:::อยากเป็นนักเขียน:::
อยากเป็นนักเขียน
ผมอยากเป็นนักเขียนมากกว่าเป็นนักดนตรี... นั่นคือความรู้สึกก่อนที่ผมจะพาช่วงชีวิตหลุดผ่านเข้าสู่วงวิถีของนักดนตรี ผมถูกพลานุภาพแห่งสำนวนภาษางานเขียน ของครูนิมิต ภูมิถาวร สะกดให้ตรึงนิ่ง หนังสือส่งเสริมการอ่านนอกเวลาเรียนเรื่อง หนุ่มชาวนา คือหนังสือเล่มแรกที่ผมตะลุยอ่านรวดเดียวจบ และยังคงอ่านซ้ำอ่านซากอย่างไม่รู้เบื่ออีก ไม่ต่ำกว่า 20 รอบ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เหตุผลที่ให้ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การโหยหาภาพแห่งอดีตที่เคยเป็นอยู่... ภาพแห่งอดีตของเด็กหนุ่มวัย 14 ปี ที่ถูกรื้อทิ้งทำลายจนไม่เหลือหรอแค่ช่วงข้ามเดือน...
ปี 2524 ท้องทุ่งนาสูงต่ำในเขตตำบลบ้านผม ถูกไล่รื้อถากไถเส้นแบ่งคันนาให้กลับกลายเป็นนาผืนในระดับเดียวกัน ไม้ใหญ่ไม่เล็ก ถูกรถแทรกเตอร์ตีนตะขาบสีเหลืองวิ่งชนล้มระเนระนาด แบบถอนรากถอนโคนและถูกกวาดไปกองรวมเป็นภูเขาเลากา พื้นที่แปลงนาถูกจัดระเบียบขีดเส้นตีแปลงใหม่ รถบรรทุกวิ่งขนดินถมสร้างถนนกันขวักไขว่ รถแมคโครจ้วงขุดร่องคูคลองโยงใยเป็นสายส่งน้ำ ตามแผนการปฏิรูปที่ดินชั้นหนึ่ง ท้องทุ่งนาที่เคยรกครึ้มไปด้วยต้นไม้ กลับกลายเป็นผืนทุ่งโล่งเหมือนท้องทะเลทราย.... ภาพท้องทุ่งนาในอดีตไม่มีหลงเหลือ ให้ผมได้เดินเหยียบย่าง ต้นพุดทราที่เคยไต่ปีนขึ้นเขย่าลูกแดงเหลืองให้ร่วงกรูกราวไม่มี มะขามเทศฝักปริเนื้อสีขาวอมชมพูโปนออกนอกเปลือก ไม่มีให้ปีนเก็บและสอย หลังจากนั้นไม่นาน ฝูงควายที่ผมเคยไล่เลี้ยง ก็ถูกต้อนขึ้นรถหกล้อหายลับจากไป.... เสียงนกที่เคยเจื้อยแจ้ว ถูกทดแทนด้วยเสียงรถไถนาที่ดังระงมทุ่ง เหตุผลข้อนี้ จึงทำให้ผมวิ่งย้อนสู่อดีต ไปกับตัวหนังสืเล่มดังกล่าววันละหลายรอบ ตะวันจมหายไปทางปลายทุ่งโน่นแล้ว นกยางสีขาวบินโผลงนอนในพุ่มโสนกลางหนองหลวง ผีเสื้อ แมลงปอปีสีสวยบินโฉบกินยุงอยู่กลางทุ่ง ชาวนาเดินจูงควายกลับเข้าคอกเพื่อพักผ่อน เสียงกระดึงควายดังโกรกเกรก กรุ๋งกริ๋งท่ามกลางความเงียบ
