บันทึกเล่มใหม่....ของลูกชายตัวโต

อะโวคาโด...ผลไม้มหัศจรรย์













อะโวคาโด ผลไม้ที่มีเนื้อนุ่มคล้ายกับเนยนี้ คาดกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ ทางใต้ของประเทศเม็กซิโก อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ ปราศจากคอเรสเตอรอลและโซเดียม แม้จะมีส่วนประกอบของไขมัน แต่ก็เป็น ไขมันเชิงเดี่ยว เหมือนกับที่มีใน น้ำมันมะกอก ซึ่งมีประโยชน์กับร่างกายของเราค่ะ




การศึกษาทดลองทำให้พบว่าการรับประทาน น้ำมันอะโวคาโด จะช่วย ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ได้ ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์บางท่านยังมีความเชื่อว่าไขมันเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด สามารถป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิดได้ อีกด้วยค่ะ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะคะในผลอะโวคาโดยังมีสารอาหารอื่นๆอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม โฟเลท ไฟเบอร์ วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินบี 6 ค่ะ

เราขอแนะนำว่าในมื้อเช้าให้คุณลองเปลี่ยนจากการรับประทาน ขนมปังทาเนยหรือครีมชีส มาเป็นทาด้วย เนื้ออะโวคาโด แทน จะเปลี่ยนมาทากับ บาเกล มัฟฟิน หรือขนมปังปิ้ง ก็ได้แล้วแต่จะชอบ รับรองว่าคุณจะได้มื้ออาหารที่ ทั้งอร่อยทั้งยังได้คุณค่า จากผลไม้มหัศจรรย์นี้ไปเต็มๆค่ะ



บทความจาก BKKMENU.COM




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 1:40:27 น.   
Counter : 232 Pageviews.  

อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง













     ได้เวลารับข่าวสารดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพและโภชนาการกันอีกแล้ว คราวนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับ "อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง" มาเล่าสู่กันฟังค่ะ คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วรับประทานอาหารเข้าไป อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ ส่วนจะมีชนิดใดบ้างนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ

กล้วย เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกต

นมและนมถั่วเหลือง แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย



เหล้า หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชา ชาที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลงและเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย ถึงตอนนี้พอจะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์กันไปแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มีประโยชน์บางอย่างย่อมแฝงอันตรายมาด้วย ดังนั้นการเลือกรับประทานก็เป็นอีกทางที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และอยู่ไกลจากโรคภัยต่างๆ ได้



 บทความจาก bkkmenu.com




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 1:35:32 น.   
Counter : 170 Pageviews.  

ดื่มกาแฟอย่างไร...ไม่เสียสุขภาพ













เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น

มีรายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ

นอกจากนี้กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน



สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2 - 3 ออนซ์ (60 - 90 มล.) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

ของดีในกาแฟ
เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้นกับชนิดของกาแฟ

กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย

ข้อควรระวังในกาแฟ
คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีนซึ่งเป็นเป็นสารกระตุ้น จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอีนช้า ทำให้คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านมหรือกระดูกพรุนหรือไม่ การเดินสายกลางจึงดีที่สุด ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย



บทความจาก bkkmenu.com




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 1:29:52 น.   
Counter : 170 Pageviews.  

วิธีถนอมมือและเล็บ

 

5 วิธีเพิ่มความใสให้มือและเล็บSmiley  

 



  1. บำรุงมือให้นุ่มน่าจับ ด้วยการป้องกันรังสียูวี ถ้ามือของเราโดนแดดบ่อยๆ จะทำให้เหี่ยว บ่น และด้านเร็วขึ้น ดังนั้นควรบำรุงมือด้วยการหมั่นทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และนวดมือเพื่อบริหารไปด้วย  

     



    1. การแช่น้ำมือในน้ำอุ่นผสมสบู่ ก็ช่วยนะคะ จากนั้นเช็ดมือให้แห้งแล้วดันหนังเล็บด้วยไม้ตะเกียบ  

       



      1. มือก็เหมือนผิวหน้า การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะละเลยไม่ได้ ดังนั้นตอนอาบน้ำก็อย่าลืมนวดและขัดมือด้วยแปรงอ่อนๆเบาๆและทาโลชั่นและน้ำยาเคลือบหลังอาบน้ำด้วยนะ  

         



        1. เราต้องคลายความเมื่อยล้าให้มือด้วยนะ เพราะเราใช้มันมาทั้งวันแล้ว ด้วยการแช่มือในน้ำนมอุ่นๆสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที แล้วเช็ดให้แห้ง จะช่วยให้มือเปล่งปลั่งมากขึ้น และยังช่วยคลายความเมื่อยล้าได้อีกด้วย 

           



          1. อันสุดท้าย ให้นำมะนาวที่คั้นน้ำแล้วมาหนึ่งซีก แล้วเอานิ้วซุกเข้าไปในเปลือกสัก 2-3 นาที เท่านี้เล็บก็ดูสดใสขึ้นแล้ว



          ขอบคุณข้อมูลจาก oknation.net













 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 0:52:40 น.   
Counter : 351 Pageviews.  

ถนอมดวงตาด้วย 8 วิธีง่าย ๆ

"วิธีถนอมดวงตา"

ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อการมองเห็น และการรับรู้สิ่งต่าง ๆ บนโลก
ดวงตานั้นมีความอ่อนโยน และบอบบาง จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเป็นพิเศษ วันนี้ก็เลยถือโอกาสนำวิธีการถนอมดวงตาแบบง่าย ๆ มาให้ลองปฏิบัติกัน

1. ควรใช้สายตาที่มีแสงสว่างเพียงพอและหลีกเลียงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตาได้

2. ควรสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่มีแสงจ้า

3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสกปรกขยี้ตา หรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจจะมีเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า มาทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้

4. กรณีที่ใช้สายตานาน ๆ เช่น อ่านหนังสือ ก็ควรหาช่วงพักผ่อนสายตา ด้วยการทอดสายตาออกไปไกล ๆ หรือมองต้นไม้สีเขียวบ้าง

5. การนอนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการพักผ่อนสายตาที่ดี

6. การแต่งหน้าอาจทำให้เกิดถุงใต้ตา และรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ ดังนั้นควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้าและผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ ต้องมีเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

7. ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดงหรือดูอิดโรยไม่สดใส ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็ง มาวางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น

8. บริหารดวงตา โดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลม เริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบหนึ่งรอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กัน วันละ 2-3 ครั้ง หรือนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก แล้วใช้แตงกวาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ นำมาแปะไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

ถ้าอยากให้ดวงตาดูสดใสและมีเสน่ห์ก็ลองนำ 8 วิธีนี้ไปปฏิบัติกันดู.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวสารที่มีคุณภาพ จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 0:48:11 น.   
Counter : 191 Pageviews.  

1  2  

Excursion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Excursion's blog to your web]