ทาน คือการทำกุศลที่ได้บุญ การให้อภัย คือการทำกุศลที่ได้บุญมากกว่า
Group Blog
 
All blogs
 

มาขึ้นปีใหม่ด้วยเมตตากันเถิด




มาขึ้นปีใหม่ด้วยเมตตากันเถิด


(วสิษฐ เดชกุญชร นสพ.มติชน อังคาร 28 ธ.ค. 47 หน้า 6)

ตอนนี้ใครๆ ก็คงได้รับบัตร ส.ค.ส.กันทุกคนนะครับ มากบ้างน้อยบ้าง และหลายคนก็คงจะกำลังส่งบัตร ส.ค.ส.กันอยู่เป็นธรรมดา

 


 

"ส.ค.ส." ย่อมาจาก "ส่งความสุข" การส่งบัตร ส.ค.ส.จึงเป็นการแสดงเจตนาหรือความประสงค์ของผู้ส่งที่จะให้ผู้รับมีความสุข

 


 

การส่งบัตร ส.ค.ส.จึงเป็นการแผ่เมตตาเป็นลายลักษณ์อักษร

 


 

ความปรารถนาที่จะให้ (ตนเองหรือผู้อื่น) มีความสุขนั้น ภาษาชาวพุทธเรียกว่า "เมตตา"
เมตตาจะได้ผล ทำให้มีความสุขหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ส่งว่าอยากจะให้ผู้รับมีความสุขจริงหรือไม่ ถ้าสักแต่ว่าส่งๆ ไปพอเป็นพิธี ไม่ได้ตั้งอกตั้งใจอะไร แรงเมตตาก็จะอ่อน เสียเงิน (ค่าบัตร) เปล่าๆ

 


 

แต่ถ้ามีเจตนาแท้จริงที่จะให้ผู้รับมีความสุข เมตตาจะแรง แม้จะไม่ส่งเป็นบัตร ส่งเป็นกระแสจิตออกไปเฉยๆ แต่ก็จะได้ผล ผู้รับจะรู้สึก

 


 

เวลาจะแผ่เมตตา ควรทำจิตให้สงบก่อน เพราะจิตสงบมีพลังมากกว่าจิตที่ยังสับสนวุ่นวาย พอรู้สึกว่าจิตสงบแล้วจึงค่อยแผ่เมตตา เทคนิคอีกอย่างหนึ่งก็คือ อย่าแผ่เมตตาโดยมีเงื่อนไขอย่างใดทั้งสิ้น เมตตาจึงจะแรงที่สุด ถ้าแผ่แบบมีเงื่อนไข เช่น แผ่โดยอยากจะให้เขารักเรา หรือเพื่อให้เขาทำประโยชน์อย่างใดก็ตามให้เรา แรงของเมตตาจะอ่อน ผลที่เกิดจะเป็นลบ อย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า counter-productive

 


 

เขียนบัตร ส.ค.ส.ก็เหมือนกัน ตั้งใจส่งถึงใคร อยากให้ผู้รับผู้นั้นมีความสุข เท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปตั้งตาคอยว่าส่งไปแล้วเขาจะส่งตอบเรามาหรือไม่

 


 


 

คนไม่ค่อยรู้ว่าเมตตาเป็นแรง (หรือพลังหรือกระแส) ชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อส่งออกไปแล้ว โดยหลักทางวิทยาศาสตร์จึงจะมีแรง (หรือพลังหรือกระแส) สวนโต้กลับมาด้วยความแรงเท่ากัน ผู้ที่ค้นพบหลักนี้เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว คือ เซอร์ไอแซกนิวตัน (Sir Isaac Newton) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ

 


 

เพราะฉะนั้น คนแผ่เมตตาจึงย่อมได้รับเมตตาเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน แม้จะไม่คาดหวังเลย

 

การแผ่เมตตาควรทำเป็นกิจวัตร ไม่คอยจนกระทั่งถึงเทศกาลคริสต์มาส หรือปีใหม่ การส่งบัตร ส.ค.ส.ควรถือเป็นเพียงการตอกย้ำเมตตาอีกครั้งหนึ่ง นอกเหนือไปจากที่ส่ง (หรือแผ่) กันอยู่แล้วทั้งปี

 


 

