
อาการปวดท้องไม่หายไป และจะย้ายตำแหน่งไปปวดที่บริเวณท้องด้านขวาบน
กดเจ็บในบริเวณนั้น และมีไข้ รวมทั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
บางกรณีมีดีซ่านด้วย การรักษาต้องอาศัยการผ่าตัด เพื่อเอาถุงน้ำดีออก
ซึ่งเป็นวิธีที่ ดีที่สุดที่จะทำให้ไม่เกิดนิ่วอีก
สำหรับผู้ที่เคยปวดท้องจากนิ่วแม้จะหายปวดแล้ว
ก็ควรผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกเช่นกัน เพราะจะต้องปวดอีก

(3) ปวดท้องจากการอุดตันของลำไส้ gut obstruction

การอุดตันของลำไส้ จะทำให้เกิดอาการปวดท้องตามแนวกลางลำตัว ตั้งแต่กลางท้องลงไป
ลักษณะอาการปวดเหมือนลำไส้ถูกบีบ เป็นระยะๆ ตามด้วยอาการอาเจียน และท้องอืด
ข้อแตกต่างจากโรคอาหารเป็นพิษ คือ ไม่มีอาการท้องเดิน
โรคนี้จำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลเช่นกัน เพราะก่อนอื่นต้องงด อาหาร
และอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

(4) ปวดท้องกรณีต่อไปนี้อาจจะยากในการวินิจฉัยเบื้องต้น หากไม่แน่ใจ
ควรปรึกษาแพทย์เช่นกัน ได้แก่ อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นกระทันหันและรุนแรง
อาการปวดท้องที่คงอยู่นานกว่า 4 ชั่วโมง โดยไม่ทุเลาเลย
อาการปวดท้องที่มีอาการอาเจียนหลายครั้ง
และอาการปวดท้องที่รักษาด้วยตนเองแล้วไม่ทุเลา




จาก BangkokHealth เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 46 เวลา 10:04:00 AM



เซทริซิน ค้นข้อมูลเพิ่ม ก็อปปี้จากเว็บอื่นมาเพื่ออ่าน

Cetrizin มีชื่อสามัญทางยาว่า Cetirizine เป็นยาแก้แพ้รุ่นใหม่ที่ใช้รักษาอาการแพ้อากาศ อาการแพ้อื่นๆ เช่น ผื่นลมพิษ

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาตัวนี้ที่พบได้บ่อย คือ ง่วงนอน (>10%) แต่จะเกิดในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น

เมื่อรับประทานยานี้แล้ว ไม่ควรขับรถหรือทำงานที่เสี่ยงต่ออันตราย และไม่ควรรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์

ปล. ที่ถามว่ามีความแรงมากไหม ไม่ทราบว่าหมายถึง ประสิทธิภาพของยา หรือผลข้างเคียงของยาค่ะ

ยาcetrizin® มีชื่อสามัญทางยาว่า Cetirizine โดยใน 1 เม็ดจะมีความแรง 10 mg ขนาดรับประทานคือครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง โดยยาตัวนี้เป็นยาในกลุ่ม Antihistamineหรือยาแก้แพ้ รุ่นที่ 3 โดยยาแก้แพ้จะแบ่งเป็น 3 รุ่น ทั้ง 3 รุ่นจะมีฤทธิ์ในการรักษาใกล้เคียงกัน แต่ยาแก้แพ้รุ่นที่3 นี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดผลข้างเคียงจากยา คือ ง่วงซึม สับสน มึนงง และลดจำนวนครั้งในการทานยาลงเหลือวันละครั้ง จึงสะดวกในการบริหารยามากขึ้น

//clumsycatz.diaryclub.com/20110330/%CB%D2%C2%E4%BB%B9%D2%B9%E0%C5%C2%E0%C3%D2



รูป Ofloxin



สวัสดีค่ะ

เราเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบมาประมาณ 5 ครั้ง (เป็นห่างๆกัน ประมาณปีละ 2-3 ครั้ง)
ครั้งล่าสุดเป็นเมื่อเดือนสิงหาคม กินยาก็หายไป เมื่อวานกลับมาเป็นอีกครั้ง

