WALK IN DREAM'S on the way to no I
Group Blog
 
All blogs
 

"ผมเป็นได้อย่างที่เป็น และจะพยายาม"....// 17ปีของเรากับคุณสืบ นาคะเสถียร

Let my thoughts come to you ,
when I’m gone ,
like the afterglow of sunset
at the margin of starry silence.

ขอให้ความคิดคำนึงของฉัน
ย้อนมาเยือนเธอแม้เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว
ดุจแสงค้างฟ้าของอาทิตย์อัสดง
สะท้อนสู่แดนสงบตรงที่ดาวเริ่มปรากฏดวง
/ รพินทรนาถ ฐากูร





คุณสืบ กับ เรา
เราไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกัน, เราไม่ได้ทำงานเหมือนคุณสืบ, เราไม่อาจทำเหมือนเขาได้ ...แต่เขาอยู่ในใจเรามาตลอด 17 ปี

สืบ นาคะเสถียร นักอนุรักษ์ที่มอบชีวิตให้กับหน้าที่ และ ใช้ลมหายใจสุดท้าย เป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน

.....ความตายของเขาคือจุดเริ่มต้นให้รู้จักคนชื่อนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้คนทั่วไปหันไปสนใจชีวิตนักอนุรักษ์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การได้รับยกย่องเป็นมรดกโลกของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เป็นดั่งตำนานของประเทศ)
..........................................................................

จำได้ว่า ตอนม.3 แอบนั่งน้ำตาซึมในชั่วโมงเรียน
หลังจากได้อ่านข่าว"นักอนุรักษ์ท่านหนึ่งยิงตัวตายอย่างเดียวดายที่บ้านพักในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง"

วันนั้นได้คุยกับหลายๆเสียง บางคนบอกเราด้วยสีหน้าเหยียดๆว่า

"คนแบบนี้อ่อนแอนะ...ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อจะทำประโยชน์ให้โลกได้มากกว่านี้"

บางคนก็ว่าเขา"ปล่อยให้ความเครียดเข้าครอบงำจนคิดสั้น"
^
^
^

ใช่....ประโยคพวกนี้ไม่มีใครกล้าเถียงหรอก เพราะมันอาจถูกต้อง ถ้าใช้แค่สมองด้านซ้ายคิด

แต่ประโยคพวกนี้ ทำให้เราโมโห...โมโหตัวเองที่หาคำพูดดีๆมาโต้แย้งไม่ได้ และก็โมโหรากเหง้าความชั่วร้ายบางอย่างในโลกใบนี้ ที่คนโชคดีอย่างเราไม่ได้เจอะเจอกับตัวเอง แต่รู้แค่ว่า มันเป็นสาเหตุให้คนดีหลายๆคนในโลกนี้ต้องตายไป(ไม่ว่าจะเป็นความตายที่ถูกยัดเยียด หรือ จำต้องเลือกด้วยตัวเอง )

เราว่ามันอหังการเหลือรับ กับคนที่วิจารณ์ว่าเขาอ่อนแอ ทั้งๆที่...

....ไม่ได้อยู่ในหน้าที่รับผิดชอบอย่างเขา ที่ต้องทุ่มชีวิตดูแลป่าใหญ่ด้วยงบการดูแลแค่ไร่ละ 83 สตางค์

....ไม่ได้สัมผัสชีวิตจริงของการทำงานในสายที่ใครๆในประเทศไม่ค่อยเหลียวแล

....ไม่ได้ต้องพยายามอย่างเหน็ดเหนื่อยในการเก็บข้อมูลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเพื่อนำเสนอให้เป็นมรดกโลกเพื่อให้ทั่วโลกหันมาสนใจ และง่ายขึ้นต่อการดูแลรักษาไว้เป็นปอดของประเทศไทย

....ไม่ได้อดหลับอดนอนและทำงานวันละ16 ชั่วโมงเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะจมน้ำตายเพราะการสร้างเขื่อน ไม่ได้ต้องสูญเสียชีวิตของลูกน้องไปในการติดตามล่าพวกลักลอบตัดไม้และค้าสัตว์ป่า

หากคุณไม่เคยทุ่มเทชีวิตเพื่อหน้าที่อันยากลำบากได้อย่างเขา ควรหรือที่จะเสียมารยาทไปวิจารณ์กันด้วยคำพูดและสีหน้าอย่างนั้น


คนจริงจังในหน้าที่บางคน ยอมตาย
ดีกว่าจะมีชีวิตต่อไปโดยที่สุดท้ายตัวเองก็จะหมดแรง และถูกกลืนไปกับกระแสของโลกที่มันไหลเชี่ยวและไม่สามารถฉุดรั้งบางอย่างที่ตนยึดถือไว้ได้
เพราะความตาย (ของบางคน ในบางสถานการณ์) อาจมีเสียงอันดังยิ่งกว่าการมีชีวิต

..........................................................................

มี ศจ.เพื่อนร่วมงานด้านการอนุรักษ์ท่านหนึ่งบอกคุณสืบว่า "บางครั้ง เราควรถอยออกมาจากสิ่งที่รักบ้าง"
คุณสืบตอบว่า "ผมเป็นได้อย่างที่เป็นเท่านั้น และผมจะพยายามต่อไป"

.
.
.

ตัวเราในวัยมัธยมสาม ...

เรื่องราวของคุณสืบ เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลือกเอนท์ คณะวนศาสตร์ ในปีต่อมา(สมัยนั้นยังมีการสอบเทียบอยู่) แต่สุดท้าย เหมือนมีอะไรมาบอกว่านี่ยังไม่ใช่ทางของเรา
สุดท้ายเราก็ใช้เวลาตัดสินใจถึงม.6 มาเข้าคณะแพทย์ซะแทน คิดเอาเองว่าน่าจะเป็นเครื่องมือที่เอนกประสงค์กว่า

ในวันนี้ แม้เราไม่ขอเลือกจะเป็นแพทย์ในสายที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งยืนยาวที่สุด หรือ สมบูรณ์ที่สุด
อย่างน้อยเราก็ยังนับถืออาชีพนี้อยู่เสมอ และพยายามไม่ให้มันด่างพร้อย(ถึงแม้บางครั้งจะพ่ายต่ออารมณ์ไปบ้าง)
เพราะมันทำให้เราดูแลครอบครัวได้ง่ายขึ้นในหลายๆด้าน
ทำให้คนค่อนข้างหลุดโลกอย่างเรา ยังคงความสัมพันธ์กับผู้คนในแบบที่ยังสามารถเอื้อประโยชน์ทางกายหรือทางใจให้เขาได้
ทำให้เราระลึกไว้เสมอว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม

และได้เข้าใจว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่การมีร่างกายที่สวยงามสมบูรณ์กว่าคนอื่นๆหรือการได้อยู่ค้ำฟ้าแต่อยู่ที่การได้ค้นพบสิ่งที่กำหนดความเป็นมนุษย์ของเรา

ซึ่งคุณค่าของมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับขวบปีที่มากหรือน้อยในการค้นพบ บางคนสามารถฝากอะไรไว้ให้กับโลกในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนตาย

สำคัญที่คนคนนั้นจะพบมัน หรือ ไม่พบ

และอาชีพนี้ ;ท่ามกลางหมู่คนมากมายในโลกที่ห่วงกังวลถึงร่างกาย ความสวยงาม อายุขัย ความเจ็บป่วยของตัวเอง และ คนที่ยึดยื้ออย่างเต็มที่ ..เพื่อให้ตัวเองและคนที่รัก ได้มีลมหายใจต่อไปในโลก(โดยที่บางคนไม่ทันได้คิดเลยว่า ยืดเวลาของชีวิตต่อได้แล้วจะทำอะไรหรือ )

......ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงใหล และนับถือนักสู้ที่กล้าเลือกที่ตายให้กับตัวเองแบบนี้

และความหลงใหลคนเช่นนี้ เป็นแรงคอยฉุดเรากลับมาเสมอในช่วงเวลาที่จิตวิญญาณของตัวเองเริ่มหายไปในกระแสสังคม



...จริงอยู่ว่า หากเรามองในมุมของคนที่ยังต้องอยู่ในโลก อย่างครอบครัวของคุณสืบ ที่ขาดเสาหลักไป
คุณสืบ อาจดูเห็นแก่ตัว ที่ละทิ้งครอบครัวไว้
แต่ก็คล้ายกับหนทางของพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ ที่ทำสิ่งที่ตนเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ในช่วงที่มีชีวิตอยู่
จากนั้นก็ละทิ้งบางสิ่งไป เพื่อให้อีกสิ่งได้เติบโต

..........เพียงแต่ สิ่งที่คุณสืบทิ้งไป คือชีวิตของตนเอง



เราเชื่อว่า สิ่งที่คุณสืบได้ทำไว้อย่างเต็มที่ในช่วงที่มีชีวิต กับความตายที่ส่งเสียงดังในวันนั้น ยังคงเป็นพลังบางอย่าง บางความหมาย ให้กับคนมากมายหลายๆคน รวมทั้งเราด้วย

ดังนั้น ถ้ามีโอกาสได้พบครอบครัวของคุณสืบ
เราอยากจะบอกว่าคุณสืบ ทิ้งอะไรไว้ในใจคนตัวเล็กๆอย่างเรามากมายขนาดไหน


