ขำกันให้ได้ทุกที่ มีความสุขให้ได้ทุกวัน
 

((( ปายยยมั้ยพี่ปายยย ))) เรื่องเล่าน่าจะสั้น แต่มันยาวอ่ะ ทำไงดี (ตอนที่3)

เอกอี๊เอ้กเอ้กกกก ... ไม่ได้ยินเสียงไก่ที่นี่ขันซักกะแอะ

แต่เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 5 ครึ่ง ตั้งใจว่าจะไปตักบาตร

ตอนเช้าเพื่อเป็นสิริมงคล เช้านี้หนาวจัง แค่ล้างหน้า

แปรงฟันก็พอ เดี๋ยวไปขี้ เอ๊ย..ไปขี่ช้างแล้วก็ได้เล่นน้ำ

ด้วย ไม่ต้องอาบน้ำให้หนาว เราเดินออกไปจากที่พักน่า

จะ 6 โมง แต่ฟ้าก็ยังไม่สว่างดีซักเท่าไหร่ บ้านเรือนก็

เงียบๆ ไม่รู้เค้าตักบาตรกันตรงไหน เดินมั่วๆ ไปแถวๆ

ถนนที่มี 7-11 ก็แล้วกัน มีร้านค้าจัดชุดใส่บาตรไว้ก็คิดว่า

คงเป็นแถวนี้แหละ แม่ค้าบอกว่า พระที่นี่จะมีบิณฑบาต

ถึงประมาณ 8 โมงถึง 8 โมงครึ่ง ที่บิณฯ สายเพราะเป็น

พระที่มาไกล บางทีเป็นพระธุดงค์ เราแอบเสียดายเล็กๆ

ที่บรรยากาศไม่เหมือนที่หลวงพระบาง ที่นั่นมีพระเดินรับ

บิณฑบาตเยอะมาก แต่ก็ยังดี อยู่กทม.ไม่ได้ตื่นเช้ามา

ใส่บาตรแบบนี้แน่ๆ หมดเงินไป 260 บาทสำหรับทำบุญ

ตักบาตรในเช้าวันนี้


ระหว่างที่ใส่บาตรก็เจอเปาและเพื่อนๆ มาใส่บาตรด้วย

เหมือนกัน ระหว่างรอพระมามีโอกาสได้ถ่ายรูปด้วยกัน

2-3 ใบ (เท่านั้นตลอดทริป)




เราบอกเปาว่าสายๆ เราจะไปขี่ช้าง ถ้าสนใจลองถามร้าน Thom’s ดู ไม่แน่อาจจะได้ร่วมทริปขี่ช้างด้วยกัน


เสร็จภารกิจตักบาตรก็หาของกิน เรากินโจ๊กไก่อิสลาม

15 บาท อร่อยมาก บุ๋มกินข้าวเหนียวเนื้อฝอย 10 บาท

กาแฟ 10 บาท มีหมูปิ้งด้วยแหละ (กาแฟกะข้าวเหนียว

หมูปิ้งมันเข้ากันยังไงเนี่ย)






เอ้อระเหยอยู่แถวนั้นจนเกือบ 8 โมง ต้องรีบกลับที่พักมา

เตรียมตัวไปขี่ช้าง ระหว่างเดินกลับที่พักก็แวะถ่ายรูปไป

ตามทาง



(ยังใช้โฟโต้ช็อปไม่เก่ง เลยไม่ได้แต่งภาพให้เนียน)


ถึงที่พักแล้วบุ๋มยังพอมีเวลาอึอีกเล็กน้อย พอ ได้เวลา

8.30 บุ๋มขี่มอไซค์มาถึงที่นัดหมายหน้าร้าน Thom’s ตรง

ข้าม ธ.กรุงเทพ เมื่อคืนที่จองทริป เค้าบอกว่ามีกลุ่มนัก

ท่องเที่ยวต่างชาติเยอะเลย แต่เอาเข้าจริงๆ มีฝรั่ง 5 คน

แล้วก็เราคนไทย 2 คน นั่งรถกระบะลมโกรกกันไป โคตร

หนาวเลย หน้างี้ตึงเชียว


ถึงที่แคมป์ เค้าให้เราให้อาหารช้าง เพื่อทำความคุ้นเคย

กับช้างก่อน เราส่งตัวแทนไปให้กล้วยช้าง นั่นก็คือบุ๋ม




ซักพักเค้าก็ให้พวกเราขึ้นช้างทีละคน โดยให้นั่งที่หลังช้าง

เลย นึกแล้วจั๊กกะจี๋แฮะ คู่แรกเป็นสามีภรรยาลุยๆ

หน่อย คู่ที่2 เป็นสามีภรรยา สูงอายุ เค้ากลัวความสูงเลย

ต้องเอาเสลี่ยงมาใส่หลังช้างแล้วนั่ง ส่วนเรากะบุ๋มและฝรั่ง

สาวอีก 1 คน (แอบรู้มาว่าชื่อ Anat เป็นชาว USA) ต้อง

ร่วมช้างเชือกเดียวกัน เจ้าหน้าที่จัดให้ Anat ขึ้นก่อน ตาม

ด้วยบุ๋มและเรา น่ากลัวเหมือนกันนะ รู้สึกเกร็งแล้วก็เจ็บ

ก้นมากๆ ด้วย ช้างออกเดินกันไป 3 เชือก ช้างเชือกที่เรา

นั่งชื่อ พนม เป็นชายอายุ 48 ปี ช้างที่หนุ่มสาวนั่งชื่อ

อ๊อด เป็นสาวใหญ่วัย 47 ปี และตัวเล็กที่ใส่เสลี่ยงชื่อ ....