สำนวนภาษาบรรยายฉากของท้องทุ่งยามเย็นฉากนี้ในหนังสือเล่ม หนุ่มชาวนา นี้ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดถึงอดีตเมื่อวันวานมิเว้นวาย... ผมจ่อมจมอยู่กับหนังสือเล่มนี้อยู่เนิ่นนาน กว่าจะได้ค้นพบว่ายังมีหนังสือวรรณกรรมแนวชนบทอีกมากมาย หลากล้น อยู่ในห้องสมุดโรงเรียน.... หนังสือจากห้องสมุดถูกผมหยิบยืม ไล่อ่านในพ.ศ.นั้น ทุกเล่มล้วนเกี่ยวเนื่องกับท้องไรท้องนาทั้งสิ้น ปี 2526 เรื่องสั้นเรื่องแรกของผมที่ชื่อ เด็กท้องนา ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ ฟ้าเมืองไทย ของคุณลุงอาจินต์ ปัญจพรรค์ ขณะผมกำลังเรียนอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 คุณครูภาษาไทยตื่นเต้นดีใจไปกับผม พร้อมเตรียมไว้เพื่อวันรุ่ง เขาจะกล่าวชื่นชมผมที่หน้าเสาธง แต่พอรุ่งเช้าของอีกวัน เรื่องสั้นเรื่องแรกของผมในหน้าหนังสือก็ถูกมือดีฉีกหายไปจากห้องสมุด... จากเด็กตัวอย่างที่ดีอาจกลายเป็นเด็กตัวอย่างไม่ดีได้ หากคุณครูและทุกคนในโรงเรียนเข้าใจตรงกันว่า คนที่ขโมยฉีกเรื่องสั้นอาจเป็นเจ้าของเรื่องที่ได้ตีพิมพ์ คุณครูจึงงดที่จะแนะนำนักเขียนนักเรียนมอ. 4 ที่หน้าเสาธง...
กำลังใจและไฟพลังอันล้นเหลือจากเรื่องสั้นตีพิมพ์เรื่องแรกได้พุ่งดันเรื่องสั้นฉากท้องไร่ท้องนาแบบเดิม ๆ ออกมาอีกนับสิบเรื่อง จนครูอาจินต์ ปัญจพรรค์ ต้องออกมาห้ามเอาไว้ด้วยคอมเมนต์แนบจดหมายตอบกลับว่าควรมีมุมมองใหม่ ในเรื่องสั้นแนวลูกทุ่ง ก็จะอะไรเสียอีก ก็ในเมื่อขณะที่ท้องไร่ท้องนาลั่นระงมไปด้วยเสียงเครื่องรถไถนา และคลุ้งกลิ่นน้ำมัน เรื่องสั้นของผม กลับยังย่ำย้ำซ้ำ ๆ อยู่กับฉากท้องทุ่งที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นโคลนสาบควาย แบบชนิดไม่ทีท่าว่าจะยอมเปลี่ยนแปลงเอาง่าย ๆ ฟืนไฟความใฝ่ฝันของความอยากเป็นนักเขียนของผมมอดดับสนิทเมื่อตอนขึ้นอยู่ชั้นมัธยมปี่ที่ 6 เมื่อเรื่องสั้นที่เขียนกับเรื่องที่มีแววว่าจะได้ตีพิมพ์ไม่มีความสมดุลระหว่างกัน พูดง่าย ๆ หลังจากเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ได้ตีพิมพ์ ผมเขียนและส่งเรื่องสั้นไปหนังสือ ฟ้าเมืองไทย อีกไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง แต่ไม่เคยได้รับการตีพิมพ์อีกเลย... ผมเริ่มสนุกกับการเป่าแคนในวงดนตรีลูกทุ่ง จนลืมว่าเคยอยากเป็นนักเขียน...