17 ปีผ่านมา หลังจากได้อ่านเรื่องของคุณสืบใน national geo’ฉบับ ก.ย.49 อีกครั้ง ได้ทำให้เรามานั่งคิดด้วยวัยที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นว่าแทนที่จะเสียน้ำตาให้เขา ทำไมเราไม่เริ่มต้นทำอะไรที่เป็นการสืบทอดสิ่งที่คนๆนี้พยายามเอาไว้บ้าง

ทำในแบบที่ตัวเราทำได้ ค่อยๆเริ่มคิดเท่าที่ความสามารถมีในตอนนี้
บางทีเราอาจจะเป็นเมล็ดพันธุ์เล็กๆที่มีโอกาสเติบใหญ่ต่อไปก็ได้
-----------------------------------------------------------


สืบ นาคะเสถียร เกิดวันที่ 31 ธ.ค.2492 ที่อ.เมือง ปราจีนบุรี

จบการศึกษาจากคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์
เข้ารับราชการที่กรมป่าไม้ ปี2518

งานแรกของคุณสืบเริ่มที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว เขาชมภู่ จ.ชลบุรี หน้าที่ผู้รักษากฎหมาย การจับกุมผู้บุกรุกทำลายป่าและการต้านอิทธิพลมืด ทำให้เขาตระหนักว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ซื่อสัตย์นั้นเจ็บปวดเพียงใด

หลังทำงานได้ 3-4ปี ก็ได้รับทุนไปเรียนปริญญาโทสาขาอนุรักษ์วิทยาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน
ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระ และขอย้ายตัวเองเข้ามาเป็น นักวิชาการกองอนุรักษ์สัตว์ป่า ทำหน้าที่วิจัยสัตว์ป่า
ในช่วงนี้ คุณสืบผลิตงานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่า และสภาพนิเวศของป่าห้วยขาแข้งและป่าทุ่งใหญ่นเรศวร


"ผมหันมาสนใจงานวิจัยมากกว่าที่จะวิ่งไปจับคน เพราะรู้ว่าจับได้แต่คนตัวเล็กๆ ตัวใหญ่ๆจับไม่ได้ ก็เลยอึดอัดว่ากฎหมายบ้านเมืองนั้นใช้ไม่ได้กับทุกคน"

ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าโครงการอพยพช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ตกค้างในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเกิดน้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ฯ

ดร.อแลน ราบิโนวิทซ์ (นักวิจัยชาวสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้ามาทำวิจัยเกี่ยวกับสัตว์นักล่าในป่าห้วยขาแข้งขณะนั้น ; ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยของสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าWCS)เป็นผู้มีประสบการณ์ในการอพยพสัตว์ป่า คุณสืบจึงชักชวนให้มาทำงานอพยพร่วมกัน

ดร.เคยกล่าวถึงคุณสืบไว้ว่า
การพยายามที่จะช่วยเหลือสัตว์ที่ติดค้างอยู่ตามเกาะเล็กๆตามอ่างเก็บน้ำนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ผมเห็นคุณสืบทำงานวันละ16 ชั่วโมง อุ้มชะนีขึ้นจากน้ำ ย้ายงูขึ้นฝั่งแผ่นดิน ช่วยกวางป่าให้ว่ายน้ำขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมคิดว่าการพยายามเหล่านี้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่คุณสืบกลับคิดว่า ถ้าเขาช่วยชีวิตสัตว์เพิ่มขึ้นได้อีกตัวหนึ่ง ก็เป็นการพยายามที่มีค่าแล้ว

....ในระหว่างการช่วยเหลือสัตว์ เมื่อมีสัตว์ตัวหนึ่งตาย ผมมองใบหน้าชายร่างสูงผู้มีบุคลิกขรึมผู้นี้ สีหน้าของเขาราวกับจะตายไปพร้อมกับสัตว์ตัวนั้น และเขาก็ทำงานหนักขึ้นเพื่อช่วยชีวิตสัตว์ต่อไป


อพยพสัตว์ป่าจมน้ำ


งานอพยพสัตว์ป่าที่เขื่อนเชี่ยวหลาน ทำให้คุณสืบตระหนักว่า ลำพังงานวิชาการย่อมไม่อาจหยุดยั้งกระแสการทำลายป่าและสัตว์ป่าอันเป็นปัญหาระดับชาติและโลกได้

ดังนั้นเมือเกิดกรณีรัฐบาลวางโครงการจัดสร้างเขื่อนน้ำโจนในบริเวณป่าทุ่งใหญ่นเรศวร คุณสืบจึงโถมตัวเข้าคัดค้านอย่างเต็มกำลัง
เขารีบเร่งทำรายงานผลการอพยพสัตว์ป่าจากเขื่อนเชี่ยวหลาน เพื่อบอกเล่าให้สาธารณชนรับรู้ว่าเป็นความพยายามที่เกือบจะไร้ผลโดยสิ้นเชิง เขายืนยันว่าการสร้างเขื่อนได้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ แหล่งอาหาร ตลอดจนที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอย่างรุนแรง กระทั่งความช่วยเหลือของมนุษย์ก็ไม่อาจชดเชยได้เลย

คุณสืบมุ่งมั่นผลักดันคัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน โดยทุกครั้งที่ขึ้นเวทีอภิปราย เขามักขึ้นต้นบทสนทนาด้วยคำพูดที่ว่า "ผมขอพูดในนามของสัตว์ป่า"

...ในที่สุด ด้วยการรวมพลังของกลุ่มนักอนุรักษ์ต่างๆ โครงการสร้างเขื่อนน้ำโจนจึงถูกระงับไป

ทว่าคุณสืบไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น กรณีเขื่อนน้ำโจนกลายเป็นบทเริ่มต้นความพยายามของเขาในการเสนอให้ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและป่าห้วยขาแข้งมีฐานะเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยเล็งเห็นว่าฐานะดังกล่าวจะเป็นหลักประกันสำคัญที่จะปกปักรักษาป่าผืนนี้ไว้ได้อย่างถาวร

ปลายปี 2532 คุณสืบได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษ พร้อมกับได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

...หากเป็นคนทั่วไปก็คงเลือกรับทุนเรียนต่อเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่คุณสืบยอมทิ้งอนาคตส่วนตัวและตัดสินใจรับตำแหน่ง แม้จะรู้ดีว่าหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยความยากลำบากนานัปการ

ป่าห้วยขาแข้งเป็นผืนป่าที่อุดมไปด้วยพรรณไม้และสัตว์ป่าล้ำค่า ทำให้หลายฝ่ายต่างก็จ้องบุกรุกทำลายหาผลประโยชน์

ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับงานตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง คุณสืบแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งที่จะรักษาป่าผืนนี้ไว้

"ผมมารับงานที่นี่โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน"

ปี 2533 งบประมาณการดูแลพื้นที่ ได้ไม่ถึงไร่ละหนึ่งบาท
คุณสืบและคณะ พยายามปกป้องห้วยขาแข้งอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการบุกรุกของกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ได้
การดูแลผืนป่ากว่าล้านไร่ด้วยงบประมาณและกำลังคนที่จำกัด กลายเป็นภาระอันหนักอึ้งที่อยู่บนบ่า

บ่อยครั้งที่การปฏิบัติหน้าที่ เป็นการเสี่ยงต่อชีวิต และการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกน้อง ทำให้เขายิ่งเหนื่อยล้า ถึงกับประกาศว่า "ถ้าจะมีคนตายอีก ต่อไปต้องเป็นผม"

เตรียมรับมือ

"คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมอยากให้เข้าไปเห็น เข้าไปรู้ ถ้าจะแก้ปัญหารถเมล์ในเมืองไทย คุณไปนั่งรถเมล์ดูเลย ถ้าจะรักษาป่า ต้องรู้ว่าพวกในป่าเขาลำบากอย่างไร เข้าไปในป่าเลย ไปเดินป่ากับผม ไปจับผู้ต้องหากับผม
ต้องเข้าใจว่าการรักษาทรัพยากรพวกนี้ไม่ใช่พูดๆแล้วทำได้ คนร้ายมันพร้อมจะถูกจับ10ครั้ง โดนปรับแค่500 คุกก็ไม่ติด เป็นผม ผมก็เอา และถ้ามันหนักหนาก็ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ยิงก่อนไม่ได้ ถือว่าเกินกว่าเหตุ และผู้ต้องหามันเห็นหน้าเรา มันยิงใส่เรา แล้วเราก็ตาย เรามีค่าหรือ ตายไป อย่างดีก็เอาชื่อมาติดที่หน้าอนุสาวรีย์กรมป่าไม้"


เช้ามืดวันที่ 1 ก.ย.2533 คุณสืบตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง เพื่อให้เสียงปืนสะท้อนก้องไปทั่วผืนป่า

คุณสืบเขียนจดหมายสั่งลาไว้ 6 ฉบับ

"ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเองโดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ทั้งสิ้น
ผมคิดว่า ผมทำได้ดีที่สุดแล้วเท่าทีผมมีชีวิตอยู่
ผมคิดว่า ผมได้ช่วยเหลือสังคมดีแล้ว
ผมคิดว่า ผมได้ทำตามกำลังของผมดีแล้ว
และ...ผมพอใจ ผมภูมิใจในสิ่งที่ผมทำ"


..........................................................................

ในการประชุมที่ตูนิเซีย ระหว่าง 9 ถึง 13 ธ.ค. 2534

ที่ประชุมมีมติยอมรับให้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ แห่งแรกในประเทศไทย


อ้างอิง: NG ฉบับ ก.ย. 49

*****เพื่อนๆพี่ๆน้องๆจ๋า วันนี้เก๋เข้ามาแปะblogก่อนน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตามไปเยี่ยมทุกคนค่า*********




 

Create Date : 02 มีนาคม 2550    
Last Update : 2 มีนาคม 2550 20:17:32 น.
Counter : 1536 Pageviews.  