ไหนๆ เขียนแล้วก็ขอเขียนให้สมบูรณ์ว่า นอกจากเมตตาแล้ว ยังมีพลัง (หรือแรงหรือกระแส) อีกสองอย่างที่ควรแผ่ให้ตนเองและผู้อื่นด้วย คือ กรุณา และมุทิตา

 


 

มุทิตาคือความยินดีในสุขหรือสมบัติที่ (ตนเองหรือผู้อื่น) ได้มาแล้ว ไม่อิจฉาริษยาที่คนอื่นเขามีเขาได้

 


 


 

กรุณาคือความปรารถนาจะให้พ้นทุกข์
และยังมีพลัง (หรือแรงหรือกระแส) อีกอย่างหนึ่งเป็นที่สุด คือ อุเบกขา ซึ่งทำให้สามารถวางเฉยไม่หวั่นไหว เมื่อให้เขาไม่ได้แล้วทั้งเมตตา กรุณา และมุทิตา สามารถพิจารณาและเข้าใจว่าเขามีกรรมเป็นของเขา ต้องรับผลของกรรม และที่เขากำลังประสบ (เคราะห์ร้าย) อยู่นั้น เป็นผลของกรรมที่เขาทำมาเอง

 

เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา พลังสี่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่า พรหมวิหาร หรือพรหมวิหารธรรม

 


 

การแผ่เมตตาคือการเจริญพรหมวิหารธรรม

 


 

ที่โลกกำลังเดือดร้อนอยู่แทบทุกหย่อมหญ้า คนทำสงครามหรือก่อการร้าย ทำร้ายและฆ่าฟันกันอย่างโหดเหี้ยม เมื่อไม่ทำร้ายไม่ฆ่าฟันกันก็ยังมุ่งร้าย อิจฉาริษยา เอารัดเอาเปรียบ ลักขโมย ยักยอก และฉ้อโกงกัน ก็เพราะไม่รู้จักแผ่เมตตา ไม่รู้จักพรหมวิหาร หรือรู้จักแต่ปาก ส่วนใจนั้นขาดเมตตา ขาดพรหมวิหาร

 


 

โลกจะสงบได้ก็แต่ด้วยเมตตาเท่านั้น ตราบใดที่โลกยังขาดเมตตา ตราบนั้นโลกจะไม่สงบ

 


 

ขึ้นปีใหม่นี้ ผมขอแผ่เมตตาให้ท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่ง

 


 

ขอจงเป็นสุขเถิด ขอจงอย่ามีเวรแก่กันและกัน ขอจงไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจ รู้จักรักษาตัวอยู่เป็นสุขเถิด

 


 

ขอจงพ้นทุกข์เถิด

 


 

ขอจงอย่าไปพรากจากสมบัติอันได้มีแล้วเถิด

 


 

สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น






Free TextEditor




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2551    
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 1:23:20 น.
Counter : 563 Pageviews.  

ทำงานเพื่ออะไร

ทำงานเพื่ออะไร

(ประภาส ชลศรานนท์ คอลัมน์ คุยกับประภาส นสพ.มติชน อาทิตย์ 6 มี.ค. 48 หน้า 17)


ถึงพี่ประภาส


เคยถูกถามนะว่าทำงานกันไปเพื่ออะไร อาจจะเป็นคำถามง่ายๆ ไร้สาระนะ แต่หนูก็คิดเหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร เพื่อเงินหรือเปล่า เพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น เพราะแต่ละวันเราก็ต้องทำอะไรที่เหมือนๆ เดิมทุกวัน แต่งตัวตอนเช้า รถติด ตอกบัตร อยู่ที่ทำงานบางทีก็เบื่อ บางทีก็ขยัน เป็นหยั่งงี้ทุกวัน...อยากได้ความคิดเห็นหรือคำตอบดีๆ จากคำถามที่ว่า...ทำงานไปเพื่ออะไร?