(อะไรหว่าจำไม่ได้) อายุ 9 ปี ในการเดินทางครั้งนี้

พนม จะเป็นจ่าฝูง แต่ชอบแวะกินหญ้าข้างทางอยู่เรื่อย

ระหว่างทาง อ๊อดจะเทียวไล้เทียวขื่อเจ้า หนุ่มน้อยนี้อยู่

เรื่อยๆ บางทีก็ทำท่าจะผสมพันธุ์ซะงั้น อ๊อดชอบเด็กอิน

เทรนด์จริงๆ เดินไปได้ซักพัก ควาญช้างบอกให้เรา

เขยิบไปข้างหน้า ไปนั่งตรงคอช้าง เค้าบอกว่ามันนิ่ม ลอง

ขยับไปแบบเสียวๆ เออ นิ่มจริงๆ แฮะ แต่ก็ยังเจ็บอยู่

เหมือนกัน




หันไปดูบุ๋มกับ Anat นั่งขากางแข็งกันเลยเชียว งานนี้ ถึง

ที่หมายสงสัยเดินขากางกลับบ้านแน่ๆ




ระหว่างทางเราก็มีสื่อสารกับ Anat บ้างอย่างง่ายๆ ท่าทางเธอ Happy ดี



ในเส้นทางที่ช้างเดิน มีขึ้นเขาลงเขาบ้าง ตอนขึ้นเขา คนที่

เสียวคงเป็น Anat เพราะนั่งรั้งท้าย แต่ถ้าเป็นตอนลงเขานี่

สิ เรานั่งตรงคอช้าง เสียวมากเลย ประกอบกับน้องควาญ

ช้างอีกคน ดันตะโกนบอกให้ระวัง เดี๋ยวช้างจะวิ่งลงเนิน

จะบ้าตาย เราก็ร้องกรี๊ดไว้ก่อน ก็มันกลัวนี่นา แต่จริงๆ

แล้ว ช้างเค้ารู้ว่าทางแบบไหนเค้าจะต้องเดินแบบไหน เค้า

เดินแบบนี้วันละไม่รู้กี่รอบคงชินแล้วแหละ


เดินมาไกลพอสมควร ควาญช้างบอกว่าใกล้ถึงแม่น้ำ

แล้ว เราก็เตรียมตัวถอดเสื้อกันหนาวเก็บข้าวของที่คิดว่า

จะเปียกใส่ถุง แล้วฝากเจ้าหน้าที่ไว้ (มีเจ้าหน้าที่ตามถ่าย

วิดีโอ) เราคิดว่าเดี๋ยวช้างจะลงเล่นน้ำแบบที่เคยเห็นใน

รูป คือเดินลุยน้ำแล้วพ่นน้ำบ้างประปราย ที่ไหนได้ คุณ

ลุงควาญช้างสั่งให้เจ้าพนมหมอบ ทีนี้แหละเราหล่นน้ำ

เลย เพราะช้างมันทรุดตัวนั่งลงด้วยขาคู่หน้า แล้วเราอยู่ที่

คอช้าง จะไม่ร่วงได้ยังไง หงายท้องหล่นน้ำไปเลย แถม

น้ำเย็นเจี๊ยบอีกต่างหาก แล้วยังไหลแรงอีกด้วย ตอนนั้น

คิดว่า เราพลาดที่จับไว้ไม่ดี ที่ไหนได้ บุ๋มหล่นลงมาด้วย

ฮ่าๆๆๆ โคตรขำเลย ส่วน Anat ร่วงลงมาทีหลัง ทีนี้ควาญ

ช้างก็ให้ Anat ขึ้นไปนั่งที่คอช้าง ตามด้วยบุ๋ม และเรารั้ง

ท้าย คิดว่ารอดแล้ว ที่ไหนได้ คุณลุงให้พนม หมอบ

อีกรอบ คราวนี้แหละถึงได้รู้ว่ามันเป็นมุขของเค้า ลงน้ำทีนี้

หูอื้อ แถมทรายเข้าตาอีก ขึ้นมาร้องบอกคุณลุงควาญว่า

ไม่เอาแล้วๆๆๆ เจ้าพนมก็ได้แต่พ่นน้ำมาที่พวกเราแทน

แล้วก็ขึ้นฝั่ง แค่นี้ก็สนุกแล้ว จากนั้นช้างก็พาพวกเรากลับ

ไปที่แคมป์ตามเดิม ถึงที่นั่นเค้า Play ภาพที่เราตกน้ำให้

ดู คู่สามีภรรยาขาลุยนั่นก็ตลก พุ่งตัวลงน้ำได้ฮาดี ส่วนคู่

คนแก่ นั่งเสลี่ยงเลยไม่ได้ลงน้ำ ดูเสร็จเค้าก็บอกขาย

แผ่นวิดีโอนั่น แผ่นละ 600 จะบ้าตาย ไม่ได้แอ้มเงินชั้น

หรอก


เสร็จแล้วเค้าก็ให้เราไปแช่ตัวในบ่อน้ำร้อน มี 3 บ่อ ก็มีคู่

เรา คู่สามีภรรยาขาลุย และ Anat ที่ไปแช่ คราวนี้เรา

เหมือนเป็นผู้นำกลุ่มยังไงไม่รู้ ฝรั่งทำตามเราทุกอย่าง

เลย เราก็พูดอังกฤษไม่เก่งหรอกนะ แต่ขำเอิ๊กอ๊ากกันไป

ได้ แช่ได้ซักพักก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินทางกลับในเมือง

ขากลับรถมอไซค์เราดันสตาร์ทไม่ติด พอดีเจอกลุ่มเปา

เพื่อนอีกคนก็มาช่วยแต่ไม่สำเร็จ จำต้องเข็นรถคันนี้ไป

เปลี่ยนที่ร้าน aya ดีนะที่มาเสียในเมือง


(อ่านต่อตอน 4)




 

Create Date : 13 มีนาคม 2550    
Last Update : 13 มีนาคม 2550 0:57:12 น.
Counter : 737 Pageviews.  

((( ปายยยมั้ยพี่ปายยย ))) เรื่องเล่าน่าจะสั้นแต่มันยาว ทำไงดี (ตอนที่ 2)

เราจองตั๋วนกแอร์เที่ยวเช้าสุดเอาไว้ เครื่องออก 06.15

ต้องไปถึงสุวรรณภูมิ 05.00 น. นั่นหมายถึงเราต้องตื่น

02.30 น. เพื่ออาบน้ำเตรียมตัวออกจากบ้านตอน 03.45

เวลานี้นั่งแท็กซี่คงน่ากลัว แถมค่ารถอีกบานตะไท เปาบิน

ไปก่อนแล้วเมื่อวานตอนค่ำ เรียกแท็กซี่จากแถวเซ็นทรัล

พระราม3 ไปสุวรรณภูมิ เบ็ดเสร็จ 420 บาท

แล้วนี่บ้านเราอยู่เส้นปิ่นเกล้า-นครชัยศรีจะเท่าไหร่ล่ะ

เนี่ย สุดท้ายเดือดร้อนต้องให้ท่านพ่อไปส่ง (ขากลับพ่อ

หลงทางด้วย เพราะเพิ่งเคยไปสุวรรณภูมิครั้งแรก)


