ทำงานแล้วล่ะ ภาคต่อมา
หลังจากมีช่วงเวลาว่างๆก่อนมารายงานตัวที่ที่ทำงาน
ก็ถึงวันที่ต้องเข้าสู่วัยทำงานของจริง

1 เมษายน 2545 ตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า เดินออกมาปากซอยนั่งรถเมล์มาที่ทำงาน ออกมา 7 โมง มาถึงที่ทำงานเกือบ 9 โมงโน่น

คิดในใจว่าจะโดนว่ามั่ยเนี่ย ปรากฎว่า ไม่เลย เค้าก็มาประมาณนี้กันทั้งนั้น

มาถึงเจอเพื่อนๆ ก็พากันไปที่ฝ่ายการเจ้าหน้าที่ ไปรายงานตัวกรอกประวัติ แล้วก็รับเอกสารเอาไว้ไปให้ สถานีตำรวจที่บ้านเกิดตรวจสอบประวัติ

ต๊ายยยย มียังงี้ด้วย เค้าจารู้ประวัติอาชญากรของชั้นมั้ยเนี่ย เหอๆๆๆ

รายงานตัวที่ฝ่ายการเจ้าหน้าที่เรียบร้อย ก็มุ่งหน้าตรงมายัง กองที่เราเลือกมา "กองควบคุมเครื่องมือแพทย์" พร้อมๆกับเพ่อนร่วมชะตากรรมอีก 3 คน

มานั่ง รอๆในห้องประชุม ก้มีพี่ๆ มาแนะนำ แล้วให้เลือกกลุ่มงานที่จะได้ทำงาน ด้วยการจับฉลาก อีกแล้วววววววว

เรานั่งอยู่ไกลสุดเลยได้ ฉลากอันที่เหลือ กางออกมา

พ๊าง พ๊าง ผ่างงงงงง..........ได้ทำเกี่ยวกับถุงยางอนามัย กรี๊ดดดดด (แอบคิดในใจ น่าสนจายยยยยยยยย)

เล่าให้เพื่อนฟัง มีแต่คนขำ

มาทำงานแรกๆ พี่ๆเค้าก็ให้นั่งอ่าน พรบ.เครื่องมือแพทย์ สุดแสนจะง่วงนอน แอบสัปงกไปหลายรอบ

พอมีคนมายื่นเอกสารขออนุญาตก็ได้เริ่มออกไปตรวจเอกสาร พี่ที่ทำนสอนบ้าง ผู้ประกอบการบางรายที่เตรียมเอกสารมาเนี๊ยบๆ เค้าก็สอนให้บ้าง

เป็นเด็กน้อย ต้องน้อมรับความรู้ความเมตตาที่พี่ๆ เค้าแนะนำสั่งสอนให้ ไม่หยิ่งทะนงว่าตนเก่งรู้มากอยู่แล้ว

ทำถุงยางมาเกือบๆ 2 ปี เห็นจะได้ ชักจะเบื่องานราชการ อยากกออกไปอยู่โรงงานยา อย่างที่ชอบ คุยกับพ่อดู พ่อ โกรธๆๆ หาว่าเราดื้อ ไม่คุยกับเรานานเป้นอาทิตย์ จนเรายอมแพ้ รับราชการต่อไปก็ได้ฟละ



Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2552 10:17:04 น.
Counter : 382 Pageviews.

3 comment
ทำงานแล้วล่ะ ภาคแรก
หลังจาฝ่าพันการเรียน และชีวิตสาวมหาลัยที่อยู่ไกลบ้านมานานถึง 5 ปี ก็ถึงวันที่เรียนจบซะที หลังจากเรียนจบเทอมสุดท้ายก็ราวๆปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2545 นะถ้าจำไม่ผิด (แหม ก็ตั้ง 7 ปีผ่านไปแร้ว)

ไม่ต้องออกมาเดินเตะฝุ่นหางานทำ เพราะรัฐบาลจับเซ็นสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนแล้วว่า พอจบปุ๊บ ต้องมาทำงานให้รัฐบาลก่อน 2 ปี ม่ายง้านต้องจ่ายค่าปรับให้รัฐบาล 250,000