สลิด


พี่ประภาส


เวลามีใครถามผมว่าทำงานไปเพื่ออะไร ผมก็ตอบทุกครั้งว่า ทำงานเพื่อเงิน พี่ว่าผิดไหม

มนุษย์งานมนุษย์เงิน


วันนี้ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังสองเรื่อง เรื่องแรกคือทฤษฎีของมาสโลว์ เรื่องที่สองคือเรื่องเล่าจากหอไอเฟล


เรื่องแรกนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวความคิดทางจิตวิทยาของชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ที่อาจมีภาษาที่ฟังดูยากๆ ไปสักหน่อย แต่ผมขอรับปากว่าจะพยายามช่วยอธิบายในภาษาของผมให้ดีที่สุด อ่านถึงตรงนี้ถ้าใครอยากข้ามไปอ่านเรื่องเล่าจากหอไอเฟลเลย ผมก็คงจะไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมอยากอ่านอะไรที่สนุกและเข้าใจง่ายๆ


ถามว่ามันเกี่ยวอะไรกันไหมสองเรื่องนี้ มันไม่เนื่องกันโดยตรงหรอกครับ แค่คล้ายๆ ข้าวเหนียวกับทุเรียนแค่นั้น


เรื่องแรกครับ


อับราฮัม เอช. มาสโลว์ (พ.ศ.2451-2513) เจ้าของทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพและทฤษฎีจิตวิทยามนุษยนิยม ได้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์เป็นผู้ไม่หยุดนิ่ง"


ประโยคนี้แปลว่าอะไร มันแปลว่า "มนุษย์นั้นมีความต้องการไม่สิ้นสุดใช่ไหม"


ประโยคที่สองที่ผมแปลนี่มาสโลว์ก็พูดไว้ก่อนแล้ว ฟังดูก็ไม่น่าเร้าใจอะไรเท่าไรนะครับ เราๆ ท่านๆ ก็ฟังคำสอนทางพุทธที่มีความหมายประมาณนี้มาก็เยอะแยะแล้ว


ต่อไปก็เป็นประโยคที่สามครับ มาสโลว์บอกว่า "ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรม"


ฝรั่งนั้นชอบอธิบายอะไรทำนองนี้เสมอ ฟังอย่างไรก็รู้ว่าเป็นภาษาฝรั่ง แต่ยอมรับนะครับว่าฟังแล้วก็เข้าใจได้ดี ผมชอบเรียกการอธิบายแบบนี้ว่า การอธิบายแบบคณิตศาสตร์ คือมันฟังแล้วเห็นภาพเหมือนสมการสองข้าง เหมือนอนุกรมของตัวเลข


ประโยคที่สี่ของมาสโลว์ครับ ประโยคนี้สำคัญที่สุดเพราะมาสโลว์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าแห่งทฤษฎีทางจิตวิทยาสายมนุษยนิยมก็ด้วยประโยคนี้แหละครับ


"ความต้องการของมนุษย์เป็นไปตามลำดับขั้น"


มาสโลว์แบ่งลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้นคือ


ขั้นที่ 1.ความต้องการทางกาย ความต้องการขั้นพื้นฐานนี้ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่เป็น สัตว์โลกอื่นๆ ก็เป็นครับ หิว กระหาย ก็ต้องการอาหารและน้ำ หายใจไม่ออกก็ต้องการอากาศ หนาวขึ้นมาก็ต้องการเสื้อผ้า ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านขึ้นมาก็ต้องการเพศตรงข้าม ป่วยไข้ก็ต้องการยารักษา


ขั้นที่ 2.ความต้องการความปลอดภัย หลังจากตอบสนองขั้นแรกได้แล้วมนุษย์ก็จะเริ่มคิดเผื่อไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือเริ่มกลัวถูกทำร้าย กลัวอาหารไม่พอ กลัวหนาวเกินไป กลัวร้อนเกินไป ที่พักอาศัยและอาหารที่ต้องตุนไว้จึงเกิดขึ้น การมีนามีไร่ หรือการเลี้ยงสัตว์ไว้มากมาย มีอาวุธไว้ป้องกันตนเองก็เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นนี้ทั้งนั้น


ถึงตรงนี้ขออนุญาตหมายเหตุไว้สักหน่อย น่าทึ่งนะครับที่อยู่ๆ มนุษย์ก็คิดค้น "เงิน" ขึ้นมา มันเป็นสิ่งสมมุติที่สามารถเอามาแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งสองขั้นข้างบนได้อย่างดี


ขั้นที่ 3.ความต้องการทางสัมพันธภาพ ความต้องการขั้นนี้เริ่มไม่ค่อยเกี่ยวโดยตรงกับร่างกายแล้ว แต่เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมนั้นไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ย่อมกลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวการอยู่เพียงลำพัง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องการความรักและมิตรภาพ