ถึงสุวรรณภูมิ 04.35 น. เช็คอินเรียบร้อย เครื่องออกช้าไป

แค่ 10 นาที ถึงเชียงใหม่ 07.25 น. รอรับกระเป๋าแล้ว

แวะฉี่กันก่อน หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล ออกมาหน้า

สนามบินยังเอ๋อกันอยู่เล็กน้อย ว่าจะนั่งรถสองแถวแดงไป

อาเขตแต่ใจไม่กล้าพอ เห็นเจ้าหน้าที่ของสนามบินเชื้อ

เชิญให้ขึ้นแท็กซี่ของสนามบิน (ป้ายเขียว) คิดว่าน่าจะโอ

เค สนนราคาที่ 160 บาท ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 20

นาที 8.15 น. ก็ถึงอาเขต เดินวนเอ๋อๆ อยู่อีกซักรอบที่

อาเขต ... นั่นไง เจอแล้ว เห็นรถเชียงใหม่ - ปาย จอดอยู่

ทั้งรถตู้และรถบัส ดูได้อารมณ์การเดินทางต่างจังหวัด

มากๆ แต่เราขอบาย ไปนั่งรถตู้น่าจะดีกว่า




(ไม่ได้ไปคันนี้นะ)



เราซื้อตั๋วรอบ 8.30 ไม่ทัน รอบนี้เป็นรอบรถมินิบัสติดแอร์

เสียด้วย เสียดายเต็มซะแล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่ามีวิ่งแค่วัน

ละ 1 เที่ยว ขาไปจากเชียงใหม่ออก 8.30 น. ส่วนขากลับ

จากปาย 14.00 น. คิดไว้แล้วว่าขากลับเราต้องจองกลับ

คันนี้ให้ได้ ดูไฮโซมากๆ ราคา 150 บาทเท่ากับรถตู้เลย


ระหว่างรอรถรอบ 9.30 น. ไปหาอะไรรองท้องกันก่อนดี

กว่า เมียงๆ มองๆ เอาวะร้านนี้แหละ เป็นเพิงๆ หลังคิวจอด

รถสองแถว มีฝรั่งนั่งกินอยู่แล้ว 2 คน สั่งกาแฟ 1 ถ้วย

+ ปาท่องโก๋ 3 ตัว + ไข่กระทะ 1 ที่ กินกันพอเป็นพิธี

หมดไป 46 บาท ระหว่างนี้ก็โทรหาเปา บอกข้อมูลการ

เดินรถคร่าวๆ เปาบอกว่าสงสัยจะมารอบเดียวกับเราไม่ทัน

เพราะเพื่อนๆ ยังไม่เสร็จ


เหลือเวลาอีก 10 นาทีรถจะออกแล้ว ดันปวดอึ ลึกๆ ก็

ดีใจเหมือนกัน จะได้โล่งไม่ต้องกังวลระหว่างเดินทาง พอ

อึเสร็จออกมาเจอเปาและเพื่อนอีก 4 คน กลุ่มนี้จะไปรถ

รอบ 11 โมง ส่วนเราใกล้เวลารถออกแล้วขึ้นไปนั่งประจำ

ที่ด้านหลังคนขับ เบาะหน้าติดประตูด้านซ้าย 2 ที่ (จองไว้

แล้วระบุที่นั่งได้) ด้านขวามีชายหนุ่ม 1 นาย คาดว่าเป็น

คนพื้นที่ หรือไม่ก็เป็นชาวเขาเสียด้วยซ้ำ มองออกไป

นอกรถ ยังคงเห็นกลุ่มเปาและเพื่อนสาละวนกับการเดิน

ทางอยู่ หน้านิ่วคิ้วขมวด สนทนาโต้ตอบกันซักพัก แล้ว

พวกหล่อนก็หิ้วกระเป๋ากันไปอีกด้านหนึ่ง เรากับบุ๋มหันไป

ดู คิดว่ากลุ่มนี้คงอดใจรอรถตู้รอบ 11 โมงไม่ไหว

เหมารถกันไปแน่ๆ


9.40 รถออก คุณลุงขับกินลมไปเรื่อยๆ 10.00 น. ขอ

แวะเติมน้ำมัน เติมเสร็จขับเอื่อยๆ ไปเจอแม่ค้าขาย

ล็อตเตอรี่ก็แวะซื้ออีก คุณลุงขับรถอืดมาก ไม่ได้เร็วเลย

นะแต่เวียนหัวพิลึก นี่ขนาดทางราบนะ ไม่อยากจะคิดเลย

ว่า... ถ้าขึ้นเขาจะขนาดไหน (ระหว่างนี้ก็เริ่มควักยาดม

แล้ว)





รถแล่นออกนอกเมืองไปได้ซักหน่อย ประมาณ 20นาที

ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ก็ถอดรองเท้า เราเหลือบไปเห็นพอดี

อื้อหือ...กลิ่นเท้าแผ่วๆ ลอยมาเตะจมูกทันที จะไม่ให้

เหม็นได้ยังไง ก็ลักษณะรองเท้าของเขา เป็นเหมือน

รองเท้าไทเก๊กอ่ะ เวียนหัวชะมัด ยังบอกกับบุ๋มเลยว่า

สงสัยไม่เมารถหรอกแต่เมากลิ่นเท้าแทน เพราะกลิ่นมัน

โชยระเรื่อๆ ถึงจะไม่ได้เหม็นสุดๆ แต่มันโชยมาเป็น

ระยะๆ ต้องควักยาหม่องน้ำมาป้ายจมูกตลอดทางเลย รู้งี้

กินยาแก้เมาซะดีกว่าจะได้หลับให้รู้แล้วรู้รอด ขณะนั่งรถ

ก็พยายามจะหลับก็ได้แต่หลับตา ร่างกายไม่ได้หลับ

ด้วย คุณลุงก็ซิ่งเหลือเกิน ทีทางราบขับซะอืด ทางโค้ง

หักศอกพี่แกเมามันเหลือเกิน ทั้งดมยา ทั้งกินฮอลล์ กิน

มะขาม โด๊บไปเยอะมาก เรียกว่าดมยาจนแสบจมูก กิน

ลูกอมจนแสบปาก ท้องไส้ก็ปั่นป่วน อดทนไว้อีก 30

โลเท่านั้น!


