เรื่องราวของชายผู้มีความหลัง
Group Blog
 
All blogs
 

วิเคราะห์นัดชิงที่ 3 บอลโลกระหว่างเยอรมันกับโปรตุเกส : แก้ตัวส่งท้ายบอลโลกได้งดงาม ลาก่อน คิงคาห์น

นัดนี้เป็นนัดชิงที่ 3 ในบอลโลก 2006 ซึ่งเยอรมันต้องการแก้ตัวจากความพ่ายแพ้ต่ออิตาลี 0-2 ในรอบรองชนะเลิศ ส่วนโปรตุเกสเองก็เพิ่งจะพลาดหวังการได้เข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของประเทศ หลังจากที่ไปพ่ายฝรั่งเศสมา 0-1 จึงต้องการทำผลงานนัดนี้ให้ดีเพื่อเป็นการทิ้งทวน

เยอรมันในนัดนี้มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นหลายตำแหน่งเนื่องจากมีผู้เล่นบาดเจ็บหลายคน โดย11 ตัวจริงของเยอรมันมี ผู้รักษาประตูเป็นโอลิเวอร์ คาห์นซึ่งนัดนี้จะเป็นนัดสุดท้ายของเขาในทีมชาติ แบ๊กขวาโยกฟิลิปป์ ลาห์มมาเล่นแทนตำแหน่งอาร์เน่ ฟรีดริชแล้วเอามาร์เซลยานเซ่นยืนเป็นแบ๊กซ้ายแทน เซนเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงโดยให้เยนส์ โนวอทนี่ย์ยืนแทนแพร์ แมร์เตซัคเกอร์ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยคู่กับคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ กองกลางตัวรับทอร์สเท่น ฟริงก์สที่พ้นโทษแบนกลับมาลงสนามได้อีกครั้งโดยยืนเป็นตัวตัดเกมกลางสนาม ให้เซบาสเตียน เคห์ลได้ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก เนื่องจากมิชาเอล บัลลัคไม่ฟิต มิดฟิลด์ฝั่งว้ายเป็นบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ มิดฟิลด์ฝั่งขวาเป็นแบร์นด์ ชไนเดอร์ กองหน้าเป็นคู่หูคนเดิมคือ ลูคัส โพดอลสกี้ และมิโรสลาฟ โคลเซ่

รูปเกมของเยอรมันในนัดนี้ เยอรมันเน้นเกมรุกเต็มตัว โดยทำการเปิดเกมสู้กับโปรตุเกสอย่างเมามันส์ อีกทั้งโปรตุเกสเองก็เปิดเกมสู้กับเจ้าภาพอย่างไม่มีการลดราวาศอกอีกเช่นกัน ทำให้รูปเกมของทั้งคู่เป็นการเปิดเกมแลกกันไปมาอย่างสนุก เยอรมันอาศัยการขึ้นเกมรุกทางฝั่งขวาจากชไนเดอร์พอสมควร โดยชไนเดอร์ทำเกมกดดันแนวรับโปรตุเกสได้เป็นระลอก ๆ ส่วนทางด้านซ้าย ชไวน์สไตเกอร์ก็เปิดเกมปั่นป่วนกองหลังโปรตุเกสได้เป็นช่วง ๆ โดยมียานเซ่นคอยเติมขึ้นมาทางซ้ายช่วยชไวนี่เป็นช่วง ๆ เช่นกัน ทำให้ชไวนี่เล่นได้อย่างสบายใจ ยิ่งกว่านั้นการที่คลิ้นซี่เน้นแท็กติกเปิดเกมรุกเต็มตัวทำให้ชไวนี่เปิดเกมได้อย่างสนุก อาสัยความคล่องตัวเดินเกมได้ตลอด ทั้งยังทำประคูได้ 2 ประตู และมีส่วนในการทำเข้าประตูตัวเองของอาร์มันโด้ เปอตีต์ของโปรตุเกสด้วย ส่วนแดนกลางสนาม เป็นเคห์ลที่ทำหน้าที่เปิดเกมรุกแทนบัลลัค ในขณะที่ฟริงก์สยืนปักหลักคอยตัดเกมอย่างเดียว ทำให้เยอรมันทำเกมได้อย่างไหลลื่น กองหน้าทั้งโคลเซ่และโพดอลสกี้ของเยอรมันก็สร้างความปั่นป่วนให้แก่แผงหลังของโปรตุเกสได้เช่นกัน ส่วนโปรตุเกสเองก็ไม่ได้น้อยหน้า เปิดเกมสู้กับเยอรมันได้สูสี อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของคริสเตียโน่ โรนัลโด้และซิเมา ซาโบรซ่าเข้าป่วนแผงหลังเยอรมันตลอด มีเดโก้คอยทำเกมและมีเปอตีต์กับมานิชคอยตัดเกมและประคอง

เกมรับของเยอรมันนัดนี้ถือได้ว่าเล่นกันได้ดีพอสมควร แบ๊ก 2 ข้างทำหน้าที่ได้ดี ด้านซ้ายอย่างยานเซ่นนั้นได้แสดงให้เห็นว่าสามารถเล่นแทนลาห์มในฝั่งซ้ายได้ไม่เลวเลย ขึ้นเกมได้ดีตลอด เกมรับแน่น ไว้ใจได้ รับมือกับปีกตัวจี๊ด ๆ ของโปรตุเกสได้ดี ถึงจะสกัดบอลได้ไม่เนียนเท่าลาห์มก็ตาม ส่วนลาห์มในแบ๊กขวานั้น ถือว่าเล่นได้ไม่เด่นนัก แต่ก็ไม่เสียอะไร เกมรับยังดักปีกเร็ว ๆ ได้สบาย ๆ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นเกมมากนัก อาจเป็นเพราะเล่นแบ๊กซ้ายซะนานจนไม่คุ้นกับแบ๊กขวาที่ตนเคยโด่งดังมาก่อนก็เป็นได้ ส่วนเซนเตอร์อย่างโนวอทนี่ย์ซึ่งนัดนี้ถือเป็นการเล่นบอลโลกนัดแรกในชีวิตของเค้า และอาจเป็นนัดสุดท้ายของเค้าในบอลโลกด้วยเช่นกันเพราะอายุ 32 ปีแล้ว เค้าจึงเล่นได้เด่นมาก ๆ สามารถยืนซ้อนตำแหน่งแบ๊กกับเม็ตเซลเดอร์ได้ดีไม่มีที่ติ คุมเกมรับได้แน่นหนามาก ทำให้เม็ตเซลเดอร์เล่นได้สบายไร้กังวล ส่วนกลาง 2 ตัวอย่างเคห์ลและฟริงก์สและเคห์ลก็ทำหน้าที่ตัดเกมได้ดีตลอด โดยเคห์ลนัดนี้สามารถดักจังหวะเดโก้ได้เกือบตลอด ส่วนฟริงก์สก็ยืนตำแหน่งได้ดี ไม่เน้นเติมมากนัก ตัดเกมรุกของโปรตุเกสได้ตลอด ช่วยแบ่งเบาภาระในแผงหลังได้มากมาย ส่วนด่านสุดท้ายอย่างเจ้าคิงคองคาห์น นัดนี้เป็นนัดสุดท้ายในทีมชาติ จึงเล่นได้อย่างโดดเด่น เซฟลูกยิงอันน่าหวาดเสียวของโปรตุเกสได้หลายลูก ช่วยให้เยอรมันไม่เสียประตูง่าย ๆ ถึงแม้ว่าเยอรมันจะเสียประตูในช่วงท้ายเกมก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดของกองหลังด้วย ไม่ได้เป็นความผิดของคาห์นเพียงคนเดียวที่ไม่ออกมาตัดลูกโยนของหลุยส์ ฟิโก้จนนูโน่ โกเมสโหม่งเข้าไป นัดนี้เป็นผลงานชั้นยอดของแนวรับเยอรมัน และต้องบอกว่าแนวรุกโปรตุเกสเองก็ไม่เด็ดขาดในจังหวะสุดท้าย ทำให้แนวรับเยอรมันเล่นได้ง่ายขึ้นมาก

ส่วนแนวรุกของเยอรมัน ต้องบอกได้ว่านัดนี้เล่นได้สุดยอดมาก นักเตะทุกคนเล่นได้อย่างไหลลื่น ส่งบอลกันแม่นยำ เปิดเกมรุกกดดันคู่ต่อสู้ได้เป็นระลอก ๆ เล่นได้หลากหลายและหวือหวาพอสมควร แบ๊กของเยอรมันมียานเซ่นเป็นตัวหลักในการเปิดเกมสู้ทางริมเส้น ส่วนลาห์มไม่ค่อยเปิดเกมมากนัก จะยืนประคองหลังมากกว่า แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดี มิดฟิลด์ตัวกลางที่คอยเป็นตัวเดินเกม นัดนี้ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ที่ว่าเคห์ลนั้นได้เล่นในบทบาทของบัลลัค โดยเป็นตัวเดินเกมสู้ไปข้างหน้าคอยผ่านบอลให้กับมิดฟิลด์ตัวกึ่งริมเส้น 2 ข้างคือชไนเดอร์และชไวน์สไตเกอร์ ซึ่งก็เล่นได้เด่น มีลูกเล่นพอสมควร ส่วนมิดฟิลด์ 2 ด้านคือชไวนี่และชไนเดอร์เปิดเกมน่ากลัวตลอดเวลา โดยเฉพาะชไวนี่นั้น ถือว่าเค้าเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์เนื่องจากการทำเกมบุกตะลุยที่น่ากลัวตลอดเวลา รวมถึงการทำประตู 2 ลูกในลักษณะเดียวกันโดยเลี้ยงตัดเข้าในก่อนซัดด้วยขวาข้างถนัดเข้าไป เป็นการเล่นที่สุดยอดอีกนัดหนึ่ง ส่วนกองหน้า โคลเซ่นั้นลงมาล้วงบอลไปสร้างความปั่นป่วนให้กับกองหลังโปรตุเกสตลอดเวลา งัดเอาเทคนิคแทบทุกชนิดมาห้ำหั่นจนป่วนแนวรับคู่ต่อสู้ตลอด ส่วนเจ้าชายโพลดี้นั้นก็ครองบอลเบียดกับกองหลังฝอยทอง ช่วยให้ทีมบดกับคู่แข่งได้อย่างสูสี ก่อนที่จะจบเกมในฐานะผู้ชนะซึ่งแนวรุกของเยอรมันในนัดนี้ ถือว่าเล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจอีกนัดหนึ่งเลยก็ว่าได้

วิเคราะห์ฟอร์มของนักเตะและคะแนนความสามารถ

โอลิเวอร์ คาห์น – ยังไม่ทิ้งมาดจอมสั่งการ และมีความเป็นผู้นำสูง ได้สวมปลอกแขนอีกครั้งและเป็นนัดสุดท้าย เซฟลูกสำคัญ ๆ ได้ตลอดทั้งจากลูกเตะมุม ฟรีคิก หรือแม้ลูกยิงอันตรายของนักเตะฝอยทอง ลูกที่เสียประตูช่วงท้ายเกมนั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดของเค้าเพียงคนเดียว แต่ก็ไม่เสียหายอะไรมากเพราะสกอร์ขาดไปแล้ว เป็นการทิ้งทวนที่น่าจดจำอย่างยิ่ง (2.5)

ฟิลิปป์ ลาห์ม – ออกจะเงียบในเกมรุก ไม่ค่อยเติมมากนัก แต่เกมรับไว้ใจได้ มีพลาดบ้างแต่ไม่เสียหาย จัดการซิเมาได้อยู่หมัด เล่นได้อย่างสม่ำเสมอ (3.5)

มาร์เซล ยานเซ่น – เติมเกมรุกทางซ้ายได้วูบวาบ ถึงแม้ว่าจะเปิดบอลไม่อันตรายเท่าลาห์ม แต่ก็สร้างความปั่นป่วนได้เป็นระยะ ๆ เกมรับจัดการโรนัลโด้ได้ดี ไม่มีอาการเหวอหรือเข้าพรวด (2.5)

เยนส์ โนวอทนี่ย์ – คุมเกมรับได้เหนียวแน่น สกัดลูกกลางอากาศได้ดี แข็งแกร่ง เบียดปะทะได้ดีตลอด อ่านเกมขาด แทนแมร์เตซัคเกอร์ได้เยี่ยม ประสบการณ์เหลือเฟือช่วยทีมได้เสมอ อาจเป็นการเล่นบอลโลกเพียงแค่นัดเดียวในชีวิตที่น่าจดจำไปอีกนาน (2.5)

คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ – ยืนคุมเปาเลต้าจนเป็นง่อยไปเลย อีกทั้งยังซ้อนแบ๊กได้ดีจนปีกโปรตุเกสทำอันตรายได้ไม่มากนัก แข็งแกร่ง เบียดปะทะดี แน่นอนเสมอต้นเสมอปลาย มีความเร็วใช้ได้ (2.5)

ทอร์สเท่น ฟริงก์ส – ไม่ค่อยขึ้นหน้ามากนัก ยืนปักหลักตัดเกมอยู่กลางสนามเพียงอย่างเดียวแต่ก็ทำได้ดี ตัดเกมได้ตลอด แบ่งเบาภาระกองหลังได้เยอะ พลิกบอลสวย แกร่ง คุมจังหวะเกมดี อ่านเกมขาด (2)

เซบาสเตียน เคห์ล – น่าแปลกใจเล็ก ๆ ที่ได้เล่นบทบาทของบัลลัคทั้ง ๆ ที่ตัวเองถนัดเล่นเกมรับซะมากกว่า แต่ก็ทำหน้าที่ได้ดี คอยเชื่อมเกมรุกอยู่บ่อยครั้ง มีความคล่องตัวสูง เข้าบอลหนักถึงลูกถึงคน ทำเอาเดโก้เล่นไม่ถนัดนัก อีกทั้งยังมีลูกเล่นในเกมรุกอีกด้วย เดินเกมดี จ่ายบอลแม่น ทำผลงานได้ดีอย่างเหลือเชื่อ (2)

แบร์นด์ ชไนเดอร์ – ทำเกมฝั่งขวาได้วูบวาบดี เปิดบอลสร้างอันตรายได้พอสมควร ยังมีความเร็วหลงเหลืออยู่บ้าง ช่วยให้เกมทางฝั่งขวามีลุ้นพอสมควร (3)

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ – เป็นพระเอกของงานนี้เลยทีเดียว ทำเกมได้วูบวาบ อันตรายมาก อาศัยเทคนิคคอยปั่นป่วนแนวรับโปรตุเกสตลอดเวลา อีกทั้งยังยิงได้ 2 ประตูจากการลากตัดเข้าในแล้วยิงประตูเป็นลูกไซด์โค้งสุดสวยทั้ง 2 ลูก อีกทั้งลูกที่เปอตีต์ทำเข้าประตูตัวเองนั้นก็มาจากการผ่านบอลเข้าไปของชไวนี่ด้วย ผลงานเยี่ยมและดูมีอนาคต (1.5)

ลูคัส โพดอลสกี้ – สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้ดี มีโอกาสพอสมควรแต่เสียดายที่ทำไม่ได้ ครองบอลดี แกร่ง ทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ (3)

มิโรสลาฟ โคลเซ่ – ทั้ง ๆ ที่ไม่สมบูรณ์แต่ก็สามารถสร้างความปั่นป่วนให้แผงหลังโปรตุเกสได้มาก มีการแตะอ้อมกองหลังเข้าไปทำประตูอีกด้วย เทคนิคเยี่ยม เป็นประโยชน์ต่อทีม ครองบอลและทำทางได้ดี ลูกเล่นพลิกแพลงร้ายกาจ (2.5)

คะแนนความสามารถตัวสำรอง :

โอลิเวอร์ นอยวิลล์ – ลงมาแทนโคลเซ่ สร้างความปั่นป่วนได้บ้าง แต่ก็ไม่มากมายนัก กระนั้นก็ยังเก็บบอลครองบอลได้ดี ช่วยทีมได้พอสมควร (4.5)

ไมค์ ฮานเค่ – ลงมาทำอะไรได้ไม่มากนัก ไม่อยู่ในช่วงที่ฟอร์มสด การครองบอล การวิ่งหาจังหวะต้องพัฒนาอีกมาก (5.5)

โธมัส ฮิทเซิ่ลสแพร์เกอร์ – ลงมาในช่วงที่สกอร์ขาดไปแล้ว ซึ่งก็ถือเป็นการลงมาเพื่อปิดเกมเท่านั้น (-)

สุดท้ายเยอรมันก็แก้ตัวได้สำเร็จ คว้าอันดับ 3 ไปครอง ซึ่งก็สามารถเยียวยาความผิดหวังของทีมได้มาก ต้องชมเจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ที่เข้ามาช่วยปรับปรุงการเล่นของทีมได้สำเร็จ และคลิ้นซี่เองก็กลับลำหันมาเน้นความแน่นอนในช่วงก่อนบอลโลกไม่กี่วัน ช่วยให้เยอรมันที่มีแต่นักเตะดาวรุ่งสามารถสร้างผลงานได้ประสบความสำเร็จแม้ว่าจะได้แค่ที่ 3 ก็ตาม แต่โปรตุเกสที่เป็นคู่แข่งในนัดนี้ก็ถือว่ามาได้ไกลเอามาก ๆ เช่นกัน เพราะไม่มีใครคาดหมายว่าจะสามารถเข้ามาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายได้ ก็ต้องให้เครดิตแก่หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ที่ช่วยให้โปรตุเกสเล่นได้สวยงาม เป็นระบบ เหนียวแน่น มีประสิทธิภาพ ซึ่งก็ถือว่าเป็นม้ามืดของบอลโลกครั้งนี้เลยก็ว่าได้

น่าเสียดายที่หลังจากจบบอลโลกครั้งนี้ คลิ้นซี่ได้ลาออกจากตำแหน่งบุนเดสเทรนเนอร์ไป อาจเป็นเพราะต้องการมีเวลาให้กับครอบครัวที่อเมริกามากขึ้น จึงต้องอำลาตำแหน่งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจบอลโลกครั้งนี้ แต่กระนั้นคนที่มาสานต่องานจากคลิ้นซี่ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นโยอัคคิม เลิฟซึ่งเป็นผู้ช่วยของคลิ้นซี่ในบอลโลกหนนี้นั่นเอง เลิฟเป็นผู้ที่ช่วยคลิ้นซี่วางระบบ แท็กติก ทิศทางการเล่น รวมถึงไอเดียใหม่ ๆ ให้ทีมอยู่เสมอ ซึ่งความสำเร็จของเยอรมันในครั้งนี้ เลิฟมีส่วนมากทีเดียว ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าเยอรมันในยุคของเลิฟจะทำได้ดีแค่ไหนในทัวร์นาเม้นท์ใหม่ที่จะมาถึงซึ่งก็คือ ยูโร 2008 ที่ออสเตรียและสวิสเป็นเจ้าภาพร่วม รวมถึงอาจเป็นบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ถ้าหากว่าเลิฟได้อยู่ต่อ น่าติดตามพอสมควรว่าเลิฟจะสานต่อคลิ้นซี่ได้ดีแค่ไหนในการพาเยอรมันกลับขึ้นมาเป็นทีมแนวหน้าของยุโรปอีกครั้ง




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2549    
Last Update : 4 สิงหาคม 2549 23:50:05 น.
Counter : 447 Pageviews.  

วิเคราะห์แมตช์เยอรมันพบอิตาลีในรอบรองชนะเลิศ : เยอรมันทำดีที่สุดแล้ว

เป็นการโคจรมาพบกันอีกครั้งระหว่างเยอรมันกับอิตาลี ซึ่งก็เป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้ว่ายังไงซะเยอรมันก็ต้องแพ้อิตาลี ทั้ง ๆ ที่ผมเป็นแฟนบอลเยอรมัน ผมก็ยังไม่อาจฟันธงให้เยอรมันชนะ แค่ให้เยอรมันสู้อย่างสมศักดิ์ศรีเท่านั้นเอง

สถิติการเจอกันของทีมชาติเยอรมันและอิตาลีในบอลโลก เยอรมันไม่อาจเอาชนะอิตาลีได้เลย ถึงแม้ว่าสถิติอาจจะวัดอะไรกับปัจจุบันไม่ได้ แต่มันก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง เนื่องจากระบบการเล่น ทางบอลของอิตาลีมักจะได้เปรียบเยอรมันตลอด เมื่อมาพบกัน เนื่องจากเยอรมันเป็นทีมที่เล่นเกมรุกบุกใส่ฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ค่อย ๆ ครองเกมบดใส่คู่ต่อสู้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งคู่ต่อสู้ล้าและพลาด ซึ่งคู่ต่อสู้ที่มักจะแพ้เยอรมันนั้น อย่างน้อยสมาธิในเกม ความเหนียวแน่นในเกมรับ ความแข็งแกร่งในการบดบี้กับคู่ต่อสู้จะเป็นรองเยอรมัน แต่มันใช้ไม่ได้กับอิตาลีเพราะอิตาลีเป็นทีมที่เน้นเกมรับเป็นหลัก มีแนวรับที่แข็งแกร่ง เล่นได้อย่างเหนียวแน่น เสียประตูยาก สมาธิของแนวรับดีมาก จนได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีเกมรับแข็งแกร่งที่สุดในโลก ทำให้เยอรมันมักจะทำเกมสู้อิตาลีไม่ได้เลย ยิ่งกว่านั้นเยอรมันก็ยังเป็นทีมที่เน้นการให้บอลไปยังพื้นที่ว่างบ่อยครั้ง ซึ่งก็เข้าทางอิตาลีที่เน้นการดักทางบอลและปิดช่องการจ่ายบอลของฝ่ายตรงข้าม เข้ามาดักสกัดทางบอลได้ตลอด ทำให้เยอรมันทำเกมได้ลำบากขึ้น อีกทั้งอิตาลียังเป็นทีมที่เน้นการเล่นเกมสวนกลับ และถ้าอิตาลีชุดไหนทำเกมสวนกลับได้วูบวาบ รวดเร็ว และหวังผลได้ เมื่อนั้นเยอรมันจะหนาว เพราะเมื่อเยอรมันถูกยั่วยุให้บุก มากขึ้นก็จะกลายเป็นว่าอิตาลีก็มีโอกาสเล่นเกมที่ตนเองถนัดได้มากกว่าเดิม มีโอกาสสวนกลับมากกว่าเดิม แน่นอนว่าในนัดที่เยอรมันแพ้อิตาลีในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 นั้นก็มาจากเกมสวนกลับที่ดีของอิตาลีอีกด้วย

