โบท็อกซ์ ( Botox )
โบท็อกซ์ ( Botox ) โบท็อกซ์ จริงๆแล้วเป็นชื่อทางการค้าของสารละลาย โบโทลินุม ท็อกซิน ซึ่งปัจจุบันมีหลายยี่ห้อ โบท็อกซ์ที่รู้จักกันแพร่หลาย เป็นของบริษัท Allergan ของอเมริกา มีการฉีดโบท็อกซ์เพื่อความงามมากว่า 40 ปี จึงน่าจะสามารถวางใจในเรื่องความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง เพราะผ่านการใช้งานในคลีนิก มานานมากแล้ว (ถ้าจะมีปัญหาคงจะเป็นข่าวเยอะแยะมากมายแล้วด้วย) ที่สำคัญผ่านการรับรองจาก องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้ว ( FDA Approved ) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บ FDA นี้ //www.fda.gov/fdac/features/2002/402_botox.html หลักการทำงานของโบท็อกซ์ โบท็อกซ์ที่ฉีด จะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเคลื่อนไหวน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวชั่วคราว ประมาณ 3 - 12 เดือน แล้วแต่ปริมาณยา คุณภาพยา และตัวผู้ที่ถูกฉีดเอง เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณนั้นไม่ขยับ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว เช่น - ริ้วรอยที่หางตา รอบดวงตา (ตีนกา) มาจากการยิ้ม หัวเราะ เมื่อฉีดโบท็อกซ์จะหายไป แต่หายมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความลึกของริ้วรอยด้วย - รอยขมวดคิ้วที่อยู่ไกล้หัวคิ้ว มาจากการขมวดคิ้ว - รอยที่หน้าผาก มาจากการเลิกคิ้ว ยกคิ้ว นอกจากริ้วรอยแล้ว โบท็อกซ์ยังช่วยให้ใบหน้าเรียวมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยการฉีดบริเวณกล้ามเนื้อรอบกราม แต่ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้นเพราะต้องมีความเข้าใจสภาพกล้ามเนื้อของผู้ที่ถูกฉีดด้วย ผลที่ได้รับจากการฉีดโบท็อกซ์ จะเริ่มเห็นผลภายใน 3 วันหลังจากฉีด โดยจะค่อยๆออกฤทธิ์ทีละน้อยๆ จนแสดงผลดีที่สุดหลังจากฉีดประมาณ 1 เดือน ถึง 1 เดือนครึ่ง (30-45 วัน) และอยู่ได้นาน 3 - 12 เดือน แล้วแต่ปริมาณยา คุณภาพยา และตัวผู้ที่ถูกฉีดเอง นอกจากนี้การฉีดในครั้งแรกมักจะมีฤทธิ์อยู่สั้นที่สุด หลังจากหมดฤทธิ์ กล้ามเนื้อที่ถูกบล็อก ก็จะค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนฉีด ข้อมูลจากการสืบค้นส่วนตัว ข้อควรระวัง และพิจารณาในการเลือกฉีดโบท็อกซ์ 1. ตามหลักการ โบท็อกซ์เมื่อหมดฤทธิ์แล้ว หน้าไม่แย่ ไม่เหี่ยวไปกว่าเดิม