ก็ดีนะ จบมามีงานทำเลย เหลือแต่รอวันมาจับฉลากเลือกสถานที่ทำงานนั่นแหละ

วันจับฉลากก็ไปที่ อาคารอะไรน๊า จำชื่อไม่ได้แล้วที่เมืองทอง (อยู่ด้านหลังอิมแพ็ค วันนั้นมีทั้งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช ที่ต้องไปจับฉลาก

ตอนโน้น คุณสุดารัตน์ เป็น รมต.กระทรวงสาธารณสุข ก็เป็นคนมาเปิดงาน

พอถึงเวลา เราก็ไปเดินๆๆๆๆดูว่าที่จังหวัดไหนมีตำแหน่งบ้าง
จังหวัดบ้านเกิดที่ประจวบมี 9 ตำแหน่งแฮะ เลือกที่ประจวบฯเลยละกัน จะได้กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่

แง๊ แต่เหมือนโดนแกล้ง มีคนสมัครเกิน 9 คน (มีตั้ง 14 คนแน่ะ) เลยต้องจับฉลากว่าใครจะอยู่ใครจะไป

แล้วก็ให้ซวยสุด ตกรอบตั้งแต่ยังจับฉลากกันไม่ครบ 14 คนเรย (คนก่อนหน้า 9 คนที่จับคะแนนขึ้นมาได้มากกว่าเราทั้งหมด) เวรกรรมไม่อยากกลับไปอยู่ไกลๆบ้านแล้วอ่ะ เลยมองๆหาตำแหน่งใน กทม. ตอนจับฉลากรอบสอง

ที่ รพ.สงฆ์ มี 1 ตำแหน่ง ---ไม่เอาดีกว่า เสี่ยงต่อการตกรอบอีก
อ่ะ ที่ อย.-------------------เหลือเพียบไม่มีใครเลือก เพราะสมัยนั้นที่ อย. ไม่มีเงินค่าตอบแทนพิเศษให้ถ้าไม่ไปทำงานนอกเหนือจากปฏิบัติราชการ (อีก 5,000 บาทง่ะ นอกเหนือจากเงินเดือน เลยไม่ค่อยมีใครเลือก)

สรุปแล้วก็ได้อยู่ที่ อย. นี่แหละ ก็ยังดีใกล้บ้านเข้ามาอีกหน่อย แล้วพ่อกับแม่ก็มีบ้านที่ กทม.ให้เราอยู่อยู่แล้ว เลยไม่ลำบากเรื่องที่พัก

เราได้ทำงานที่ กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หลังจากวันจับฉลากยังมีเวลานอนเล่นพักผ่อนอีกเกือบเดือน ถึงจะไปรายงานตัวเข้าทำงานวันที่ 1 เมษายน 2545

-------บ๋ายบาย ชีวิตวัยเรียน-----------



Create Date : 23 มกราคม 2552
Last Update : 23 มกราคม 2552 14:00:09 น.
Counter : 395 Pageviews.

4 comment
สาวมหาวิทยาลัย ภาคห้า
เกือบจะจบเรื่องราวสาวมหาวิทยาลัยไปซะแล้ว
ก็นึกได้ เรื่องไปออกคอมเมด ที่หมู่บ้าน ตอนเรียนปี 3

ที่มหาลัยที่เราเรียน ตอนเรียนปี 3 จะมีวิชาเรียน เรียกว่า คอมเมด รวบรวมหมู่เฮา ชาวศูนย์แพทย์ (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช สา'สุข สัตวแพทย์ เทคนิคการแพทย์) ทำโครงการออกไปพัฒนาปัญหาสุขภาพของชุมชน ไปอยู่หมู่บ้านใช้วิถีชีวิตร่วมกับชาวบ้านเป็นเวลา 10 วัน

ปีที่เราไปก็เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในจังหวัดขอนแก่นนั่นแหละ ห่างตัวเมืองไปแค่ 80 กิโลเมตร

แต่ทันทีที่ไปถึง ก็พบว่าทุกคลื่นสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเลย ฮ่าๆๆ แถมทั้งหมู่บ้าน มีตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญอยู่ 1 หรือ 2 ตู้จำได้ไม่ชัวร์ เพราะไม่เคยคิดจะไปโทรเลย

ที่ว่าไม่โทรน่ะไม่ใช่เป็นพวกโดดเดี่ยว ไม่ชอบติดต่อใครนะ ความจริงติดบ้านติดพ่อติดแม่มาก แต่ให้ไปยืนต่อคิวที่ตู้โทรศัพท์ทีละนานๆก็ท้อแท้ บางทีต่อไปตู้เต็มซะงั้น