เกมนี้ เยอรมันจัดผู้เล่นชุดเดิมลงสนามหมด ยกเว้นในแดนกลางที่มีการปรับเปลี่ยนพอสมควรโดย ทอร์สเท่น ฟริงก์ส มิดฟิลด์ตัวรับติดโทษแบนจากการที่ไปมีส่วนในเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้เล่นอาร์เจนติน่าหลังเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทำให้เซบาสเตียน เคห์ลได้ลงเล่นแทน และทิม โบรอฟสกี้ ก็ได้ลงสนามแทนบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เพื่อเพิ่มความแน่นอนในแดนกลาง โดยยืนประจำในตำแหน่งมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย รูปเกมโดยรวมเป็นอิตาลีเปิดเกมรุกใส่เยอรมันก่อนโดยเชื่อว่าเยอรมันอาจคิดไม่ถึงว่าอิตาลีจะมาอุดก่อน แต่เยอรมันก็ยังยันเกมรุกของอิตาลีได้ดี แดนกลางของเยอรมันมีปัญหาไปพักใหญ่เพราะการติดโทษแบนของฟริงก์สในช่วง 1 วันก่อนแข่ง ทำให้เยอรมันต้องเตรียมแผนสำรองสำหรับเคห์ลอย่างฉุกละหุก ซึ่งก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเยอรมันมีปัญหาในเรื่องของการประสานเกมแดนกลางพอสมควร และเคห์ลก็มักจะหลุดจากตำแหน่งบ่อยในช่วงแรก ก่อนที่จะมาปักหลักยืนตำแหน่งได้ดีในช่วงเวลาที่เหลือ ทำให้เยอรมันเสียจังหวะเกมบุกไปเยอะมาก แต่กระนั้นเมื่อเยอรมันตั้งหลักได้ เยอรมันก็เปิดเกมรุกแลกคืนบ้าง จากลูกยิงของแบร์นด์ ชไนเดอร์ในครึ่งแรก แต่ก็เฉียดคานไปแบบน่าหวาดเสียว พอมาครึ่งหลัง เยอรมันเปิดเกมสู้ได้มากขึ้น ในขณะที่อิตาลีก็ลงไปตั้งรับหน้าประตูซะมาก โดยเยอรมันก็มีโอกาสจากลูคัส โพดอลสกี้ แต่ก็พลาดไปหมด ส่วนคู่ขาในแดนหน้าอย่างมิโรสลาฟ โคลเซ่ก็พลาดง่าย ๆ และไม่อาจสร้างความลำบากใจให้แผงรับอตาลีได้เนื่องจากตัวเองไม่ฟิต จึงให้โอลิเวอร์ นอยวิลล์ลงมาแทนที่ ส่วนแบร์นด์ ชไนเดอร์ก็เล่นไม่ออก จึงให้ดาวิด โอดอนคอร์ลงมาแทนเพื่อเพิ่มความสดและความวูบวาบในเกมรุก รูปเกมของเยอรมันก็เล่นได้ไหลลื่นขึ้น สร้างความลำบากให้อิตาลีได้เป็นระยะ ๆ ในท้ายครึ่งหลัง เยอรมันก็เปลี่ยนเอาโบรอฟสกี้ออกแล้วเอาชไวน์สไตเกอร์ลงมาแทนที่ หมดเวลา 90 นาทียังเสมอ 0-0 จึงต้องต่อเวลาพิเศษ เยอรมันก็ยังคงเปิดเกมสู้กับอิตาลีได้อย่างสูสี แต่ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษ อิตาลีก็เปิดเกมรุกโต้คืนเยอรมัน โดยโหมเกมบุกใส่เยอรมันตลอดด้วยเห็นว่าเยอรมันเริ่มจะล้าจากการที่ต้องเดินเกมรุกใส่อิตาลีตลอด รวมถึงการที่รอบที่แล้วเยอรมันเล่นมา 120 นาที ทำให้เกมเยอรมันเริ่มช็อต อิตาลีจึงโหมบุกเฮือกสุดท้ายเพื่อไม่ต้องไปยิงจุดโทษกับเยอรมัน แล้วก็ได้ประตูจากลูกยิงไซด์โค้งของฟาบิโอ กรอสโซ่ จากการจ่ายสั้น ๆ มาให้ของอันเดรีย ปิร์โล่ ในนาที 118 จากนั้นเยอรมันก็โหมเกมบุกหนักกว่าเดิม แต่อิตาลีฉวยโอกาสเปิดเกมสวนกลับโดยอัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่พาบอลจี้ใส่คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์และแพร์ แมร์เตซัคเกอร์ของเยอรมันก่อนจะจ่ายให้อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ยิงโค้งหนีมือเยนส์ เลห์มันน์เข้าไปเป็น 2-0 ปิดฉากเส้นทางลุ้นแชมป์ของเจ้าภาพเยอรมันแค่รอบ 4 ทีม

เกมรุกของเยอรมันในนัดนี้ บอกได้ว่าทำได้ค่อนข้างดี แดนกลางอย่างมิชาเอล บัลลัคถึงจะไม่มีโอกาสทำประตูแถวสองมากนัก ลูกฟรีคิกก็ยิงออก แต่ก็ประสานเกมในแดนกลางได้ดีพอใช้ เดินเกมได้ดี ทิม โบรอฟสกี้สร้างความสมดุลในแดนกลางได้พอสมควร จ่ายบอลได้แน่นอน เซบาสเตียน เคห์ลเติมเกมได้เยี่ยมและคล่องตัวพอสมควร ที่มีปัญหาก็คือแบร์นด์ ชไนเดอร์ที่แกช้าและเล่นกั๊กจังหวะพอสมควร ทำให้โอดอนคอร์ต้องลงมาเล่นแทน แต่โอดอนคอร์ก็ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ เนื่องจากแนวรับอิตาลียืนซ้อนกันดี ไม่ว่าจะเป็นกรอสโซ่ หรือเจนนาโร่ กัตตูโซ่ ยืนได้ดี ทำให้โอดอนคอร์ได้แค่วิ่งเหยาะ ๆ ตลอด ส่วนวิงแบ๊กทั้งซ้ายและขวา เกมนี้ไม่กล้าเปิดเกมรุกขึ้นมากนักเนื่องจากเกรงเกมสวนกลับของอิตาลี ฟิลิปป์ ลาห์มไม่อาจผ่านจานลูก้า ซามบร๊อตต้าได้ง่ายนัก ส่วนอาร์เน่ ฟรีดริชนัดนี้เงียบมากในเกมรุก ทำให้กองหน้าอย่างโคลเซ่และโพดอลสกี้ต้องลงมาล้วงบอลเอง ซึ่งโพดอลสกี้นั้นถือได้ว่าเล่นได้ดี ครองบอลได้ดีท่ามกลางดงแข้งผู้เล่นแนวรับอิตาลี เรียกฟาวล์ได้บ่อยครั้ง ส่วนโคลเซ่ต้องบอกว่าไม่อาจทำอันตรายได้มากนักเพราะว่าไม่สมบูรณ์ และต้องชมอิตาลีที่วางแท็กติกแนวรับมาได้ดีจนเยอรมันทำเกมที่ถนัดไม่ได้มากนัก สามารถยันเกมรุกเยอรมันได้ตลอด ส่วนตัวสำรองอีก 2 ตัวคือชไวน์สไตเกอร์และนอยวิลล์นั้นก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะชไวนี่ นัดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ายังอ่อนประสบการณ์ เล่นบอลกั๊กจังหวะบ่อยครั้งมากเกินไปจนเสียจังหวะเกม ทำให้เยอรมันทำเกมเสียบ่อยเหมือนกันถึงแม้ว่าจะเปิดเกมสู้อิตาลีได้ตลอดก็ตาม

ในเกมรับนั้น เยอรมันทำหน้าที่ได้ดีพอสมควร เยนส์ เลห์มันน์ออกมาตัดลูกได้ดีตลอดเว้นแต่ 2 ลูกที่เสียประตูซึ่งเป็นเรื่องสุดปัญญาของเลห์มันน์จริง ๆ คู่เซนเตอร์อย่างแพร์ แมร์เตซัคเกอร์ และคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์นิ่งพอสมควร แข็งแกร่งในการตัดบอลทั้งลูกบนพื้นและลูกกลางอากาศ ทำเอาลูก้า โทนี่เล่นไม่ออกเลย ลาห์มในตำแหน่งแบ๊กซ้ายทำหน้าที่ในเกมรับได้ดี แต่บางจังหวะสกัดบอลไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ ทำให้เสียลูกเตะมุมบ่อยครั้ง กระนั้นก็ยังดีกว่าฟรีดริชที่เล่นได้ไม่นิ่งนัก สกัดบอลเสียหลายจังหวะมาก ส่วนเคห์ลในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ต้นครึ่งแรกเล่นไม่ดีเท่าไหร่ เพราะความที่เป็นนักเตะที่วิ่งพล่านได้ทั่วสนาม จึงหลุดตำแหน่งบ่อยมาก อิตาลีจึงอาศัยการต่อบอลจังหวะเดียวตามช่องโหว่ในแดนกลางของเยอรมันได้ตลอด แต่หลังจากนั้นเคห์ลก็เริ่มรักษาตำแหน่งมากขึ้น และคุมเกมรับได้ดี ดักสกัดต๊อตติได้เกือบตลอด อีกทั้งประสานเกมกับบัลลัคได้ดี ทำให้แดนกลางแน่นขึ้น เสียดายที่เยอรมันเล่นกันได้ดีแค่ 118 นาที นักเตะส่วนใหญ่ยังขาดความเขี้ยว ประสบการณ์น้อย จึงเสียสมาธิได้ง่าย เลยต้องมาแพ้อิตาลีไปอย่างน่าเจ็บแสบ

ส่วนตัวคลิ้นซี่เองนั้นผมกลับมองเห็นจุดบกพร่องในการคุมทีมของแกเหมือนกัน ประการแรก แกวางหน้าที่ในการเปิดลูกเซ็ตพีซผิดคน โดยมักจะให้ชไวน์สไตเกอร์เป็นคนรับหน้าที่เตะมุมทั้ง ๆ แกเปิดลูกนิ่งได้แย่เอามาก ๆ บางทีก็ให้โบรอฟสกี้เปิดลูกนิ่งซึ่งโบรอฟสกี้เป็นนักเตะตัวสูง 192 ซม. น่าจะเอาไปยืนค้ำเพื่อรอโหม่งทำประตูดีกว่า ส่วนลูกฟรีคิกนั้นก็ให้ชไวนี่รับหน้าที่ ซึ่งก็มีแต่ทำให้เสียโอกาสไปโดยใช่ที่ โดยผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการรับหน้าที่เปิดลูกเตะมุม ฟรีคิก และยิงฟรีคิกน่าจะเป็นชไนเดอร์มากกว่าเพราะแกถนัดลูกนิ่งทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติมาแต่เดิม นี่เป็นความผิดพลาดประการแรกของคลิ้นซี่ ประการที่สอง การเปลี่ยนตัวตามแท็กติกบางครั้งแสดงให้เห็นว่าไม่มีความหลากหลาย ไม่ยืดหยุ่น ส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนตัวผู้เล่นหน้าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กันลงสนามทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโอดอนคอร์ นอยวิลล์ บางทีก็เอาโบรอฟสกี้แทนชไวนี่ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้คู่ต่อสู้จับทางได้ตลอด ซึ่งอิตาลีได้แสดงให้เห็นว่าสามารถรับมือโอดอนคอร์ได้อย่างไร รวมถึงการรับมือนอยวิลล์ บางที การเอาไมค์ ฮานเค่อาจจะเป็นอีกคำตอบของเยอรมันเพราะถึงฮานเค่จะไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งพอจะเบียดกับกองหลังอิตาลีได้บ้าง แต่คลิ้นซี่ก็ยังดื้อด้าน นี่แหละที่ว่าทำไมเยอรมันถึงไปไม่ถึงเบอร์ลินแต่กลับต้องมาตายที่ดอร์ทมุนด์ (Wir fahren nicht nach Berlin aber wir toten in Dortmund)

ประเมินฟอร์มของนักเตะคะแนนความสามารถ :

เยนส์ เลห์มันน์ - ป้องกันลูกอันตรายของอิตาลีได้หลายลูก ออกมาตัดลูกกลางอากาศได้ดี เกือบเสียประตูจากการยิงชนเสาของจิลาร์ดิโน่ แต่หน้าที่โดยรวมทำได้ดี ลูกยิงของกรอสโซ่เป็นเรื่องสุดความสามารถ และลูกยิงของเดลก็มาจากความผิดพลาดของกองหลังด้วย ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแล้ว (2.5)

อาร์เน่ ฟรีดริช – ดูลนลาน ไม่นิ่งเท่าไหร่ ทำเสียลูกเตะมุมและลูกทุ่มบ่อยครั้ง เข้าบอลขาดความมั่นใจ เติมเกมรุกไม่มาก และไม่วูบวาบ เป็นอีกนัดที่แย่ของแบ๊กแฮร์ธ่า (4)

ฟิลิปป์ ลาห์ม - เกมรับทำได้ค่อนข้างดี แต่ก็ชอบทำเสียลูกเตะมุมไปโดยเปล่าประโยชน์ สกัดเกมรุกของซามบร๊อตต้าและคาโมราเนซี่ได้ดี แต่จังหวะเติมเกมรุกไม่ค่อยดุดัน ผ่านซามบร๊อตต้ายาก (3.5)

คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ – เข้าสกัดได้ดี จังหวะปะทะแข็งแกร่งเด็ดขาด อัดโทนี่จนเป็นใบ้ไปเลย ไม่โฉ่งฉ่าง อ่านทางบอลดี ลูกกลางอากาศไม่เป็นปัญหา ทำหน้าที่ได้เยี่ยม แต่ก็แค่ 118 นาทีเพราะดันขึ้นสูงจนหลุดตำแหน่ง ผลงานโดยรวมถือว่าดีพอสมควร (3)

แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ – ยืนซ้อนได้ดี จังหวะการซ้อนทำได้เยี่ยม เข้าสกัดได้เด็ดขาดและเนียนพอสมควร ไม่มีปัญหาในการรับมือกับกองหน้าจอมเทคนิคของอิตาลี นิ่งไว้ใจได้ แต่ก็แค่ 118 นาทีเช่นกันเนื่องจากดันขึ้นสูงจนโดนสวนกลับ และเสียประตู (2.5)