โฮก....กก.. มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ บุ๋มส่งถุงก๊อปแก๊บที่อยู่

ข้างหน้ามาให้ อ๊ายอาย รอบแรกเล่นไป 3-4 โฮก มีเรา

คนเดียวที่อ้วก พยายามอ้วกแบบสงบที่สุด กลัวคนอื่นจะ

ได้กลิ่นด้วยแหละ ดีนะที่ไม่ได้กินอะไรเหม็นๆ มา เกือบ

แล้ว..อีก 12 โล ลมตีในท้องอีกแล้วอยากจะลองอีกซัก

โฮก....แต่มันไม่ออก ผะอืดผะอมมาจนถึงท่ารถที่ปายจน

ได้


12.30 ถึงท่ารถแล้วมึนงงชั่วขณะ หมดเรี่ยวหมดแรง

แดดจ้ามากๆ ด้วย เอาไงต่อดีกระเป๋าโคตรหนักเลย บุ๋ม

เดินไปถามคุณลุงคนเดิม “เช่ารถได้ที่ไหนคะ” คุณลุงชี้

ไปทางซ้ายมือ ป้ายสีแดงๆ นั่นไง ร้าน aya อืม.. ร้าน

ใหญ่น่าเชื่อถือ เราทำการเช่ารถฮอนด้าดรีม 1 คัน ราคา

เช่าวันละ 100 บาท เค้าถามว่าทำประกันด้วยมั้ย มีประกัน

รถล้ม 40 บาท ประกันรถหาย 40 บาท จะทำอย่างเดียว

หรือ 2 อย่างก็ได้ เราตัดสินใจทำอย่างแรก พร้อมมัดจำ

ค่าหมวกกันน็อค ใบละ 100 บาท ว่าแล้วก็ออกรถ ทำ

อย่างกะรู้จักถนนหนทางกันดีงั้นแหละ ถามทางเขาทั้ง

นั้น




บุ๋มเป็นคนขี่ เห็นว่าเป็นเด็กตจว.หรอกนะ ถึงยอมให้ขี่

น่ะ (ที่จริงเราก็ขี่ได้ แต่ไม่แข็ง) ขี่ตรงไปเรื่อยๆ ไปเจอ

ทางตันซะนี่ แถมเป็นทางลาดลงสะพานไม้ไผ่ (ยอด

ฮิต) อีกต่างหาก ก็เลยต้องกลับรถ บุ๋มให้เราลงก่อน

เพราะประคองรถไม่ไหว เราลงจากรถพร้อมสะพายเป้

สัมภาระใบใหญ่เกินตัวไว้ 1 ใบ แล้วอุ้มของบุ๋มไว้ 1 ใบ

ประกอบกับยังมึนไม่หาย ลงจากรถมาก็หกล้มไม่เป็นท่า

อ๊ายอาย (ครั้งที่2) ฝรั่งเดินผ่านมาถามว่า “มีไรให้ช่วย

มั้ย” “อ๋อ.. ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” เจ็บเข่าแถมอายอีก

ทุลักทุเลพอสมควร ขี่รถมาได้อีกหน่อยนึงตรงหน้าปายวิ

ลเลจ ก็จอดถาม “วิลล่าเดอปายไปทางไหนคะ” เขาก็

ชี้ โน่นไง จะบ้าตาย.. ห่างกันแค่ 3 เมตร อ๊ายอาย อีก

แล้วครับท่าน เรารอเช็คอินประมาณ 20 นาที บุ๋มซื้อ

สไปรท์มาให้กินเพิ่มพลัง ไม่นานนักก็ได้เข้าที่พัก








ดูแล้วก็โอเคนะ เวลานี้แดดแรงจริงๆ แต่ก็ยังมีลมพัด

เอื่อยๆ เสียดายที่น้ำน้อยไปหน่อย มันก็เลยดูแห้งแล้งไป

ซักนิด เรายังคงเพลียอยู่ก็นั่งๆ นอนๆ พักผ่อนอยู่

ระเบียงหน้าบ้าน ประกอบกับเปิดขาดูหัวเข่าที่หกล้ม ยัง

เจ็บอยู่ท่าทางจะเขียวในไม่ช้านี้ด้วย ทายาหม่องกันไว้

ก่อนดีกว่า จากนั้นบุ๋มก็ไปอึ (ความสุขของหล่อนจริงๆ)


ตายๆๆ บ่ายสองแล้ว ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย ใน

รีวิวแนะนำร้านน้องเบียร์เอาไว้ เราสองคนขี่รถมุ่งหน้าไป

ร้านน้องเบียร์ ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน อาศัยขี่วนๆ เอา

เดี๋ยวก็เจอ แล้วก็เจอจริงๆ เจอเปากะเพื่อนๆ นั่งกินส้มตำ

กันอยู่ข้างถนน (ฟังแล้วทะแม่งๆ มั้ยเนี่ย) ทักทายกัน

ตามประสา

แล่นมาอีกนิดก็ถึงร้านน้องเบียร์ ดูบรรยากาศก็งั้นๆ นะ เรา

สั่ง ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ (เมนูพิเศษมากๆ) บุ๋มสั่ง

ข้าวซอยไก่ ที่เค้าลือกันว่าอร่อย แต่จริงๆ แล้ว ไม่เห็น

อร่อยเลย ทั้งเขียวหวานทั้งข้าวซอย กินเหลืออีกต่างหาก

หมดไป 75 บาท เป็นอันว่าไม่ประทับใจ




เสร็จจากร้านน้องเบียร์ประมาณ 14.30 น. เราขี่รถวนหา

ปั๊มน้ำมันอยู่หลายรอบ เติมเต็มถัง 80 บาท ที่จริงบุ๋มจะให้

เติม 40 บาท แต่เราเห็นว่าทางที่จะไปเที่ยวก็ไกลอยู่ แล้ว

ไม่น่าจะมีปั๊มน้ำมัน กลัวมีปัญหาเลยให้เติม 80

(ขี่อยู่ 3-4 วัน เข็ม F แทบไม่กระดิก เซ็งจริงๆ) หลังจาก

เติมน้ำมันแล้วก็ขี่วนดูโน่นนี่ในตัวเมืองซักพัก แดดร้อน

มากกลับมานอนพักที่บ้านดีกว่า ถึงบ้านก็มาเล่นเน็ต ที่

นี่เค้ามีเน็ตให้เล่นฟรีดีจริงๆ ส่วนบุ๋มนั่งๆ นอนๆ ใส่แว่นดำ

อ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียง ไม่รู้แอบหลับบ้างรึเปล่า




ดูนาฬิกาห้าโมงครึ่งแล้ว ได้เวลาอาหารเย็นอีกแล้วสิเนี่ย

(กลางวันกินไปน้อย) เราขี่รถไปกินผัดไทหน้าวิน ตามรีวิว

ของเพื่อนๆ ในห้อง BP สั่งผัดไท 2 จาน 40 บาท ไม่สั่งน้ำ

เพราะตั้งใจว่าจะไปกินน้ำสมุนไพร (ตามรีวิวอีกแล้ว)

อยากจะบอกว่า ผัดไทหน้าวิน ไม่เห็นอร่อยเลย ทำไมเค้า

ว่าอร่อยกันจัง หรือว่าเราเคยกินที่มันอร่อยกว่านี้มาแล้ว




เยื้องร้านผัดไทไปไม่ไกล มีโรตีขาย สั่งโรตีราดช็อคโกแลต 1 อัน 10 บาท อืม.. อันนี้สิอร่อย