เพื่อน คู่รัก ครอบครัว ชุมชน จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบรับความต้องการขั้นที่สาม


มีข้อคิดบางประการเกี่ยวกับ "เงิน" ที่ผมพูดไว้ในข้อที่แล้ว พอมาถึงขั้นนี้เราอาจเห็นได้ว่าเงินชักจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นนี้ได้ครบถ้วนแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าเขาเคยใช้เงินซื้อเพื่อนหรือคนรักได้ แต่เชื่อผมเถิด ถ้ามันจะซื้อได้จริงๆ มันก็คงได้แค่เพียงผิวเผินชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ลองดูขั้นต่อไปเรื่อยๆ สิครับว่า เงินซื้อได้หมดไหม


ขั้นที่ 4.ความต้องการยอมรับนับถือ ในขั้นนี้มาสโลว์ยังแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปรารถนาการนับถือตนเอง ต้องการมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความความสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ฟังๆ ดูแล้วมนุษย์นี่ช่างเรื่องมากดีแท้ๆ ส่วนแบบที่สองคือ ปรารถนาได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น ก็พวกเกียรติยศชื่อเสียงนั่นแหละครับ


มาถึงขั้นนี้แล้วมองดูผ่านๆ บางคนอาจจะบอกว่าเงินก็ยังน่าจะมีอำนาจซื้อได้อยู่นะไอ้เกียรติ ยศ และสรรเสริญนี่ ไม่รู้สิครับผมว่าสังคมเขารู้นะครับว่าอันไหนซื้ออันไหนไม่ซื้อ ที่สำคัญหากซื้อมาได้จริงมันก็แค่หลอกคนอื่นได้ คนเรามันหลอกตัวเองได้ที่ไหนกัน สุดท้ายแล้วในใจลึกๆ ก็ยังขาดการยอมรับนับถือตัวเองอย่างที่มาสโลว์บอก


ขั้นความต้องการยิ่งสูง เงินก็ยิ่งหมดความหมายไปเรื่อยๆ ว่าไหมครับ ลองอ่านขั้นสุดท้ายของความต้องการของมนุษย์ดูก็ได้


5.ความต้องการในอุดมคติแห่งตน ฟังยากอีกแล้วครับ ภาษาฝรั่งที่มาสโลว์ว่าไว้คือ SELF ACTUALIZATION NEED แปลกันไว้หลายสำนักเสียด้วย สำนักหนึ่งแปลว่า คือความต้องการความสำเร็จตามความนึกคิดของตนเอง อีกสำนักหนึ่งแปลว่า ความต้องการความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ ฯลฯ


ขออนุญาตอธิบายดังนี้ดีกว่าครับ


สิ่งที่คานธีทำในประเทศอินเดียจนคนทั้งโลกต้องหันมามอง สิ่งที่แม่ชีเทเรซ่าทำจนโลกต้องค้อมหัว ความรู้ที่เปรียบดั่งกุญแจไขจักรวาลที่ไอน์สไตน์ค้นพบ การช่วยชีวิตสัตว์ป่าให้ได้อยู่ในธรรมชาติอย่างอิสระของคุณสืบ นาคะเสถียร การทำงานโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยของอาสาสมัครในวิกฤตการณ์สึนามิ ฯลฯ มนุษย์เหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อสนองความต้องการทั้งสี่ขั้นต้นนั่นเลย


อุดมคติเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึง


เงินไม่มีค่าอันใดเลยสำหรับความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์ตามทฤษฎีของมาสโลว์

…………………..