เซบาสเตียน เคห์ล – ช่วงเริ่มเกมมีปัญหากับการยืนตำแหน่งเพราะวิ่งพล่านทั่วสนามและดันเกมรุกมากเกินไป จนอิตาลีเดินเกมกดดันเยอรมันได้ตลอด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มปรับตัวเข้ากับเกมได้ และตัดเกมในแดนกลางของอิตาลีได้ดี เข้าปะทะเฉียบขาด ตัดบอลจากต๊อตติได้เกือบตลอด เดินเกมรุกสวนกลับได้ดุดัน แทนฟริงก์สได้เยี่ยม (2.5)

มิชาเอล บัลลัค – มีโอกาสยิงแถวสองน้อยมาก ลงต่ำมาช่วยเกมรับมากเกินไป แต่ก็ทำหน้าที่เชื่อมเกมได้ดี เปิดบอลบางจังหวะใช้ได้ และดันเกมรุกดีพอสมควร (3)

ทิม โบรอฟสกี้ – เชื่อมเกมได้ดี สร้างความสมดุลในแดนกลางของเยอรมันได้พอสมควร มีจังหวะเปิดบอลแม่น ๆ แต่ลงมาช่วยเกมรับได้ไม่ดีนัก โดยรวมถือว่าพอใช้ (3)

แบร์นด์ ชไนเดอร์ – เป็นอีกนัดที่เล่นได้ไม่ดี เอาตัวรอดไม่ค่อยได้ เปิดบอลไม่ดุดัน ไม่มีความเร็วเลย มีจังหวะยิงเหน่ง ๆ แต่ยิงเฉียดคานออกไปอย่างน่าเสียดาย สมควรถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง (5)

มิโรสลาฟ โคลเซ่ – ไม่สมบูรณ์นัก ลงมาล้วงบอลได้ดี พาบอลแหวกแนวรับอิตาลีได้พอสมควร แต่ช่วงหลังเงียบหายไปเลยเนื่องจากอิตาลีจับทางได้ ไม่มีโอกาสเหมาะเจาะในการทำประตู ส่วนลูกกลางอากาศเสร็จกัปตันคันนาวาโร่หมด (4)

ลูคัส โพดอลสกี้ – ถือว่าเล่นได้ดีพอสมควร ครองบอลเหนียวแน่น ฉีกตัวมารับบอลได้ดี เอาตัวรอดจากดงแข้งของแนวรับอิตาลีได้ดีพอสมควร เสียดายจังหวะยิงเหน่ง ๆ กลับไม่เข้า (2.5)

ตัวสำรอง :

ดาวิด โอดอนคอร์ – เจออิตาลีบังทางจนไม่มีโอกาสแผลงฤทธิ์เท่าที่ควร แต่กระนั้นก็ยังครองบอลได้ดี ไม่เสียบอลง่าย ๆ ลงมาช่วยเกมรับได้ดี ทุ่มเทเหมือนเคย (4)

โอลิเวอร์ นอยวิลล์ – ไม่มีโอกาสสับไกเลย เจอแนวรับประกบซะอยู่หมัด ความเก๋าไม่ช่วยอะไร (5)

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ – เสียบอลง่ายมาก ครองบอลนานเกินไป ทีมเวิคแย่ เล่นบอลคนเดียวมากเกินไป เปิดบอลขาดความแม่นยำ ยังต้องสั่งสมประสบการณ์อีกมาก ไม่รู้ว่าจะเอาลงมาทำไม (5.5)

นัดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเยอรมันนั้นสู้อิตาลีไม่ได้ แต่กระนั้นก็ต้องนับถือหัวจิตหัวใจของเยอรมันจริง ๆ ที่ยันอิตาลีได้ 118 นาที โดยการเสียประตูนั้นต้องบอกว่านักเตะเยอรมันยังไม่เก๋าพอ ประสบการณ์ยังน้อยเกินไปในระดับชาติ มาได้แค่รอบตัดเชือกถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งที่นักเตะเยอรมันยุคใหม่ยังไม่ถึงจุดสุดยอดเร็วเกินไปนัก ยังพอมีเวลาสั่งสมประสบการณ์ และมีแรงจูงใจในการเล่นเพื่อพัฒนาฝีเท้าอีกมาก นักเตะส่วนใหญ่ก็เป็นนักเตะหนุ่มจากทีมเล็ก ๆ แต่อนาคตไกล พร้อมที่จะย้ายไปเล่นให้กับทีมใหญ่ ๆ ในประเทศหรือแม้แต่ลีกใหญ่ ๆ ต่างประเทศได้ เยอรมันยังมีโอกาสพัฒนานักเตะของตัวเองได้อีกยาวไกล นักเตะอย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม มาร์เซล ยานเซ่น เซบาสเตียน เคห์ล แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ทิม โบรอฟสกี้ ลูคัส โพดอลสกี้ โธมัส ฮิทเซิ่ลสแพร์เกอร์ ไมค์ ฮานเค่ ดาวิด โอดอนคอร์ ฯลฯ ถือได้ว่าเป็นนักเตะที่มีอนาคตและพร้อมที่จะขึ้นมาเป็นกำลังหลักในฟุตบอลทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ ๆ อย่างเช่นยูโร 2008 บอลโลก 2010 และนอกเหนือจากนั้น ผสานกับนักเตะตัวเก๋าที่มีในทีม ผมมองว่าถ้าเทรนเนอร์ทำทีมได้ดี เยอรมันจะกลับมายิ่งใหญ่ได้แน่นอน

สุดท้ายนี้ขออนุญาตลงรูปของเซบาสเตียน เคห์ล นักเตะที่แทนฟริงก์สได้ดีในเกมที่พบกับอิตาลีครับ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 22:19:38 น.
Counter : 347 Pageviews.  

วิเคราะห์แมตช์เยอรมันพบกับอาร์เจนติน่ารอบ 8 ทีมสุดท้าย : ลุ้นจนหัวใจจะวาย

นัดนี้ลุ้นกันจนเหนื่อยกว่าเยอรมันจะชนะได้ ต้องตัดสินจนถึงยิงจุดโทษฎีกา และสุดท้ายก็สามารถรักษาสถิติชนะการยิงจุดโทษตัดสินในบอลโลกได้ทุกนัด

นัดนี้เป็นรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เยอรมันต้องพบกับศึกหนักคืออาร์เจนติน่า ทีมที่ฟอร์มร้อนแรงที่สุดในทัวร์นาเม้นท์นี้ ทั้งเกมรับค่อนข้างแน่น และเกมรุกดุดัน ไหลลื่น รวมถึงทีมเวิคการประสานงานของนักเตะก็ทำได้ดีมาก ๆ ด้วย ในขณะที่เยอรมันก็พกพาเอาความมั่นใจที่จะเอาชนะอาร์เจนติน่าให้ได้เพื่อกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ส่วนอาร์เจนติน่าเองก็มั่นใจในศักยภาพของทีมของตัวเองเช่นกันว่าจะสามารถคว่ำเจ้าภาพเพื่อเข้าไปสู่รอบตัดเชือกได้ รูปเกมของนัดนี้ เยอรมันดูไม่ค่อยขึ้นเกมบุกมากนักเนื่องจากต้องระวังจังหวะการสวนกลับของนักเตะอาร์เจนติน่า แน่นอนว่าเยอรมันจึงเล่นแบบไม่ผลีผลาม การเปิดเกมรุกเป็นไปด้วยความรัดกุมและระมัดระวัง แต่มักจะถูกตัดเกมได้ง่ายเนื่องจากอาร์เจนมักจะเข้าบีบพื้นที่นักเตะเยอรมันอยู่ตลอด ส่วนอาร์เจนติน่าเองถึงแม้ว่าจะทำเกมได้เหนือกว่าเยอรมันแต่ก็มักจะถูกตัดฟาวล์โดยนักเตะเยอรมันตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เกมไหลลื่นและต่อเนื่องอันนำมาสู่โอกาสการได้ประตูของนักเตะฟ้าขาวเอง รูปเกมจึงออกมาน่าเบื่อมากกว่าที่จะสนุก

เกมรับของเยอรมันในนัดนี้เล่นกันได้ดีกว่านัดที่เจอสวีเดน เซนเตอร์ทั้ง 2 คนของเยอรมันไม่ว่าจะเป็นแพร์ แมร์เตซัคเกอร์และคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ประสานงานกันได้ดี ดักเกมรุกของอาร์เจนติน่าได้อยู่หมัด ทำให้อาร์เจนติน่าไม่ค่อยมีโอกาสหลุดเข้าไปยิงประตูเยอรมันมากนัก ส่วนแบ๊กทั้งสองข้างผมมองว่าคราวนี้แบ๊กซ้ายอย่างฟิลิปป์ ลาห์มเล่นต่ำกว่ามาตรฐานพอสมควร จังหวะขึ้นเติมเกมก็มักจะเสียบอลให้กับฟาบริซิโอ โคลอชชินี่ของอาร์เจนตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เยอรมันเกือบเสียประตูจากการจ่ายลูกขวางสนามไม่ดี ทำให้คาร์ลอส เตเวซฉกบอลเอาไปได้แต่โชคดีที่กองหลังเยอรมันคนอื่น ๆ ยังเข้ามาประคองและช่วยดักจังหวะการเข้าทำของเตเวซได้ ไม่งั้นเยอรมันจบเห่แน่นอน ผมมองว่าลาห์มต้องรีบแก้ไขตัวเองโดยด่วน ส่วนอาร์เน่ ฟรีดริชที่ฟอร์มไม่ดีเท่าไหร่นักนับแต่นัดเปิดสนามกลับสร้างผลงานที่ดีและโดดเด่นพอสมควรสามารถสกัดการขึ้นเกมของอาร์เจนติน่าได้อย่างดี อาร์เจนติน่ารู้มาตลอดว่าเยอรมันมีปัญหาตรงฝั่งของฟรีดริชซึ่งช้าและเล่นไม่แน่นอนจึงเน้นขึ้นเกมทางฝั่งของฟรีดริชตลอด แต่การขึ้นเกมของฮวน พาโบล โซริน แบ๊กซ้ายกัปตันทีมของอาร์เจนติน่ารวมถึงนักเตะคนอื่น ๆ ไม่ค่อยมีพิษสงเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะฟรีดริชด้วยเช่นกันที่เล่นได้ดีเกินคาด ยิ่งกว่านั้นฟรีดริชยังกล้าขึ้นเติมเกมรุกอย่างมั่นใจอีกด้วยถึงแม้ว่ากองกลางของเยอรมันจะทำเกมได้ไม่ดีก็ตาม ส่วนมิดฟิลด์ตัวรับอย่างทอร์สเท่น ฟริงก์สก็ทำผลงานในนัดนี้ได้ดีมาก ยืนปักหลักในแดนกลางได้ดี ดักทางบอลของนักเตะเกมรุกของอาร์เจนติน่าได้อยู่หมัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮวน โรมัน ริเกลเม่ซึ่งเล่นไม่ออกเลยในนัดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะฟริงส์เข้าตัดจังหวะการทำเกมและเบรกเกมได้ดีอีกด้วย อีกคนหนึ่งที่ผมยกย่องเค้าเป็นพิเศษสำหรับเกมรับของเยอรมันคือ เยนส์ เลห์มันน์ ซึ่งนัดนี้เยือกเย็นดีมากในการทำหน้าที่หน้าปากประตูตลอดเวลา 120 นาที รวมถึงการพุ่งเซฟที่ถูกทางในช่วงการยิงลูกโทษตัดสิน ซึ่งเลห์มันน์เซฟได้ 2 ลูกจากลูกยิงของโรเบอร์โต้ อยาล่า และเอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ โดยเฉพาะช่วงที่กัมบิอัสโซ่จะยิงนั้นบอกได้เลยว่าผมมีความมั่นใจลึก ๆ ว่าเลห์มันน์จะเซฟลูกโทษได้ เนื่องจากจังหวะที่กัมบิอัสโซ่จะยิง เลห์มันน์ได้เต้นฟุตเวิคหน้าปากประตูของตัวเองตลอดเวลา ทำให้ผมนึกไปถึงนัดที่อาร์เซนอลเจอแมนยูที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตอนนั้นแมนยูได้ลูกโทษ ฟาน นิสเตลรอยรับหน้าที่สังหาร เลห์มันน์ซึ่งตอนนั้นเพิ่งย้ายมาปืนโตใหม่ ๆ ก็เต้นฟุตเวิคแบบนี้แหละ จนพี่ม้ายิงลูกโทษชนคานออกไป ซึ่งพอนัดที่เจออาร์เจน เลห์มันน์ก็ทำได้จริง ๆ ผมมองว่าเป็นกลเม็ดอย่างหนึ่งของเลห์มันน์ในการป้องกันประตูเพื่อไม่ให้คนยิงจุดโทษกะจังหวะและทิศทางได้ถูกว่าจะยิงไปทางไหน แน่นอนเลห์มันน์คงเดาทางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเซฟได้ และทีมก็ชนะ ยิ่งกว่านั้น ผมเห็นหน้าเลห์มันน์ในนัดนี้แล้วผมรู้สึกว่าสีหน้าแกจะเยือกเย็นเป็นพิเศษจนออกจะเลือดเย็นเอาด้วยซ้ำ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจพอสมควรว่าเลห์มันน์คงช่วยเซฟลูกสำคัญ ๆ ได้ ส่วนลูกที่เสียประตูตอนต้นครึ่งหลังจะไปโทษแนวรับทั้งหมดก็ไม่ได้ ต้องโทษทั้งทีมที่ช่วยป้องกันลูกเตะมุมไม่ดี ทำให้อยาล่าได้โขกเข้าไป