ครั้งนี้ก็กินยาตัวเดิมกับ 2 ครั้งก่อน คือ Ofloxcin 200mg ของ Siam เภสัชที่ร้านบอกให้กินก่อนอาหารเช้าเย็น 5 วัน
แต่เมื่อคืนเกิดอาการคลื่นไส้มาก และท้องเสียถ่ายเป็นน้ำเลย ก็พยายามจะหลับๆตื่นๆ จนมาอาเจียนเมื่อเช้าก็ดีขึ้น

พอจะทราบว่าอาการข้างเคียงของยาตัวนี้ทำให้ คลื่นไส้ ท้องเสีย อยู่แล้ว
แต่ถ้ามากขนาดนี้ก็ไม่ไหว รวมถึงอาการขมในปากด้วย กินน้ำก็ขม ยิ่งน้ำเย็นยิ่งขม เลยรบกวนถามว่า …

1. กินยา 3 วัน พอได้มั้ย หรือเสี่ยงต่อการดื้อยาเกินไป
2. ถ้าคลื่นไส้ กิน Molax-M ด้วยกันได้มั้ย
3. มียาตัวอื่นที่ผลข้างเคียงน้อยแนะนำมั้ยคะ เผื่อเป็นอีกจะได้เปลี่ยนยาดูค่ะ
4. มี Cranberry เม็ดอยู่ กินทุกวันติดต่อกันเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นอีกได้มั้ย กินมากมีผลเสียหรือป่าวคะ

ขอบคุณค่ะ

june_

โพสต์: 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 20:58

ข้างบน
Re: กระเพาะปัสสาวะอักเสบ Ofloxacin กับอาการข้างเคียง

โพสต์โดย DKNY » 14 พ.ย. 2011, 15:04
อาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบที่เป็นอยู่ อาจไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเสมอไปครับ
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ผู้ป่วยเป็นมาก อันดับต้นๆคือการอั้นปัสสาวะไว้นานๆและดื่มน้ำน้อย เชื้อ E coli ที่เป็นเชื้อหลักที่ก่อให้เกิดระบบทางเดินปัสสาวะอีกเสบมันก็ไม่ได้ติดง่ายๆครับ ถ้าร่างกายเราแข็งแรง และรักษาความสะอาดช่องคลอดดีๆ พูดง่ายๆ E.coli มันมาได้อย่างเดียวคือทางอุจจาระ
แล้วลุกลามเข้ามาสู่ทางเดินปัสสาวะได้ มันมีสาเหตุที่นำพามันเข้ามาได้ คุณลองหาดูนะครับว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง :razz:

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่เกิดจากการอั้นปัสสาวะนานๆ จะทำให้เกิดการอักเสบบริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากต้องรองรับปัสสาวะ
ที่ค้างปริมาณมากๆ ประกอบกับปัสสาวะมีความร้อน และเข้มข้นสูง และถ้ายิ่งมีเชื้อโรคคั่งในปัสสาวะด้วยก็จะเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น
ผมแนะนำว่าถ้าคุณเป็นปัสสาวะอักเสบบ่อยๆ ให้คุณไปที่โรงพยาบาล เพื่อดำเนินการตรวจสอบว่าใช่เชื้อที่ก่อโรคหรือไม่
สำหรับยา ofloxacin ไม่ใช่ทางเลือกแรกที่จะใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
ยังมียาพื้นฐานที่ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาได้หากติดเชื้อจริง
ดังนั้นไปตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดครับ ยาไม่ต้องกังวลครับมียาอีกหลายตัวที่รักษาได้ และผลข้างเคียงน้อยกว่า




ภาพ อุปกรณ์ขั้วไฟ





Create Date : 30 มกราคม 2555
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2556 16:32:32 น. 0 comments
Counter : 12301 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

LadyJoker
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]





" ซีเอ็นแอลไลท์ติ้งแอนด์อิเล็คทริค" จังหวัดนนทบุรี "

จำหน่ายอุปกรณ์ไฟ แทบทุกชนิดค่ะ
อยู่ใกล้ๆกับตลาดพระราม 5 ค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/home/topic/R8632927/R8632927.html

.....认识你们...我很高兴...

http://c-n-l.webiz.co.th/
เพื่อการศึกษาและความบันเทิงค่ะ

ตรงข้ามหมู่บ้านลัดดารมย์

ขอบคุณทีมงานบล็อกแกงค์ ทุกๆคนนะค่ะ



ตำแหน่งผู้จัดการ
Friends' blogs
[Add LadyJoker's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.