จวบจนกระทั่งคืนวันหนึ่ง คืนที่ผมดุ่มเดินตัดทุ่ง มุ่งสู่จอหนังกลางแปลงที่ฉายฉลองงานบวชพระในหมู่บ้าน... หนังไทยเรื่องนั้น (จำชื่อไม่ได้) กระชากวิญญาณของความเป็นนักเขียนของผมให้พวยพุ่งแตกพล่าน อยุ่ในทุกอณูของร่างกายขึ้นมาในทันที ฉากของพระเอก ทูน หิรัญทรัพย์ ที่กำลังนั่งอยู่หน้าแป้นพิมพ์ดีดฉบับกระเป๋าหิ้ว พร้อมถ้อยคำอ่านไล่ทวน อักษรบรรยายฉากแรกเริ่มเรื่องนวนิยายเของเขา ที่ระเบียงคฤหาสน์ร้างหลังหนึ่ง คือภาพในจอหนังกลางแปลงที่ทำให้ผมเกิดอยากเป็นนักเขียนขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ปี่มีขลุ่ย อีกปีต่อมาผมตัดสินใจไปสมัครเรียนที่โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึงในตัวเมือง ด้วยเหตุผลเดียวจริง ๆ คืออยากจะพิมพ์ดีดเป็น จะได้เอาใช้ไว้เขียนเรื่องสั้น และนิยาย แต่ก็นั่นแหละ พิมพ์ดีดได้ ไม่ใช่จะทำให้เป็นนักเขียนได้ซะเมื่อไร เป็นเพราะผมขาดคุณสมบัติขั้นต้นของการเป็นนักเขียน ผมขาดความอดทนและขยันที่จะเขียน สุดท้ายความมุ่งมั่นเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักเขียนจึงถูกพับและพังลงอย่างไม่เป็นท่า
จำได้ว่าหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ผมเริ่มเขียนบทกวี ที่มีเนื้อหาสะท้อนความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ และได้รับการตีพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่ได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนกวีหลาย ๆ คนที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง แรงขับและแรงบันดาลใจจึงมีอยุ่มากมาย ให้ขับเคลื่อนออกมาเป็นผลงาน จึงกล่าวได้ว่า ปี 2535 2536 คือ 2 ปีที่ผมเขียนงานเรื่องสั้น และบทกวี ได้ตีพิมพ์มากที่สุด (กว่าร้อยชิ้นงาน) ด้วยหลากหลายนามปากกา แต่พอผมย้อนกลับสุพรรณบ้านเกิดอีกครั้ง ผมกลับเขียนงานและได้รับการตีพิมพ์ ไม่น่าจะเกินนิ้วมือนับสองมือ... เวลาการเขียนหนังสือของผมถูกอ้างเอาเองว่าได้ถูกดึงจมหายไปในงานดนตรีหมดแล้ว...... จวบจนต้นปี 2550 ผมกลายเป็นคนอยากเขียนหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากได้สมัครเป็นสมาชิก บล๊อคโอเคเนชั่น นอกเหนือความคาดหมาย ก็คือ แค่เพียงปีเดียว ผมกลับกล้าหาญชาญชัย ขนาดดึงเรื่องที่เป็นความเรียงจากในบล๊อคตัวเองนั้น ออกมารวมเล่มเป็นหนังสือทำมือ ได้ถึง 2 เล่ม หนำซ้ำเรื่องที่คัดออกมานั้น ผมยังทำตัวเป็นบรรณาธิการเอง ปรู๊ฟตัวอักษรเอง จัดหน้า ออกแบบรูปเล่มเอง ลงทุนพิมพ์เอง แล้วยังขายเองโดยไม่พึ่งสายส่งอีกต่างหาก หรือชาตินี้ผมจะได้เป็นนักเขียนจริง ๆ แล้ว (มั๊ง) ....... เชิญหยิบจับลูบคลำผลงานหนังสือทำมือ และ เทปใต้ดิน ของศิลปินโฟล์คเหน่อได้ที่ งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม - 7 เมษายน 2551 ที่บูธ U 19 โซน C ชั้น 2 "> เพลง บ้านไม้เก่า คำร้อง ทำนอง ขับร้อง ศิลปินโฟล์คเหน่อ
Create Date : 27 มีนาคม 2551 |
Last Update : 27 มีนาคม 2551 21:35:54 น. |
|
5 comments
|
Counter : 484 Pageviews. |
|
|