ส่วนเกมรุก ผมว่าเยอรมันเล่นระมัดระวังเกินไป ทั้งยังจ่ายบอลเสียในหลายจังหวะ พอโดนอาร์เจนเข้าบีบพื้นที่ก็กลายเป็นว่าเยอรมันต้องเสียการครองบอลไปโดยเปล่าประโยชน์ในหลายจังหวะ มิดฟิลด์ตัวรุกทางริมเส้นอย่างบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์กับแบร์นด์ ชไนเดอร์ทำเกมไม่ขึ้นและจ่ายบอลพลาดหลายครั้ง ส่วนบัลลัคเองก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ จ่ายบอลผิดพลาด ทำเกมไม่ค่อยได้ ทำให้อาร์เจนเปิดเกมรุกมายังเยอรมันตลอดเวลา เยอรมันเพิ่งจะเดินเกมรุกจริงจังก็เมื่อเสียประตูไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นอาร์เจนยังดึงเอานักเตะเกมรุกตัวหลัก ๆ อย่างริเกลเม่หรือเครสโปออกไปแล้วเติมนักเตะเกมรับอย่างกัมบิอัสโซ่รวมถึงฮูลิโอ ริคาร์โด้ ครูซซึ่งไม่มีความเร็ว มีแต่ลูกกลางอากาศที่เด่น ทำให้ไม่มีใครมาค้ำในแดนหน้า เยอรมันจึงเดินหน้าเปิดเกมรุกได้มากขึ้น และรูปเกมก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนัดนี้ถึงแม้ว่าบัลลัคจะขึ้นเติมเกมไม่ได้ก็ยังมีฟริงก์สคอยช่วย อีกทั้งเมื่อทีมเปลี่ยนดาวิด โอดอนคอร์กับทิม โบรอฟสกี้ลงแทนชไวน์สไตเกอร์ และชไนเดอร์ตามลำดับ ทำให้รูปเกมดีขึ้นทันตาเห็น โดยโบรอฟสกี้เล่นบอลรัดกุม ให้บอลง่าย ไม่เอาบอลไว้กับตัวนานเกินไป ยิ่งกว่านั้น ช่วงที่บัลลัคเจ็บจนต้องลากสังขารลงเล่นตลอดช่วงต่อเวลาพิเศษ โบรอฟสกี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความห้าวหาญในการเดินเกมรุก จนผมได้เห็นแววของความเป็นผู้นำในตัวของโบรอฟสกี้ชัดขึ้น เชื่อว่าที่คลิ้นซี่กล่าวว่าโบรอฟสกี้จะเป็นตัวแทนของบัลลัคนั้นไม่น่าจะห่างไกลความจริงเท่าไหร่ ส่วนโอดอนคอร์ก็เป็นนักเตะที่มีความเร็วสูง แต่ก็เล่นทีมเวิคดี ขยัน ทุ่มเท ช่วยเกมรับได้ดี ทำให้อาร์เจนไม่เดินเกมบุกขึ้นมามากนัก เพราะต้องระวังเกมสวนกลับเอาไว้ด้วย เยอรมันจึงเดินเกมกดดันอาร์เจนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ประตูตีเสมอ โดยบัลลัคเป็นผู้โยนบอลจากฝั่งซ้ายเข้ากลางให้โบรอฟสกี้โขกเช็ดน้ำหนักกำลังพอดีให้โคลเซ่โหม่งเข้าไปเป็นประตูตีเสมอ 1-1 และเป็นประตูที่ 5 ของเขาในบอลโลก 2006 แล้ว จากนั้นไม่นานก็โดนเปลี่ยนตัวออก พอช่วงต่อเวลาพิเศษ เยอรมันเล่นไม่ค่อยดีนัก ได้แต่ประคองเกมไปจนกว่าจะหมดเวลาก่อนที่ยิงจุดโทษชนะไป

ถ้าถามว่าคลิ้นซี่ในเกมนี้วางแผนเป็นอย่างไรบ้าง ก็ต้องบอกเลยว่าวางแผนมาดีพอสมควรในเรื่องของการเล่นบอลที่ไม่ผลีผลามบุก แต่ก็ยังติวเข้มไม่พอในเรื่องของการครองบอลเพื่อหวังชัยชนะ กระนั้นการแก้เกมของเยอรมันก็ทำได้ดี อย่างเช่นเมื่อมิดฟิลด์ตัวรุกทางริมเส้นทั้งชไนเดอร์และชไวน์สไตเกอร์เล่นไม่ออกก็เอาโบรอฟสกี้ลงมาเพื่อเพิ่มความ รัดกุม และแน่นอนในแดนกลาง พร้อมทั้งเอาดาวิด โอดอนคอร์ลงมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทะลุทะลวงทางกราบให้มากกว่าเดิม ทำให้เกมแดนกลางของเยอรมันมั่นคงขึ้น รวมทั้งยังเป็นการค้ำแผงกลางของอาร์เจนเอาไว้เพื่อระวังเกมสวนกลับของเยอรมัน ไม่ให้เปิดเกมรุกใส่เยอรมันมากเกินไป และแน่นอนที่คลิ้นซี่เปลี่ยนเอาโคลเซ่ออกเพื่อให้นอยวิลล์ลงมาวิ่งโฉบเอาบอลเพราะโคลเซ่ไม่ฟิต และที่เยอรมันตีเสมอได้นั้นก็เพราะตัวสำรองของเยอรมันอย่างโบรอฟสกี้ที่เป็นคนโหม่งตั้งให้โคลเซ่โหม่งเข้าไปด้วย นับว่าต้องใครเครดิตการวางแผนที่ดีของคลิ้นซี่ด้วย

สรุปฟอร์มของนักเตะเยอรมันพร้อมทั้งคะแนนความสามารถ :

เยนส์ เลห์มันน์ – จังหวะที่เสียประตูให้อาร์เจนติน่าจะโทษเข้าก็ไม่ได้เพราะเพื่อนร่วมทีมประกบไม่ดี นอกนั้นเลห์มันน์เซฟช่วยทีมเอาไว้ได้หลายหน รวมถึงช็อตเซฟลูกจุดโทษของอาร์เจนติน่าในการดวลลูกโทษตัดสิน ทำให้เยอรมันชนะเข้ารอบ คือความสำเร็จอย่างหนึ่งของเลห์มันน์เลยทีเดียว ถือว่าโชว์ฟอร์มระดับเวิลด์คลาสจริง ๆ (1)

อาร์เน่ ฟรีดริช – เกมรับแทบไม่มีความผิดพลาดให้เห็น สามารถดักสกัดเกมรุกของอาร์เจนได้ตลอด เหนียวแน่น คงเส้นคงวา และไว้ใจได้ รวมทั้งยังเติมเกมรุกกดดันอาร์เจนติน่าได้ในบางจังหวะ ฟอร์มเดิมของเขาเริ่มกลับมาแล้ว (2.5)

ฟิลิปป์ ลาห์ม – นัดนี้เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน จังหวะการเข้าสกัดทำได้ดีพอใช้ แต่บางจังหวะจ่ายบอลพลาดจนทีมเกือบเสียประตู จังหวะการดันเกมรุกก็ไม่ค่อยผ่านนักเตะอาร์เจนเท่าไหร่นัก โดนโคลอชชินี่ตัดได้เกือบตลอด ต้องเค้นฟอร์มให้มากกว่านี้ (4)

แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ – ไม่ค่อยแกร่งในการเบียดแย่งเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังยืนตำแหน่งได้ดี ไว้ใจได้ ไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่นัก คุมพื้นที่ได้ดี ยังมีความเร็วที่ดีพอสมควร (3)

คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ – เข้าปะทะได้แข็งแกร่ง หนักแน่นแน่นอน ทำให้เครสโปเล่นไม่ออกเลย ป้องกันโอกาสของอาร์เจนติน่าได้เยี่ยม รักษาตำแหน่งและพื้นที่ได้ดีเช่นกัน (2.5)

ทอร์สเท่น ฟริงก์ส – ตัดเกมในแดนกลางได้ดีมาก ดักจังหวะเปิดเกมรุกของอาร์เจนได้หลายจังหวะ ไม่มีการเข้าพรวด อ่านเกมดี ถึงจะไม่ค่อยดันเกมรุกก็ยังคงรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เล่นได้ดีมาก (2)

มิชาเอล บัลลัค – เล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่ในเกมนั้ รวมทั้งอาการบาดเจ็บตั้งแต่กลางครึ่งหลัง ทำให้จ่ายบอลผิดพลาดและไม่ค่อยวิ่งไล่บอลมากนัก ทำเกมไม่ค่อยขึ้น แต่ก็ยังมีส่วนทำทางให้เกิดประตูตีเสมอได้ และได้ยิงลูกโทษตัดสินชัยชนะด้วย (4)

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ – จ่ายบอลพลาด เสียบอลง่ายตลอด ดูเงอะงะเวลาจ่ายบอล เลี้ยงบอลไม่ค่อยผ่านแผงรับอาร์เจน ทำเกมเสียอยู่ตลอด โชคดีที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในต้นครึ่งหลัง (5)

แบร์นด์ ชไนเดอร์ – ช้าเกินไป ไม่สามารถผ่านแนวรับของฟ้าขาวได้เลย ถึงแม้ว่าจะมีลูกเก๋าที่สามารถไปเอาฟาวล์ได้ในบางจังหวะแต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรทีมได้มากมายเหมือนนัดก่อน ๆ (4.5)

ลูคัส โพดอลสกี้ – ฉีกมาเล่นทางกราบเป็นครั้งคราว รวมถึงการลงมาล้วงบอลได้ดี ถึงจะไม่มีโอกาสเลยทั้งเกม แต่ก็แสดงให้เห็นการประสานเกมที่มีประสิทธิภาพ ทั้งยังยิงลูกโทษเข้าอีกด้วย ช่วยทีมได้พอสมควร (3.5)

มิโรสลาฟ โคลเซ่ – แทบทั้งเกมไม่ค่อยมีบทบาทมากนัก แต่ก็มาโหม่งประตูสำคัญที่ช่วยต่อลมหายใจให้กับทีม เป็นประตูที่ 5 แล้วในบอลโลกหนนี้ ถือว่าทำประตูได้ในช่วงเวลาที่สำคัญอันมีผลต่อการเข้ารอบของทีม เป็นกำลังสำคัญของทีมได้ดี (3)

ตัวสำรอง :

ดาวิด โอดอนคอร์ – ช่วยให้รูปเกมของเยอรมันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สร้างความกดดันให้กับโซรินได้ดี ใช้ความเร็วสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับอาร์เจนติน่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งทุ่มเทในเกมรับ ช่วยไล่เบียดแย่งบอลตลอดเวลา เป็นโจ๊กเกอร์ที่น่ากลัว (3)

ทิม โบรอฟสกี้ – ลงแทนชไวนี่ทำให้เกิดความสมดุลในแดนกลางมากกว่าเดิม ด้วยการเล่นบอลที่แน่นอน ให้บอลง่าย เดินเกมรุกได้ดี และทุ่มเทในการเล่นเกมรับ ลงมาช่วยบัลลัคได้มากในยามที่บัลลัคได้รับบาดเจ็บจนวิ่งไม่ออก ฉายแววความเป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังโหม่งชงให้โคลเซ่ทำประตูได้อีกด้วย เป็นอนาคตที่สำคัญของทีม (3)

โอลิเวอร์ นอยวิลล์ – ไม่ค่อยได้บอลมากนัก แต่ก็สามารถสร้างความวูบวาบได้เป็นระยะ ๆ รวมถึงการลงไปล้วงบอลจากแดนกลางก็ทำได้ดี (5)