แต่เราชินกับความตึงและริ้วรอยที่หายไป พอหมดฤทธิ์กลับมามีริ้วรอยเหมือนเดิม จึงมักจะคิดว่ามันแย่ลง เหี่ยวลง ให้ทำใจไว้เลยว่าฉีดโบท็อกซ์ก็เหมือนทำผมนั่นแหละ ควรฉีดทุก 3-6 เดือนเพื่อรักษาความงามให้คงรูปไว้เหมือนเดิม 2. โบท็อกซ์ มีหลายยี่ห้อ หลากหลายคุณภาพ ซึ่งถ้าใช้ตรงไปตรงมาก็มักจะได้ผลที่ดี แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ความไม่ตรงไปตรงมาของผู้ฉีด เพราะอาจจะเจือจางโบท็อกซ์จนเหลือน้อยมากจนแทบไม่ออกฤทธิ์ ข้อสังเกตุคือราคาถูกเหลือเชื่อ หรือเป็นของเอามาแจกแถม หากลองฉีดไปแล้วให้สังเกตุการออกฤทธิ์ ถ้าภายใน 1 สัปดาห์ ยังเลิกคิ้วหรือมีตีนกาปกติ แสดงว่า.... อาจเจอของไม่แท้หรือ โดนเจือจางจนไม่เหลือฤทธิ์ 3. โบท็อกซ์ มีลักษณะเป็นผงแห้งๆ (ลองค้นดูรูปภาพใน google ดูได้ตามอัธยาศัย :) เมื่อผสมแล้ว เป็นสารละลายลักษณะเป็นน้ำ เมื่อฉีดแล้วจะซึมหายไปบริเวณที่ฉีด จะไม่ไหลมารวมกันเป็นก้อนๆ หรือจับตัวเป็นลูกๆ แบบสารเติมเต็มบางชนิด ให้สังเกตุด้วย 4. ใครควรฉีดโบท็อกซ์บ้าง คนที่ควรฉีดโบท็อกซ์ คือคนที่ต้องการกำจัดริ้วรอยไม่พึงประสงค์บริเวณต่างๆ ให้หายไปชั่วคราวแบบได้ผล โดยไม่ต้องการผ่าตัด ชาวตะวันตกมักมีริ้วรอยมากกว่า เพราะใช้การแสดงสีหน้ามาก และแก่เร็วกว่าชาวเอเชีย ดังนั้นจึงมักนิยมฉีดกันตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ (อยากทราบว่าดารา Hollywood คนไหนฉีดบ้าง สามารถค้นดูใน google ได้ แต่คิดว่าฉีดกันเกือบ 100% นะ :) ส่วนคนที่หน้าตึงเด้งอยู่แล้ว อย่าไปฉีดเลยปล่อยตามธรรมชาติจะดีกว่า 5. ค่าใช้จ่ายในการฉีดโบท็อกซ์ เท่าที่ค้นดูมีตั้งแต่หลักพัน ถึงหลักหมื่น แล้วแต่คลีนิก ถ้าเจอคลีนิกไหนคิด หลักสิบ หรือหลักร้อย ให้หลบให้ไกลๆ เพราะเขาคงไม่เอาของราคาเป็นพันเป็นหมืนมาขายราคาหลักร้อยแน่ๆอยู่แล้ว บางคลินิคคิดเป็นจุดที่ฉีด บางคลีนิกคิดเป็นคอร์สทั่วหน้า ก็ต้องระวัง เพราะบางคนต้องฉีดหลายจุดถึงจะบล็อกอยู่ อาจแพงกว่าเหมาทั่วหน้า สำหรับคลินิคที่มีมาตรฐาน แต่ราคาที่แตกต่างกัน อาจขึ้นอยู่กับ - ยี่ห้อ คิดว่ายี่ห้อ "โบท็อกซ์" น่าจะแพงสุด ส่วนของจีนถูกสุด ขอคุณหมอดูขวดก้อน่าจะได้ - ปริมาณยาที่ใช้ (ยูนิตยาที่ใช้) อย่างที่บอก มีบางคลินิคผสมซะเจือจาง ขวดนึงผสมน้ำซะเยอะแยะ เพื่อจะฉีดได้หลายๆคน คิดราคาได้ถูกๆ - การหมดอายุของยา ยาที่ไกล้หมดอายุ หรือหมดอายุแล้ว อาจขายราคาถูกๆได้ ข้อสังเกตุ ให้สังเกตุการออกฤทธิ์ของยา 6. ความคุ้มค่า ข้อดีข้อเสีย หากได้คุณหมอที่ฉีดเก่งๆ จะดูเป็นธรรมชาติมาก ข้อดีคือ มันจะค่อยๆแสดงผลทีละนิด เราจะดูดีขึ้นทีละนิดจนคนรอบข้างไม่สังเกตุ ไม่ใช่เมื่อวานเหี่ยว วันนี้ตึง แบบนี้ใครๆก็รู้ว่าไปทำหน้ามา ถ้าเทียบกับผ่าตัดแล้ว การผ่าตัดตึงกว่าอยู่นานกว่า แต่ก็ทำให้เป็นธรรมชาติได้ยาก (ไม่เชื่อลองเดินไปที่กระจก เอาสองมือจับด้านข้างของหน้าแล้วลองดึงหน้าให้ตึงแต่ยังเหมือนเดิมตามธรรมชาติดู ยากนะ รับรองอย่างน้อยตาต้องโดนดึงให้ตี่ลงด้วยอยู่แล้ว หน้าจะเปลี่ยนรูปไป) การผ่าตัดยังมีความเสี่ยงอีกหลายอย่าง ที่แน่ๆคือผ่าแล้วไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังแพงกว่ามากอีกด้วย ข้อเสียของโบท็อกซ์ก็มี ส่วนที่สำคัญที่สุดคือหากฉีดไม่เก่ง หน้าจะแข็งๆ เวลายิ้ม หัวเราะจะไม่เหมือนเดิม และหากมีการฉีดบริเวณกราม อาจเคี้ยวอาหารเหนียวๆได้ลำบากขึ้น เพราะเวลาเคี้ยวมากๆจะเมื่อยๆกว่าปกติ 7. เลือกคลินิกไหนดี ปัจจุบันคลินิคความงามเกือบทุกคลินิค มีฉีดโบท็อกซ์เกือบทั้งนั้น ถ้าต้องการให้ได้ผลดี ควรคัดคลินิคที่ตั้งราคาถูกแบบน่าสงสัยทิ้งไปก่อน แล้วต้องเข้าใจว่า การฉีดโบท็อกซ์ ควรต้องให้แพทย์ฉีด แล้วต้องเป็นแพทย์ที่มีศิลปะและจินตนาการที่ดีด้วย เพราะจะทราบว่าที่กล้ามเนื้อส่วนไหนควรฉีด ฉีดปริมาณมากน้อยแค่ไหนที่จะให้ผลที่เป็นธรรมชาติ หน้าไม่แข็งกระด้างเป็นท่อนไม้ไร้อารมณ์ เพราะแต่ละคนกล้ามเนื้อหน้าไม่เหมือนกัน ดังนั้นคลินิคที่ให้พยาบาลหรือคนอื่นฉีดก็ควรตัดทิ้งไป (ถ้าหมอไม่ใส่ใจให้ใครก็ไม่รู้มาฉีด ก็อย่าคิดว่าจะได้ผลที่ดี) โดยส่วนตัวแล้วชอบคลินิกที่คุณหมอทำเองดูแลเอง แม้จะเป็นคลินิคเล็กๆ แต่ก็น่าจะดีกว่าคลินิคชื่อดังแต่ให้พยาบาลหรือหมอจบใหม่มาทำอยู่แล้ว ถ้าเป็นโบท็อกซ์จากประสบการณ์ของทุกคนในบ้าน ก็ต้องขอยกให้คุณหมอบี ( Dr.B Clinic ) หมอบีคลินิค ซอยวัดเสมียนนารี เป็นผู้แนะนำ เพราะคิดว่าเป็นคุณหมอที่แนะนำดีที่สุดที่เคยเจอแล้ว ใจเย็นอธิบายได้ดีด้วยครับ โทรปรึกษาหรือนัดเองได้ที่ 02-953 9112-3
Free TextEditor
Create Date : 22 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 4 ตุลาคม 2552 17:19:22 น. |
|
3 comments
|
Counter : 7187 Pageviews. |
|
|
|
ยิ้มค่ะ ตรงนี้ก็อธิบายได้ดี
ถ้าทำแล้วสุขภาพ กาย+จิต ดี มีโอกาสก็ทำเถอะค่ะ
สวยแล้ว ต้องจิตใจดีด้วยนะคะ