ไปถึงหมู่บ้านก็จัดแบ่งกันไปอยู่ตามบ้านที่เค้ายินดีต้อนรับให้ไปพักร่วมชายคาเดียวกัน บ้านละ 10 คนได้ เราได้พักอยู่บ้านผู้ใหญ่บ้าน หลังใหญ่โต บ้านอื่นที่อยู่ในหมู่บ้านก็มีทั้งแบบที่เป็นบ้านไม้พื้นสูง แต่เลี้ยงควายไว้ใต้ถุนบ้าน แถมขี้ควายสูงขึ้นมาแค่เข่าได้มั้ง แฉะๆ น่าหยดหยองก็มี

10 วันที่นั่นได้รู้อะไรแปลกๆเยอะ
เช้าวันที่สองที่ไปถึง เดินๆกำลังสำรวจหมู่บ้านอยู่ ชาวบ้านตะโกนถาม คุ๊นหมอ คุ๊นหมอ กินเข่าแล้วไป๊ (เค้าเรียกเหมารวมทุกคนว่าหมอหมด)

ฟังแล้วก็งงเด้อ ยิ้มตอบเค้าไป พอเดินมาเจอเพื่อนที่เป็นคนอีสานก็ถามเค้าว่า ที่ชาวบ้านถามน่ะมันแปลว่าอะไร เพื่อนมันร้อง อ๋อ เค้าถามแกว่า กินข้าวหรือยังน่ะ......อ่อ เข้าใจแระ

เดินไปสัมภาษณ์ชาวบ้านตามแบบสอบถามที่ได้มา พร้อมกับสอนการปฎิบัติตัวของคนเป็นเบาหวานให้ด้วย บางทีชาวบ้านก็เหมือนกวน แต่เค้าซื่อจริงๆ เราถามเค้า เค้าบอกว่า คุณหมอรู้แล้วก็ตอบให้ด้วยเลยซิ อ้าวเป็นงั้นไป

เดินไปเดินมาในหมู่บ้าน ชาวบ้านเรียกให้กินโน่นกินนี่ ที่สุดของความภูมิใจนำเสนอ ก็ตัวไหม (ชาวบ้านเลี้ยงไหมกันแทบทุกบ้าน) ง่ะ เค้าไม่เคยกินเลย น่ากลัว

แต่ เห็นสีหน้าแววตาชาวบ้านแล้วจะปฎิเสธก็กลัวเค้าเสียใจ เลยกลั้นใจหยิบใส่ปากไปตัวหนึ่ง

เออ แฮะไม่น่าเกลียดอย่างที่คิด พอได้ ฮ่าๆๆ
ตั้งแต่นั้นมากินหมด ตัวไหม รถด่วน ตั๊กแตน

เพื่อนๆที่ไป พบรักกะเพื่อนต่างคณะหลายคู่เหมือนกัน แต่เราไม่มี (_ _")

ไปคราวนี้รับหน้าที่เป็นแม่ครัวประจำบ้านด้วย
ไปถึงวันแรกต้องทำอาหารเที่ยง เพื่อนๆต้องออกไปทำงานในหมุ่บ้าน มันว่าเราไม่ต้องไปก็ได้ ให้มาเตรียมขอทำกับข้าวก่อน อ่าๆๆ ดีเลย แดดร้อนตรูไม่อยากออกไปไหนอยู่แล้ว

มาถึงครัว เห็นเตาแก๊สแร้วร้องเฮ้อ มันเป้นเตาแบบที่ร้านขายกับข้าวชอบใช้อ่ะ ต้องเปิดแก๊สแล้วจุดไฟอีกที เราทำไม่เป็น เลยนั่งรอๆๆๆๆ รอใครซักคนผ่านมาเปิดเตาให้ จนเพื่อนคนหนึ่งกลับมาดูลาดเลาว่ากินได้ยัง

พอมันเห็นเท่านั้นแหละ แทบลมใส่ ฮ่าๆๆ ก็นู๋จุดเตาแก๊สไม่เป็นอ่ะ
ตั้งแต่นั้นมา วันไหนที่เป็นเวรทำกับข้าว เพื่อนๆมารุมช่วยทำกันใหญ่ ขีนรอให้เราทำเองกว่าจะได้กินรอแทบเป็นลม

10 วันเหมือนนาน อยู่ไปอยู่มาก็ครบถึงวันต้องกลับ วันที่กลับ ชาวบ้านน่ารัก พาไปทำพิธีลาพ่อปู่ด้วย(สิ่งศักดิ์สิทธ์ในหมู่บ้าน)

กลับจากหมู่บ้านมาถึงมหาลัย พร้อมๆกับเวลาปิดเทอม คืนนี้ก็กลับมาหาพ่อกับแม่ที่ กทม. แล้ว เย่ๆๆ



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 14:22:04 น.
Counter : 476 Pageviews.