ฟ้าเริ่มสลัว คนเริ่มออกมาเดินเล่นกันเยอะแล้ว คิดว่าเอา

มอเตอร์ไซค์ไปเก็บก่อนแล้วค่อยออกมาเดินเล่นชม

บรรยากาศยามค่ำจะดีกว่า เพราะที่พักกับที่เดินเล่น ไม่

ไกลกันมากนัก เห็นน้ำสมุนไพรแล้วแหละ แต่คิดว่าคง

กินไม่ได้แน่ๆ สุดท้ายหันไปพึ่งสแปลชขวดละ 13 บาท

เดินไปอีกหน่อย เห็นคนอิสลามขายข้าวเหนียวมะม่วงดูน่า

กินมาก ซื้อมา 1 กล่อง 20 บาทเค้ารับประกันว่าหวาน

บุ๋มเหลือบไปเห็นในร้านมีขนมที่เด็กๆ กินกันเลยอยากลอง

กินบ้าง เรียกขนม “ข้าวซอยตัด” ถุงละ 15 บาท เดินไป

ชิมไปเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เหนียวติดฟันด้วย ระหว่าง

เดิน ก็มีหมามาเดินตาม ทำสายตาเว้าวอน บุ๋มก็เลยแบ่งให้

กินบ้าง จากนั้นมันตามเรามาตลอดทางเลย




บุ๋มดูในหนังสือท่องเที่ยว เขามีขี่ช้างที่ปายด้วย ไหนๆ มา

แล้วลองไปขี่ช้างกันดีกว่าดูสิว่าจะต่างจากที่เราเคยไปขี่กัน

ที่สังขละบุรีรึเปล่า เราแวะที่ร้าน Thom’s เห็นเค้าลงใน

หนังสือ ตัดสินใจซื้อแพ็คเกจคนละ 600 บาท โคตรแพง

เลย แต่ก็เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ นัดให้มาขึ้นรถที่ร้าน

8.30 น. ใช้เวลาประมาณ 2-3 ช.ม. ได้ขี่ช้างแล้วได้อาบ

น้ำร้อน ให้เตรียมชุดมาเปลี่ยนด้วย ตอนเดินกลับที่พัก

บุ๋มเห็นร้านขายขนมจีนอยู่ริมถนนขอแวะกินซะหน่อย สั่ง

ขนมจีนน้ำเงี้ยว+แคบหมูมากิน บอกว่าอยากลองน้ำเงี้ยว

เป็นไงล่ะไม่อร่อยล่ะสิ ที่จริงมันอาจจะอร่อยก็ได้นะแต่คง

ไม่ถูกปากเราซักเท่าไหร่ มื้อนี้จ่ายไป 20 บาท หิวน้ำจัง

เหลือบไปเห็นกระติกน้ำเขาเขียนว่าบริการตัวเอง พอดีมี

คนนั่งกินอยู่ตรงนั้นเราก็เลยไมกล้า สุดท้ายคือ แวะซื้อน้ำ

ระหว่างเดินกลับอีก 10 บาท


เฮ้ย.. ร้านนี้ (CAFE’ DA VINCI GELATERIA) มี

ไอติมด้วย พุ่งเข้าไปดู โห..น่ากินจัง ลูกละ 39 บาท

สั่งใส่ถ้วยคนละลูก อร่อยดี





เดินย่อยกลับบ้านบุ๋มชิงอาบน้ำก่อนเพราะเพลียจัดและเริ่ม

ง่วง ส่วนเราก็นั่งเล่นเน็ตไปพลางๆ อากาศเย็นแล้วด้วย

ไม่อยากอาบก็ต้องอาบ หลังจากอาบน้ำเสร็จ คิดได้ว่ามี

ข้าวเหนียวมะม่วงอยู่ 1 กล่อง ยังไม่ได้กินเลย ทำไงดี ราด

น้ำกะทิมาแล้วด้วย จำใจต้องกิน เออ..อร่อยแฮะ พรุ่งนี้

ไปซื้อกินอีกดีกว่า แหมมีความสุขจริงๆ แล้วเราก็หลับกัน

ตอน 4 ทุ่ม


(อ่านต่อตอน3)




 

Create Date : 12 มีนาคม 2550    
Last Update : 12 มีนาคม 2550 23:39:19 น.
Counter : 551 Pageviews.  

((( ปายยยมั้ยพี่ปายยย ))) เรื่องเล่าน่าจะสั้น แต่มันยาวอ่ะ ทำไงดี (ตอนที่1)

ปายมั้ยพี่ปายยยย

(ศ.16 - จ.19 ก.พ. 50)


อุ่นเครื่องเตรียมพร้อมลุยเมืองปาย

ได้ยินมานานละ..ปายเนี่ย เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวหลวงพระ

บาง ก็ประทับใจอยู่ไม่น้อย ไปแล้วอยากไปอีก แต่

เพื่อนบอกว่าน่าจะลองไปปายดูบ้าง น้องยา ที่เจอที่หลวง

พระบางก็ตั้งใจว่าจะไปเหมือนกัน รู้สึกจะพูดเหมือนกัน

หลายคนว่าเมืองปายลักษณะคล้ายๆ หลวงพระบาง อากาศ

ดี วิวสวย เป็นเมืองเล็กๆ สงบๆ ส่วนการเดินทางต้องใช้

เวลาหลายวันหน่อย นั่งรถเส้นทางไปแม่ฮ่องสอนเวียนหัว

เอาการอยู่ ได้ข่าวว่าเป็นพันโค้ง ตอนนั้นปายคือหนึ่ง

ในชอยส์ที่จะไปเที่ยวช่วงฤดูหนาว อืม...น่าสนใจไม่น้อย

เลยทีเดียว



ล่วงเลยมาถึงช่วงปลายปี “ป๋ออี่” (น้องสาวบุ๋ม) ดันไป

เรียนต่อที่ออสเตรเลีย ก็เกิดอาการอยากตามไปเที่ยว

บ้าง คิดไปคิดมาสำนึกได้ว่าเปลืองเงินโดยแท้ ถ้าเที่ยว

แบบสบายๆ ต้องมีงบซัก 5 หมื่น สองคนก็แสนนึงแล้ว

แหม... ถ้ารวยซะหน่อยคงไม่ต้องคิดมาก ประกอบกับ

เปาจะไปปายกับเพื่อนอีกกลุ่มนึงอยู่แล้ว (กลุ่มมีเดีย)

แถมอ้อยกะแหวน คู่ภรรยาสามี (เพื่อนในแกงค์ขิงอ้วน)