เกาะติดชิวิตหลังสงครามของเซนต์แห่งอาเทน่า#1 // และก็ FANDOM TAG

เหล่าเซนต์แห่งอาเทน่า ทุกวันนี้พวกเขายังคงปฎิบัติภารกิจเพื่อโลกค่ะ


SHUN

เดินสายทั่วเอเซีย และกำลังโกโกอินเตอร์จนหุ่นเพรียว

ไม่ใช่เป็นนักร้องไอด้อลนะ แต่ชุนกำลังเดินสายเพื่อขยายงานของ ชมรมนักสืบสายน้ำ เพื่อสร้างนักสิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ที่เข้าใจปัญหาและรู้วิธีดูแลสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นบ้านเกิด




HYOGA

ปัจจุบันทำงานด้านการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก งานเขายุ่งมาก ต้องไปๆมาๆเพื่อสำรวจและดูแลปัญหาที่เกิดกับชีวิตสัตว์และระบบนิเวศธารน้ำแข็ง(?) แถบอาร์กติก ไปจนจรดแอนตาร์กติกแทบทุกสัปดาห์


ล่าสุด เขาอยู่เบื้องหลังหนังสารคดีตัวเต็งรางวัลออสการ์ MARCH OF THE EMPORRORS ภาคสอง ซึ่งจะขับเน้นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการใช้ชีวิตของเหล่าเพนกวินจักรพรรดิให้ชัดเจนขึ้นกว่าภาคแรก


[เครดิต :ใบปิดหนังสารคดี AN INCONVENIENT TRUTH]

แล้วพบกันเอนทรีหน้า ข้าพเจ้าจะมารายงานปฏิบัติการกู้โลกของเหล่าเซนต์ท่านอื่นต่อนะคร้าบ!!!!!
(วาดไม่ไหวแล้ว.... นี่ถ้าไม่มีblogก็คงไม่ได้วาดออกมานะเนี้ยย)

-----------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------

ช่วงนี้ติดไวรัสงอมแงม นอกจาก blogtag ระบาดแล้ว ตามด้วย fandom tag แถมตอนนี้ ไวรัสดองบล็อกก็ระบาดด้วย เราคงติดจากพี่ๆน้องๆแถวนี้แหละ ฮี่...
แบบว่าช่วงเดือนที่ผ่านมาถูกความเซ็งเข้าครอบงำค่ะ(บวกกับสมองด้านขวาเข้าครอบงำด้านซ้ายอย่างหนัก) เลยลางานไปเที่ยวมาน่ะค่ะ ตอนนี้กลับมาเซ็งต่ออย่างเดิมแล้ว(โอ้ละหนอ ชีวิตก็สุขสบายกว่าคนอื่นๆอีกมากมาย มันจะเซ็งอะไรนักหนาฟระ)

ได้รับ "fandom tag" จากปลา(reafre) และผึ้ง(shun)

Fandom tag คืออะไร...???

จริงๆแล้ว ที่ shun กะ reafre tag มา เน้นเรื่อง fandom Y ล่ะ
แต่เนื่องจาก...

-กลัวว่าเดี๋ยวไม่รู้จะtagต่อให้ใคร เนื่องจากเพื่อนในBLOGGANG นี่หาYแทบไม่เจอ 555
-จริงๆแล้วเรื่องที่เราเอามาจิ้นYได้อย่างบรรเจิดนั้น เป็นเพราะเราชอบส่วนประกอบอื่นๆในเรื่องด้วย
-ถ้าเน้นๆเรื่อง ที่กระตุ้นต่อมจิ้นY ของเรา มัน...มัน ...เยอะมากจนเกิด "BRAIN BLOCK" ไม่สามารถลำเอียงยกมาแค่บางเรื่องได้

ดังนั้น ขอกำหนดขอบเขตให้แคบลงมาเป็น fandom รวม ทั้ง Y และไม่ Y เลยละกันนะค้า


และขอเรียก tag กลายพันธุ์ นี้ว่า งานสร้างสรรค์ที่มีอิทธิพลกับโลกแห่งจินตนาการ(ขอเน้นด้าน"การวาด")ทั้ง"แนวปกติ" และ"แนวY" ของเรา ละกันนะค้า

ย้ำว่า เน้นงานการ์ตูนที่มีผลกับ การวาดรูป ของเรา นะคะ

1.สมัยเด็ก
สมัยที่สมองน้อยๆของเรารับอะไรเข้ามาได้มากมาย และการ์ตูนที่ตีพิมพ์ยังมีอยู่ไม่กี่เรื่อง แทบทุกเรื่องที่อ่านจึงมีอิทธิพลกับจินตนาการของเราได้หมด เวลาล่วงไปทุกวันนี้เรายังจำชื่ออ.ได้อยู่เลย (ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ จำชื่อนักวาดรุ่นใหม่แทบไม่ได้เลย)

- โดราเอมอน
- การ์ตูนสาวตาหวานสู้ชีวิต ; แคนดี้จอมใจจอมแก่น,จอมแก่นแก้วฮิเมโกะ,งานของอ.ยามาโตะ วากิ(ตำนานรักโยโกฮาม่า,สงครามกับความรัก),งานของ อ.มาคิมูระ ซาโตรุ(เรื่อง ไรซิ่ง ตอนนั้นซื้อเล่มละ3 บาทเอง),งานของ อ.ซาโตนะกะ มาจิโกะ(ออรอร่า,สายธารรัก), และก็งานของอ.ฮาระ จิเอโกะ
- หน้ากากแก้ว หรือนักรักโลกมายา และผลงานหลายๆเล่มของอ.มิอุจิ ซึซึเอะ (นี่ก็มีอิทธิพลกับการวาดเค้าโครงใบหน้าของเราสุดๆ หน้าอูมๆ ตาโตๆ ขนตายาวๆเนี่ยะ ...ถ้าเอาการ์ตูนสมัยเด็กของเรามาดู เค้าหน้านี่ถอดจากอ.มาเลยล่ะ)
- คำสาปฟาโรห์ (เป็นเรื่องที่ทำให้เราเรียนรู้เป็นครั้งแรกในชีวิตว่า ตัวเอกผมทอง จะต้องลงไฮไลท์ที่ผมแบบนี้เอง)

2.สมัยวัยสะรุ่น

- เซนต์เซย่า ชอบไปหมดทั้งเนื้อเรื่อง เพลงอนิเม และก็หลงใหลงานวาด ของอ.อารากิ ชินโก เอามากๆ ภาพออกมาซึ้งๆเศร้าๆเหงาๆแต่ก็ดูเข้มแข็ง ประมาณว่าถ้าเราเกิดเป็นคนญี่ปุ่น เราคงจะขอเป็นศิษย์อ.ท่านนี้เลยล่ะค่ะ ตอนนั้นบ้ามาก ขนาดสติกเกอร์ลายเซย่าที่แถมในขนมอบกรอบ ยังเก็บสะสมไว้อย่างดี
เรื่องเซย่ามีอิทธิพลมากมาย ไม่ใช่แค่การวาดรูป แต่ทำให้เราไปเรียนภาษาญี่ปุ่น เพียงเพื่อจะอ่าน anthology Y ฉบับยุ่นได้(รู้จัก anthology หรือการ์ตูนล้อเรื่องนี้ครั้งแรกจากในทีวีแมกกาซีน หลังจากนั้นก็พากเพียรฝากคนนู้นคนนี้ที่ไปญี่ปุ่นซื้อมาฝากหน่อย และจากการ์ตูนล้อนี่แหละ ทำให้เราชื่นชอบอ.อีกมากมาย ที่หลายท่านกลายมาเป็นนักวาดแนวYที่ดังๆในตอนนี้ อ้อ...คู่โปรดคือ เฮียวกะXชุน อิคคิXเฮียวกะ มิโร่Xคามิว ล่ะ)

เรื่องนี้มีอิทธิพลกระทั่งการ ตัดสินใจเลือกคณะในมหาลัย (อยากช่วยโลก 5555)
และ....การที่มัวแต่หลงคนหล่อๆในการ์ตูนนี่แหละ ที่ทำให้เราไม่เคยมีแฟนเป็นมนุษย์จริงๆซะที ก็...ตอนนั้นไม่มีใครหล่อเท่าเฮียวกะซักคนนี่นา กร๊ากกกก

- ZETSUAI/ BRONZE by อ.โอซากิ มินามิ
เหมือน reafre ตรงที่ได้กลิ่นความY ตั้งแต่เห็นภาพที่เป็นแค่ปกหลังของการ์ตูนเรื่องอื่น แรกๆชอบเรื่องนี้มากจนต้องควักตังค์(บุพการี)ซื้อฉบับยุ่น และต้องบังคับข่มเหงเพื่อนในห้องบางคน ให้ฟังเราพล่ามเรื่องนี้ทู้กวี่วัน
แต่ตอนหลัง ไม่ค่อยติดตามแล้ว เพราะเรื่องมันชักรันทดและชวนคิดถึงร.พ.ศรีธัญญาเกินเหตุ
.........เรื่องนี้มีผลให้ภาพวาดของเราช่วงนั้น มีเลือดสาดอยู่ด้วย