เรื่องที่สอง เรื่องเล่าจากหอไอเฟล เรื่องนี้สั้นๆ และเบาๆ ครับ


ระหว่างที่กำลังสร้างหอไอเฟลที่กรุงปารีสอยู่นั้น มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกทำสกู๊ปสัมภาษณ์คนงานที่กำลังก่อสร้างหอ เพื่อนำมาลงหนังสือพิมพ์ให้เห็นถึงบรรยากาศการก่อสร้าง แต่ละคนก็ให้ความเห็นและบอกเล่าความรู้สึกแตกต่างกันออกไป


มีอยู่สามคนที่มีการนำมาอ้างถึงในปัจจุบัน เมื่อมีการพูดคุยกันว่าคนเรานั้นทำงานเพื่ออะไร


คนแรกให้สัมภาษณ์ว่า "ก็ทำงานไปวันๆ พอยาไส้ ถึงเวลาเลิกงาน ถ้าได้เหล้าสักเป๊กสองเป๊กแก้ปวดเนื้อปวดตัวก็พอใจแล้ว"


คนที่สองให้สัมภาษณ์ว่า "ครอบครัวของผมห้าปากห้าท้องต้องอาศัยรายได้จากงานนี้ ผมทำงานด้วยความตั้งใจอย่างสูง หัวหน้าก็คงมองเห็นความขยันของผมแล้ว ผมคิดอย่างนั้น และอีกไม่นานบริษัทก็คงขยับหน้าที่การงานผมให้สูงขึ้น"


คนที่สามให้สัมภาษณ์ว่า "ผมกำลังสร้างหอเหล็กที่สูงที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา เมื่องานนี้สำเร็จคนทั้งโลกจะต้องได้ยินชื่อและเดินทางมาดูมัน ผมภาคภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในวิศวกรรมอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผมและวงศ์ตระกูล"


คนหนึ่งทำเพื่อทน


คนหนึ่งทำเพื่อทำ


คนหนึ่งทำเพื่อธรรม




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2551    
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 0:34:56 น.
Counter : 587 Pageviews.  

WORK H-A-R-D กับ WORK S-M-A-R-T

WORK H-A-R-D กับ WORK S-M-A-R-T


 (อาภรณ์ ภู่วิทยพันธ์ arporn_p@nationgroup.com คอลัมน์ งานกับคน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ศุกร์ 4 มี.ค. 48 โฆษณาย่อย หน้า 11)


คุณมีสไตล์หรือรูปแบบการทำงานเป็นแบบไหน มาทำงานเช้า กลับบ้านดึก หรือทำงานเสาร์-อาทิตย์อยู่เป็นประจำ


คุณมีวิถีการทำงานเป็นแบบนี้หรือไม่ แล้วคุณพอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มากน้อยแค่ไหน


หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการทำงานหนัก หรือ Work Hard เป็นการทำงานที่น่ายกย่อง เพราะคุณได้อุทิศตน และทุ่มเทการทำงานอย่างจริงใจให้กับองค์การที่คุณอยู่ ได้รับการชื่นชมจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน และคนที่คุณเกี่ยวข้องด้วย และสิ่งที่คุณคาดหวังจากการทำงานหนักนั่นก็คือ ผลการทำงาน หรือ Performance ที่ดีจนได้รับการวัดและประเมินผลงานจากหัวหน้างานในระดับที่คุณพอใจ


โดยส่วนใหญ่คนที่ทำงานหนักมักจะชอบหรือพอใจให้บุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยต้องทำงานหนักเหมือนกับตนเอง ยกย่องและยอมรับ ว่าการทำงานดึกดื่น หรือนำเอางานกลับไปทำที่บ้านในช่วงวันหยุด เป็นการทำงานที่ทุ่มเทแบบสุดๆ ถ้าคุณเป็นลูกน้องและมีหัวหน้างานชนิดที่ว่านี้ คุณมักจะได้รับความพอใจและได้รับการประเมินผลงานว่าคุณเป็นคนขยันทำงาน มีความรับผิดชอบและอุทิศตนให้กับบริษัทอย่างจริงใจ


 แล้วทำไมคุณต้องเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพวก Work Hard – การทำงานหนักของแต่ละคนจะมีหลากหลายสาเหตุที่แตกต่างกันไป ดังนี้


ว่างมากเกินไป ไม่รู้จะไปไหน เหตุเพราะเป็นคนมีเพื่อนน้อย


หรือเป็นกลุ่มคนโสด คิดแต่เพียงว่ากลับบ้านก็ไม่มีอะไรจะทำ อยู่ทำงานที่ออฟฟิศจะดีกว่า หากคุณเป็นลูกน้องและมีหัวหน้างานที่คิดแบบนี้ คุณอาจจะติดนิสัยของการทำงานหนักตามอย่างหัวหน้างานของคุณเอง ไม่ยอมปล่อยวาง คิดแต่เพียงว่าอยากจะสะสางงานให้เสร็จในวันนี้ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องเครียด