รอบต่อไป เยอรมันต้องไปเจอกับอิตาลีซึ่งผ่านยูเครนมาได้ 3-0 ต้องบอกว่าเป็นงานที่ยากยิ่งกว่าเจออาร์เจนติน่าด้วยซ้ำ เพราะอิตาลีเป็นทีมที่เล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่น หาทางเจาะเข้าทำลำบาก ถ้าผู้เล่นครองบอลไม่ดีก็มีสิทธิถูกเบียดแย่งบอลได้ง่าย มีผู้รักษาประตูที่เหนียวแน่นอย่างจานลุยจิ บุฟฟ่อนที่ไม่ว่าใครก็เจาะยาก อีกทั้งแดนกลางของอิตาลีก็มีทั้งกองกลางที่มีความทุ่มเทและเล่นหนักอย่างเจนนาโร่ กั๊ตตูโซ่เป็นหมากเด็ดคอยบู๊กับกองกลางเยอรมัน มีกองกลางที่เชื่อมเกมได้ดีอย่างซิโมเน่ แปร์ร็อตต้า มีอันเดรีย ปิร์โล่ที่เปิดบอลได้แม่น เทคนิคเยี่ยม และอาจมีเมาโร คาโมราเนซี่ที่เล่นบอลได้คล่องและพลิ้วอีกด้วย นอกจากนั้นอิตาลีน่าจะค้นพบสูตรกองหน้าที่ลงตัวแล้วโดยใช้กองหน้าตัวต่ำ 1 ตัวอย่างฟรานเชสโก้ ต๊อตติคอยเล่นเป็นตัวฟรีเชื่อมบอลจากแดนกลางไปยังกองหน้าตัวเป้าซึ่งก็คือลูก้า โทนี่ที่เพิ่งจะยิง 2 ประตูมาหมาด ๆ ซึ่งถือว่าอิตาลีนั้นน่ากลัวเอามาก ๆ ในเรื่องของเกมรุกอีกด้วย อย่างน้อยผู้เล่นทุกคนประสบการณ์เขี้ยวลากดิน ต๊อตติก็เล่นบอลจังหวะฉาบฉวยได้ดีมาก ๆ สร้างความวูบวาบได้เป็นระยะ ๆ แน่นอน รวมทั้งการดันเกมของกองหลังอิตาลีก็ทำได้ดีทั้งจานลูก้า ซามบร๊อตต้า และฟาบิโอ กรอสโซ่ ยิ่งกว่านั้น กึ๋นของกุนซืออิตาลีอย่างมาร์เชโล่ ลิปปี้ก็ยังไม่เบาอีกด้วย เพราะเค้าสามารถพาทีมยูเวนตุสประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในระดับสโมสรในประเทศและสโมสรยุโรป เป็นกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องการแก้เกมพอสมควร รวมทั้งมีแท็กติกที่แพรวพราว

นอกจากนี้ ทางบอลของเยอรมันยังเป็นรองอิตาลีอีกด้วย เนื่องจากอิตาลีเน้นการเล่นเกมรับแล้วรอสวนกลับ เทคนิคการเล่นดีกว่าเยอรมัน แท็กติกแพรวพราวกว่าเยอรมันมาก ในขณะที่เยอรมันเป็นทีมที่เน้นเกมรุกเป็นหลัก แท็กติก ลูกตุกติกมีไม่เท่าอิตาลี และเมื่อเจอทีมที่เล่นแบบอุดก็มักจะเปิดเกมบุกแบบพับสนามจนเข้าทางอิตาลีที่เน้นเกมสวนกลับเร็ว สุดท้ายเยอรมันก็มีปัญหาทุกครั้ง ลองนึกถึงนัดชิงชนะเลิศบอลโลกในปี 1982 ที่เยอรมันแพ้อิตาลี 1-3 นั่นก็เป็นเพราะเยอรมันเปิดเกมบุกจึงเปิดโอกาสให้อิตาลีสวนกลับได้ง่าย

แต่กระนั้นอิตาลีก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ดี โดยแบ๊กซ้ายของอิตาลีซึ่งก็คือฟาบิโอ กรอสโซ่นั้นการเล่นยังไม่มีความแน่นอนนัก มักจะพลาดง่าย ๆ หลายจังหวะ เวลาเติมขึ้นมักลงไม่ค่อยทัน ซึ่งถ้าเยอรมันหาโอกาสเอาปีกที่ความเร็วสูงอย่างโอดอนคอร์เข้าเจาะอาจจะช่วยได้บ้าง ยิ่งกว่านั้นถ้าหากอเลสซานโดร เนสต้าไม่ได้ลง ก็อาจเป็นมาร์โก มาเตรัซซี่ได้ลงแทนซึ่งหมอนี่ฟอร์มไม่ค่อยคงเส้นคงวา บทจะเล่นดีก็เล่นดีเป็นพระเจ้า บทจะเล่นแย่ก็เฟอะฟะทำเสียลูกง่าย ๆ แถมอ้อนใบแดงอีกด้วย ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เยอรมันเจาะได้ง่ายขึ้นบ้าง

แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงเยอรมันเหมือนกันในเรื่องของผู้เล่นที่โดนแบนเนื่องจากเหตุการณ์ความวุ่นวายหลังเกมเตะกับอาร์เจนติน่า ข่าวล่าสุด ฟริงก์สอาจโดนแบนเพราะกล้องทีวีจับภาพได้ว่าฟริงก์สเข้าไปมีเรื่องกับนักเตะอาร์เจนติน่าด้วย ต้องติดตามข่าวกันต่อไป

ขอทิ้งท้ายกรณีที่นักเตะอาร์เจนมีเรื่องกะนักเยอรมันหลังเกมจบลง ผมเองก็ไม่ได้ไปดูช็อตหลังเกมเต็ม ๆ แต่ผมก็ได้ไปอ่านข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับนักเตะอาร์เจนติน่าและนักเตะเยอรมันที่มีเรื่องกัน ผมบอกได้เลยว่า "เยอรมันไม่ใช่ผู้ชนะที่เลว" อย่างที่ใครหลายคนว่าแต่ประการใด ตรงกันข้าม อาร์เจนติน่าก็เหมาะสมกับสำนวน "ขี้แพ้ชวนตี" ด้วยประการทั้งปวง ผมว่ามันไม่แปลกหรอกที่นักเตะอาร์เจนติน่าจะมารบกวนสมาธินักเตะเยอรมันในช่วงการยิงลูกโทษตัดสิน เพราะมันเป็นเรื่องของแท็กติกกลโกงที่เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่แน่นอนเมื่อมองในแง่ของสปิริตมันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่จะไปพูดรบกวนสมาธิผู้เล่นที่กำลังจะยิงจุดโทษ เยอรมันไม่ทำแบบนั้นแต่อาร์เจนติน่าทำครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้เสียหายถ้าโบรอฟสกี้ไปจุ๊ปากเพื่อให้นักเตะอาร์เจนหุบปากไปซะเพื่อให้เกิดแฟร์เพลย์ นักเตะอาร์เจนต่างหากที่กลับไม่ยอมรับและเป็นผู้แพ้ที่เลว ตัวเองไปก่อกวนผู้อื่นเอง พอแพ้แล้วพาล เยอรมันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้เย้ยหยันด้วย ยิ่งกว่านั้นเยอรมันยังไม่ได้เป็นผู้ชนะที่แย่ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ถึงแม้โบรอฟสกี้จะไปจุ๊ปากบอกให้นักเตะอาร์เจนเงียบจนนักเตะอาร์เจนมองว่าเป็นการยั่วยุ ผมว่ามันเป็นเหตุผลที่อ้างไม่ขึ้นด้วยซ้ำ เหตุผลก็อย่างที่บอกไปข้างต้นนี่แหละ

หวังว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดกับเกมระหว่างเยอรมันกับอิตาลี และผมเองก็ทำใจล่วงหน้าหากเยอรมันแพ้อิตาลีจนอดเข้าชิงเพราะเยอรมันมาได้แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จเกินพอแล้ว




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2549 20:24:04 น.
Counter : 561 Pageviews.  

วิเคราะห์แมตช์เยอรมัน-สวีเดนในรอบ 16 ทีมสุดท้าย : ชัยชนะที่มาเร็วเกินคาด .....

ถือว่าเล่นกันได้ดีพอสมควรสำหรับเยอรมันในนัดนี้

นัดนี้เยอรมันส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามครบ โดยคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์กลับมาลงสนามได้อีกครั้งหลังจากที่เจ็บระหว่างซ้อมจนลงสนามไม่ได้ในนัดที่เล่นกันเอกวาดอร์ ทำให้โรแบร์ต ฮูธต้องตกเป็นตัวสำรองตามเดิม 11 ผู้เล่นในสนาม ผู้รักษาประตูเยนส์ เลห์มันน์ แบ๊กขวาอาร์เน่ ฟรีดริช แบ๊กซ้ายฟิลิปป์ลาห์ม เซนเตอร์ฮาล์ฟเป็นคริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ กับแพร์ แมร์เตซัคเกอร์ มิดฟิลด์ตัวรับเป็นทอร์สเม่น ฟริงก์ส มิดฟิลด์ตัวรุกเป็นมิชาเอลบัลลัค มิดฟิลด์ฝั่งซ้ายบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ส่วนมิดฟิลด์ฝั่งขวาเป็นแบร์นด์ ชไนเดอร์ กองหน้าเป็นมิโรสลาฟ โคลเซ่ และลูคัส โพดอลสกี้

รูปเกมโดยรวมต้องบอกว่าเยอรมันเล่นในสไตล์เดิมตั้งแต่เปิดสนาม ซึ่งก็คือการเน้นความแน่นอนรัดกุม เล่นบอลอย่างเป็นระบบ มีวินัย ค่อย ๆ ต่อบอลขึ้นมาทำเกมและฉวยโอกาสที่คู่ต่อสู้ผิดพลาด ในขณะที่สวีเดนก็เปิดเกมแบบไม่ผลีผลามเช่นกัน เดินเกมค่อนข้างช้าผิดกับในรอบแรกที่เปิดเกมเร็วใส่คู่ต่อสู้ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะเกรงจังหวะสวนกลับของเยอรมันพอสมควร อาจเป็นเพราะเยอรมันได้ประตูนำเร็ว รูปเกมก็เลยไม่ค่อยมีอะไรติดขัดหรือกดดันมากนัก ยิ่งกว่านั้นสวีเดนยังเหลือนักเตะเพียง 10 คน และเฮนริค ลาร์สสันยิงจุดโทษพลาดในครึ่งหลังทำให้สวีเดนเริ่มถอดใจ ทำให้เยอรมันเอาชนะไปได้สบาย ๆ 2-0 จากการยิงของลูคัส โพดอลสกี้ทั้ง 2 ประตูในช่วงต้นเกม ทำให้เยอรมันเดินเกมได้อย่างสบาย ไม่กดดันมากนัก กลายเป็นสวีเดนที่ต้องพบกับความยากลำบากกว่าเดิมในการเปิดเกมแลกกับเยอรมัน ยิ่งกว่านั้นการที่ต้องเหลือ 10 คนในต้นครึ่งแรกทำให้สวีเดนต้องพบกับความยากลำบากกว่าเดิมในการยิงประตูคืน

เกมรับของเยอรมันในนัดนี้เทียบกับนัดที่เจอเอกวาดอร์จะเห็นได้ว่าเล่นกันไม่ค่อยรัดกุมนัก ตำแหน่งเซนเตอร์ค่อนข้างเหวอพอสมควร คนที่ควรต้องแก้ไขปรับปรุงเป็นการด่วนคือเม็ตเซลเดอร์ เพราะแกสกัดบอลไม่ดีเลย หละหลวมในการเข้าประกบ ดูไม่ค่อยมีความมั่นใจ ตัดสินใจผิดพลาดบ่อย ยิ่งเจอกองหน้าที่เทคนิคดี ชั้นเชิงสูงของสวีเดนก็มักจะพลาดง่ายมาก จุดที่เห็นได้ก็คือการปล่อยให้ซลาตันได้ยิงในกรอบเขตโทษ ซึ่งถ้าเลห์มันน์ไม่เซฟไว้เยอรมันอาจเสียประตูได้ ยิ่งกว่านั้นเม็ตเซลเดอร์ยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เยอรมันเสียจุดโทษ จากการที่ไปฟาวล์ลาร์สสันในกรอบเขตโทษจนเสียจุดโทษ โชคดีที่ลาร์สสันยิงข้ามคาน ไม่งั้นรูปเกมอาจจะเปลี่ยนไปพอสมควร ส่วนแบ๊ก 2 ข้างทั้งซ้ายและขวาก็เล่นได้แน่นอนแต่ไม่ค่อยเติมเกมมากนัก เนื่องจากทางคลิ้นซี่เน้นความรัดกุมเป็นหลัก ซึ่งผลงานที่ออกมาก็ทำได้ดีพอสมควร ส่วนการตัดเกมในแดนกลางของฟริงก์สผมมองว่าพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เล่นได้แน่นอน รัดกุม เข้าปะทะได้ดีขึ้น ยั้งเกมรุกของสวีเดนอยู่หมัด