- งานของอ.ชิมิสุ เรย์โกะ (MOONCHILD,เจ้าหญิงจันทรา) ....พูดถึงก็แปลกนะคะที่เราชอบงานของอ.แต่ดันอ่านเรื่องของอ.แทบไม่จบซักเรื่อง เรื่องเดียวที่อ่านจบคือเรื่องของหุ่นยนต์แจ็ค กับ เอเลน่าค่ะ ซึ้งมาก(และY แบบหุ่นๆด้วย) แต่เรื่องล่าสุดคือ เจ้าหญิงจันทรา เราอ่านแล้วไม่ประทับใจเท่าไหร่ สงสัยเป็นเพราะตัวเอกทั้งหลายดูเลิศเลอเพอร์เฟคจนเกินไปมั้ง
.....................และก็ MOONCHILD ของอ.นี่แหละที่มีอิทธิพลให้แขนขาตัวละครของเรายาวและเพรียวขึ้น ข้อมือก็เล็กลง

3.ณ ขณะนี้ (สมัยวัยสะรุ่นตอนปลายๆ) ...พออายุมากขึ้น ก็มีเรื่องต่างๆที่ต้องคิดต้องรับผิดชอบมากขึ้นอ่ะนะ จำนวนการ์ตูนที่อ่านก็เลยน้อยลงทุกที

- The Lord of the Rings หนังที่สวยงาม ไม่ได้มีอิทธิพลกับลายเส้นโดยตรง แต่ทำให้เรากลับมาวาดรูปอีกครั้ง หลังจากทิ้งไปเกือบสิบปี และได้ออกโดจินชิเล่มแรกในชีวิตโดยมี ผึ้ง(shun) เป็นคนชวนและให้คำปรึกษา ส่วนเรื่องความ Y นี่ไม่ต้องบรรยาย

และล่าสุดนี้คือ....
- หงสาจอมราชันย์ by อ.เฉินเหมา(แหม่...ตั้งแต่ทำblogมานี่เอ่ยถึงเรื่องนี้กี่ครั้งแล้วเนี่ยะ)
ชอบทั้งหมดค่ะ ทั้งเนื้อเรื่อง ลายเส้น คาแรกเตอร์ (แม้เนื้อเรื่องจะชวนมึนมากไปหน่อยก็เถอะ แต่จุดเด่นอื่นๆของversionนี้ เช่นความลักลั่นย้อนแย้งไปอย่างมากจากมุมมองเก่าๆที่มีต่อสามก๊ก คาแรกเตอร์ที่สวยหล่อ ฉากการต่อสู้ที่สวยงาม ทำให้เราไม่สนใจล่ะว่าจะงงไม่งงกับเนื้อหาแค่ไหน แต่จะคอยติดตามใจจดใจจ่อแน่นอน)
ที่สำคัญ จะว่าY ก็ Y น้า เรื่องนี้น่ะ

..............การวาดของอ.ทำให้เราทึ่งมากๆ รู้สึกว่า...โห....กว่าจะวาดเสร็จหน้านึงนี่อ.คงเสียพลังงานไปโขสินะ รายละเอียดยุ่บยั่บ ซอยเส้นมากกว่าติดสกรีน
.......แถมต้องออกแบบตัวละครที่เป็นคนปกติ(ไม่ใช่ปิศาจไปซะครึ่งอย่างเรื่องBERSERK) เป็นร้อยๆตัวให้หน้าตาไม่ซ้ำกันและให้จำได้ว่าใครเป็นใคร
.....ฉากต่อสู้แบบไม่เกินจริง แต่ดูสง่างาม
.....ม้าเอย ทหารเอย กองทัพเป็นร้อยๆพันๆ
.....ฉากบ้านเมือง พระราชวัง ป่าเขาลำเนาไพร

สำหรับเรา....ขอฟันธงว่างานของอ.นี่ หินมากๆ

เป็นการวาดแบบที่เราพยายามทั้งชีวิตก็คงทำแบบอ.ไม่ได้
ถ้าเราเกิดเป็นคนจีน(เพ้อเจ้ออีกละ) จะขอไปสมัครเป็นผู้ช่วยอ.แน่นอนเรยยย

^
^
^

ที่ว่าไปนั่นคือผลงานที่มีอิทธิพลกับการวาดของเรานะ แต่ถ้าให้พูดถึงผลงานอ.ที่ชอบด้วยเหตุผลอื่นๆ คงมีอีกมากมายอ่านะ
และก็ทั้งหมดข้างบนนั่นไม่มี inducer จ้า แกว่งเท้าสะดุดเสี้ยนเองทั้งนั้น เว้นแต่การ์ตูนที่อ่านตอนเด็กนั้น แม่ซื้อให้...
.
.
.
.

ตามระเบียบค่ะ ขอส่งต่อTAGกลายพันธุ์ fandom of art นี้ให้กับพี่ๆน้องๆตามนี้เรยยยย (นักวาดทั้งหลายนั่นแล....ถ้าว่างๆก็ช่วยเปิดเผยกันหน่อยละกันนะจ๊า.....)
1. พี่กบ CHIHAYA
2. KISARA
3. ดีสุดขั้วชั่วสุดขีด
4. นีรมาลี
5. JENGKISS
6. TOUCH OF MUSES
7. DEAWA
8. HONEYNUT
(ใครโดน tag ประเภทนี้แล้วก็รับซ้ำไปอีกละกันน้า)




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2550 21:41:59 น.
Counter : 1735 Pageviews.  

An Inconvenient Truth ....พวกเราจะได้ชมความงามของโลกไปอีกกี่ปี

ก่อนเข้าเรื่อง.....เฮ้ออออออ อยากไปเที่ยวจัง (ขอบ่นหน่อยเต๊อะ วันนี้ซื้อนิตยสารท่องเที่ยวมาเล่มนึง ...นำเที่ยวมองโกเลีย สวยชะมัดเลย ดูแล้วก็ขออิจฉาคนได้เที่ยวเค้าไปพลางๆก่อน)

หลายปีมานี้มีแต่ทำงาน หาเงิน ทำงาน หาเงิน ทำงาน หาเงิน ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย (....เพราะมันจำเป็น)
ก็ยังดีนะ ที่ปีนี้อย่างน้อยก็ได้วาดรูปมากขึ้น ได้มาเล่นเนตกะเค้าบ้าง
(แต่พอปล่อยตัวให้สบายขึ้นแล้ว มันก็ต้องการความสบายมากขึ้นไปอีก
นึกไม่ออกว่าเมื่อก่อนเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างนั้นได้ยังไง และเมื่อได้สัมผัสความสบาย จะให้กลับไปหามรุ่งหามค่ำก็มันไม่อยากอีกแล้ว)

ความสบายและเฉื่อยแฉะเป็นโรคเรื้อรังนะเนี่ย รักษายาก

จะว่าไปแล้วตอนที่ทำงานหนักๆเนี่ย รู้สึกตัวเองมีพลังที่จะทำอะไรได้มากมายกว่าแฮะ อะดรีนาลีนหลั่งเยอะ



รูปนี้วาดออกมาหลังจากได้ดูหนังเรื่อง STAND BY ME (ชอบฉากที่คริส ล้วงปลิงให้กอร์ดี้ แล้วพอกอร์ดี้ก้มลงไปดูด้านในกุงเกงลิงตัวเอง ...ก็เป็นลมล้มตึงไปเลย น่ารักดีค่ะ)
__________________________________________

บ่นตัวเองแล้ว หันกลับมาดูความจริงอันเลวร้ายของโลกอีกทีเพื่อเตือนสติ.....







ก้มลงมองพุงหลามๆกับต้นขาอวบๆของตัวเองแล้วสะท้อนใจ


__________________________________________
เข้าเรื่อง......

AN INCONVENIENT TRUTH มีขายแล้วล่ะ



สารคดีตีแผ่ภาวะโลกร้อน โดยนาย อัล กอร์ อดีตผู้ชิงตน.ปธน.สหรัฐอเมริกา
DVD ออกแล้วนะ วันนี้เห็นที่ร้านบูเมอแรงที่เซ็นทรัลปิ่น แต่แพงจัง 500กว่าแน่ะ (เราขอรอซื้อVCDดีกว่า)

เรื่องดีๆ เรื่องขายความจริง มักหาดูได้ยาก ตอนนั้นเข้าฉายอยู่ที่เดียวมั้ง ไม่สกาล่า ก็ลิโด้นี่แหละ ก็เลยหาโอกาสไปดูไม่ได้

รายละเอียด(; เครดิตเวบบอร์ด talaythai.com ค่ะ)>>>


โดย วันชัย ตัน :


หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่อยากให้ช่วยกันไปดู ด้วยเหตุผลว่าเป็นหนังดีมีคุณภาพ หรือไปดูเพื่อให้กำลังใจผู้สร้าง

แต่เป็นหนังที่ทุกคนต้องไปดู ไม่ใช่เพราะใครอื่น แต่ดูเพื่อตัวคุณ และลูกหลานของคุณเอง

An Inconvenient Truth เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อน ที่ให้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงจุดจบของโลกใบนี้ในอนาคต ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี

อัล กอร์ ผู้เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 แต่ต้องพ่ายแพ้ต่อนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อย่างเฉียดฉิวด้วยคะแนนเสียงลึกลับในรัฐฟลอริดา เป็นผู้นำแสดงในหนังสารคดีเรื่องนี้ ได้ย่อยข้อมูลภาวะโลกร้อนจากหนังสือ ตำราหลายพันเล่ม ให้เราเข้าใจได้อย่างชัดเจนผ่านคำพูดและภาพถ่ายผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในเวลาเพียง 100 นาที