ซึ่งงานบางอย่างคุณอาจจะปล่อยวางและเก็บไว้ทำในวันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่คุณกลับไม่ต้องการเพราะความอยากที่จะทำ แต่อาจจะไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ จิตฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ การทำงานที่ขาดสมาธิ ปล่อยให้จิตคิดเรื่องโน้นที เรื่องนี้ที แน่นอนว่างานคงจะไม่เสร็จหรือเสร็จช้า ไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เป็นเหตุให้คุณจะต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ แบบไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวัน บริหารเวลา/งานไม่เป็น คนบางคนมาทำงานแต่เช้า กลับบ้านเที่ยงคืน หรือต้องนำงานไปทำที่บ้าน เหตุเพราะไม่รู้จักบริหารเวลา และจัดเรียงลำดับความสำคัญของงาน งานบางอย่างอาจมอบหมายให้คนอื่นช่วยทำ แต่คุณกลับมาทำเอง หรืองานบางอย่างเพียงแค่เปลี่ยนขั้นตอนการทำงาน ก็สามารถทำให้เสร็จได้ในเวลาที่รวดเร็ว ปริมาณงานมีมากเกินไป


คนบางคนต้องทำงานหนักเนื่องจากรับผิดชอบงานมากเกินไป ปริมาณงานที่หัวหน้างานให้นั้นมากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น หรือที่เรียกว่า Work Load และหากคุณเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้คุณควรพูดคุยกับหัวหน้างาน แจ้งถึงปริมาณงานที่คุณต้องรับผิดชอบ และผลเสียที่เกิดขึ้นหากหัวหน้างานไม่รีบแก้ไข แต่ที่สำคัญหัวหน้างานจะต้องเปิดใจรับฟังและร่วมกันแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ Work Load ที่เกิดขึ้น คุณพอใจกับการทำงานหนัก หรือการเป็นคน "บ้างาน" มากน้อยแค่ไหน คุณมีความสุขกับการทำงานหนักแบบทุ่มเทจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว เพื่อนฝูง และชีวิตส่วนตัว นี้หรือไม่ คุณรู้ไหมว่าคนกลุ่มนี้มักจะมีคุณภาพชีวิตไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ จะหงุดหงิดง่าย เครียดหรือวิตกกังวลเกินไป บางคนถึงขนาดเป็นไมเกรน เป็นโรคจิตหรือโรคประสาทไป บางคนรับสภาพแบบนี้ไม่ไหวเพราะไม่มีเวลาพักผ่อนหรือไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง จึงเป็นเหตุให้รู้สึกเบื่อหน่ายงาน เบื่อหน่ายชีวิต มองโลกในแง่ร้าย และรู้สึกไม่ชอบหรือไม่รักงานที่ทำอยู่ และในที่สุดก็จะลาออกจากหน่วยงานและองค์การนั้นๆ ไป การทำงานหนักนั้น เป็นรูปแบบการทำงานเพื่อให้มีผลผลิตหรือผลลัพธ์เกิดขึ้น แต่ผลงานที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องได้มาจากการทำงานหนักก็เป็นได้


คุณเคยเห็นหรือไม่ว่า บางคนมาทำงานเช้า แต่กลับบ้านตรงเวลา วันเสาร์หรืออาทิตย์ไม่ได้มาทำงาน ไม่ค่อยจะนำงานกลับไปทำที่บ้าน แต่ผลงานออกมาดีหรือดีกว่าคนที่ทำงานหนักเสียอีก


รูปแบบการทำงานของกลุ่มหลังนี้จะเรียกว่าเป็นการทำงานแบบชาญฉลาด หรือ Work Smart


การทำงานแบบ Work Smart นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณลักษณะของคนที่ทำงานอย่างชาญฉลาดนั้น จะมีลักษณะดังต่อไปนี้


Smile – ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ยิ้มรับกับปัญหาและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น มองปัญหาเป็นสิ่งท้าทาย ไม่ตีโพยตีพายจนขาดสติ และสภาพจิตที่ดีนี้เองจะส่งผลต่อไปยังสมาธิ รู้ว่าควรจะทำอะไรและไม่ควรทำอะไรในสถานการณ์ใด