ว่าจะไปฮันนีมูนด้วย ก็น่าสนใจนะ ช่วงตรุษจีนคงจะ

ดี หวังว่าอากาศยังคงหนาวอยู่



เริ่มหาข้อมูลมาเรื่อยๆ ทั้งในเว็บไซด์ และตามมุมหนังสือ

ท่องเที่ยวในร้านหนังสือต่างๆ ไปสะดุดตาเล่มนึง

Places&Prices เป็นนิตยสารท่องเที่ยว เล่มนี้เกี่ยวกับ

ปายโดยเฉพาะ แหมโดนใจจริงๆ ศึกษาข้อมูลอยู่พอ

สมควรทั้งการเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่อง

เที่ยว เรียกว่าช่วง ธ.ค.- ม.ค. นี่ อะไรๆ ก็ปาย จริงๆ ต้อง

ขอบคุณเพื่อนๆ ห้อง Blueplanet ใน pantip ที่ทำรีวิวไว้

ให้ดูเป็นแนวทางในการท่องเที่ยวได้ดีจริงๆ คิดว่ากลับมา

คงต้องคืนกำไรให้กับเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน



การเตรียมตัวในการเดินทาง

เราและบุ๋มตั้งใจว่าจะนั่งเครื่อง กทม. – เชียงใหม่ –

แม่ฮ่องสอน กะจะหนีอ้วก แหวนบอกว่า จะขึ้นเครื่อง

เลยไปแม่ฮ่องสอนทำไม ต้องนั่งรถย้อนกลับมาอีกตั้ง

ไกล ยังไงก็อ้วกแน่ๆ เสียเงินเยอะกว่า แถมเสียดายของ

ที่กินไปอีกคงไม่คุ้ม เลยสรุปนั่งเครื่อง กทม.- เชียงใหม่

แล้วต่อรถตู้ อีก 3 ช.ม. ย่นเวลาไปพอสมควร หวังว่าคง

ไม่อ้วก เพราะปกติก็ไม่ใช่คนขี้เมาอยู่แล้ว



ใกล้ถึงวันเดินทางแล้วตื่นเต้นจัง

เปาขึ้นเครื่อง กทม. - เชียงใหม่ ไปกับเพื่อนก่อนในตอน

ค่ำวันที่ 15 เรากับบุ๋มขึ้นเครื่อง กทม. - เชียงใหม่ เช้า

16 คิดว่าจะไปขึ้นรถตู้พร้อมกันที่อาเขต ส่วนอ้อยกับ

แหวนทีแรกจะนั่งรถไฟลอดถ้ำขุนตาลตามกันมา

(โรแมนติกจังเพื่อนชั้น) แต่สรุปอ้อยติดธุระไปด้วยไมได้

แล้ว เสียดายจัง ไม่งั้นได้มีอ้อยกะแหวนจูเนียร์แน่ๆ

ฟันธง!


(อ่านต่อตอน 2)




 

Create Date : 12 มีนาคม 2550    
Last Update : 12 มีนาคม 2550 23:31:44 น.
Counter : 236 Pageviews.  

หลวงพระบาง..เรื่องเล่าเต่าล้านปี ตอนจบ! (ดีใจเกือบตายที่ได้กลับบ้าน)

ได้เวลาเข้าไปนั่งรอเครื่องบิน

ข้างในแล้ว ฉันเห็นเครื่องของบางกอกแอร์เวย์ บินมาส่งผู้

โดยสาร ในใจคิดว่า ลำเล็กเนอะ ไม่รู้เครื่องที่เรานั่งจะเป็น

ยังไง ... อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง




ทำไมมันเก่าได้ใจขนาดนี้เนี่ย

เครื่องลำเล็กมาก ภายในก็คับแคบ นั่งฝั่งละ 2 คน เบาะก็

เก่าๆ อยากจะบอกว่าแอร์ไม่เย็นเอาซะเลย หันไป

มองกระจกหน้าต่างก็มีรอยขูดขีดเต็มไปหมด เสียงเครื่อง

ยนต์ก็ดังพอสมควร ฉันคิดในใจว่า..น่ากลัวไม่ใช่น้อยเลย

นะเนี่ย



ก่อนเครื่องออกฉันถามเปาว่ารู้สึกยังไง เปาบอก “ก็โอเคนะ”



บนเครื่องแอร์โฮสเตทแจกผ้าเย็นกับมะขามให้ด้วย



ช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องบินลำ

นี้ บอกตามตรงว่ากลัวเครื่องบินตกจริงๆ เพราะมันสั่นและ

โคลงเป็นช่วงๆ เหมือนเครื่องร่อนปะทะลมแรง ทีแรกก็คิด

ว่ามันคงยังไม่ได้ระดับมั้ง ยังเห็นภูเขาอยู่เลย




คนอื่นๆ ทั้งไทย ลาว ฝรั่ง ไม่ว่า

เด็กหรือผู้ใหญ่ ดูเค้าจะไม่รู้สึกกลัวเหมือนฉันเลย เครื่อง

บินเริ่มบินสูงขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังคงความเสียวอยู่ตลอด

เวลาที่บิน เสียงใบพัดที่อยู่ข้างหน้าต่างที่ฉันนั่งก็ช่างดังเสีย

เหลือเกิน พยายามคิดในใจว่า ไม่เป็นไร แป๊บเดียว เดี๋ยว

ก็ถึง







สามโมงครึ่งแล้ว.. ฉันดีใจมาก

ที่เครื่องบินพาเราร่อนลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ ลงจาก

เครื่องปุ๊บพวกเราก็เม้าท์กันเรื่องเครื่องบิน ป๋ออี่บอกว่า

เครื่องโคลงเหมือนนั่งไวกิ้งส์ หูอื้อไปอีกนานเลย ส่วน

เปาจากที่บอกว่าโอเค คราวนี้หล่อนบอกว่า ร้อนอยากถอด

เสื้อ ก็ใช่น่ะสิอากาศต่างกับที่หลวงพระบางอย่างกับคน

ละฤดูยังไงยังงั้นแหละ




ถึงสนามบินเวียงจันทน์แล้วก็

จริง แต่กลุ่มเรายังคงต้องรีบต่อไป เรียกแท็กซี่ไป

เวียงจันทน์อีก 400 บาท (ราคามาตรฐานสนามบินเค้า) นั่ง

รถนาน 45 นาที คนขับก็ขับช้าเป็นปกติ พอไปถึงด่าน

แล้วอดที่จะแวะช็อปปิ้งไม่ได้ ซื้อเบยลาวฝากน้องสาวคุณ

ยาย 2 ขวด แล้วก็อื่นๆ ตามที่แต่ละคนปรารถนา ช็อปได้

ไม่นานนักเราต้องเสียค่าธรรมเนียมข้ามแดนอีกคนละ 10

บาท ค่ารถข้ามไปฝั่งไทยอีกคนละ 10 บาท ต้องทำเวลา

หน่อย คุณตามารอรับพวกเราอยู่ที่ฝั่งไทยนานแล้ว เรา

ต้องรีบไปบุ๋ม ป๋ออี่ หม่าม้า และเปา ต้องไปขึ้นเครื่องกลับ

กทม.เที่ยว 19.10 น. คิดดูว่า ถึงเวียงจันทน์ 15.30 น.