อัล กอร์ เป็นนักสิ่งแวดล้อมคนเดียวที่ได้มีโอกาสก้าวขึ้นตำแหน่งทางการเมืองสูงสุด คือ รองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลนายบิล คลินตัน และเขาเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสาร เกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี ค.ศ.1997 เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น

แต่เมื่อประธานาธิบดีจอร์จ บุช ตัวแทนกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ขึ้นครองตำแหน่ง เขาได้ทำในสิ่งตรงข้ามกับรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด ได้ถอนตัวออกจากพิธีสารนี้ อ้างว่าต้องใช้งบประมาณสูงเกินไป

ก่อนจะมาเป็นหนังเรื่องนี้ อัล กอร์ ได้ใช้เวลาหลายปีหลังจากเลิกอาชีพนักการเมืองเดินสาย บรรยายไปตามโรงเรียน โรงหนัง หรือโรงแรมทั่วสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศไม่ต่ำกว่าพันครั้ง เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนเห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของภาวะโลกร้อน

จนกระทั่งในปี ค.ศ.2005 เมื่อเขาไปบรรยายที่ลอสแองเจลิส เขาได้จุดประกายให้กับผู้สร้างหนังบางคนว่า หากเอาการบรรยายของเขาไปทำเป็นหนังแล้ว น่าจะได้ผลในวงกว้างมากกว่าการเดินสายพูดแบบนี้

ตอนแรกอัล กอร์ ไม่เชื่อว่าการบรรยายประกอบสไลด์ของเขาจะสามารถสร้าง เป็นหนังสารคดีที่ไม่น่าเบื่อได้

แต่เมื่อหนังเรื่องนี้ออกฉายเมื่อต้นปีนี้ บรรดาผู้บริหารสตูดิโอในฮอลลีวู้ดต่างแย่งกันขอซื้อลิขสิทธิ์หนังไปจัดจำหน่ายทั่วโลก

หนังเรื่องนี้เปิดฉากด้วยภาพของโลกที่ถ่ายจากยานอพอล โล ว่าโลกสีน้ำเงินของเรางดงามเพียงใด

อัล กอร์ บอกเราว่า ชั้นบรรยากาศเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกใบนี้

แสงจากดวงอาทิตย์ที่สองทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิว โลก นำความอบอุ่นมาให้ ขณะเดียวกันก็สะท้อนความร้อนออกไปนอกโลกในรูปของรังสีอินฟราเรด แต่บางส่วนถูกดักเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกใบนี้มีอุณหภูมิพอดีสำหรับสิ่งมีชีวิต ไม่ร้อนเกินไปแบบดาวศุกร์ หรือเย็นยะเยือกเกินไปแบบดาวอังคาร จนสิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้

แต่นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม มนุษย์ได้ปลดปล่อยก๊าซต่างๆ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากน้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ในการคมนาคม โรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนถึงการเผาป่า ฯลฯ จนทำให้ชั้นบรรยากาศหนาขึ้น รังสีอินฟราเรดไม่สามารถสะท้อนออกนอกโลกได้เหมือนเดิ ม เกิดภาวะเรือนกระจก อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเรื่อยๆ นับแต่นั้นมา

หนังได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก เริ่มจากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อ น ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย เปรียบเทียบกับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก จนนักวิทยาศาสตร์ฟันธงว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป

ภาพต่อไปเป็นภาพธารน้ำแข็งตามเทือกเขาต่างๆ ที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เทือกเขาแอนดิสในอาร์เจนตินา ชิลี ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย

น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย หล่อเลี้ยงผู้คน 40% ของประชากรทั่วโลก แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี คนเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง

ภาพกราฟิกทำให้เราเห็นถึงอุณหภูมิความร้อนที่สูงขึ้น แผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน

ภาวะโลกร้อนได้ทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น เฮอร์ริเคน ไซโคลน หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิว ออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม 2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงถึง 6 เมตร

กอร์ได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา

ตอนนั้นกรุงเทพฯของเราคงจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง และบังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก ประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย

อีกด้านหนึ่งกอร์ก็ได้เตือนพวกเราว่า แนวคิดที่บอกว่าโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น กำลังได้รับการท้าทายจากบรรดานักวิจารณ์ว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในเชิงวิชาการ ให้ผู้คนได้ถกเถียงกันต่อไป

แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับฝีมือของบรรดากุนซือของบริษัท อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎี ไม่ใช่ความจริง เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่บริษัทผู้ผลิตบุหรี่พยายามทำให้คนเชื่อว่า การสูบบุหรี่ทำให้เกิดมะเร็งในปอดนั้น เป็นแค่ทฤษฎีไม่ใช่ความจริง

เมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง เสมอไป

ถึงตอนนี้กอร์ได้ให้ดูการ์ตูนเรื่องหนึ่ง เป็นรูปกบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก้ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว

กอร์บอกเราว่า เรื่องโลกร้อนก็เช่นกัน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้

มนุษย์ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างจากกบตัวนั้น
สุดท้ายกอร์ตอบคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดว่า ถึงตอนนี้เราจะสู้กับปัญหานี้ได้หรือ

กอร์บอกว่า ที่ผ่านมามนุษยชาติได้ร่วมแรงร่วมใจแก้วิกฤตการณ์ได้ หลายอย่าง อาทิ การลดสารซีเอฟซี ทำให้ลดรูรั่วของชั้นโอโซนได้สำเร็จ หากวันนี้เราร่วมใจกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ให้เหลือเท่ากับเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เราจะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้พร้อมกัน

ในภาษาจีน คำว่า วิกฤต มีความหมายลึกซึ้ง เพราะเขียนด้วยตัวหนังสือคำสองคำติดกัน คำแรกมีความหมายถึง อันตราย คำที่สองมีความหมายถึง โอกาส

โลกร้อนเป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ประเด็นข้อถกเถียงทางวิทยาศาสตร์หรือประเด็นทางการเมืองอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของมโนสำนึกของมนุษย์ทุกคนด้วยว่า เราจะพลิกวิกฤตนี้เป็นโอกาสที่จะลงมือทำและฝ่าข้ามมันไปได้หรือไม่

หนังเรื่องนี้จบลงด้วยสุภาษิตของคนแอฟริกันว่า

"While you pray, move your feet"
....................

พอออกจากโรง เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่า โชคดีที่อัล กอร์ ไม่ได้เป็นนักการเมืองอีกต่อไป

ผมถามหาเหตุผล

"ตอนเป็นนักการเมืองก็งั้นๆ เป็นจอมทึ่ม แข็งโป๊ก และไร้เสน่ห์ แต่พอเลิกอาชีพนักการเมืองมาเป็นนักอนุรักษ์เต็มตัว เขากลายเป็นหนุ่มหล่อ เท่ น่ารัก มีอารมณ์ขัน และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นขึ้นมาทันที"

ผมนึกถึงนักการเมืองบ้านเราขึ้นมาทันที

//www.climatecrisis.net/
เวปของสารคดีชุดนี้


WHILE YOU PRAY, MOVE YOUR FEET




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2550 23:07:20 น.
Counter : 754 Pageviews.  

อ่านโนดาเมะ(วุ่นรักนักดนตรี)แล้วหายหวัด //// ของขวัญจากปุ๊กปู

เมื่อวานหวัดกินค่ะ ว่าจะนอนวันๆซะหน่อย
ดัน... ดัน........หยิบวุ่นรักนักดนตรีเล่ม 2 ขึ้นมาอ่าน กลายเป็นว่าติดหนึบอ่านรวดถึงเล่ม 5
เลยได้นอนตี 2โน่นแหนะ แถมเกิดอารมณ์ค้างหลับไม่ลงอีก




ปกติ เวลาเดินเลือกการ์ตูนที่แผง เรามีแนวโน้มที่จะเลือกลายเส้นแบบลูกคุณทุ่ม(หมายถึงละเอียดๆ ประมาณดูภาพแล้วเห็นสภาพหลังขดหลังแข็งด้วยพากเพียรของคนวาด) มากกว่าลายเส้นโล่งๆน่ะค่ะ

ดังนั้น ตอนเห็นเรื่องนี้ที่แผงครั้งแรก แม้จะเครดิตว่าเป็น หนังสือขายดี ที่ญี่ปุ่นก็เถอะ เราก็แค่จับๆพลิกๆแล้ววางไป อีกอย่างคือเป็นเรื่องดนตรีๆซะอีก เราคงมิบังอาจอ่าน
(แต่ก็เก็บมาติดใจอยู่นิดๆนะว่า ลายเส้นโล่งๆ เรื่องเฉพาะด้านดนตรีคลาสสิก แต่เป็น หนังสือขายดี .....มันคงต้องมีอะไรซ่อนอยู่จริงๆ)

จนมาได้อ่านที่เหล่ามาเอสโตรด้านการ์ตูน คือ พี่ CHIHAYA กับ คุณ vee คุยกันเรื่องนี้ เราก็เลยว่า เอาล่ะ ซื้อดีกว่าเฮะ!!(กว่าจะซื้อได้ครบนี่ ต้องไปทัวร์เกือบ 10 ร้านแน่ะค่ะ ขายดีจัง)

เล่ม1 อ่านแล้วก็ยังไม่ติดนะ แต่หลังเล่ม 2 ไปแล้ว ชักจะคุ้นเคยกับตัวเอก และเรื่องก็พาเพลินขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นว่า...ว้า....เพิ่งออกมาหกเล่มเองเหรอเนี่ยยยย
นานๆทีจะมีเรื่องที่ทำให้ขำกั้กๆได้ขนาดนี้ นอนกลิ้งไปขำไปแข่งกับเสียงกรนห้องข้างๆเลยอ่ะ



เรื่องนี้อ่านได้ทุกเพศทุกวัยนะคะ คนที่สนใจงานด้านการ์ตูน ก็น่าอ่านเรื่องนี้ด้วย เพราะเป็นแบบอย่างที่ดีหลายๆด้านจริงๆ

เป็นการ์ตูนที่ทำให้หัวเราะ ซึ้ง อึ้ง ทึ่ง เศร้า(เล็กน้อย) แถมยังสะกิดให้มุ่งมั่นจริงจังในสิ่งที่ตนรัก....ได้อะไรมากมายในลายเส้นโล่งๆ!