Manage – คนที่ทำงานอย่างชาญฉลาดต้องรู้จักการจัดการ หรือการบริหารงานของตนเอง รู้ว่าอะไรคืองานด่วนที่ต้องเร่งทำก่อน รู้ว่าควรจะใช้ทรัพยากรอย่างไรให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด รู้จักบริหารเวลาให้กับงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง และการให้เวลากับตัวเอง


Analyze – คนทำงานเก่ง จะต้องสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์และแยกแยะถึงผลที่จะเกิดขึ้นได้ รู้ว่าเลือกทำสิ่งนี้ จะเกิดอะไรขึ้น หรือไม่เลือกแนวทางนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร คนที่วิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำจะส่งผลให้งานที่ส่งมอบไม่ผิดพลาด โดยไม่ต้องเสียเวลาแก้ไขปรับปรุงงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า


Recognize – ตระหนักและยอมรับความสามารถหรือศักยภาพของตนเอง โดยตระหนักว่าเรามีความรู้ ทักษะ และความสามารถอย่างไรที่จะบริหารหรือจัดการงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่หัวหน้างานมอบหมายให้ทำ รวมถึงตระหนักถึงความสามารถของคนอื่นที่คุณเองสามารถมอบหมายงานให้ดูแลรับผิดชอบแทนคุณได้


Train – หากคุณตระหนักว่าเพื่อนร่วมงาน หรือสมาชิกในทีมสามารถช่วยเหลืองานของคุณเองได้แล้วล่ะก็ คุณควรฝึกฝนสมาชิกในทีม หรือลูกน้องให้มีความสามารถในการบริหารจัดการงาน โดยการสอนงาน การให้คำปรึกษาในการทำงาน หรือหากคุณเป็นหัวหน้างานคุณสามารถส่งลูกน้องไปฝึกอบรมตามสถาบันที่จัดอบรม เพื่อฝึกฝนทักษะของทีมงานให้สามารถรับผิดชอบงานบางอย่างที่คุณต้องการได้


การทำงานให้ประสพผลสำเร็จ มิใช่เพียงแค่ทำงานหนักกว่าคนอื่น การนำเอางานกลับไปทำที่บ้านในวันหยุด แต่คนทำงานที่เก่งจริงนั้นจะต้องรู้จักบริหารตนเองให้ทำงานอย่างชาญฉลาด เพื่อให้คุณมีเวลาที่นอกเหนือจากการทำงานแล้ว ยังมีเวลาส่วนหนึ่งให้กับครอบครัว เพื่อนๆ และตัวคุณเอง


--------------------------------------------------------------------------------






Free TextEditor




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2551    
Last Update : 7 ธันวาคม 2551 0:02:47 น.
Counter : 524 Pageviews.  

love songs




(Where Do I Begin) Love Story - Andy Williams









Perry Como - For The Good Tim - Perry Como




Moon River - Andy Williams






The Way We Were - Barbra Streisand

Memories,
Like the corners of my mind
Misty water-colored memories
Of the way we were
Scattered pictures,
Of the smiles we left behind
Smiles we gave to one another
For the way we were
Can it be that it was all so simple then?
Or has time re-written every line?
If we had the chance to do it all again
Tell me, would we? could we?
Memories, may be beautiful and yet
Whats too painful to remember
We simply choose to forget
So its the laughter
We will remember
Whenever we remember...
The way we were...
The way we were...












 

Create Date : 06 ธันวาคม 2551    
Last Update : 6 ธันวาคม 2551 14:42:49 น.
Counter : 681 Pageviews.  

อยากให้รู้ว่ารักเธอ through my way

อยากให้รู้ว่ารักเธอ - Mai ใหม่



มาแล้วครับ ร่างจดหมายแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยฉบับภาษาอังกฤษ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7247441/P7247441.html

ดึงไว้อย่าให้ตก: ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้ต่างชาติแถลงการณ์ประนามพันธมิตร ตอนนี้ 10 ชื่อแล้วครับ ยังต่อได้เรื่อยๆ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7247785/P7247785.html

ขอบคุณทุกๆ ท่านที่มาร่วมลงชื่อครับ ตอนนี้ 52 ชื่อแล้ว ลงนามเพื่อให้โลกประนามพันธมิตรครับ เปิดถึงสิ้นเดือนนี้ครับ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7248292/P7248292.html