รอเอากระเป๋าอีก ต่อแท๊กซี่อีก 45 นาที แวะช็อปปิ้งอีก ก็

ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว นั่งรถจากหนองคายมาสนามบิน

อีกประมาณ 1 ช.ม. 6 โมงเย็น ตายๆๆๆ เครื่องออกทุ่มนึง

ลุ้นกันอีกแล้วสิเนี่ย แต่สุดท้ายก็ไปทัน แถมยังพอมีเวลา

อีกนิดหน่อยซื้อของฝากกลับกรุงเทพอีกด้วย




ส่วนฉันหลังจากส่งเพื่อนๆ กลับ

กทม.แล้ว พอมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องที่ไปผจญภัยมาให้คุณ

ยายทั้งสองและคุณตาฟังเป็นที่สนุกสนาน และฉันก็ได้อยู่

พักผ่อนที่อุดรอีก 1 คืน เย็นรุ่งขึ้นก็กลับกทม.เหมือนกัน

ซึ่งก่อนกลับเป็นธรรมเนียม ต้องซื้อของฝากประจำเมือง

อุดรฯ








กลับจากหลวงพระบางแล้ว ฉัน

แวะไปที่สำนักงานของสายการบินลาวที่ถ.สีลม เพื่อทำ

เรื่องคืนเงินค่าตั๋วขาไปที่พวกเราตกเครื่อง โชคดีที่เขา

ทำเรื่องคืนเงินให้ โดนหักเปอร์เซ็นต์นิดหน่อย เป็นเงิน

2,575 บาท ก็ดีว่าเสียไปเป็นหมื่นละนะ และถ้าจำไม่ผิด

เราเที่ยวกันครั้งนี้หมดไปคนละประมาณ 8,000 บาท



พวกเราก็สนุกมากกับการ

เดินทางมาเที่ยวหลวงพระบางในครั้งนี้ เราชอบที่นี่ และ

หวังว่าซักวันหนึ่ง เราคงได้กลับมาที่หลวงพระบางอีกครั้ง




เดินทาง ศุกร์ 27 – อังคาร 31 มกราคม 2549
ไม่น่าเชื่อเลยว่า กว่าจะบันทึกเสร็จ ใช้เวลา 1 ปีเต็มๆ
บันทึกเมื่อ : อังคาร 30 มกราคม 2550




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2550 20:58:34 น.
Counter : 371 Pageviews.  

หลวงพระบาง..เรื่องเล่าเต่าล้านปี ตอน 4 (สุขสดชื่นในวันสุดท้าย)

จันทร์ 30 มกราคม 2549

หนาวมั่กๆ ต้องกลั้นใจตื่นมา

ล้างหน้าแปรงฟันกันเลยทีเดียว เพื่อที่จะไปตักบาตรข้าว

เหนียวกัน เดินออกจากที่พักมาฟ้ายังมืดอยู่เลย แต่ชาว

บ้านก็เริ่มทยอยออกจากบ้านกันแล้ว พวกเราแวะซื้อข้าว

เหนียวกันคนละกระติ๊บ (20 บาท) แม่ค้าใจดีให้ผ้าพาดบ่า

มาด้วย แลดูเป็นคนลาวชั่วขณะ


เราข้ามถนนมานั่งเสื่อที่ร้านค้าจัดเตรียมไว้ให้ โดยมีคุณ

ยายแก่ๆ คนหนึ่ง เป็นหัวแถว คอยจัดผ้าพาดบ่าให้ แล้วก็

พูดอะไรกับเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ เราก็เออออไปอย่างนั้น

เอง กลัวแกจะเสียใจที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอจับใจความได้

ว่าแกเป็นแม่ของแม่ค้าขายข้าวเหนียว แหม.. เป็นพรีเซนท์

เตอร์ได้ดีทีเดียว



ด้วยความที่เป็น Pro. ทางด้านการถ่ายภาพ
ก็เลยมัวอย่างที่เห็นนี่แหละ


ได้เวลาแล้ว พระท่านเดินเร็ว

มาก แล้วก็มากันเยอะเสียด้วย ข้าวเหนียวก็ร้อนมากๆ จก

กันแทบไม่ทัน คิดว่าใส่ก้อนใหญ่ๆ ดีกว่าจะได้หมดเร็วๆ

นิ้วเนิ้วแดงไปหมดแล้ว แต่พอหันมาดูคุณยาย แกคุ้ยข้าว

เหนียวแล้วปั้นเตรียมไว้ก่อนต่างหาก พอพระมา แกก็ดีด

ข้าวเหนียวจากกระติ๊บลงบาตรเลย ได้จังหวะพอดี อย่างนี้

สิ! มืออาชีพ เรียกได้ว่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการใส่บาตร

ข้าวเหนียว ต้องมีการเตรียมตัวนะ ไม่ใช่จกกันง่ายๆ




จากนั้นเราก็มาเดินเล่นที่ตลาด

เช้า ระหว่างทางมีผักแปลกๆ ขาย เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่