ช่ายแล้วววว ....... ลายเส้นโล่งๆ ดูผ่านๆไม่สวยไม่หล่อ แต่เสน่ห์ของคาแรกเตอร์ที่ดูจริงใจใสซื่อ มีชีวิตชีวา และมีความเป็นคนธรรมด๊าธรรมดา ทำให้ตัวละคร ดูดีและมีพลังอย่างมาก จนผู้อ่านแอบหัวใจพองโตเพราะหลงรักคาแรกเตอร์นั้นได้

หยิบจับเอาเรื่องดนตรีคลาสสิกแบบต้องปีนกระไดฟัง มาทำให้เป็นเรื่องที่อ่านง่าย ตลก และสนุกได้ ....โดยไม่ต้องไปเข้าใจในรายละเอียด

ตัวเอกในเรื่องต่างเป็นคนเดินดินอย่างเรา บางคนก็มีปัญหาส่วนตัวที่โคตะระติงต๊องมากๆ แต่ทุกคนต่างก็รักดนตรีในแบบของตัวเอง
(ดึงดนตรีคลาสสิกลงมาเป็นความสนุกที่ทุกคนเข้าถึงได้ )
(แว่บ...ไปคิดถึงหนังเรื่อง SWING GIRLS ขึ้นมาค่ะ เป็นหนังญี่ปุ่นที่ดูแล้วได้ความรู้สึกคล้ายๆกัน)

และเป็นสิ่งที่....แม้จะถือว่าเป็นศิลปะขั้นสูง แต่ก็ต้องการความเข้าใจในความสามัญธรรมดาของธรรมชาติมนุษย์ด้วย ถึงจะทำให้ดนตรีของวงวงนั้นดูมีเสน่ห์ขึ้นมาได้โดยแท้จริง

......เชื่อว่ามีหลายคนที่ พออ่านเรื่องนี้แล้วก็ตัดสินใจไปเข้าคอร์สเรียนดนตรีคลาสสิกซะเลยนะคะ
(เหมือนที่ดูเรื่อง โหมโรง จบแล้วอยากเรียนระนาด หรือดู ตำนานนาย1900 แล้วอยากเรียนเปียโน อ่านฮิคารุแล้วอยากเล่นโกะ )

ส่วนเรา อ่านจบแล้วก็ว่า....เดี๋ยวลองหาดนตรีคลาสสิกมาฟังหน่อยจิ๊ (อยากกำซาบกับความยิ่งใหญ่ในเสียงเพลงเหมือนเจ้าพวกนี้มั่ง)
แต่ถ้าจะให้ตัวเองเล่นดนตรีเป็นนี่คงต้องรอเกิดใหม่แล้วล่ะ (คิดแล้วก็เสียดายค่ะ ตอนเด็กแม่บังคับให้เรียนกีต้าร์ ไอ่เราก็โดดเรียนซะฉิบ ตอนนี้มันกลายเป็นบ้านเอื้ออาทรให้ครอบครัวหนูซะแล้วละ)

น่านับถือพี่ยุ่นอีกแล้ว สร้างงานการ์ตูนที่มีผลต่อจิตใจคนอ่านได้แบบนี้น้า....>>>

ท่านจิอากิ ...พระเอก (เข้าใจหัวอกโนดาเมะจริงๆด้วยพี่กบจ๋า)


เป็นคนความสามารถสูง ฝันสูง อยากเป็นคอนดักเตอร์ระดับโลก (แต่ดันกลัวความสูงบนเครื่องบิน)
ดูเผินๆช่างไฮโซ หล่อรวย น่าหมั่นไส้ แต่จริงๆแล้วนั้น...เขาได้ทุกสิ่งมาด้วยความมุ่งมั่น เกาะติด สมาธิ และความพยายาม
ดูเหมือนทะเยอทะยาน แต่ก็ไม่ทิ้งเพื่อน( เช่น ตอนติวสอบให้สองต๊อง โนดาเมะกับมิเนะ จนตัวเองเกรดตก )
ดูเหมือนๆจะด่าคนอื่นอยู่เรื่อย แต่ก็คือ จริงใจ อ่ะ(ใครจะทำไม)
ดูเหมือนเชื่อมั่นตัวเองจัด แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ยอมฟังความเห็นใครนะ เป็นพระเอกที่น่ารักน่าหยิก และ(ถ้ามองจากมุมของทั้งสาวๆและ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่) ...จิอากิน่าจับกดที่ซู้ดดดดดดดเรย อยากแปลงร่างเป็นมาเอสโตรมิลฮีไปลวนลามจิอากิจังวุ้ยยย



โนดาเมะ.....นางเอก!!?

โนดาเมะตอนคอสเป็นพังพอน...


นางเอกอัจฉริยะปัญญานิ่ม ผู้อ่านโน้ตดนตรีไม่เป็น แต่บรรเลงเปียโนได้จากการจำเสียง
หลงรักและเทิดทูนจิอากิมั่กๆ
แถมมีความสามารถพิเศษ ทำให้ทุกที่ที่เหยียบย่างเต็มไปด้วยของบูดเน่าและขยะมูลฝอย

เรื่องนี้มีนักแสดงรับเชิญ ไข่ปลาคาเวียร์ ( ตัวจริงๆคือ อับสปอร์เชื้อรา) รูมเมทของโนดาเมะ โผล่ออกมาสองฉากละ

ผู้แต่ง....คงต้องใช้ความสามารถขั้นสูงในการดำเนินเรื่องให้เจ้าชายอย่างจิอากิ มารักกับนางเอกอย่างโนดาเมะได้ (จะคอยลุ้นแบบเหงื่อตกซิบๆค่ะ) เอิ๊ก


มิเนะ
หัวหน้าวงคลาสสิกแบบร็อคๆ มีสไตล์เฉพาะตัว เท่ห์แบบไม่ตั้งใจ
กับ
เจ้าหัวขยุกขยุย(ขอโทษทีที่จำชื่อนายไม่ได้)




วง S สุดเดิ้น ผู้ร่วมกันฝ่าขวากหนามมาจนได้รับเสียงปรบมือชื่นชม (เคล้าเสียงคิกๆคักๆ) ทุกครั้งที่บรรเลงจบ

ดูแผ่นโฆษณาเขาซะก่อน(ดนตรีคลาสสิกเรอะ)>>


วง S แม้หัวหน้าวงฝีมือไม่เอาอ่าว แต่ลีลาดึงดูดค่ะ!

งานนี้อินโทรโดยนางเอกของเราเอง>>


ดนตรีคลาสสิกและชุดฮาคามะ


ท่าเชิด ออกแบบโดยมิเนะคุง





มาเอสโตร มิลฮี(ชื่อจริงคือ สเตรชเซอร์มันน์) จอมหน้าหม้อ เหมือนจะทำตัวต๊องๆ แต่ผลของความต๊องนั้น ทำให้ศิษย์หลายๆคนมีโอกาสได้เติบโตอย่างไม่น่าเชื่อ (คนจริงไม่สร้างภาพ 5555)



ตอนที่เล่นเปียโนคู่กับจิอากิครั้งสุดท้ายก่อนกลับประเทศ สองคนนี้ ดูเท่ห์มากมายค่ะ (ขอสารภาพว่าต่อม Y ถูกกระตุ้นช่วงนี้แล โดยเฉพาะฉากที่สองคนบรรเลง(ดนตรี)จนหมดแรงนอนพังพาบอยู่หลังเวทีน่ะ อิ อิ)





สรุปว่าเรื่องนี้ก็ควรแก่การเก็บสะสมไว้นะครับผม !!!

*****JINNY และ ปุ๊กปู ถ้าเข้ามาเยี่ยม blog เราล่ะก็ ขอบอกให้ซื้อเรื่องนี้มาอ่านซะ รับรองเป็นแบบที่ชอบแน่จ้า (โดยเฉพาะจินนี่ รับรองว่าจะชอบนางเอกชัวร์)*****

-----------------------------------------------------------
ของขวัญจากปุ๊กปู

เรื่องที่เราจะบอก ไม่ได้หมายความว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่อง "ของขวัญ" นะคะ เพราะปกติครอบครัวเราเป็นพวกไม่โรแมนติก ลืมๆวันเกิดกันด้วยซ้ำไป เทศกาลอะไรๆก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษ

แต่ มีเรื่องที่น่าคิดอยู่ว่า
มีอะไรบ้างในชีวิตนี้ ที่เราคิดและทำ อย่างสม่ำเสมอมาตลอดหลายสิบปีโดยไม่ขาด

ปุ๊กปู คือเพื่อนคนแรกในชีวิตของเราตั้งแต่สมัยเป็นเด็กอนุบาล และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดจนถึงประถม แต่แล้วเราก็ย้ายโรงเรียนจากไป

ตอนนี้ปุ๊กปูเป็นคุณครูแล้ว

สำหรับเราแล้ว การส่งของขวัญให้ปุ๊กปู เป็นเรื่องนึงในชีวิตที่ทำมาตลอด และตั้งใจจะทำตลอดไป
ปูก็ทำให้เราเหมือนกัน แต่เพราะ...ไอ้เรามันอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ทำให้ปูต้องลำบากคอยติดตามว่า...ตอนนี้ไอ้เก๋มันอยู่ที่หนายยยยยเนี่ย......

