Group Blog
 
All blogs
 
3.สมุทัยควรละ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ ทุกขสมุทัยอริยสัจ เป็นไฉน?
ตัณหานี้ใด อันให้เกิดในภพใหม่ ประกอบด้วยนันทิราคะ
เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

(มหาสติปัฏฐานสูตร)

สมุทัย เป็นอริยสัจประการที่สองในอริยสัจ ๔ วันนี้นำมาจาก
พระธรรมเทศนา ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เพื่อปันกันศึกษาครับ

อริยสัจ๔ เป็นของที่มีอยู่แล้วประจำในโลกแต่ไหนแต่ไรมาสมกับพระพุทธเจ้าตรัสว่า
"พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกนี้ก็ตามไม่มาตรัสรู้ก็ตาม ธรรมธาตุ ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม
หากมีอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา"

ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้วก็ตาม พระพุทธองค์ก็ไม่ได้เอาธรรม
ทั้งหลายเหล่านั้นไปด้วย เป็นธรรมนั้นไม่ปรากฏเท่านั้น
ทุกข์เป็นของดีชาวโลกทั้งหลายไม่ชอบทุกข์จึงไม่เห็นธรรม
พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายท่านยกเอาทุกข์มาเป็นอารมณ์
ดังที่พระองค์ตรัสว่า "ทุกข์เป็นของควรกำหนด" มิใช่ของควรทิ้ง
ถึงจะทิ้งก็จะเอาไปทิ้งให้ใคร เพราะทุกคนก็มีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์อยู่ในขันธ์ ๕ นี้แล้ว

สมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลทั้งนั้น
พระองค์ตามสืบสาวหาเหตุของทุกข์คือตัวสมุทัยอย่างเราต้องการ
อยากได้ อยากดี อยากเป็น แล้วขวนขวายหาก็ต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์
ได้บ้างไม่ได้บ้าง ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง เศร้าโศกเสียใจเดือดร้อนวุ่นวาย
เรียกว่า มันประสบเหตุให้เกิดทุกข์ คือความอยาก
พระองค์เรียกว่าตัณหาสามคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ไม่นอกเหนือไปจากตัณหาสามประการนี้

คนเกิดขึ้นมาด้วยกาม กินอยู่ด้วยกาม นอนอยู่ในกาม นั่งอยู่ในกาม
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่หนีไปจากห้าอย่างนี้
ผู้ใดเกิดมาต้องวุ่นวายอยู่กับของเหล่านี้แหละ เดือดร้อนอยู่กับของเหล่านี้
คือมันข้องมันติด ไปไม่หลุด ไปไม่พ้น เรียกว่า กามตัณหา พระองค์ได้กำหนดรู้แล้ว

ภวตัณหา คือความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากได้โน่นอยากได้นี่
ได้แล้วก็อยากได้อีก เป็นแล้วก็อยากเป็นอีก ไม่อิ่มไม่พอเป็นสักที
นี่ก็เป็นทุกข์ เพราะความไม่อิ่มไม่พอ เรียกว่า ภวตัณหา พระองค์ได้ละแล้ว

วิภวตัณหา คือความไม่อยากเป็นไม่โน่นเป็นนี่ ไม่อยากได้โน่นไม่อยากได้นี่
ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เพราะความไม่อยาก จึงเป็นเหตุให้เดือดร้อนเป็นทุกข์เรียกว่า วิภวตัณหา

ทั้งสามนี้ เรียกว่า สมุทัย พระองค์ได้ละทิ้งถอนไปหมดแล้ว ไม่ให้มีเหลืออยู่ในสันดานพระองค์เลย

ขันธวิบากทุกข์ซึ่งยังมีร่างกายอันนี้อยู่จึงจำเป็นจะต้องเสวยทุกข์อยู่ด้วยกันทุกรูปทุกนาม
แต่พระองค์ไม่เป็นทุกข์เพราะเหตุที่เห็นทุกข์ซึ่งพระองค์ได้กำหนดแล้ว
สมุทัยเป็นของควรละพระองค์ได้ละแล้ว อย่างความอยาก เราอยากได้โน่น อยากได้นี่
เราไม่เอาละ สละทิ้งเลย ปล่อยวางเลย สละได้จริงๆ นั่นแหละสมุทัยคือ ตัณหา
ตัณหาเป็นของควรละ พระองค์ได้ละแล้วรวมเป็นสามเหมือนกัน

ขอบพระคุณที่มีจิตกุศลติดตามอ่านครับ
วันนี้ขอจบสมุทัยควรละ ก่อนนะครับ

เพราะเราและเธอ ไม่รู้แจ้งอริยสัจ
จึงทำให้สงสารของเราและเธอ ต้องยาวไกล
เนิ่นนาน แล่นไป ร่อนเร่ รอนแรมไป
ในภพน้อยภพใหญ่

แต่เมื่อเราและเธอได้ ตรัสรู้อริยสัจแล้ว
สงสารของเราและเธอจึงขาดสะบั้นลง
ไม่ต้องยาวไกล เนิ่นนาน แล่น ร่อนเร่ รอนแรมไป

(ตติยสัจจสังยุต)

ย่อจากพระธรรมเทศนา ของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ขออนุโมทนามา ณ โอกาสนี้ครับ


Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 19:21:54 น. 0 comments
Counter : 359 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.