8 comment
สาวมหาวิทยาลัย ภาคสี่
พออยู่มานาน ก็เริ่มแก่กล้า ทั้งวิชาและพฤติกรรม
กล้าแม้กระทั่งโทรไปอำอาจารย์ (ขอนิดหนึ่ง อาจาร์หล่อดีนี่หว่า)
...พี่คะ นู๋เห็นพี่ มาทำอะไรที่คณะ...เหรอคะ
...พี่เรียน ป.เอกเหรอคะ เก่งจังเรย..
....อ๋อ นู๋ก็เด็กๆแถวๆคณะที่พี่มาเรียนน่ะแหละค่ะ
...ได้เบอร์มือถือพี่จาก เพื่อนที่คณะที่พี่มาเรียนน่ะแหละค่ะ...

อาจารย์ก็ช่างกระไร..เช็คเรทติ้งดีจริงๆ คุยเล่นด้วยซะงั้น ทั้งที่ไม่รู้หรอกว่าพวกเราที่คุยด้วยอ่ะเป็นลูกศิษย์ทั้งนั้น

ฮ่าๆๆๆ พออำมาได้ซักระยะ ...ก็เบื่อ เฉลยเรยแระกัน
อาจารย์ก็ไม่โกรธนะ ฮาๆ ขำๆกันไป

พออยู่ปี 5 ก็ได้เวลาออกฝึกงาน ฝึกๆๆๆ รอบแรกมาฝึกที่ โรงพยาบาล สนง.สาธารณสุขจังหวัด ไม่มีปัญหาอะไร เลือกกลับมาฝึกจังหวัดบ้านเกิด สบายไป ได้กลับมาอยู่บ้านที่ประจวบฯแสนจะมีความสุข

พอฝึกงานรอบสองอยากไปโรงงานยา ไอ้ที่ที่อยากไปก็จับฉลากไม่ได้ แต่ยังดีที่เหลือโรงงานยาที่อยู่ใกล้ๆบ้านที่ กทม. เอาที่นี่แหละวะ เลือกมากะเพื่อนที่สนิทๆอีก 2 คน รวมแล้วเป็น 3

ส่วนใหญ่ก็ตั้งใจฝึกงานนะ แต่ก็มีบ้างตามประสาเด็กๆ บางทีมันก็เบื่อนี่หว่า เลิกก่อนเวลานิดหน่อย คงไม่เป็นไร

โรงงานเลิก 5 โมงเย้น แต่วันนั้นแว๊บออกมาก่อนตั้งกะสี่โมง
เค้าอยากไปเดินตะวันนานี่หว่า กะลังเดินๆอยู่ตะวันนา คนก็เยอะๆ โทรศัพท์ก็ดัง ใครโทรมาฟล้า ไม่ค่อยได้ยินอีก

ต้นทาง : ฮัลโหล...นี่.....(เราก็นึกในใจ ใครวะไม่ได้ยินชื่อเลย)
เราก็ตอบไปว่า : เออ
ต้นทาง : อยู่ที่ไหนน่ะ
เราก็ตอบไปว่า : ชั้นก็มาชอบปิ้งอยู่ตะวันนาอ่ะซิ
ต้นทาง : เอ่อออออ นี่อาจารย์....นะ

คราวนี้ได้ยินชื่อชัดแจ๋ว อาจารย์ที่คณะที่ดูแลเรื่องฝึกงาน
หน้าซีดเสียงอ่อย
อาจารย์ขา หนูปวดท้องเข้าห้องน้ำ เลยกลับมาเข้าที่บ้าน แล้วมันใกล้เวลาเลิกแล้วเลยไม่กลับเข้าไปที่โรงงานอีกน่ะค่ะ

ฮาไปเกือบทั้งชั้นปี



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 14:52:54 น.
Counter : 414 Pageviews.