นี่คือผลของการไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งของเรา แถมบางที่ก็เป็นดงดอย ไม่มีไปรษณีย์ >>>

สัปดาห์ก่อนนัดเจอกัน หลังจากไม่ได้เจอมาเกือบสิบปี(หรือกว่า?) เพื่อนเราต้องหอบหิ้วของขวัญข้ามปีมาถุงเบ้อเริ่ม เป็นของขวัญห่อสวยงามที่จะส่งให้เราในปีนั้นๆแต่ไม่รู้จะส่งไปที่ไหนดี



ข้างกล่องแต่ละกล่อง ปุ๊กปูเขียนไว้ว่า ของขวัญปีใหม่/วันเกิด ปี 254X
เก่าสุดตั้งแต่ปี 2547

ขอบคุณปูมากนะ เรื่องนี้ทำให้เราซาบซึ้งมากกว่าที่จะพูดออกมาได้
ในชีวิตเราจะมีคนกี่คนที่ผูกพันสัญญาบางอย่างต่อกันได้โดยไม่ได้พูดอะไร

ดังนั้นของขวัญอีก 5 ปีต่อไปก็เก็บไว้ให้เราด้วยละกันน้า แต่ไม่แน่หรอกจ้ะ เราอาจจะได้เจอกันบ่อยขึ้นก็ได้





 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 12:20:45 น.
Counter : 2126 Pageviews.  

BLOGTAG

ช่วงนี้อาจจะดองๆ blog หน่อยนะค้า เพราะกำลังใช้เวลาหลังเลิกงานไปกับการทำโดหงสา สำหรับคนแก่ การทำโดต้องอาศัยพลังลมปราณอย่างมากเลยขอบอก หลังร่างได้หนึ่งหน้า เล่นเอาเพลีย ต้องไปหาไรกิน กว่าจะเสร์จนี่เราคง...เป็นตือโป๊ยก่ายเลยสินะ
ไม้ได้จุ๊นะ เอาหลักฐานมาให้ดูว่าทำจิงๆจ้า



ทีนี้มาเรื่อง blogtag ที่ติดค้างอยู่นาน
[ขอบคุณ พี่กบ CHIHAYA,SHUN,น้องกิล ที่tagมานะคร้าบผม และขอโทษค่ะที่ช้า]

เรื่องของเราที่เพื่อนๆอาจยังบ่ฮู้(และไม่แน่ใจว่ามันน่าที่จะฮู้หรือไม่)


ตามมารยาทต้องเอ่ยถึงที่มาก่อนใช่มั้ยเอ่ย งั้นขอก็อปมาจาก blog คุณ vee ค่า

ความหมาย Blog Tag เครดิตบล็อคคุณ Aimar ฮอบบิทน้อย>>>
Blog Tag ก็คือ กิจกรรมแนะนำตัวของ เจ้าของ blog เริ่มต้นโดย The Jeff Pulver Blog โดยเมื่อได้รับ tag แล้ว จขบ จะเขียนแนะนำตัวเอง แล้วก็ tag ให้อีก 5 คนถัดไป โดยเรื่องที่ให้เขียนก้อคือ Five things about you that relatively few people know


เรื่องของเฮา....>>>

1. เราคือด้านมืดของเจมินี่ ซาก้า (อ๊ะ...ไม่ได้หมายถึง ชั่วร้าย นา)

เคยอ่านเจอว่าคนราศีเมถุนมีสองชะตาล่ะค่ะ
ด้านสว่างจะเป็นลักษณะคนชอบเข้าสังคม วาทศิลป์เป็นเลิศ ว่องไวและไหวพริบดี

ส่วนด้านมืดจะเป็นพวกรักสันโดษ เก็บเนื้อเก็บตัว

มานั่งคิดดูดีๆแล้ว เราเป็นด้านมืดจริงๆ ตั้งแต่จำความได้แล้ว สมัยเด็กๆจำได้ว่าชอบแอบนั่งกินข้าวเอร็ดอร่อยคนเดียวใต้หน้าต่างระหว่างเพื่อนๆไปสนุกกันที่โรงอาหาร แต่เราก็ไม่ใช่พวกแยกตัวนะคะ แค่รู้สึกเคยชินกับการทำอะไรคนเดียวมากกว่า (ส่วนหนึ่งเพราะเป็นลูกคนเดียวด้วยมั้ง) ไม่ช่างคุย(ชอบเขียนมากกว่าพูด) ไม่ค่อยแสดงความเห็น(เว้นแต่อะไรที่ชอบมากๆ).....โอตาคุรึเปล่าฟะเนี่ยเรา

ไม่นิยมงานรื่นเริง หรือประเพณีพิธีกรรมซักเท่าไหร่

แม้กระทั่งงานรับปริญญาเราก็ไม่ไป แค่คิดก็เมื่อยหน้าแล้ว(ไม่ชอบถูกถ่ายรูป)

ไม่ชอบไปงานเลี้ยง ไม่ชอบไปคาราโอเกะ(ให้ไปก็ไปได้หรอก แถมมันจะติดลมด้วย ดังนั้นถ้าหลบเลี่ยงได้ก็จะไม่ไป)
ไม่นิยมการเข้าค่าย จำได้ว่าเคยไปเข้าค่าย YMCAแล้วก็หนีกลับกลางงาน (ให้แสดงฟามสามารถอะไรก็ไม่รู้หนูไม่เข้าใจ) ในชีวิตมีค่ายเดียวที่เคยไปและบอกได้เต็มปากว่าทั้งสนุกทั้งชอบคือ ค่ายเด็กรักธรรมชาติของมูลนิธิเด็ก (พี่ๆทีมขายหัวเราะเป็น staff และมิตรภาพที่ได้จากค่ายนี้ยังคงเหลืออยู่จนทุกวันนี้)

งานเลี้ยงรุ่นทั้งสมัยมัธยม หรือมหาลัย เราก็ไม่ค่อยไป (แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รักเพื่อนไม่รักโรงเรียนนะ เราก็รักแบบของเรา น้อยๆแต่นานๆไง)

สมัยไปทำงานใช้ทุนที่เชียงราย เป็นเรื่องธรรมดาของร.พ.เชิงดอยสุดเงียบเหงา ที่จะตั้งวงเหล้ากันหลังเลิกงานและทุกเมื่อที่มีโอกาส เคยลองปล่อยตัวให้โดนมอมด้วยน้ำเปลี่ยนนิสัย เผื่อจะได้พบอะไรที่ตัวเองแอบซ่อนอยู่บ้าง(5555 เห็นเค้าเมาแล้วแปลงร่างกัน เลยอยากเอามั่ง) ปรากฎว่า ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับตัวเราเลย นอกจากเวียนหัวบ้านหมุนเท่านั้น ...ไม่รู้ว่าเป็นพวกหนักแน่น หรือข้างในมันกลวงโบ๋กันแน่

งานแต่งงานก็คงไม่ต้องพูดถึง ไม่เกิดกับเราแน่ๆ ( ถ้ารักกันจริงก็ไม่ต้องประกาศให้ใครรู้หรอก จะได้ไม่ต้องย่องไปหย่าเงียบๆเหมือนที่หลายคู่เค้าทำกัน)

ส่วนงานศพ เราก็คงจะบอกใครๆว่า ไม่ต้องทำพิธีให้เรานะ เอาไปฝังไว้ใต้ต้นไม้ก็พอ จะได้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ 55555

คนที่ไม่เคยรู้จักกันอ่านแล้วจะว่าเราจิตๆมั้ยคะเนี่ย จริงๆถ้าสนิทกันแล้วจะรู้นะว่าเราเป็นคนตลกซกมกติดดินและโลวโซอย่างมากมาย

..............แล้วไอ้การที่ชอบใส่เสื้อผ้าซ้ำกันหลายวันโดยไม่ซัก +ไม่อาบน้ำถ้ายังไม่รู้สึกสกปรก ( และอื่นๆที่เกรงจะเข้าข่ายอนาจารเลยไม่ขอพูดถึงดีกว่า) นี่เป็นด้านมืดด้วยรึเปล่าหนิ



2. เราเป็นพวกสมองด้านขวาเด่นกว่าด้านซ้ายแบบสุดโต่งเลย
ลักษณะของคนที่สมองด้านซ้ายเด่น คือแบบที่เราอยากจะเป็นมาตลอดแต่ไม่เคยเป็นได้เลย !!