ดูมีความสุขกันดี




เดินไปเดินมา ก็มาหยุดที่ร้าน

กาแฟประซานิยมเจ้าเก่า กินปาท่องโก๋กันไปคนละคู่ครึ่ง

ได้อ่านข้อความที่คนทั่วไปมาเขียนเป็นที่ระลึก คนดังก็มา

โดยเฉพาะท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เขียนเป็นคำกลอน

เอาไว้เลย มีคนเขียนกันหลายเล่ม แสดงว่าเป็นที่นิยมของ

คนมาเที่ยวที่นี่จริงๆ




กินเสร็จก็เดินเล่นต่อ อากาศดี

จริงๆ เห็นข้าวเหนียวปิ้งน่ากิน มีชุปไข่ ชุปน้ำปลาร้าด้วย

แต่พวกเราขอแบบชุปไข่ธรรมดาๆ จะดีกว่า 1,000 กีบเอง




หมี่ผัดท่าทางอร่อยเขาขาย

2,000 กีบ อร่อยจนลืมจ่ายเงิน กินกันหมดแล้ว ถึงนึกขึ้น

ได้ว่าลืม รีบเดินกลับไปจ่ายแม่ค้า แถมแม่ค้าใจดี รู้นะว่า

เราไม่จ่ายเงินแต่ก็ไม่ตะโกนเรียกให้ได้อาย




เดินไปอีกหน่อยตรงหัวมุม

ถนน มีล็อตเตอรี่ขายด้วย หม่าม้าสนใจมาก แต่ไม่ได้ซื้อ

เพราะถามแล้วกว่าหวยจะออก เราก็ต้องเดินทางกลับแล้ว

ถ้าถูกรางวัลขึ้นมาจะยุ่ง ตั้ง 500,000 กีบแน่ะ




เดินเล่นที่ตลาดซักพักนึงก็ไป

ต่อกันที่วัดต่างๆ ในตัวเมือง ที่นี่วัดเค้าเยอะจริงๆ วัดแรกที่

เราเข้าไป ชื่อวัดใหม่...(อะไรซักอย่าง) ไม่แน่ใจว่าเดินเข้า

ไปด้วยความสวยงามดึงดูดเราหรือว่า เพราะบุ๋มปวดหนัก

กันแน่ แต่ท่าทางจะเป็นอย่างหลังซะมากกว่า บุ๋ม ป๋ออี่

หม่าม้า ไปเข้าห้องน้ำ ฉันและเปาเข้าไปไหว้พระในโบสถ์

และผลัดกันถ่ายรูป






รอซักพักกลุ่มที่ไปเข้าห้องน้ำก็

ออกมา พากันไหว้พระเล็กน้อย แล้วไปต่อกันที่พระราชวัง

เจ้ามหาชีวิต


ที่นี่ค่าเข้าชมคนละ 20,000 กีบ และห้ามถ่ายรูปด้วย


ด้วยความที่หลวงพระบางมีวัด

เยอะอย่างที่บอกไปแล้ว เราก็จะเน้นไปที่วัดขึ้นชื่อ แบบว่า

ใครมาที่นี่ก็ต้องมาวัดนี้ “วัดเชียงทอง” นั่นเอง เราไม่รู้ว่า

วัดนี้อยู่จุดไหน เพราะฉะนั้นเรียกตุ๊กๆ เหมือนเคย นั่งมา

ไม่ถึงกิโล เค้าคิด 50 บาท และต้องจ่ายค่าเข้าชมวัดนี้คน

ละ 10,000 กีบ




ไหว้พระทำบุญเสร็จดูเหมือนจะ

หิวกันอีก แต่จริงๆ ไม่ใช่ แค่อยากเท่านั้นเอง เพราะได้

ข่าวมาอีกว่าถ้ามาที่นี่ต้องมากินเฝอ คนขับตุ๊กๆ แนะนำว่า

ให้มากินแถวๆ หน้าวัดใหม่ฯ (วัดที่บุ๋มไปอึ) พอถึงหน้าร้าน

มองไปมองมารอบๆ อ้าว..นี่มันแถวที่พักเรานี่นา นั่งรถ

ตุ๊กๆ เป็นว่าเล่นที่จริงเดินเอาก็ได้ เรื่องของเรื่องคือเราไม่

ศึกษาแผนที่ให้ดีเสียก่อนทำให้หมดไปกับค่ารถเยอะเลยที

เดียว



ดูน่ากินนะ แต่รสชาติธรรมดา


กินเสร็จเดินออกมาจากร้านได้

ไม่ถึง10 ก้าว บุ๋มเห็นขนมจีนบอกว่าน่ากิน ก็แหงแหละ ตัว

เองอึออกไปรอบนึงแล้วนี่ แต่ไม่มีใครเห็นด้วย เมื่อยแล้ว

ก็เดินกลับที่พัก นั่งเล่นกันซักแป๊บนึง เพิ่ง 11โมงเองกิน

อีกกว่า ป๋ออี่,เปา,บุ๋ม สั่งแพนเค้ก+น้ำส้ม+น้ำมะละกอปั่น

เอ้สั่งข้าว+ผัดกระเพรา+โกโก้ ทั้งหมดนี้ 100 บาท ส่วนรส

ชาติของกระเพราแปลกกว่าที่เคยกินเพราะมันจะออก

หวานๆ และมีสีดำไปหน่อยสงสัยใส่ซอสหอยนางรมเยอะ

ไป (ลืมบอกไปว่าหม่าม้าท้องอืด กินกาแฟไปตอนเช้า

แล้วก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย)


ระหว่างนี้บางคนก็กิน บางคนก็

ไปเก็บข้าวของ เตรียมตัวเช็คเอาท์ ขากลับ หลวงพระ

บาง – เวียงจันทน์ เราจองตั๋วไว้เที่ยวบ่ายสองไว้ คราวนี้

เราจะไม่ยอมพลาดเที่ยวบินอีกแล้ว เราให้รถตุ๊กๆ มารับ

ตอนเที่ยง เค้าเหมาไปสนามบิน 200 บาท ก็นั่งโต้ลมหน้า

ตึงกันไป มาถึงสนามบิน 12.30 น. นั่งรอกันเบื่อเลยเพราะ

เครื่องออก 14.30 น. เช็คอินกันแต่หัววัน ค่าภาษีสนาม

บินคนละ 5,000 กีบ




สนามบินที่หลวงพระบางดูดีกว่า

ที่เวียงจันทน์หลายเท่านัก รูปข้างบนนี้ดูสามสาวดีใจกัน

มากที่จะได้ขึ้นเครื่องบินของสายการบินลาว (ป๋ออี่ไม่

ยอมมาถ่ายเพราะกลัวแดด)






อ่านต่อตอนสุดท้าย...ชื่อตอน.. ดีใจเกือบตายที่ได้กลับบ้าน




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2550 17:20:25 น.
Counter : 323 Pageviews.  

1  2  3  4  5  
 
 

อ้วนล่ำดำสิวหิวตลอด
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




fatginger group หรือกลุ่มขิงอ้วน มีสมาชิกเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตาโดยเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ใช้(ไปซื้อโจ๊ก)ได้จำนวน 8 คนถ้วน คือ.. ขิงฝ่อ ขิงเหี่ยว ขิงเต่ง ขิงเป่ง ขิงนอ ขิงบาง ขิงบวม และขิงอ๊วนอ้วน
** อัพเดทข้อมูล ตอนนี้ ขิงเต่งกับขิงเป่ง มีฉายาเพิ่มมาอีกคือ หมั่นโถว กับ ซาลาเปา **

และที่สำคัญเรามีลูกขิง 3 คน มีข่า 3 แง่ง (ข่านอก 1 แง่ง) รวมตัวกันทีไรสนุกทุกที
[Add อ้วนล่ำดำสิวหิวตลอด's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com