ส่วนเกมรุกผมมองว่าเยอรมันต่อบอลได้ไหลลื่น เดินเกมได้อย่างแน่นอน จ่ายบอลมีทิศทาง เปิดเกมฉาบฉวยบางจังหวะได้ดี ครองเกมเหนียวแน่น และจ่ายบอลตามช่องได้เยี่ยม ทั้ง 2 กองกลางริมเส้นทำผลงานได้ดีพอสมควร บัลลัคแกดูจะไม่มีโชคในการทำประตูจากแถวสองเท่าไหร่นัก ถ้าไม่ติดเสาก็ไปติดโกล์สวีเดน ส่วนกองหน้าของเยอรมันจะเห็นได้ว่านัดนี้โคลเซ่ยืนต่ำกว่านัดก่อน ๆ โดยมีหน้าที่ในการล้วงไปเอาบอลมากแดนกลางด้วย และนัดนี้ก็ได้แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแค่การยิงประตูเพียงอย่างเดียว แต่ยังสร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีมได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็จะเห็นว่าลูกที่ 2 ที่โพดอลสกี้ยิงได้ก็มาจากการที่โคลเซ่พาบอลหลอกดึงกองหลังของสวีเดน 3 คนให้มารวมที่จุดเดียวก่อนที่จะป้ายมาให้โพดอลสกี้ที่ยืนว่าง ๆ ยิงเข้าไป ซึ่งถือเป็นเทคนิคที่เยี่ยมยอดของโคลเซ่อย่างหนึ่งซึ่งในบอลโลกปี 2002 ก็เคยทำได้อย่างนี้มาแล้วในนัดที่ชนะแคเมอรูน 2-0 โดยโคลเซ่ครองบอลล่อหลอกกองหลังแคเมอรูนก่อนจ่ายให้มาร์โค โบเด้ยิงเข้าไป ส่วนโพดอลสกี้นัดนี้ยิงได้ 2 ประตูถือว่าเป็นนัดที่สวยหรูพอสมควร ซึ่งก็เป็นผลมาจากแท็กติกของคลิ้นซี่อีกเช่นกันที่ให้โพดอลสกี้ยืนกองหน้าตัวเป้าทำให้กองหลังสวีเดนเตรียมตัวมาตั้งรับไม่ทัน

ฟอร์มของผู้เล่นเยอรมันและคะแนนความสามารถ

เยนส์ เลห์มันน์ – โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟไว้หลายลูกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกยิงมุมแคบของลาร์สสันรวมถึงลูกยิงระยะเผาขนของอิบราฮิโมวิช ทั้งเกมเล่นได้ดีไม่มีผิดพลาดออกมาชกบอลไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับนัดก่อน เล่นได้แน่นอนกว่าเดิม (2.5)

อาร์เน่ ฟรีดริช – จังหวะเกมรุกไม่ค่อยขึ้นเติมมากนักเพราะต้องระวังลุงเบิร์ก ส่วนเกมรับคุมพื้นที่ได้ดี มีจ่ายพลาดบ้างแต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้ ค่อนข้างคงเส้นคงวา (3)

ฟิลิปป์ ลาห์ม – เติมเกมรุกไม่มากนักเนื่องจากเกรงเกมโต้กลับเร็วของสวีเดน แต่เติมทีไรก็ได้ลุ้นทุกที เกมรับค่อนข้างเหนียวแน่น ไว้ใจได้ ถึงจะมีพลาดบ้างแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร (2.5)

แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ – เข้าสกัดบอลได้แน่นอน เล่นได้นิ่ง อ่านเกมขาด ไม่มีปัญหาในการเข้าประกบกองหน้าตัวสูง ๆ ของสวีเดนเลย แข็งแกร่งและรัดกุม (2.5)

คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์ – เกมนี้เล่นได้หละหลวมพอสมควร ผิดพลาดง่าย ไม่รัดกุม ดูขาดความมั่นใจพอสมควร เป็นคนทำเสียจุดโทษให้สวีเดน ต้องพยายามเรียกฟอร์มเดิมให้กลับมาโดยด่วน (4)

ทอร์สเท่น ฟริงก์ส – ดักทางบอลของสวีเดนได้ดี ครองเกมได้เยี่ยม ควบคุมจังหวะเกมได้ดี ผ่านบอลแม่น รักษาตำแหน่งได้ดีและไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องการแย่งลูกมากนักไม่ว่าจะเป็นลูกบนพื้นหรือลูกกลางอากาศ เป็นเกมที่ดีอีกเกมหนึ่งของเค้าเลยทีเดียว (2)

มิชาเอล บัลลัค – เป็นหัวใจในเกมรุกของทีม เดินเกมให้เยอรมันได้อย่างดุดัน เล่นบอลง่าย จ่ายบอลฉลาด ลงมาช่วยเกมรับได้ดี เป็นหัวใจสำคัญของทีมอย่างแท้จริง โชคร้ายที่ลูกยิงจากแถวสองของเค้าไม่เข้าเป้าเลย (2.5)

ลูคัส โพดอลสกี้ – ยิง 2 ประตูตั้งแต่ต้นเกมซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามของเยอรมันเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้นยังมีโอกาสอีกหลายครั้งซึ่งสร้างความหนักใจให้กับสวีเดน หากยังเล่นได้ในฟอร์มระดับนี้ เยอรมันอาจทะลุถึงชิงชนะเลิศ (2)

มิโรสลาฟ โคลเซ่ – ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า 2 ประตูของโพดี้นั้นเริ่มต้นจากการเปิดทางและทำทางอย่างสวยงามของหัวหอกเบรเมน ลูกแรกแหวกกองหลังสวีเดนเข้าไปยิงติดอิซัคส์สันจนเปิดรูโหว่ให้โพดี้ซ้ำเข้าไป ลูกที่สองพาบอลวิ่งล่อกองหลังสวีเดน 3 คนให้มาติดกับก่อนจ่ายให้โพดี้ยิงเข้าไป ยิ่งกว่านั้นยังได้โชว์เทคนิคลีลาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นแตะบอลอ้อมตัวหรือแตะบอลลอดขา ทำได้หมดจด ถึงแม้นัดนี้จะยิงประตูไม่ได้ผมก็ยกให้เค้าเล่นที่ดีที่สุดในนัดนี้ (1.5)

ตัวสำรอง :

โอลิเวอร์ นอยวิลล์ – ไม่ค่อยมีจังหวะอะไรมากนักในแดนหน้าเพราะปิดเกมหมดแล้ว ส่วนใหญ่จะถ่างตัวเองออกไปเอาบอลที่ริมเส้น (5)

ทิม โบรอฟสกี้ – ขยัน ทุ่มเทเหมือนเดิม เล่นบอลง่าย ช่วยให้แดนกลางครองเกมต่อเนื่องและปิดเกมได้ดี (4)

เซบาสเตียน เคห์ล – ลงมาแทนฟริงก์สได้ไม่มีปัญหา ไม่ได้ทำผลงานมากนักเพราะเป็นช่วงท้ายเกม (-)

นับจากนี้ ผมมองไปถึงนัดต่อไปที่เยอรมันจะต้องพบกับอาร์เจนติน่า มันเป็นงานที่หนักของเยอรมันอย่างมากในการรับมือกับทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะความสามารถเฉพาะตัวสูง เทคนิคเยี่ยม พละกำลังดี มีสไตล์การต่อบอลที่ไหลลื่น อย่างอาร์เจนติน่าทีมนี้ โดยอาร์เจนชุดนี้มีนักเตะตัวทีเด็ดหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเอร์นัน เครสโป , ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า , ฮวนโรมัน ริเกลเม่ , มักซี่ โรดริเกซ , เอสเตบัน กัมบิอัสโซ่ , ฮวน ปาโบล โซริน , ลิโอเนล เมสซี่ , คาร์ลอส เตเวซ ฯลฯ ไม่ง่ายเลยสำหรับเยอรมันในการรับมือฟ้าขาว ผมว่าอาจเป็นแมตช์ที่หนักที่สุดนับตั้งแต่คลิ้นซี่เคยคุมทีมมาเลยทีเดียว

แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าอาร์เจนไม่มีจุดบอด ซึ่งฮอลแลนด์กับเม็กซิโกได้แสดงให้เห็นแล้วในนัดก่อน ๆ ที่เจอกับฟ้าขาวจอมแทงโก้ นั่นก็คือ ทีมฟ้าขาวมักจะมีปัญหาเวลาถูกบีบพื้นที่ในการเล่น ทำให้เสียบอลง่าย รูปเกมในแดนกลางรวนไปพอสมควร ยิ่งกว่านั้นตัวรุกทีเด็ดของทีมก็ไปไม่เป็นเนื่องจากถูกปิดพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นซาวิโอล่า เครสโป เมสซี่ เตเวซ หรือริเกลเม่ ถ้าเยอรมันใช้จุดอ่อนเช่นว่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อทีมของตัวเองก็อาจจะทำให้เยอรมันมีลุ้นผ่านอาร์เจนติน่าไปได้ จะง่ายหรือยากหรือทำไม่ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทีมชาติเยอรมันเองแหละครับ

นับแต่นี้เยอรมันจะต้องสู้อย่างยากลำบากและทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อความสำเร็จรวมทั้งการเล่นที่สมกับศักดิ์ศรีเจ้าภาพและทีมระดับนำของยุโรป





 

Create Date : 27 มิถุนายน 2549    
Last Update : 27 มิถุนายน 2549 22:41:32 น.
Counter : 357 Pageviews.  

วิเคราะห์แมตช์เยอรมัน-เอกวาดอร์ : เป็นชัยชนะที่วัดอะไรไม่ได้ แต่ก็เรียกกำลังใจนักเตะได้หลายคน

หลังจากที่ผมได้ดูเกมที่เยอรมันพบกับเอกวาดอร์ในรอบสุดท้ายกลุ่ม เอ ซึ่งทั้งคู่ลอยลำเข้ารอบสองไปแล้ว แต่เยอรมันต้องการอีก 3 แต้มเพื่อการเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม ซึ่งเยอรมันชนะไป 3-0อย่างสบาย ๆ จากการยิงของมิโรสลาฟ โคลเซ่ 2 ลูกในครึ่งแรก และลูคัส โพดอลสกี้ยิงอีกลูกในกลาง ๆ ครึ่งหลัง ผมมองว่ายังวัดประสิทธิภาพอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากเอกวาดอร์ส่งผู้เล่นสำรองลงสนามถึง 5 คน แทนผู้เล่นตัวจริงติดโทษใบเหลือง ถึงแม้จะมีตัวหลักที่โชว์ฟอร์มดีลงครบก็ตาม ยิ่งกว่านั้นก็คือสไตล์การเล่นของเอกวาดอร์ก็ยังคล้าย ๆ กับโคลอมเบียที่เยอรมันเคยอุ่นเครื่องมาก่อน จึงไม่แปลกนักที่เยอรมันจะเอาชนะได้ด้วยสกอร์ถึง 3-0 และมีรูปเกมที่เหนือกว่าเอกวาดอร์มาก

ปัญหาก็คือถ้าเอกวาดอร์ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามทั้งหมดเยอรมันจะพบกับงานง่ายเหมือนในนัดนี้หรือ ?