เพื่อนๆลองอ่านดูจิว่าตัวเองเด่นข้างไหนมากกว่า แล้วมาบอกกันบ้างเน้ออออ>>>
(คะแนนข้างไหนมากกว่าก็แสดงว่าข้างนั้นเด่นกว่า)

สมองด้านขวา
- ฉันว่ามันยากที่จะหาคำพูดมาพรรณนาความรู้สึกของตัวเอง
- ห่วยมากเลยเวลาเล่นปริศนาอักษรไขว้ แต่ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรนี่
- ไม่ตรงต่อเวลาสักเท่าไหร่
- ก็รู้สึกอย่างที่คนอื่นเขารู้สึกกันนั่นแหละ แต่ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรทำให้เขามีพฤติกรรมอย่างนั้น
- คิดเป็น ภาพ เสมอ
- มักระเบิดออกมาเป็นอารมณ์
- ไม่ชอบจัดระบบอะไรทั้งสิ้น
- ไม่ชอบวางแผนอะไร ชอบให้มันเกิดตามแรงกระตุ้นมากกว่า

สมองด้านซ้าย
- ชอบแสดงความคิดออกมาเป็นคำพูด
- สนุกกับการขบคิดปัญหายากๆ และชอบเล่นปริศนาอักษรไขว้
- ตรงต่อเวลามาก
- ชอบจะเข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าทำไมคนถึงมีพฤติกรรมยังงั้นยังงี้
- ไม่ค่อยได้คิดเป็นภาพหรอก
- สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
- เป็นคนมีระบบและจัดลำดับต่างๆในชีวิตอย่างมีเหตุผล
- ชอบจะวางแผนโครงการใหม่ๆให้ละเอียดยิบ
<<<

เราไม่มีคุณสมบัติด้านซ้ายแม้แต่ข้อเดียวเลยค่า.........ฮืออออ


3. รักและบูชาอิสระที่สุด
( เป็นข้ออ้างของพวกที่ อยู่ในกฏเกณฑ์ไม่ได้ รึเปล่า) ดูเหมือนเด็กว่าง่ายแต่จริงๆดื้อเงียบ

สมัยเรียนตั้งแต่ประถมยันมัธยม ขาดเรียนประจำ(ขาดไปนอนเล่นอยู่ที่บ้านน่ะแหละ) จนกระทั่งอ.เรียกตัวมาคุยว่าเธอขาดเรียนจนเกือบไม่มีสิทธิ์เข้าสอบแล้ว แต่โชคดีที่ผลการเรียนไม่เลว แถมอ.เชื่อสนิทว่าเรามีปัญหาสุขภาพ เลยรอดมาได้ด้วยดี (กราบขอบพระคุณและขอโทษอาจารย์ร.ร.เตรียมพัฒน์ค่ะ) ....เด็กๆกรุณาอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ตอนมหาลัยเป็นเด็กหลังห้องเพราะมาสายเสมอ เคยนั่งหลับในห้องเลคเชอร์แล้วตัวเอนเกือบตกเก้าอี้ เสียงดังโครมจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว (หลังจากนั้นก็ไม่เลือกนั่งริมสุดอีกเลย)

ยังคงเป็นไอ้จอมโดด ตอนปี3 เคยหนีสอบไปเที่ยว แต่ก็ไม่เกิดอะไรกับชีวิตนะ ก็แค่ต้องมาเรียนคอร์สนั้นซ้ำตอนปิดเทอมเท่านั้นเอง 5555 ดีออก ไม่ต้องแย่งกันเรียน

แต่ในชีวิตหลังเรียนจบ เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีเสมอนะคะ ไม่โดดไม่อู้ เพราะรู้สึกว่าชีวิตทำงานมันมีความสุขกว่าชีวิตการเรียนแบบฟ้ากับเหวเลยอ่ะ ( ตอนอยู่มหาลัยเราเหมือนคนหลงทางไงไม่รุ )

แต่ไอ้นิสัย เกลียด ที่จะถูกสั่ง ถูกบังคับ หรือถูกคาดหวัง นี่คงติดตัวเป็นสันดานไปแล้ว ถ้าเจอแบบนี้จะเลือกการชิ่งหนีแทนที่จะอดทนเสมอ (ถ้ามันมีทางอื่นให้หนีอ่ะนะ)
(ยอมรับนะว่าถ้าไม่อดทนกับสิ่งที่เกลียดก็ไม่รู้จักโต และเรายังคงเป็นเด็กในคราบผู้ใหญ่จริงๆ )



4. สิ่งที่ไม่ได้ทำในชีวิตนี้แล้วคงนอนตายตาไม่หลับ ตอนนี้มีแค่สองข้อเอง

- ปลูกป่า (ถ้ารู้อะไรมากพอ อยากทำให้เป็นสวนป่าขนาดใหญ่อนุรักษ์พันธุ์พืชสัตว์เลยล่ะค่ะ) ........ว่าแล้วก็ไปตั้งหน้าตั้งตาผ่อนบ้านผ่อนรถใช้หนี้ใช้สินเค้าให้หมดก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้บ้านที่อยู่ปัจจุบันในเชียงรายก็เป็นป่าเล็กๆไปแล้วค่ะ ไม่ค่อยกล้าชวนใครไปค้างบ้าน เพราะในนั้นมีหมา 11 ตัว กบ เขียด งู กระรอก กระแต และอื่นๆอีกมากมาย
- แต่งการ์ตูนดีๆออกมาซักเรื่อง
- ขอเติมอีกข้อนะ อยากเปิดสถานรับเลี้ยงสุนัขแมวจรจัดจัง(เอาไปเลี้ยงที่เชียงราย เพราะพื้นที่โล่งๆยังมีอีกมาก)

แต่อะไรๆก็ต้องใช้เงินแฮะ



5. หลงรักพระเอกในการ์ตูนบ่อยๆ แต่ในชีวิตจริงยังไม่เคยมอบหัวใจให้ใครเลย
(ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนี้ มันเป็นไปเอง.....อ้ากกกกก โอตาคุ!!) แถมชอบมีคนคิดว่าเป็นทอม (จริงๆเราเป็นแค่ เจอรี่ เอ๊ง)

เขาเหล่านี้สมควรถูกยกย่องค่ะ เพราะเป็นพระเอกมหัศจรรย์ที่สามารถทำให้หัวใจเหี่ยวๆของเราพองโตได้
รายชื่อพระเอกผู้โชคร้าย(ขอไล่ตั้งแต่วัยเด็ก)มีดังเน้.....

- เจ้าชายอาเธอร์ , ทรีตอนขี่ปลาโลมา(เป็นพระเอกอนิเมะสมัยเด็กๆที่ทำเอาเรานอนฝันบ่อยๆว่าขี่ม้าไปพร้อมเจ้าชาย ไม่ก็ขี่ปลาโลมาไปด้วยกัน)
- เดคิซึกิ แห่งโดราเอม่อน
- ซิกนัส เฮียวกะ แห่งเซนต์เซย่า
- คาวาเอะ สึโตมุ (ชื่อนี้ทราบดีว่าคงมีคนรู้จักอยู่ไม่กี่คน เพราะเป็นพระเอกการ์ตูนYค่า เรื่องRAKUENMADE ATODE SHOTTO หรือที่ไทยพิมพ์ออกมาใช้ชื่อ paradise ไม่ใช่คนหล่อ ไม่ได้เก่งกาจ ไม่มีอำนาจวิเศษ แต่มีนิสัยน่ารักมากๆ...ใจกว้าง ติดดิน หลงรักภูเขา ตลก ...ประมาณว่าถ้าเราได้เจอคนแบบนี้ในชีวิตจริงต้องหลงรักแน่ๆเลย ....พูดแบบนี้ก็หมายความโดยนัยว่าหลงรักอ.อิมะ อิจิโกะ ผู้สร้างคาแรกเตอร์ขึ้นมาสินะ.....ว้ากกก yuri)
- นาย FORREST GUMP
- เอโอแมร์ แห่งLotR (เลโกลัสกะอารากอร์นนี่ชอบแบบเป็นคู่ อิ อิ)
และ ................ ผู้โชคร้ายคนล่าสุด คื้อ........
- เตียวจูล่ง สุภาพบุรุษนักรบแห่งเสียงสาน ค่า..... หลงตั้งแต่ได้อ่านสามก๊กฉบับวนิพกของยาขอบ และมาผนวก กับคาแรกเตอร์ในเรื่องหงสาจอมราชันย์ยิ่งชอบใหญ่เลย


อ่านแล้วเป็นไงคะ โรคจิตเหมือนที่คิดไว้ หรือว่า น่าชื่นชมผิดคาด เอ่ย?

__________________________________________
และ ตามระเบียบ
ขอ TAG ต่อให้เพื่อนๆอีก 5 คนนะคะ ส่วนใหญ่คงโดนกันหมดแล้วล่ะ งั้นขอเลือกมือใหม่ทำblogทั้งหลายละกันนะ

1. ดีสุดขั้วชั่วสุดขีด (อย่าตกใจ นี่ชื่อเค้าแหละ)
2. ammataya คุณสนธยา รู้ตัวแล้วทำด้วยนะ อย่าให้blogมีแต่รูปเด่ะ
3. เนี่ยหลิน (ว่าแต่เข้ามามั่งมั้ยเนี่ย)
4. ปลา reafre เห็นโดนหลายกระทงแล้วไม่ทำซะที เลยช่วยรุม
5. คุณนีรมาลี....นี่ก็ช่วยคนอื่นรุมtag




 

Create Date : 24 มกราคม 2550    
Last Update : 24 มกราคม 2550 18:07:16 น.
Counter : 963 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

walkin
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




walk in dream,always.
Friends' blogs
[Add walkin's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.