2 comment
สาวมหาวิทยาลัย ภาคสาม
หลังจากใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยได้ซักพัก ความซ่าก็เริ่มเข้าครอบงำ
เริ่มเที่ยวกลางคืน หัดกินเหล้า แต่ยังไงก็ไปกับเพื่อนๆ ไม่เคยมีหนุ่มโต๊ะอื่นเข้ามาวุ่นวาย เพราะในกลุ่มมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไปกันกี่คนก็กลับกันครบไม่มีแตกแถว

ถึงจะเที่ยว การเรียนก็ไม่เสียหาย เวลาเรียนก็เรียนจริงจัง เวลาว่างก็ถึงจะเที่ยว

ตอนไปเที่ยวครั้งแรก เมาเหมือนหมา (ทุเรศสุดๆ) เพื่อนต้องลากกลับมาส่งที่ห้อง ตื่นเช้ามายังเดินไม่ตรงเลย

พอบ่ายๆมานั่งคุยกัน เพื่อนมันว่าเราเมาแล้วห้าว เจือกจะไปต่อยกะเค้าซะงั้น
เราก็เถียงมันว่า ก็ มันเต้นมาชนอยู่นั่นจนรำคาญ เพื่อนๆมันเถียงพร้อมกันเลยว่า เมิงน่ะแหละเต้นไปชนเค้า....อ้าว เป็นงั้นไป...เหล้ามันบิดเบือนการรับรู้ได้ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

ไม่รู้ข่าวไปถึงอาจารย์ที่คณะได้ไง อาจารย์ที่สนิทด้วยงงมาก เค้าบอกว่าเห็นตอนเรียนเรียบร้อยก้มหน้าก้มตาทำ Lab เราก็เลยบอกว่า ไม่ช่ายยยย ที่ก้มหน้าก้มตาอ่ะ กลัวอาจารย์ถามแล้วตอบไม่ได้ ฮี๊ๆๆๆๆ

ด้วยความที่อยู่หอนอกมหาลัยเลยไม่เป็นปัญหาเรื่องหอปิด เลยออกตะลอนได้ไม่ต้องกังวล มีเรื่องขำๆ ข้างๆห้องเรามีที่เค้าอยู่กันเป็นคู่ด้วย พี่ผู้หญิงทันตะ พี่ผู้ชายวิศวะ คืนหนึ่งดึกๆแล้ว มีคนมาพยายามไขกุญแจห้องเรา....อะนั่นแน่..............

เราเลยแง้มประตูดูว่าใครหนออออ ฮ่าๆๆๆๆ พี่ผู้ชายข้างห้องนั่นเอง....เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าเราจะตีท้ายครัวเค้าน่า

เรายื่นหน้ากลมๆออกไปแล้วบอกว่า พี่ขา..ห้องพี่ถัดไปโน่น ม่ะช่ายห้องนี้ ฮ่าๆๆๆ ขำมาก พี่ผู้ชายอายไปเลย เมาแล้วมาผิดห้อง

ไอ้คอนโดที่เราอยู่เนี่ย ไม่รู้เป็นไงลิฟต์มันขยันเสีย ขยันค้างจริงๆ แต่อยู่มาหลายปีไม่เคยโดนเลย นึกว่าโชคดี และแล้ววันที่ลิฟต์ค้างก็มาถึง ติดอยู่ในลิฟต์กับชายหนุ่มสองต่อสองด้วย กรี๊ดดดดด....

พี่ผู้ชายหันมาบอกว่า...ไม่ต้องกลัวน้อง (นั่นแน่ พระเอกซะด้วย) ว่าแล้วก็จัดการแหกประตูลิฟต์พาเราออกมา ประมาณว่าตรูติดบ่อยจนไม่ตกใจแระ ฮ่าๆๆๆ

ภาคนี้เลยมีแต่เรื่องนอกรั้วมหาลัย ชิวชิวน่า(คนแก่นึกถึงอดีต)..อย่าลืมอ่านภาคต่อไปนะ



Create Date : 30 ตุลาคม 2551
Last Update : 31 ตุลาคม 2551 8:00:07 น.
Counter : 453 Pageviews.

6 comment
1  2  3  4  

The eye of earth
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



หน้าตาพอประมาณ
การศึกษาดี
บ้านมีฐานะ(ยากจน)