ตอบได้เลยว่ามันไม่ง่ายเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเยอรมันทำเกมไม่ออก แล้วนักเตะมีความกดดันจนเอาลูกหนักมาใช้ ที่ติดใบเหลืองอยู่แล้วอาจติดแบนจนถึงรอบน็อคเอาท์ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก

ยิ่งไปกว่านั้นเอกวาดอร์เป็นทีมที่นักเตะมีศักยภาพไม่สูงมาก คุณภาพนักเตะเมื่อเทียบกับทีมอื่นอย่างอาร์เจนตินา บราซิล อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮอลแลนด์ โปรตุเกส หรือแม้กระทั่งสวีเดนที่เยอรมันจะต้องเจอในวันเสาร์นี้ มันเทียบไม่ได้เลย

ดังนั้น เราไม่อาจวัดอะไรได้กับฟอร์มการเล่นของเยอรมันในนัดนี้

อย่างไรก็ดี ก็ถือว่าชัยชนะ 3-0 ก็สามารถเรียกความมั่นใจของนักเตะบางคนให้กลับคืนมาได้ ไม่ว่าจะเป็นโคลเซ่ที่ฟอร์มฝืดในนัดที่เล่นกับโปแลนด์ โพดอลสกี้ที่ฟอร์มฝืดมา 2 นัดติด ฟรีดริชที่ต้องการหาฟอร์มที่แท้จริงของตัวเอง รวมถึงแดนกลางของทีมในนัดที่แล้วที่เล่นได้เละเทะ ซึ่งนัดนี้นักเตะเหล่านั้นได้กลับมาเรียกฟอร์มเดิมของตัวเองกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น

แนวรับในเกมนี้เล่นได้ดีมาก หยุดเกมรุกของเอกวาดอร์ได้สนิท การยืนตำแหน่ง การเช็คไลน์ รวมถึงการประสานงานทำได้อย่างลงตัว นักเตะอย่างฮูธ ถึงแม้ว่าจะนัดนี้จะวัดความสามารถแท้จริงของเค้าไม่ได้ แต่การได้ออกมายืดเส้นยืดสายแทนเม็ตเซลเดอร์ที่บาดเจ็บก็ทำให้ฮูธได้เพิ่มพูนประสบการณ์ให้มากขึ้น แต่กระนั้นคลิ้นซี่ก็ออกมายืนยันแล้วว่านัดหน้ากับสวีเดน เม็ตเซลเดอร์ก็ยังคงเป็นตัวจริงคู่กับแมร์เตซัคเกอร์ต่อไป

เกมรุกและการประสานงานในแดนกลางของทีม จะเห็นได้ว่าบางจังหวะแดนกลางไม่ค่อยลงมาช่วยไล่บอลเท่าไหร่นัก ทำให้ระยะห่างระหว่างแดนกลางกับแดนหลังมีมากเกินไป ผมมองว่าฟริงก์สยังต้องปรับปรุงอีกมากอยู่ดีในเรื่องของการรักษาตำแหน่ง ซึ่งคลิ้นซี่ก็เริ่มออกมาติงแล้วว่าแดนกลางกับแดนหลังห่างกันเกินไป ส่วนเกมรุกต้องชมเลยว่าประสานงานกันได้ดี การขึ้นเกมทางซ้ายโดยลาห์มและชไวน์สไตเกอร์ทำได้จัดจ้านอีกครั้ง ชไวนี่ยังเข้ามาเติมเกมได้เยี่ยมพร้อมทั้งผ่าน 1 ลูกให้โคลเซ่เปิดแผลลูกแรกเข้าไป ส่วนทางขวาฟรีดริชเริ่มมีส่วนกับเกมรุกมากขึ้น และชไนเดอร์ก็เปิดลูกโค้งเรียดพื้นให้โพดอลสกี้ยิงเข้าไป ตรงกลางสนามบัลลัคเล่นไม่เต็มที่นักเนื่องจากกลัวปัญหาเรื่องใบเหลือง แต่ก็ยังชิพบอลน้ำหนักเหมาะเจาะให้โคลเซ่หลุดไปยิงได้ ถือว่าเข้าใกล้ระดับโลกไปทุกทีแล้ว นับเป็นเรื่องที่ดีของแดนกลางเยอรมันในครั้งนี้

ส่วนแดนหน้าต้องชมโคลเซ่ว่ามีสัญชาตญาณในการทำประตูที่เยี่ยมยอด ลูกแรกนั้นเป็นการยิงประตูแบบไม่ต้องจับ จากลูกผ่านย้อนเข้ากลางของชไวนี่ และอีกลูกจากการชิพของบัลลัค ที่โคลเซ่เอาเข่าแตะบอลที่กระดอนให้หนีโกล์เอกวาดอร์ก่อนหลุดไปโล่ง ๆ ยิงเข้าประตูไป ซึ่งต้องชมเทคนิคและบาลานซ์ รวมถึงความเยือกเย็นของเขาเลยทีเดียว ส่วนโพดอลสกี้นัดนี้ฟอร์มโดยรวมไม่ดี แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ยิงประตูได้ ซึ่งผมเองก็ยินดีด้วยกับเขา หวังว่าเขาคงจะช่วยแบ่งเบาภาระการทำสกอร์ของโคลเซ่ได้ในดต่อ ๆ ไป

วิเคราะห์และประเมินฟอร์มผู้เล่นทีมชาติเยอรมัน :

เยนส์ เลห์มันน์ - ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เซฟมากนัก จะมีก็แค่ลูกยิงฟรีคิกของเอกวาดอร์ช่วงท้ายครึ่งแรกซึ่งเลห์มันน์ไม่พลาด แต่จะสังเกตได้ว่าเลห์มันน์ออกมาชกบอลบ่อยเกินไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เป็นการส่งสัญญาณว่าเล่นได้ไม่แน่นอนเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าติดโรคเดียวกะโค้ชประตู (อันเดรียส ค็อปเค่) รึเปล่า เพราะโค้ชประตูก็เป็นโรคชอบออกมาชกบอลสมัยยังเป็นนักเตะ (3.5)

อาร์เน่ ฟรีดริช - เล่นได้อย่างมั่นใจมากขึ้น เดินเกมรุกได้ดีกว่า 2 นัดแรก เกมรับเล่นใช้ได้ คุมเกมดี (3)

ฟิลิปป์ ลาห์ม - เล่นเด่นตลอดทั้งเกมเหมือนที่เคยเป็น แต่เกมรับมีปัญหาในช่วงแรก ๆ ในการจัดการกับนักเตะเอกวาดอร์ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มปรับตัวกับเกมได้ ส่วนเกมรุกจัดจ้าน เล่นได้แน่นอน (3)

เพอร์ แมร์เตซัคเกอร์ - ไม่มีปัญหาในการจัดการกับความเร็วของนักเตะเอกวาดอร์ ยืนซ้อนตำแหน่งได้ดี เป็นอีกนัดที่ไม่ต้องทำอะไรมาก (2.5)

โรเบิร์ต ฮูธ - ลงเล่นตัวจริงนัดแรกในบอลโลกหนนี้ เข้าปะทะได้แข็งแกร่ง ประกบได้เหนียวแน่น ไม่มีข้อผิดพลาดมากนัก (2.5)

ทอร์สเท่น ฟริงก์ส - เล่นเกมรับได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องพัฒนาขึ้นอีก โดยเฉพาะการรักษาตำแหน่ง การเข้าปะทะยังเข้าพรวดอยู่บ้าง นัดต่อไปไม่ควรพลาดแม้แต่น้อยเพราะสวีเดนมีแต่จอมเทคนิค (2.5)

มิชาเอล บัลลัค - เด่นพอสมควร ยังไม่ค่อยกระตือรือร้นมากนักเนื่องจากกลัวโดนอีกเหลือง แต่ก็มีทีเด็ดจากลูกชิพข้ามหัวกองหลังให้โคลเซ่เข้าไปยิง บ่งบอกได้ว่าใกล้เวิลด์คลาสไปทุกทีแล้ว (2)

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ - จ่ายให้โคลเซ่ยิงอีก 1 เม็ด วิ่งพล่านทำเกมได้ดี สลับตำแหน่งซ้ายขวากับชไนเดอร์ได้เยี่ยม จ่ายบอลทะลุช่องตัดแนวรับได้ดีอีกด้วย ค่อนข้างประทับใจ (2.5)

แบร์นด์ ชไนเดอร์ - เล่นได้แน่นอนในครึ่งแรก มีความเก๋าช่วยทีมได้มาก เปิดลูกโค้งสุดสวยให้โพดอลสกี้ยิงได้ ฟอร์มอยู่ในช่วงขาขึ้น (2.5)

ลูคัส โพดอลสกี้ - ยิงประตูลดความกดดันของตัวเองลงไปได้บ้าง ถึงแม้จะเป็นการยิงในช่วงที่รูปเกมไม่มีอะไรแล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องปรับปรุงเรื่องของการวิ่งหาพื้นที่ และความนิ่ง (3)

มิโรสลาฟ โคลเซ่ - แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณของกองหน้าในลูกแรก และเทคนิคกะบาล้านซ์ร่างกายที่เยี่ยมในลูกที่สอง ครึ่งหลังลงต่ำมาช่วยแดนกลาง ลูกที่โพดี้ยิงได้ มาจากการตั้งเกมของโคลเซ่ด้วย เป็นนักเตะที่สปิริตเยี่ยมยอด (2)

ตัวสำรอง :

ทิม โบรอฟสกี้ - เล่นกลางรับแทนฟริงก์ส บางครั้งชอบฟาวล์พร่ำเพรื่อ โฉ่งฉ่างเกินไป เหมาะกับตัวเดินเกมมากกว่า เพราะให้บอลง่าย จ่ายบอลแม่น ยิงแถวสองใช้ได้ (5)

เกราลด์ อซาโมอาห์ - ทีมเวิคไม่ค่อยดี ชอบฝืนเลี้ยงไปคนเดียว ยังขาดความแน่นอนในการประสานงาน (5)

โอลิเวอร์ นอยวิลล์ - ไม่มีโอกาสได้โชว์ฟอร์มอะไรเท่าไหร่นักเนื่องจากเป็นช่วงท้ายเกมที่สกอร์ขาดและเริ่มปิดเกมแล้ว (-)

กระนั้นผมก็ยังเกรง ๆ คู่แข่งรอบต่อไปหลังจากที่ผมได้ดูคู่อังกิด-สวีเดน ผมรู้สึกหวั่น ๆ สวีเดนอยู่พอสมควร เนื่องจากสวีเดนเป็นทีมที่เล่นเกมรุกได้ดุดัน เทคนิคเยี่ยม จ่ายบอลสั้นสลับยาวได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการโยนยาวของสวีเดนที่มีเปอร์เซนต์ความแม่นยำถึง 70 % เลยทีเดียว ลูกกลางอากาศถือเป็นลูกอันตราย อีกทั้งเป็นทีมที่เล่นเกมเร็ว สวนกลับอันตรายมาก ๆ ถ้าเยอรมันบุกเพลินปล่อยให้มีพื้นที่ระหว่างแดนกลางกับแดนหลังขนาดนี้ เยอรมันอาถึงกับเสียประตูได้ ยิ่งกว่านั้น แนวรับสวีเดนเองก็ไม่ใช่เล่น เพราะเข้าบอลได้เหนียวแน่นแข็งแกร่ง นักเตะทุกคนไล่บีบพื้นที่ดีมาก และเล่นหนัก เยอรมันต้องทำการบ้านมาให้ดี

แต่สวีเดนก็มีจุดบอดตรงที่กองหน้าจบสกอร์ยังไม่คมเท่าไหร่ ใช้โอกาสเปลืองมาก ซึ่งถ้าเยอรมันดักเกมรุกของสวีเดนอยู่ เยอรมันอาจไม่ต้องพบงานหนักมากนัก แต่ก็ต้องพยายามครองเกมในแดนกลางให้ดีด้วย ยิ่งกว่านั้นสวีเดนมีจุดอ่อนตรงแบ๊กที่ยังไม่ค่อยเหนียว พยายามเจาะเข้าริมเส้นเยอรมันอาจได้ลุ้น รวมถึงสวีเดนเป็นทีมที่เกมแดนกลางไม่ค่อยมีการยืดหยุ่นจังหวะเกม สปีดเกมค่อนข้างคงที่เกินไป หนักไปทางเปิดเกมเร็ว ทำให้คู่ต่อสู้จับจังหวะเกมได้ง่าย ขึ้นอยู่กับว่าเยอรมันจะวางแผนมาดีแค่ไหนด้วยในการรับมือจอมเทคนิคโคตรฟิตของยุโรปทีมนี้

ใจจริงอยากเจออังกฤษมากกว่าอีกเพราะมันง่ายกว่าเยอะ แต่ยังไงก็จะเป็นกำลังใจให้เยอรมันคับผม




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2549    
Last Update : 23 มิถุนายน 2549 1:55:46 น.
Counter : 294 Pageviews.  

1  2  

ดยุคแห่งออสเตรีย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]