ร่วมลงนามเพื่อส่งเสียงให้ประชาคมโลกประนาม พธม. เกือบ 300 เสียงแล้วครับ ยังมาลงชื่อกันได้เรื่อยๆ ครับ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7249438/P7249438.html

ขอบคุณทุกๆท่านจากใจจริงครับ ทะลุ 500 ชื่อแล้วในเวลาไม่ถึงวัน เชิญมาร่วมลงนามต่อได้ครับ ขออย่างต่ำหลักพันครับ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7253357/P7253357.html

650 กว่าชื่อแล้วครับ ขออภัยที่หายไปนานครับ ตอนนี้ร่างจดหมายคำร้องใหม่อยู่ครับ ร่วมลงชื่อได้เรื่อยๆ ครับ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7258498/P7258498.html

เนื่องจากกระทู้ตกเร็วมาก ผมขออัพเดทกระทู้ลงชื่อสนับสนุนการส่งแถลงการณ์สู่ประชาคมโลก ประณามพันธมิตร ทุกๆ 2-3 ชั่วโมงครับ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7260461/P7260461.html

700 ชื่อแล้วครับ มีเวลาอีก 2 วันก่อนผมจะนำแถลงการณ์ออกส่ง เชิญลงชื่อต่อได้ที่นี่ครับ
//www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7262284/P7262284.html

=======================================================================



And now, the end is near,
And so I face the final curtain.
My friends, I'll say it clear;
I'll state my case of which I'm certain.

I've lived a life that's full -
I've travelled each and every highway.
And more, much more than this,
I did it my way.

Regrets? I've had a few,
But then again, too few to mention.
I did what I had to do
And saw it through without exemption.

I planned each charted course -
Each careful step along the byway,
And more, much more than this,
I did it my way.

Yes, there were times, I'm sure you knew,
When I bit off more than I could chew,
But through it all, when there was doubt,
I ate it up and spit it out.
I faced it all and I stood tall
And did it my way.

I've loved, I've laughed and cried,
I've had my fill - my share of losing.
And now, as tears subside,
I find it all so amusing.

To think I did all that,
And may I say, not in a shy way -
Oh no. Oh no, not me.
I did it my way.

For what is a man? What has he got?
If not himself - Then he has naught.
To say the things he truly feels
And not the words of one who kneels.
The record shows I took the blows
And did it my way.

Yes, it was my way.





Free TextEditor





//www.imeem.com/franksinatra/music/83DWH8Kb/frank_sinatra_my_way/




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2551    
Last Update : 6 ธันวาคม 2551 14:24:22 น.
Counter : 586 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

drunkcat
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




กตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว ในที่สุดองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใกล้จะถึงวาระที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๔ อสงไขยกับแสนกัป ควรจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

ในวันหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ก็ทรงพบเด็กเกิดใหม่ วันต่อมาทรงพบคนแก่ คนป่วย แล้วก็คนตาย วันสุดท้ายทรงพบสมณะ

ความจริงเวลานั้นพระที่แต่งตัวแบบนี้ ไม่มีในโลก แต่ว่าเทวทูตทั้ง ๕ ที่เรียกกว่า เทวทูต คือ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนป่วยก็ดี คนตายก็ดี พระก็ดี ที่ปรากฏกับสายพระเนตรขององค์สมเด็จพระชินสีห์ เมื่อยังเป็นสิทธัตถะราชกุมาร ท่านบอกว่า เวลานั้นเทวดาแสดงขึ้นให้ปรากฏ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเห็นคนเกิดยังเด็กเล็ก แล้วต่อมาพบคนแก่ แล้วก็พบคนป่วย แล้วก็พบคนตาย น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า

"โลกนี้ทุกข์หนอ ไม่มีอะไรเป็นสุข หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้"

ต่อมาวันสุดท้าย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเห็นสมณะวิสัยก็เข้าใจว่าทางนิพพานมีอยู่ ทางนี้เป็นทางสิ้นทุกข์ เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูจึงได้ตัดสินพระทัยออกบวช นี่ขอเล่าลัดๆ นะ แต่ความจริงเรื่องนี้ยาวมาก
Friends' blogs
[Add drunkcat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.